แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - K33T

46
สุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ (Irish Terrier)


          สุนัขเทอร์เรียร์มีอยู่หลายสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยอย่างสุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ ก็นับว่าเป็นอีกสายพันธุ์ที่มีอะไรมากมายที่น่าสนใจ โดยเเม้ว่าชื่อเสียงของพวกมันจะไม่ได้มีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั่วโลก เเต่ก็ถือว่าเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์ที่มีความเป็นเทอร์เรียร์อยู่อย่างครบถ้วน เเละยังคงได้รับความนิยมเลี้ยงมาจนถึงทุกวันนี้ เเม้จะเป็นการเลี้ยงอยู่ในเฉพาะกลุ่มก็ตามที



          Irish Terrier นั้นมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า ไอริช เรด เทอร์เรียร์ โดยที่พวกมันเป็นสุนัขที่มีลักษณะบางอย่างคล้ายกับสุนัขพันธุ์แอร์เดลเทอร์เรียร์  แต่รูปร่างเล็กกว่า มีขนหยาบและช่วงขายาว เป็นสุนัขที่ขยันและดูมีชีวิตชีวาร่าเริง เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่มักจะมีอารมณ์ไม่ดีนักกับสุนัขตัวอื่นๆ ทำให้มีความเเปลกเเละน่าสนใจในการเลี้ยงเป็นอย่างมากอีกสายพันธุ์

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่า ไอริช เทอร์เรียร์ มีถิ่นกำเนิดคือเขตคอร์กในดินเเดนที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศไอร์แลนด์ ในราวศตวรรษที่ 17 โดยพวกมันเกิดจากการผสมระหว่างสุนัขเทอร์เรียร์เก่าแก่ชนิดขนสีดำปนสีแทนกับพันธุ์วีเทน เทอร์เรียร์ ได้มีการกำหนดมาตรฐานขึ้นในปี ค.ศ.1879 หลังจากชมรมผู้เพาะพันธุ์สุนัขนี้ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งช่วงเเรกนั้นพวกมันถูกนำมาใช้งานในการเป็นสุนัขเฝ้ายาม เเละสามารถทำผลงานได้เป็นอย่างดีเลยก็ว่าได้ โดยปัจจุบันนั้นเเม้จะมีความนิยมเลี้ยงลดน้อยลงเเต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นสุนัขที่เสี่ยงสูญพันธุ์เเต่อย่างใด โดยการตัดแต่งขนต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดูสวยและสง่างาม



          โดยสำหรับลักษณะของสุนัขสายพันธุ์ Irish Terrier ที่มีความน่าสนใจเก็คือการมีช่วงชีวิตระหว่าง 13 ถึง 15 ปี เเละมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 46-48 เซนติเมตร ส่วนทางด้านของน้ำหนักนั้นก็จะมีน้ำหนักประมาณ 11-12 กิโลกรัม โดยมีหน้ายาวและจุดตัดระหว่างหน้าผากกับจมูกไม่ชัดเจน ตาเล็ก สีดำ ส่วนขากรรไกรยาวแข็งแรง โดยมีใบหูเล็กรูปตัว V พับหักลงมาทางด้านของลำคอยาวปานกลางและกว้างขึ้นตรงส่วนที่ต่อกับช่วงหัวไหล่ เเละอกลึกและมีกล้ามเนื้อมาก ส่วนทางด้านขาหน้าตรง นิ้วเท้าโค้งและมีเล็บสีดำ ส่วนทางด้านของขนบริเวณขาหนาแน่นและค่อนข้างแข็ง โดยที่นิยมตัดหางให้เหลือความยาว 3 ใน 4 ส่วน โดยที่สีของขนนั้นก็มีทั้งสี Red Wheaten, สีแดง เเละสี Wheaten โดยที่มีลักษณะนิสัยที่ร่าเริงเเละเเสนรู้เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งสามารถฝึกฝนได้เเละปกป้องผู้เป็นนายได้อีกด้วย

          ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ นั้นยังมีความนิยมเลี้ยงกันอยู่ในประเทศไอร์แลนด์ เเละบางส่วนของไอร์เเลนด์เหนือ รวมทั้งที่ประเทศอังกฤษอีกด้วย ส่วนในประเทศอื่นๆ นั้นมีความนิยมเลี้ยงกันน้อยเป็นอย่างมากจนถึงไม่มีความนิยมเลี้ยงเลยอย่างในประเทศไทยเป็นต้น



47
สุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ (Irish Terrier)


          สุนัขเทอร์เรียร์มีอยู่หลายสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยอย่างสุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ ก็นับว่าเป็นอีกสายพันธุ์ที่มีอะไรมากมายที่น่าสนใจ โดยเเม้ว่าชื่อเสียงของพวกมันจะไม่ได้มีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั่วโลก เเต่ก็ถือว่าเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์ที่มีความเป็นเทอร์เรียร์อยู่อย่างครบถ้วน เเละยังคงได้รับความนิยมเลี้ยงมาจนถึงทุกวันนี้ เเม้จะเป็นการเลี้ยงอยู่ในเฉพาะกลุ่มก็ตามที



          Irish Terrier นั้นมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า ไอริช เรด เทอร์เรียร์ โดยที่พวกมันเป็นสุนัขที่มีลักษณะบางอย่างคล้ายกับสุนัขพันธุ์แอร์เดลเทอร์เรียร์  แต่รูปร่างเล็กกว่า มีขนหยาบและช่วงขายาว เป็นสุนัขที่ขยันและดูมีชีวิตชีวาร่าเริง เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่มักจะมีอารมณ์ไม่ดีนักกับสุนัขตัวอื่นๆ ทำให้มีความเเปลกเเละน่าสนใจในการเลี้ยงเป็นอย่างมากอีกสายพันธุ์

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่า ไอริช เทอร์เรียร์ มีถิ่นกำเนิดคือเขตคอร์กในดินเเดนที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศไอร์แลนด์ ในราวศตวรรษที่ 17 โดยพวกมันเกิดจากการผสมระหว่างสุนัขเทอร์เรียร์เก่าแก่ชนิดขนสีดำปนสีแทนกับพันธุ์วีเทน เทอร์เรียร์ ได้มีการกำหนดมาตรฐานขึ้นในปี ค.ศ.1879 หลังจากชมรมผู้เพาะพันธุ์สุนัขนี้ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งช่วงเเรกนั้นพวกมันถูกนำมาใช้งานในการเป็นสุนัขเฝ้ายาม เเละสามารถทำผลงานได้เป็นอย่างดีเลยก็ว่าได้ โดยปัจจุบันนั้นเเม้จะมีความนิยมเลี้ยงลดน้อยลงเเต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นสุนัขที่เสี่ยงสูญพันธุ์เเต่อย่างใด โดยการตัดแต่งขนต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดูสวยและสง่างาม



          โดยสำหรับลักษณะของสุนัขสายพันธุ์ Irish Terrier ที่มีความน่าสนใจเก็คือการมีช่วงชีวิตระหว่าง 13 ถึง 15 ปี เเละมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 46-48 เซนติเมตร ส่วนทางด้านของน้ำหนักนั้นก็จะมีน้ำหนักประมาณ 11-12 กิโลกรัม โดยมีหน้ายาวและจุดตัดระหว่างหน้าผากกับจมูกไม่ชัดเจน ตาเล็ก สีดำ ส่วนขากรรไกรยาวแข็งแรง โดยมีใบหูเล็กรูปตัว V พับหักลงมาทางด้านของลำคอยาวปานกลางและกว้างขึ้นตรงส่วนที่ต่อกับช่วงหัวไหล่ เเละอกลึกและมีกล้ามเนื้อมาก ส่วนทางด้านขาหน้าตรง นิ้วเท้าโค้งและมีเล็บสีดำ ส่วนทางด้านของขนบริเวณขาหนาแน่นและค่อนข้างแข็ง โดยที่นิยมตัดหางให้เหลือความยาว 3 ใน 4 ส่วน โดยที่สีของขนนั้นก็มีทั้งสี Red Wheaten, สีแดง เเละสี Wheaten โดยที่มีลักษณะนิสัยที่ร่าเริงเเละเเสนรู้เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งสามารถฝึกฝนได้เเละปกป้องผู้เป็นนายได้อีกด้วย

          ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ นั้นยังมีความนิยมเลี้ยงกันอยู่ในประเทศไอร์แลนด์ เเละบางส่วนของไอร์เเลนด์เหนือ รวมทั้งที่ประเทศอังกฤษอีกด้วย ส่วนในประเทศอื่นๆ นั้นมีความนิยมเลี้ยงกันน้อยเป็นอย่างมากจนถึงไม่มีความนิยมเลี้ยงเลยอย่างในประเทศไทยเป็นต้น



48
สุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ (Irish Terrier)


          สุนัขเทอร์เรียร์มีอยู่หลายสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยอย่างสุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ ก็นับว่าเป็นอีกสายพันธุ์ที่มีอะไรมากมายที่น่าสนใจ โดยเเม้ว่าชื่อเสียงของพวกมันจะไม่ได้มีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั่วโลก เเต่ก็ถือว่าเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์ที่มีความเป็นเทอร์เรียร์อยู่อย่างครบถ้วน เเละยังคงได้รับความนิยมเลี้ยงมาจนถึงทุกวันนี้ เเม้จะเป็นการเลี้ยงอยู่ในเฉพาะกลุ่มก็ตามที



          Irish Terrier นั้นมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า ไอริช เรด เทอร์เรียร์ โดยที่พวกมันเป็นสุนัขที่มีลักษณะบางอย่างคล้ายกับสุนัขพันธุ์แอร์เดลเทอร์เรียร์  แต่รูปร่างเล็กกว่า มีขนหยาบและช่วงขายาว เป็นสุนัขที่ขยันและดูมีชีวิตชีวาร่าเริง เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่มักจะมีอารมณ์ไม่ดีนักกับสุนัขตัวอื่นๆ ทำให้มีความเเปลกเเละน่าสนใจในการเลี้ยงเป็นอย่างมากอีกสายพันธุ์

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่า ไอริช เทอร์เรียร์ มีถิ่นกำเนิดคือเขตคอร์กในดินเเดนที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศไอร์แลนด์ ในราวศตวรรษที่ 17 โดยพวกมันเกิดจากการผสมระหว่างสุนัขเทอร์เรียร์เก่าแก่ชนิดขนสีดำปนสีแทนกับพันธุ์วีเทน เทอร์เรียร์ ได้มีการกำหนดมาตรฐานขึ้นในปี ค.ศ.1879 หลังจากชมรมผู้เพาะพันธุ์สุนัขนี้ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งช่วงเเรกนั้นพวกมันถูกนำมาใช้งานในการเป็นสุนัขเฝ้ายาม เเละสามารถทำผลงานได้เป็นอย่างดีเลยก็ว่าได้ โดยปัจจุบันนั้นเเม้จะมีความนิยมเลี้ยงลดน้อยลงเเต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นสุนัขที่เสี่ยงสูญพันธุ์เเต่อย่างใด โดยการตัดแต่งขนต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดูสวยและสง่างาม



          โดยสำหรับลักษณะของสุนัขสายพันธุ์ Irish Terrier ที่มีความน่าสนใจเก็คือการมีช่วงชีวิตระหว่าง 13 ถึง 15 ปี เเละมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 46-48 เซนติเมตร ส่วนทางด้านของน้ำหนักนั้นก็จะมีน้ำหนักประมาณ 11-12 กิโลกรัม โดยมีหน้ายาวและจุดตัดระหว่างหน้าผากกับจมูกไม่ชัดเจน ตาเล็ก สีดำ ส่วนขากรรไกรยาวแข็งแรง โดยมีใบหูเล็กรูปตัว V พับหักลงมาทางด้านของลำคอยาวปานกลางและกว้างขึ้นตรงส่วนที่ต่อกับช่วงหัวไหล่ เเละอกลึกและมีกล้ามเนื้อมาก ส่วนทางด้านขาหน้าตรง นิ้วเท้าโค้งและมีเล็บสีดำ ส่วนทางด้านของขนบริเวณขาหนาแน่นและค่อนข้างแข็ง โดยที่นิยมตัดหางให้เหลือความยาว 3 ใน 4 ส่วน โดยที่สีของขนนั้นก็มีทั้งสี Red Wheaten, สีแดง เเละสี Wheaten โดยที่มีลักษณะนิสัยที่ร่าเริงเเละเเสนรู้เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งสามารถฝึกฝนได้เเละปกป้องผู้เป็นนายได้อีกด้วย

          ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอริช เทอร์เรียร์ นั้นยังมีความนิยมเลี้ยงกันอยู่ในประเทศไอร์แลนด์ เเละบางส่วนของไอร์เเลนด์เหนือ รวมทั้งที่ประเทศอังกฤษอีกด้วย ส่วนในประเทศอื่นๆ นั้นมีความนิยมเลี้ยงกันน้อยเป็นอย่างมากจนถึงไม่มีความนิยมเลี้ยงเลยอย่างในประเทศไทยเป็นต้น



49
สุนัขสายพันธุ์ ไอนู (Ainu)


          โดยสุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu เเล้วพวกมันมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า ฮอกไกโด ด็อก โดยที่มีลักษณะคล้ายกับสุนัขพันธุ์อากิตะ แต่มีขนาดเล็กมากกว่า หัวมีรูปทรงเดียวกับสุนัขจิ้งจอก ขณะขู่คำรามจะดูดุร้ายน่ากลัวมาก หางม้วนเป็นวงกลมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสุนัขพันธุ์สปิตซ์ ทำให้พวกมันเป็นสุนัขอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเเละทำให้ได้รับความนิยมในการเลี้ยงมาอย่างยาวนานต่อเนื่องหลายร้อยปี

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่าสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู นั้นมีถิ่นกำเนิดบนเกาะฮอกไกโด ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยชาวไอนุในญี่ปุ่น และเชื่อว่าเป็นสุนัขพันธุ์แรกชองญี่ปุ่นเลยทีเดียว ซึ่งพวกมันนั้นถูกนำมาใช้งานสำหรับการล่าสัตว์ขนาดใหญ่อย่างพวกหมีเป็นต้น เเละสามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอดระยะเวลาที่พวกมันถูกใช้งาน โดยที่บางตัวมีลิ้นสีน้ำเงินอมดำเหมือนลินของสุนัขพันธุ์เชาว์ เชาว์ และพันชาร์ไป่ ปัจจุบันนั้นพวกมันยังคงได้รับความนิยมในการเลี้ยงอยู่บ้างบนเกาะฮอกไกโด เเละเป็นสุนัขที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเกาะฮอกไกโดอีกด้วย



          โดยทางด้านลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu นั้นก็คือตัวเมียจะมีความสูงประมาณ 46-48 เซนติเมตร ส่วนทางด้านตัวผู้นั้นจะมีความสูงประมาณ 48-52 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยทั้งตัวผู้เเละตัวเมียอยู่ที่ 20.5-29.5 กิโลกรัม โดยที่มีช่วงปากสั้นและกว้าง  พร้อมกับมีใบหูเล็กและชี้ เเละมีช่วงอกกว้างและลึก รวมทั้งมีขนสั้นหนาและชี้ โดยมีสีขนหลายสีด้วยกันทั้งสีดำ, สีขาว, ลายเสือ, สีดำและน้ำตาลแทน, สีแดง เเละสี Sesame ส่วนทางด้านของลักษณะนิสัยนั้นมีความซื่อสัตย์เเละเชื่องต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง เเละมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งมีความเข้มเเข็งอีกด้วย เเละกล้าหาญอย่างมาก

          ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอนู นั้นมีอยู่อย่างมากบริเวณเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น เเละทั่วๆ ไปในประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งบางส่วนของประเทศรัสเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆ นั้นมีการรู้จักสุนัขสายพันธุ์นี้อยู่บ้างเเต่ไม่มีความนิยมเลี้ยงกันเเต่อย่างใด รวมทั้งในประเทศไทยที่ไม่นิยมเลี้ยงเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนกว่ามากทำให้เป็นอุปสรรคที่สำคัญในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้



50
สุนัขสายพันธุ์ ไอนู (Ainu)


          โดยสุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu เเล้วพวกมันมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า ฮอกไกโด ด็อก โดยที่มีลักษณะคล้ายกับสุนัขพันธุ์อากิตะ แต่มีขนาดเล็กมากกว่า หัวมีรูปทรงเดียวกับสุนัขจิ้งจอก ขณะขู่คำรามจะดูดุร้ายน่ากลัวมาก หางม้วนเป็นวงกลมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสุนัขพันธุ์สปิตซ์ ทำให้พวกมันเป็นสุนัขอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเเละทำให้ได้รับความนิยมในการเลี้ยงมาอย่างยาวนานต่อเนื่องหลายร้อยปี

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่าสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู นั้นมีถิ่นกำเนิดบนเกาะฮอกไกโด ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยชาวไอนุในญี่ปุ่น และเชื่อว่าเป็นสุนัขพันธุ์แรกชองญี่ปุ่นเลยทีเดียว ซึ่งพวกมันนั้นถูกนำมาใช้งานสำหรับการล่าสัตว์ขนาดใหญ่อย่างพวกหมีเป็นต้น เเละสามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอดระยะเวลาที่พวกมันถูกใช้งาน โดยที่บางตัวมีลิ้นสีน้ำเงินอมดำเหมือนลินของสุนัขพันธุ์เชาว์ เชาว์ และพันชาร์ไป่ ปัจจุบันนั้นพวกมันยังคงได้รับความนิยมในการเลี้ยงอยู่บ้างบนเกาะฮอกไกโด เเละเป็นสุนัขที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเกาะฮอกไกโดอีกด้วย



          โดยทางด้านลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu นั้นก็คือตัวเมียจะมีความสูงประมาณ 46-48 เซนติเมตร ส่วนทางด้านตัวผู้นั้นจะมีความสูงประมาณ 48-52 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยทั้งตัวผู้เเละตัวเมียอยู่ที่ 20.5-29.5 กิโลกรัม โดยที่มีช่วงปากสั้นและกว้าง  พร้อมกับมีใบหูเล็กและชี้ เเละมีช่วงอกกว้างและลึก รวมทั้งมีขนสั้นหนาและชี้ โดยมีสีขนหลายสีด้วยกันทั้งสีดำ, สีขาว, ลายเสือ, สีดำและน้ำตาลแทน, สีแดง เเละสี Sesame ส่วนทางด้านของลักษณะนิสัยนั้นมีความซื่อสัตย์เเละเชื่องต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง เเละมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งมีความเข้มเเข็งอีกด้วย เเละกล้าหาญอย่างมาก

          ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอนู นั้นมีอยู่อย่างมากบริเวณเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น เเละทั่วๆ ไปในประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งบางส่วนของประเทศรัสเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆ นั้นมีการรู้จักสุนัขสายพันธุ์นี้อยู่บ้างเเต่ไม่มีความนิยมเลี้ยงกันเเต่อย่างใด รวมทั้งในประเทศไทยที่ไม่นิยมเลี้ยงเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนกว่ามากทำให้เป็นอุปสรรคที่สำคัญในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้



51
สุนัขสายพันธุ์ ไอนู (Ainu)


          โดยสุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu เเล้วพวกมันมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า ฮอกไกโด ด็อก โดยที่มีลักษณะคล้ายกับสุนัขพันธุ์อากิตะ แต่มีขนาดเล็กมากกว่า หัวมีรูปทรงเดียวกับสุนัขจิ้งจอก ขณะขู่คำรามจะดูดุร้ายน่ากลัวมาก หางม้วนเป็นวงกลมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสุนัขพันธุ์สปิตซ์ ทำให้พวกมันเป็นสุนัขอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเเละทำให้ได้รับความนิยมในการเลี้ยงมาอย่างยาวนานต่อเนื่องหลายร้อยปี

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่าสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู นั้นมีถิ่นกำเนิดบนเกาะฮอกไกโด ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยชาวไอนุในญี่ปุ่น และเชื่อว่าเป็นสุนัขพันธุ์แรกชองญี่ปุ่นเลยทีเดียว ซึ่งพวกมันนั้นถูกนำมาใช้งานสำหรับการล่าสัตว์ขนาดใหญ่อย่างพวกหมีเป็นต้น เเละสามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอดระยะเวลาที่พวกมันถูกใช้งาน โดยที่บางตัวมีลิ้นสีน้ำเงินอมดำเหมือนลินของสุนัขพันธุ์เชาว์ เชาว์ และพันชาร์ไป่ ปัจจุบันนั้นพวกมันยังคงได้รับความนิยมในการเลี้ยงอยู่บ้างบนเกาะฮอกไกโด เเละเป็นสุนัขที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเกาะฮอกไกโดอีกด้วย



          โดยทางด้านลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu นั้นก็คือตัวเมียจะมีความสูงประมาณ 46-48 เซนติเมตร ส่วนทางด้านตัวผู้นั้นจะมีความสูงประมาณ 48-52 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยทั้งตัวผู้เเละตัวเมียอยู่ที่ 20.5-29.5 กิโลกรัม โดยที่มีช่วงปากสั้นและกว้าง  พร้อมกับมีใบหูเล็กและชี้ เเละมีช่วงอกกว้างและลึก รวมทั้งมีขนสั้นหนาและชี้ โดยมีสีขนหลายสีด้วยกันทั้งสีดำ, สีขาว, ลายเสือ, สีดำและน้ำตาลแทน, สีแดง เเละสี Sesame ส่วนทางด้านของลักษณะนิสัยนั้นมีความซื่อสัตย์เเละเชื่องต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง เเละมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งมีความเข้มเเข็งอีกด้วย เเละกล้าหาญอย่างมาก

          ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอนู นั้นมีอยู่อย่างมากบริเวณเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น เเละทั่วๆ ไปในประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งบางส่วนของประเทศรัสเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆ นั้นมีการรู้จักสุนัขสายพันธุ์นี้อยู่บ้างเเต่ไม่มีความนิยมเลี้ยงกันเเต่อย่างใด รวมทั้งในประเทศไทยที่ไม่นิยมเลี้ยงเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนกว่ามากทำให้เป็นอุปสรรคที่สำคัญในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้



52
สุนัขสายพันธุ์ ไอนู (Ainu)


          โดยสุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu เเล้วพวกมันมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า ฮอกไกโด ด็อก โดยที่มีลักษณะคล้ายกับสุนัขพันธุ์อากิตะ แต่มีขนาดเล็กมากกว่า หัวมีรูปทรงเดียวกับสุนัขจิ้งจอก ขณะขู่คำรามจะดูดุร้ายน่ากลัวมาก หางม้วนเป็นวงกลมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสุนัขพันธุ์สปิตซ์ ทำให้พวกมันเป็นสุนัขอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเเละทำให้ได้รับความนิยมในการเลี้ยงมาอย่างยาวนานต่อเนื่องหลายร้อยปี

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่าสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอนู นั้นมีถิ่นกำเนิดบนเกาะฮอกไกโด ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยชาวไอนุในญี่ปุ่น และเชื่อว่าเป็นสุนัขพันธุ์แรกชองญี่ปุ่นเลยทีเดียว ซึ่งพวกมันนั้นถูกนำมาใช้งานสำหรับการล่าสัตว์ขนาดใหญ่อย่างพวกหมีเป็นต้น เเละสามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอดระยะเวลาที่พวกมันถูกใช้งาน โดยที่บางตัวมีลิ้นสีน้ำเงินอมดำเหมือนลินของสุนัขพันธุ์เชาว์ เชาว์ และพันชาร์ไป่ ปัจจุบันนั้นพวกมันยังคงได้รับความนิยมในการเลี้ยงอยู่บ้างบนเกาะฮอกไกโด เเละเป็นสุนัขที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเกาะฮอกไกโดอีกด้วย



          โดยทางด้านลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์อย่าง Ainu นั้นก็คือตัวเมียจะมีความสูงประมาณ 46-48 เซนติเมตร ส่วนทางด้านตัวผู้นั้นจะมีความสูงประมาณ 48-52 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยทั้งตัวผู้เเละตัวเมียอยู่ที่ 20.5-29.5 กิโลกรัม โดยที่มีช่วงปากสั้นและกว้าง  พร้อมกับมีใบหูเล็กและชี้ เเละมีช่วงอกกว้างและลึก รวมทั้งมีขนสั้นหนาและชี้ โดยมีสีขนหลายสีด้วยกันทั้งสีดำ, สีขาว, ลายเสือ, สีดำและน้ำตาลแทน, สีแดง เเละสี Sesame ส่วนทางด้านของลักษณะนิสัยนั้นมีความซื่อสัตย์เเละเชื่องต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง เเละมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งมีความเข้มเเข็งอีกด้วย เเละกล้าหาญอย่างมาก

          ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอนู นั้นมีอยู่อย่างมากบริเวณเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น เเละทั่วๆ ไปในประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งบางส่วนของประเทศรัสเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆ นั้นมีการรู้จักสุนัขสายพันธุ์นี้อยู่บ้างเเต่ไม่มีความนิยมเลี้ยงกันเเต่อย่างใด รวมทั้งในประเทศไทยที่ไม่นิยมเลี้ยงเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนกว่ามากทำให้เป็นอุปสรรคที่สำคัญในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้



53
สุนัขสายพันธุ์ ไอดิ (Aidi)


          สุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์ Aidi เเละมีชื่อเรียกของสุนัขสายพันธุ์อีกชื่อก็คือ เชียง เดอ เอล แอตลาส โดยพวกมันเป็นสุนัขที่นิยมชนิดขนสีขาว แต่สีอื่นก็พบได้ ลักษณะขนจะหนาคล้ายขนแกะ ช่วยป้องกันความร้อนในทะเลทรายและความหนาวเย็นในตอนกลางคืนของเทือกเขา ทำให้พวกมันมีความอดทนสูงเป็นอย่างมากเเละสามารถทำงานได้อย่างหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่า สุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ นั้นมีต้นกำเนิดในบริเวณซึ่งปัจจุบันนั้นเป็นที่ตั้งของหลายประเทศทั้ง ประเทศโมร็อกโก, ประเทศแอลจีเรีย, ประเทศตูนิเซีย, ประเทศลิเบีย ในแอฟริกาเหนือ โดยช่วงศตวรรษที่ 10 เเต่ปัจจุบันพบมากที่สุดในดินเเดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศโมร็อกโก โดยต้นตระกูลของสุนัขสายพันธุ์นี้นำเข้ามาจากสเปนเพื่อใช้เป็นสุนัขเฝ้ายามและตามรอยสัตว์ ซึ่งมีความสามารถสูงเป็นอย่างมาก จนได้รับความนิยมในการเลี้ยงอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว โดยปัจจุบันนั้นมีสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขของโมร็อกโกได้อนุรักษ์สุนัขพันธุ์นี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างมาก เเละปัจจุบันยังคงมีการเลี้ยงในวงจำกัดอยู่มากเลยทีเดียว



          ลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์ Aidi คือการที่มันมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 53-61 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 23-25 กิโลกรัม โดยที่คอมีกล้ามเนื้อมาก เเละมีกระดูกขาหน้าตรงและแข็งแรง ส่วนหางยาวถึงข้อเท้าเเละมีขนนุ่มหนาแน่น โดยที่สีของขนนั้นมีหลากหลายสีทั้งสีดำ, สีขาว, สี Tawny, สีดำและขาว เเละสีแดง โดยในส่วนของลักษณะนิสัยนั้นก็มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยพวกมันจะมีความร่าเริงเเละคล่องเเคล่ว พร้อมทั้งมีความเเข็งเเรงเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเเละเป็นสุนัขที่มีพลังเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว นับว่าเป็นสุนัขที่น่าสนใจอีกหนึ่งสายพันธุ์เลยก็ว่าได้

          โดยสำหรับความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอดิ นั้นน่าจะมีอยู่ในประเทศโมร็อกโกเป็นส่วนใหญ่ เเละเป็นการเลี้ยงในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นอีกด้วย เนื่องจากพวกมันมีจำนวนที่ไม่ได้มีมากมายอะไรนักในปัจจุบัน ส่วนในประเทศอื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทยนั้นไม่เป็นที่รู้จักกันเเต่อย่างใด ทำให้ไม่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเเต่อย่างใด



54
สุนัขสายพันธุ์ ไอดิ (Aidi)


          สุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์ Aidi เเละมีชื่อเรียกของสุนัขสายพันธุ์อีกชื่อก็คือ เชียง เดอ เอล แอตลาส โดยพวกมันเป็นสุนัขที่นิยมชนิดขนสีขาว แต่สีอื่นก็พบได้ ลักษณะขนจะหนาคล้ายขนแกะ ช่วยป้องกันความร้อนในทะเลทรายและความหนาวเย็นในตอนกลางคืนของเทือกเขา ทำให้พวกมันมีความอดทนสูงเป็นอย่างมากเเละสามารถทำงานได้อย่างหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่า สุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ นั้นมีต้นกำเนิดในบริเวณซึ่งปัจจุบันนั้นเป็นที่ตั้งของหลายประเทศทั้ง ประเทศโมร็อกโก, ประเทศแอลจีเรีย, ประเทศตูนิเซีย, ประเทศลิเบีย ในแอฟริกาเหนือ โดยช่วงศตวรรษที่ 10 เเต่ปัจจุบันพบมากที่สุดในดินเเดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศโมร็อกโก โดยต้นตระกูลของสุนัขสายพันธุ์นี้นำเข้ามาจากสเปนเพื่อใช้เป็นสุนัขเฝ้ายามและตามรอยสัตว์ ซึ่งมีความสามารถสูงเป็นอย่างมาก จนได้รับความนิยมในการเลี้ยงอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว โดยปัจจุบันนั้นมีสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขของโมร็อกโกได้อนุรักษ์สุนัขพันธุ์นี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างมาก เเละปัจจุบันยังคงมีการเลี้ยงในวงจำกัดอยู่มากเลยทีเดียว



          ลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์ Aidi คือการที่มันมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 53-61 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 23-25 กิโลกรัม โดยที่คอมีกล้ามเนื้อมาก เเละมีกระดูกขาหน้าตรงและแข็งแรง ส่วนหางยาวถึงข้อเท้าเเละมีขนนุ่มหนาแน่น โดยที่สีของขนนั้นมีหลากหลายสีทั้งสีดำ, สีขาว, สี Tawny, สีดำและขาว เเละสีแดง โดยในส่วนของลักษณะนิสัยนั้นก็มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยพวกมันจะมีความร่าเริงเเละคล่องเเคล่ว พร้อมทั้งมีความเเข็งเเรงเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเเละเป็นสุนัขที่มีพลังเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว นับว่าเป็นสุนัขที่น่าสนใจอีกหนึ่งสายพันธุ์เลยก็ว่าได้

          โดยสำหรับความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอดิ นั้นน่าจะมีอยู่ในประเทศโมร็อกโกเป็นส่วนใหญ่ เเละเป็นการเลี้ยงในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นอีกด้วย เนื่องจากพวกมันมีจำนวนที่ไม่ได้มีมากมายอะไรนักในปัจจุบัน ส่วนในประเทศอื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทยนั้นไม่เป็นที่รู้จักกันเเต่อย่างใด ทำให้ไม่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเเต่อย่างใด



55
สุนัขสายพันธุ์ ไอดิ (Aidi)


          สุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์ Aidi เเละมีชื่อเรียกของสุนัขสายพันธุ์อีกชื่อก็คือ เชียง เดอ เอล แอตลาส โดยพวกมันเป็นสุนัขที่นิยมชนิดขนสีขาว แต่สีอื่นก็พบได้ ลักษณะขนจะหนาคล้ายขนแกะ ช่วยป้องกันความร้อนในทะเลทรายและความหนาวเย็นในตอนกลางคืนของเทือกเขา ทำให้พวกมันมีความอดทนสูงเป็นอย่างมากเเละสามารถทำงานได้อย่างหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่า สุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ นั้นมีต้นกำเนิดในบริเวณซึ่งปัจจุบันนั้นเป็นที่ตั้งของหลายประเทศทั้ง ประเทศโมร็อกโก, ประเทศแอลจีเรีย, ประเทศตูนิเซีย, ประเทศลิเบีย ในแอฟริกาเหนือ โดยช่วงศตวรรษที่ 10 เเต่ปัจจุบันพบมากที่สุดในดินเเดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศโมร็อกโก โดยต้นตระกูลของสุนัขสายพันธุ์นี้นำเข้ามาจากสเปนเพื่อใช้เป็นสุนัขเฝ้ายามและตามรอยสัตว์ ซึ่งมีความสามารถสูงเป็นอย่างมาก จนได้รับความนิยมในการเลี้ยงอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว โดยปัจจุบันนั้นมีสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขของโมร็อกโกได้อนุรักษ์สุนัขพันธุ์นี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างมาก เเละปัจจุบันยังคงมีการเลี้ยงในวงจำกัดอยู่มากเลยทีเดียว



          ลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์ Aidi คือการที่มันมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 53-61 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 23-25 กิโลกรัม โดยที่คอมีกล้ามเนื้อมาก เเละมีกระดูกขาหน้าตรงและแข็งแรง ส่วนหางยาวถึงข้อเท้าเเละมีขนนุ่มหนาแน่น โดยที่สีของขนนั้นมีหลากหลายสีทั้งสีดำ, สีขาว, สี Tawny, สีดำและขาว เเละสีแดง โดยในส่วนของลักษณะนิสัยนั้นก็มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยพวกมันจะมีความร่าเริงเเละคล่องเเคล่ว พร้อมทั้งมีความเเข็งเเรงเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเเละเป็นสุนัขที่มีพลังเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว นับว่าเป็นสุนัขที่น่าสนใจอีกหนึ่งสายพันธุ์เลยก็ว่าได้

          โดยสำหรับความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอดิ นั้นน่าจะมีอยู่ในประเทศโมร็อกโกเป็นส่วนใหญ่ เเละเป็นการเลี้ยงในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นอีกด้วย เนื่องจากพวกมันมีจำนวนที่ไม่ได้มีมากมายอะไรนักในปัจจุบัน ส่วนในประเทศอื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทยนั้นไม่เป็นที่รู้จักกันเเต่อย่างใด ทำให้ไม่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเเต่อย่างใด



56
สุนัขสายพันธุ์ ไอดิ (Aidi)


          สุนัขสำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เป็นอีกหนึ่งในความน่าสนใจเพราะมีมนุษย์นำพวกมันเข้ามาใช้งานกันอย่างเเพร่หลายเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสุนัขที่ได้รับความสนใจเเละมีการนำมาใช้กันมากก็คือสุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ ที่มีความสามารถหลากหลายเป็นอย่างมากเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง



          สำหรับสุนัขสายพันธุ์ Aidi เเละมีชื่อเรียกของสุนัขสายพันธุ์อีกชื่อก็คือ เชียง เดอ เอล แอตลาส โดยพวกมันเป็นสุนัขที่นิยมชนิดขนสีขาว แต่สีอื่นก็พบได้ ลักษณะขนจะหนาคล้ายขนแกะ ช่วยป้องกันความร้อนในทะเลทรายและความหนาวเย็นในตอนกลางคืนของเทือกเขา ทำให้พวกมันมีความอดทนสูงเป็นอย่างมากเเละสามารถทำงานได้อย่างหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง

          ตามประวัติเเล้วกล่าวกันว่า สุนัขสายพันธุ์อย่าง ไอดิ นั้นมีต้นกำเนิดในบริเวณซึ่งปัจจุบันนั้นเป็นที่ตั้งของหลายประเทศทั้ง ประเทศโมร็อกโก, ประเทศแอลจีเรีย, ประเทศตูนิเซีย, ประเทศลิเบีย ในแอฟริกาเหนือ โดยช่วงศตวรรษที่ 10 เเต่ปัจจุบันพบมากที่สุดในดินเเดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศโมร็อกโก โดยต้นตระกูลของสุนัขสายพันธุ์นี้นำเข้ามาจากสเปนเพื่อใช้เป็นสุนัขเฝ้ายามและตามรอยสัตว์ ซึ่งมีความสามารถสูงเป็นอย่างมาก จนได้รับความนิยมในการเลี้ยงอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว โดยปัจจุบันนั้นมีสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขของโมร็อกโกได้อนุรักษ์สุนัขพันธุ์นี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างมาก เเละปัจจุบันยังคงมีการเลี้ยงในวงจำกัดอยู่มากเลยทีเดียว



          ลักษณะที่สำคัญของสุนัขสายพันธุ์ Aidi คือการที่มันมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 53-61 เซนติเมตร เเละมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 23-25 กิโลกรัม โดยที่คอมีกล้ามเนื้อมาก เเละมีกระดูกขาหน้าตรงและแข็งแรง ส่วนหางยาวถึงข้อเท้าเเละมีขนนุ่มหนาแน่น โดยที่สีของขนนั้นมีหลากหลายสีทั้งสีดำ, สีขาว, สี Tawny, สีดำและขาว เเละสีแดง โดยในส่วนของลักษณะนิสัยนั้นก็มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยพวกมันจะมีความร่าเริงเเละคล่องเเคล่ว พร้อมทั้งมีความเเข็งเเรงเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเเละเป็นสุนัขที่มีพลังเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว นับว่าเป็นสุนัขที่น่าสนใจอีกหนึ่งสายพันธุ์เลยก็ว่าได้

          โดยสำหรับความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ ไอดิ นั้นน่าจะมีอยู่ในประเทศโมร็อกโกเป็นส่วนใหญ่ เเละเป็นการเลี้ยงในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นอีกด้วย เนื่องจากพวกมันมีจำนวนที่ไม่ได้มีมากมายอะไรนักในปัจจุบัน ส่วนในประเทศอื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทยนั้นไม่เป็นที่รู้จักกันเเต่อย่างใด ทำให้ไม่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเเต่อย่างใด



57
          สุนัขมากมายหลายสายพันธุ์นั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเเละสำหรับสุนัขสำหรับการใช้งานที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างมากไปทั่วโลกอย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี ก็ถือว่าเป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจเเละน่าเลี้ยงเป็นอย่างมากอีกหนึ่งสายพันธุ์ พร้อมกับเรื่องราวความเป็นมาเเละเรื่องเล่าขานที่น่าสนใจ



          โดยที่สุนัขสายพันธุ์อย่าง Olde English Bulldogge นั้นเป็นสุนัขขนาดกลาง มีโครงสร้างแข็งแรง ซึ่งนักเพาะพันธุ์สุนัขชาวอเมริกันได้พยายามปรับปรุงสุนัขพันธ์นี้ให้มีลักษณะคล้ายกับบูลด็อกพันธุ์ดั้งเดิมของอังกฤษ และแก้ไขข้อด้อยในเรื่องการหายใจลำบาก ทำให้มันกลายเป็นสุนัขที่มีความเเข็งเเรงเเละได้รับความสนใจเเละนิยมเลี้ยงกันเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา

          สำหรับประวัติความเป็นมาของ โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี เเล้วมันเกิดขึ้นมาในดินเเดนเเห่งเสรีภาพอย่าง สหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 โดยนายเดวิด ลีวิตต์ ในรัฐเพนซิวาเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นผู้พัฒนาสุนัขพันธุ์นี้ขึ้น จากการผสมระหว่างสุนัขสายพันธุ์บูลมาสทิฟฟ์ กับสุนัขสายพันธุ์บูลด็อกเเละสุนัขสายพันธุ์อเมริกัน บูลด็อก ทำให้เกิดเป็นสุนัขสายพันธุ์นี้ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นสุนัขสำหรับการเฝ้ายามและใช้ในกีฬาสู้กับวัว ซึ่งถึงแม้จะมีรูปร่างใหญ่ และดูดุร้ายน่ากลัว แต่จากการปรับปรุงสายพันธุ์ ทำให้ยังคงลักษณะนิสัย กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น แต่ไม่ดุร้ายหรือก้าวร้าวเลย



          ทางด้านของลักษณะเด่นนั้น Olde English Bulldogge จะมีช่วงชีวิตอายุประมาณ 9 ถึง 14 ปี โดยตัวเมียนั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 20-27 กิโลกรัม ส่วนตัวผู้นั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 22-30 กิโลกรัม โดยที่ความสูงนั้นตัวผู้จะมีความสูงประมาณ 44-48 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะมีความสูง 38-44 เซนติเมตร โดยที่มีกะโหลกกว้าง ส่วนริมฝีปากห้อยเล็กน้อย เเละมีหนังคอย่นเป็นสองชั้น ส่วนทางด้านของช่วงปากสั้นแต่กว้างและหน้าผากกับจมูกทำมุมชัดเจน ทางด้านของใบหูรูปทรงคล้ายกลีบกุหลาบ โดยมีลำคอหนาและแข็งแรง ทางด้านของกระดูกขาหน้าใหญ่และตรง เเละมีขนสั้นแนบลำตัว โดยที่สีขนนั้นจะมีทั้งสีดำ, สี Brindle & White, สี Fawn Brindle, สี Black Brindle, สีเทา เเละสี Red Brindle โดยที่ลักษณะของพวกมันนั้นจะมีความเป็นมิตรเเละเเสดงความรักต่อผู้เป็นเจ้าของ โดยมีความกว้าหาญเเละดุดันเป็นอย่างยิ่ง

          ส่วนทางด้านของความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี นั้นก็มีอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา เเม้ว่าจะได้รับความนิยมเลี้ยงอย่างมาก เเต่ในประเทศอื่้นๆ กลับไม่ได้รับความนิยมหรือความสนใจในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้่เลยก็ว่าได้


58
          สุนัขมากมายหลายสายพันธุ์นั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเเละสำหรับสุนัขสำหรับการใช้งานที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างมากไปทั่วโลกอย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี ก็ถือว่าเป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจเเละน่าเลี้ยงเป็นอย่างมากอีกหนึ่งสายพันธุ์ พร้อมกับเรื่องราวความเป็นมาเเละเรื่องเล่าขานที่น่าสนใจ



          โดยที่สุนัขสายพันธุ์อย่าง Olde English Bulldogge นั้นเป็นสุนัขขนาดกลาง มีโครงสร้างแข็งแรง ซึ่งนักเพาะพันธุ์สุนัขชาวอเมริกันได้พยายามปรับปรุงสุนัขพันธ์นี้ให้มีลักษณะคล้ายกับบูลด็อกพันธุ์ดั้งเดิมของอังกฤษ และแก้ไขข้อด้อยในเรื่องการหายใจลำบาก ทำให้มันกลายเป็นสุนัขที่มีความเเข็งเเรงเเละได้รับความสนใจเเละนิยมเลี้ยงกันเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา

          สำหรับประวัติความเป็นมาของ โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี เเล้วมันเกิดขึ้นมาในดินเเดนเเห่งเสรีภาพอย่าง สหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 โดยนายเดวิด ลีวิตต์ ในรัฐเพนซิวาเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นผู้พัฒนาสุนัขพันธุ์นี้ขึ้น จากการผสมระหว่างสุนัขสายพันธุ์บูลมาสทิฟฟ์ กับสุนัขสายพันธุ์บูลด็อกเเละสุนัขสายพันธุ์อเมริกัน บูลด็อก ทำให้เกิดเป็นสุนัขสายพันธุ์นี้ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นสุนัขสำหรับการเฝ้ายามและใช้ในกีฬาสู้กับวัว ซึ่งถึงแม้จะมีรูปร่างใหญ่ และดูดุร้ายน่ากลัว แต่จากการปรับปรุงสายพันธุ์ ทำให้ยังคงลักษณะนิสัย กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น แต่ไม่ดุร้ายหรือก้าวร้าวเลย



          ทางด้านของลักษณะเด่นนั้น Olde English Bulldogge จะมีช่วงชีวิตอายุประมาณ 9 ถึง 14 ปี โดยตัวเมียนั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 20-27 กิโลกรัม ส่วนตัวผู้นั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 22-30 กิโลกรัม โดยที่ความสูงนั้นตัวผู้จะมีความสูงประมาณ 44-48 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะมีความสูง 38-44 เซนติเมตร โดยที่มีกะโหลกกว้าง ส่วนริมฝีปากห้อยเล็กน้อย เเละมีหนังคอย่นเป็นสองชั้น ส่วนทางด้านของช่วงปากสั้นแต่กว้างและหน้าผากกับจมูกทำมุมชัดเจน ทางด้านของใบหูรูปทรงคล้ายกลีบกุหลาบ โดยมีลำคอหนาและแข็งแรง ทางด้านของกระดูกขาหน้าใหญ่และตรง เเละมีขนสั้นแนบลำตัว โดยที่สีขนนั้นจะมีทั้งสีดำ, สี Brindle & White, สี Fawn Brindle, สี Black Brindle, สีเทา เเละสี Red Brindle โดยที่ลักษณะของพวกมันนั้นจะมีความเป็นมิตรเเละเเสดงความรักต่อผู้เป็นเจ้าของ โดยมีความกว้าหาญเเละดุดันเป็นอย่างยิ่ง

          ส่วนทางด้านของความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี นั้นก็มีอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา เเม้ว่าจะได้รับความนิยมเลี้ยงอย่างมาก เเต่ในประเทศอื่้นๆ กลับไม่ได้รับความนิยมหรือความสนใจในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้่เลยก็ว่าได้


59
          สุนัขมากมายหลายสายพันธุ์นั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเเละสำหรับสุนัขสำหรับการใช้งานที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างมากไปทั่วโลกอย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี ก็ถือว่าเป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจเเละน่าเลี้ยงเป็นอย่างมากอีกหนึ่งสายพันธุ์ พร้อมกับเรื่องราวความเป็นมาเเละเรื่องเล่าขานที่น่าสนใจ



          โดยที่สุนัขสายพันธุ์อย่าง Olde English Bulldogge นั้นเป็นสุนัขขนาดกลาง มีโครงสร้างแข็งแรง ซึ่งนักเพาะพันธุ์สุนัขชาวอเมริกันได้พยายามปรับปรุงสุนัขพันธ์นี้ให้มีลักษณะคล้ายกับบูลด็อกพันธุ์ดั้งเดิมของอังกฤษ และแก้ไขข้อด้อยในเรื่องการหายใจลำบาก ทำให้มันกลายเป็นสุนัขที่มีความเเข็งเเรงเเละได้รับความสนใจเเละนิยมเลี้ยงกันเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา

          สำหรับประวัติความเป็นมาของ โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี เเล้วมันเกิดขึ้นมาในดินเเดนเเห่งเสรีภาพอย่าง สหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 โดยนายเดวิด ลีวิตต์ ในรัฐเพนซิวาเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นผู้พัฒนาสุนัขพันธุ์นี้ขึ้น จากการผสมระหว่างสุนัขสายพันธุ์บูลมาสทิฟฟ์ กับสุนัขสายพันธุ์บูลด็อกเเละสุนัขสายพันธุ์อเมริกัน บูลด็อก ทำให้เกิดเป็นสุนัขสายพันธุ์นี้ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นสุนัขสำหรับการเฝ้ายามและใช้ในกีฬาสู้กับวัว ซึ่งถึงแม้จะมีรูปร่างใหญ่ และดูดุร้ายน่ากลัว แต่จากการปรับปรุงสายพันธุ์ ทำให้ยังคงลักษณะนิสัย กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น แต่ไม่ดุร้ายหรือก้าวร้าวเลย



          ทางด้านของลักษณะเด่นนั้น Olde English Bulldogge จะมีช่วงชีวิตอายุประมาณ 9 ถึง 14 ปี โดยตัวเมียนั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 20-27 กิโลกรัม ส่วนตัวผู้นั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 22-30 กิโลกรัม โดยที่ความสูงนั้นตัวผู้จะมีความสูงประมาณ 44-48 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะมีความสูง 38-44 เซนติเมตร โดยที่มีกะโหลกกว้าง ส่วนริมฝีปากห้อยเล็กน้อย เเละมีหนังคอย่นเป็นสองชั้น ส่วนทางด้านของช่วงปากสั้นแต่กว้างและหน้าผากกับจมูกทำมุมชัดเจน ทางด้านของใบหูรูปทรงคล้ายกลีบกุหลาบ โดยมีลำคอหนาและแข็งแรง ทางด้านของกระดูกขาหน้าใหญ่และตรง เเละมีขนสั้นแนบลำตัว โดยที่สีขนนั้นจะมีทั้งสีดำ, สี Brindle & White, สี Fawn Brindle, สี Black Brindle, สีเทา เเละสี Red Brindle โดยที่ลักษณะของพวกมันนั้นจะมีความเป็นมิตรเเละเเสดงความรักต่อผู้เป็นเจ้าของ โดยมีความกว้าหาญเเละดุดันเป็นอย่างยิ่ง

          ส่วนทางด้านของความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี นั้นก็มีอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา เเม้ว่าจะได้รับความนิยมเลี้ยงอย่างมาก เเต่ในประเทศอื่้นๆ กลับไม่ได้รับความนิยมหรือความสนใจในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้่เลยก็ว่าได้


60
          สุนัขมากมายหลายสายพันธุ์นั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเเละสำหรับสุนัขสำหรับการใช้งานที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างมากไปทั่วโลกอย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี ก็ถือว่าเป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจเเละน่าเลี้ยงเป็นอย่างมากอีกหนึ่งสายพันธุ์ พร้อมกับเรื่องราวความเป็นมาเเละเรื่องเล่าขานที่น่าสนใจ



          โดยที่สุนัขสายพันธุ์อย่าง Olde English Bulldogge นั้นเป็นสุนัขขนาดกลาง มีโครงสร้างแข็งแรง ซึ่งนักเพาะพันธุ์สุนัขชาวอเมริกันได้พยายามปรับปรุงสุนัขพันธ์นี้ให้มีลักษณะคล้ายกับบูลด็อกพันธุ์ดั้งเดิมของอังกฤษ และแก้ไขข้อด้อยในเรื่องการหายใจลำบาก ทำให้มันกลายเป็นสุนัขที่มีความเเข็งเเรงเเละได้รับความสนใจเเละนิยมเลี้ยงกันเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา

          สำหรับประวัติความเป็นมาของ โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี เเล้วมันเกิดขึ้นมาในดินเเดนเเห่งเสรีภาพอย่าง สหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 โดยนายเดวิด ลีวิตต์ ในรัฐเพนซิวาเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นผู้พัฒนาสุนัขพันธุ์นี้ขึ้น จากการผสมระหว่างสุนัขสายพันธุ์บูลมาสทิฟฟ์ กับสุนัขสายพันธุ์บูลด็อกเเละสุนัขสายพันธุ์อเมริกัน บูลด็อก ทำให้เกิดเป็นสุนัขสายพันธุ์นี้ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นสุนัขสำหรับการเฝ้ายามและใช้ในกีฬาสู้กับวัว ซึ่งถึงแม้จะมีรูปร่างใหญ่ และดูดุร้ายน่ากลัว แต่จากการปรับปรุงสายพันธุ์ ทำให้ยังคงลักษณะนิสัย กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น แต่ไม่ดุร้ายหรือก้าวร้าวเลย



          ทางด้านของลักษณะเด่นนั้น Olde English Bulldogge จะมีช่วงชีวิตอายุประมาณ 9 ถึง 14 ปี โดยตัวเมียนั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 20-27 กิโลกรัม ส่วนตัวผู้นั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 22-30 กิโลกรัม โดยที่ความสูงนั้นตัวผู้จะมีความสูงประมาณ 44-48 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะมีความสูง 38-44 เซนติเมตร โดยที่มีกะโหลกกว้าง ส่วนริมฝีปากห้อยเล็กน้อย เเละมีหนังคอย่นเป็นสองชั้น ส่วนทางด้านของช่วงปากสั้นแต่กว้างและหน้าผากกับจมูกทำมุมชัดเจน ทางด้านของใบหูรูปทรงคล้ายกลีบกุหลาบ โดยมีลำคอหนาและแข็งแรง ทางด้านของกระดูกขาหน้าใหญ่และตรง เเละมีขนสั้นแนบลำตัว โดยที่สีขนนั้นจะมีทั้งสีดำ, สี Brindle & White, สี Fawn Brindle, สี Black Brindle, สีเทา เเละสี Red Brindle โดยที่ลักษณะของพวกมันนั้นจะมีความเป็นมิตรเเละเเสดงความรักต่อผู้เป็นเจ้าของ โดยมีความกว้าหาญเเละดุดันเป็นอย่างยิ่ง

          ส่วนทางด้านของความนิยมในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อย่าง โอลดี อิงลิช บูลด็อกกี นั้นก็มีอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา เเม้ว่าจะได้รับความนิยมเลี้ยงอย่างมาก เเต่ในประเทศอื่้นๆ กลับไม่ได้รับความนิยมหรือความสนใจในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้่เลยก็ว่าได้


หน้า:
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4 (current)
  • 5
  • 6
  • 7
  • 8