แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

8701


ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์


การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย
ตามประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัดว่า สุนัขพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด หากสืบสาวราวเรื่องไปได้ไกลที่สุด ก็พบหลักฐานว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งอยู่ในราชสำนัก สมัยราชวงศ์ถัง หรือราวศตวรรษที่ 8 โดยมีเรื่องเล่าว่า ในอดีต สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ถือเป็นสุนัขต้องห้าม กล่าวคือ จะเลี้ยงได้เฉพาะในราชสำนักเท่านั้น สุนัขพันธุ์นี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์อย่างเข้มงวด นั่นหมายถึงจะไม่มีการให้ผสมข้ามสายพันธุ์เด็ดขาด ถ้าใครคิดหาญขโมย มีโทษถึงตาย!!

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ที่เป็นสุนัขประจำตัวของกษัตริย์ จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพ หากกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าปักกิ่งเป็นสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตามไปปกป้องกษัตริย์หลังความตาย สุนัขพันธุ์นี้ จึงถูกจดจำในฐานะสุนัขที่มีความภักดีต่อผู้เป็นนาย และถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน รวมถึงถูกนำไปสร้างรูปจำลองแกะสลักวางไว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ด้วย

          ทั้งนี้ ใน ค.ศ.1860 อังกฤษชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 และเข้ายึดวังจักรพรรดิที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่ราชสำนักจีนก็ยังไม่วายมีสติพอที่จะสั่ง "ฆ่า" สุนัขพันธุ์ปักกิ่งทุกตัวที่มีอยู่ในวัง เพราะไม่อยากให้สุนัขสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง ทว่ามี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 5 ตัว เหลือซ่อนอยู่ ว่ากันว่า เป็นสุนัขสุดโปรดของซูสีไทเฮา และเป็นสุนัขห้าตัวที่สวยที่สุด ดีที่สุดในแผ่นดินจีนสมัยนั้น และพวกมันถูกนำไปยังดินแดนของอังกฤษ ก่อนจะถูกถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย

          3 ปี นับจากถูกนำตัวไปอังกฤษ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็เริ่มปรากฎโฉมต่อสาธารณชน ซึ่งผู้คนต่างพากันสนใจทั้งในความสวยงามและประวัติอันน่าตื่นเต้นของสุนัขพันธุ์นี้ จากนั้นความนิยมในการเลี้ยง ปักกิ่ง ก็กระจายไปทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกา มีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งไว้ใน American Kennel Club เมื่อปี ค.ศ.1906 ก่อนจะมีการจัดตั้ง Pakingese Club of America และลงทะเบียนเป็นสมาชิกใน American Kennel Club ในปี 1909 แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันให้ความนิยมชมชอบเจ้าสุนัขพันธุ์ปักกิ่งนี้อย่างมาก

ลักษณะทั่วไป สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ปักกิ่ง จะมีรูปร่างสมส่วน กะทัดรัด ท่วงท่าการเดินสง่างามอย่างยิ่ง ไม่ลุกลี้ลุกลน ลำตัวส่วนหน้าดูใหญ่ หนา ลำตัวส่วนหลังเล็กแคบกว่า มีลักษณะขนช่วงแผงคอยาวแผ่คล้ายสิงโต ซึ่งแม้จะดูตัวเล็ก แต่หากอุ้มจะรู้สึกหนักมากกว่าที่คิด เพราะโครงร่างของปักกิ่ง มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรง กระดูกหนา โดยปกติจะมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 10-14 ปอนด์ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ช่วงชีวิตเฉลี่ยประมาณ 14-17 ปี   

          ทั้งนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ได้รับสมญานามที่บ่งบอกลักษณะอันดี ดังนี้

          1. Lion Dogs หรือ หมาสิงโต เพราะมีลำตัวช่วงหน้าที่หนา ใหญ่ แล้วค่อย ๆ เล็กแคบลงไปในช่วงหลัง

          2. Sun Dogs เพราะมีขนสีแดงประกายทอง สวยจับตาจับใจ

          3. Sleeve Dogs (หมาแขนเสื้อ) เพราะขนาดตัวที่เล็ก จนสามารถใส่ไว้ในแขนเสื้อคนจีนสมัยก่อนได้ แต่ปกติมักใช้เรียกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

ลักษณะนิสัย สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่ ปักกิ่ง ก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์ ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์

การเลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น ปักกิ่ง จึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย 

 มาตรฐานสายพันธุ์ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          กะโหลก หนาแบนและกว้าง

          จมูก สีดำ กว้าง สั้น อยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างตาพอดี

          ตา ตากลมใหญ่ แต่ไม่โปน นัยน์ตาสีดำเข้มเป็นประกาย ขอบตาสีดำ ถ้าสุนัขมองตรง ๆ (ไม่เหลือกตา) จะต้องไม่เห็นตาขาว

          ใบหน้า โหนกแก้มสูงและกว้าง ขากรรไกรล่างและคางก็กว้างเช่นกัน

          ปาก เป็นสีดำ ขากรรไกรล่างกว้างและยื่นออกเล็กน้อย ทำให้ฟันล่างเกยฟันบน แต่ริมฝีปากปิดชิดกันสนิท

          ขน ยาว หนา และตรง ไม่หยิกเป็นคลื่น แบ่งเป็น 2 ชั้น ขนชั้นในจะแน่นและนุ่นกว่าขนชั้นนอก ขนที่แผงคอและช่วงไหล่จะยาวกว่าที่ส่วนอื่น ๆ

          ขา ขาสั้น กระดูกใหญ่ เท้าแบน

          ลำตัว กะทัดรัด ส่วนหน้ากว้างกว่าส่วนหลัง เพราะซี่โครงกางออกมากกว่าอกกว้าง ลำตัวค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปสู่ด้านหลัง มองเห็นเอวได้ชัดเจน แนวหลังตรง ไม่แอ่นเว้าหรือโค้งนูน มีลักษณะบึกบึนแข็งแรง

          หาง โคนหางตั้งสูง ขนหนา ยาวและตรงลงมาที่ลำตัวทั้งสองข้าง


8702


ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์


การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย
ตามประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัดว่า สุนัขพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด หากสืบสาวราวเรื่องไปได้ไกลที่สุด ก็พบหลักฐานว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งอยู่ในราชสำนัก สมัยราชวงศ์ถัง หรือราวศตวรรษที่ 8 โดยมีเรื่องเล่าว่า ในอดีต สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ถือเป็นสุนัขต้องห้าม กล่าวคือ จะเลี้ยงได้เฉพาะในราชสำนักเท่านั้น สุนัขพันธุ์นี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์อย่างเข้มงวด นั่นหมายถึงจะไม่มีการให้ผสมข้ามสายพันธุ์เด็ดขาด ถ้าใครคิดหาญขโมย มีโทษถึงตาย!!

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ที่เป็นสุนัขประจำตัวของกษัตริย์ จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพ หากกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าปักกิ่งเป็นสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตามไปปกป้องกษัตริย์หลังความตาย สุนัขพันธุ์นี้ จึงถูกจดจำในฐานะสุนัขที่มีความภักดีต่อผู้เป็นนาย และถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน รวมถึงถูกนำไปสร้างรูปจำลองแกะสลักวางไว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ด้วย

          ทั้งนี้ ใน ค.ศ.1860 อังกฤษชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 และเข้ายึดวังจักรพรรดิที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่ราชสำนักจีนก็ยังไม่วายมีสติพอที่จะสั่ง "ฆ่า" สุนัขพันธุ์ปักกิ่งทุกตัวที่มีอยู่ในวัง เพราะไม่อยากให้สุนัขสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง ทว่ามี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 5 ตัว เหลือซ่อนอยู่ ว่ากันว่า เป็นสุนัขสุดโปรดของซูสีไทเฮา และเป็นสุนัขห้าตัวที่สวยที่สุด ดีที่สุดในแผ่นดินจีนสมัยนั้น และพวกมันถูกนำไปยังดินแดนของอังกฤษ ก่อนจะถูกถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย

          3 ปี นับจากถูกนำตัวไปอังกฤษ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็เริ่มปรากฎโฉมต่อสาธารณชน ซึ่งผู้คนต่างพากันสนใจทั้งในความสวยงามและประวัติอันน่าตื่นเต้นของสุนัขพันธุ์นี้ จากนั้นความนิยมในการเลี้ยง ปักกิ่ง ก็กระจายไปทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกา มีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งไว้ใน American Kennel Club เมื่อปี ค.ศ.1906 ก่อนจะมีการจัดตั้ง Pakingese Club of America และลงทะเบียนเป็นสมาชิกใน American Kennel Club ในปี 1909 แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันให้ความนิยมชมชอบเจ้าสุนัขพันธุ์ปักกิ่งนี้อย่างมาก

ลักษณะทั่วไป สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ปักกิ่ง จะมีรูปร่างสมส่วน กะทัดรัด ท่วงท่าการเดินสง่างามอย่างยิ่ง ไม่ลุกลี้ลุกลน ลำตัวส่วนหน้าดูใหญ่ หนา ลำตัวส่วนหลังเล็กแคบกว่า มีลักษณะขนช่วงแผงคอยาวแผ่คล้ายสิงโต ซึ่งแม้จะดูตัวเล็ก แต่หากอุ้มจะรู้สึกหนักมากกว่าที่คิด เพราะโครงร่างของปักกิ่ง มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรง กระดูกหนา โดยปกติจะมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 10-14 ปอนด์ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ช่วงชีวิตเฉลี่ยประมาณ 14-17 ปี   

          ทั้งนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ได้รับสมญานามที่บ่งบอกลักษณะอันดี ดังนี้

          1. Lion Dogs หรือ หมาสิงโต เพราะมีลำตัวช่วงหน้าที่หนา ใหญ่ แล้วค่อย ๆ เล็กแคบลงไปในช่วงหลัง

          2. Sun Dogs เพราะมีขนสีแดงประกายทอง สวยจับตาจับใจ

          3. Sleeve Dogs (หมาแขนเสื้อ) เพราะขนาดตัวที่เล็ก จนสามารถใส่ไว้ในแขนเสื้อคนจีนสมัยก่อนได้ แต่ปกติมักใช้เรียกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

ลักษณะนิสัย สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่ ปักกิ่ง ก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์ ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์

การเลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น ปักกิ่ง จึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย 

 มาตรฐานสายพันธุ์ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          กะโหลก หนาแบนและกว้าง

          จมูก สีดำ กว้าง สั้น อยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างตาพอดี

          ตา ตากลมใหญ่ แต่ไม่โปน นัยน์ตาสีดำเข้มเป็นประกาย ขอบตาสีดำ ถ้าสุนัขมองตรง ๆ (ไม่เหลือกตา) จะต้องไม่เห็นตาขาว

          ใบหน้า โหนกแก้มสูงและกว้าง ขากรรไกรล่างและคางก็กว้างเช่นกัน

          ปาก เป็นสีดำ ขากรรไกรล่างกว้างและยื่นออกเล็กน้อย ทำให้ฟันล่างเกยฟันบน แต่ริมฝีปากปิดชิดกันสนิท

          ขน ยาว หนา และตรง ไม่หยิกเป็นคลื่น แบ่งเป็น 2 ชั้น ขนชั้นในจะแน่นและนุ่นกว่าขนชั้นนอก ขนที่แผงคอและช่วงไหล่จะยาวกว่าที่ส่วนอื่น ๆ

          ขา ขาสั้น กระดูกใหญ่ เท้าแบน

          ลำตัว กะทัดรัด ส่วนหน้ากว้างกว่าส่วนหลัง เพราะซี่โครงกางออกมากกว่าอกกว้าง ลำตัวค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปสู่ด้านหลัง มองเห็นเอวได้ชัดเจน แนวหลังตรง ไม่แอ่นเว้าหรือโค้งนูน มีลักษณะบึกบึนแข็งแรง

          หาง โคนหางตั้งสูง ขนหนา ยาวและตรงลงมาที่ลำตัวทั้งสองข้าง


8703


ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์


การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย
ตามประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัดว่า สุนัขพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด หากสืบสาวราวเรื่องไปได้ไกลที่สุด ก็พบหลักฐานว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งอยู่ในราชสำนัก สมัยราชวงศ์ถัง หรือราวศตวรรษที่ 8 โดยมีเรื่องเล่าว่า ในอดีต สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ถือเป็นสุนัขต้องห้าม กล่าวคือ จะเลี้ยงได้เฉพาะในราชสำนักเท่านั้น สุนัขพันธุ์นี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์อย่างเข้มงวด นั่นหมายถึงจะไม่มีการให้ผสมข้ามสายพันธุ์เด็ดขาด ถ้าใครคิดหาญขโมย มีโทษถึงตาย!!

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ที่เป็นสุนัขประจำตัวของกษัตริย์ จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพ หากกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าปักกิ่งเป็นสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตามไปปกป้องกษัตริย์หลังความตาย สุนัขพันธุ์นี้ จึงถูกจดจำในฐานะสุนัขที่มีความภักดีต่อผู้เป็นนาย และถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน รวมถึงถูกนำไปสร้างรูปจำลองแกะสลักวางไว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ด้วย

          ทั้งนี้ ใน ค.ศ.1860 อังกฤษชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 และเข้ายึดวังจักรพรรดิที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่ราชสำนักจีนก็ยังไม่วายมีสติพอที่จะสั่ง "ฆ่า" สุนัขพันธุ์ปักกิ่งทุกตัวที่มีอยู่ในวัง เพราะไม่อยากให้สุนัขสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง ทว่ามี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 5 ตัว เหลือซ่อนอยู่ ว่ากันว่า เป็นสุนัขสุดโปรดของซูสีไทเฮา และเป็นสุนัขห้าตัวที่สวยที่สุด ดีที่สุดในแผ่นดินจีนสมัยนั้น และพวกมันถูกนำไปยังดินแดนของอังกฤษ ก่อนจะถูกถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย

          3 ปี นับจากถูกนำตัวไปอังกฤษ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็เริ่มปรากฎโฉมต่อสาธารณชน ซึ่งผู้คนต่างพากันสนใจทั้งในความสวยงามและประวัติอันน่าตื่นเต้นของสุนัขพันธุ์นี้ จากนั้นความนิยมในการเลี้ยง ปักกิ่ง ก็กระจายไปทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกา มีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งไว้ใน American Kennel Club เมื่อปี ค.ศ.1906 ก่อนจะมีการจัดตั้ง Pakingese Club of America และลงทะเบียนเป็นสมาชิกใน American Kennel Club ในปี 1909 แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันให้ความนิยมชมชอบเจ้าสุนัขพันธุ์ปักกิ่งนี้อย่างมาก

ลักษณะทั่วไป สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ปักกิ่ง จะมีรูปร่างสมส่วน กะทัดรัด ท่วงท่าการเดินสง่างามอย่างยิ่ง ไม่ลุกลี้ลุกลน ลำตัวส่วนหน้าดูใหญ่ หนา ลำตัวส่วนหลังเล็กแคบกว่า มีลักษณะขนช่วงแผงคอยาวแผ่คล้ายสิงโต ซึ่งแม้จะดูตัวเล็ก แต่หากอุ้มจะรู้สึกหนักมากกว่าที่คิด เพราะโครงร่างของปักกิ่ง มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรง กระดูกหนา โดยปกติจะมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 10-14 ปอนด์ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ช่วงชีวิตเฉลี่ยประมาณ 14-17 ปี   

          ทั้งนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ได้รับสมญานามที่บ่งบอกลักษณะอันดี ดังนี้

          1. Lion Dogs หรือ หมาสิงโต เพราะมีลำตัวช่วงหน้าที่หนา ใหญ่ แล้วค่อย ๆ เล็กแคบลงไปในช่วงหลัง

          2. Sun Dogs เพราะมีขนสีแดงประกายทอง สวยจับตาจับใจ

          3. Sleeve Dogs (หมาแขนเสื้อ) เพราะขนาดตัวที่เล็ก จนสามารถใส่ไว้ในแขนเสื้อคนจีนสมัยก่อนได้ แต่ปกติมักใช้เรียกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

ลักษณะนิสัย สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่ ปักกิ่ง ก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์ ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์

การเลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น ปักกิ่ง จึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย 

 มาตรฐานสายพันธุ์ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          กะโหลก หนาแบนและกว้าง

          จมูก สีดำ กว้าง สั้น อยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างตาพอดี

          ตา ตากลมใหญ่ แต่ไม่โปน นัยน์ตาสีดำเข้มเป็นประกาย ขอบตาสีดำ ถ้าสุนัขมองตรง ๆ (ไม่เหลือกตา) จะต้องไม่เห็นตาขาว

          ใบหน้า โหนกแก้มสูงและกว้าง ขากรรไกรล่างและคางก็กว้างเช่นกัน

          ปาก เป็นสีดำ ขากรรไกรล่างกว้างและยื่นออกเล็กน้อย ทำให้ฟันล่างเกยฟันบน แต่ริมฝีปากปิดชิดกันสนิท

          ขน ยาว หนา และตรง ไม่หยิกเป็นคลื่น แบ่งเป็น 2 ชั้น ขนชั้นในจะแน่นและนุ่นกว่าขนชั้นนอก ขนที่แผงคอและช่วงไหล่จะยาวกว่าที่ส่วนอื่น ๆ

          ขา ขาสั้น กระดูกใหญ่ เท้าแบน

          ลำตัว กะทัดรัด ส่วนหน้ากว้างกว่าส่วนหลัง เพราะซี่โครงกางออกมากกว่าอกกว้าง ลำตัวค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปสู่ด้านหลัง มองเห็นเอวได้ชัดเจน แนวหลังตรง ไม่แอ่นเว้าหรือโค้งนูน มีลักษณะบึกบึนแข็งแรง

          หาง โคนหางตั้งสูง ขนหนา ยาวและตรงลงมาที่ลำตัวทั้งสองข้าง


8704


ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์


การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย
ตามประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัดว่า สุนัขพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด หากสืบสาวราวเรื่องไปได้ไกลที่สุด ก็พบหลักฐานว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งอยู่ในราชสำนัก สมัยราชวงศ์ถัง หรือราวศตวรรษที่ 8 โดยมีเรื่องเล่าว่า ในอดีต สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ถือเป็นสุนัขต้องห้าม กล่าวคือ จะเลี้ยงได้เฉพาะในราชสำนักเท่านั้น สุนัขพันธุ์นี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์อย่างเข้มงวด นั่นหมายถึงจะไม่มีการให้ผสมข้ามสายพันธุ์เด็ดขาด ถ้าใครคิดหาญขโมย มีโทษถึงตาย!!

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ที่เป็นสุนัขประจำตัวของกษัตริย์ จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพ หากกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าปักกิ่งเป็นสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตามไปปกป้องกษัตริย์หลังความตาย สุนัขพันธุ์นี้ จึงถูกจดจำในฐานะสุนัขที่มีความภักดีต่อผู้เป็นนาย และถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน รวมถึงถูกนำไปสร้างรูปจำลองแกะสลักวางไว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ด้วย

          ทั้งนี้ ใน ค.ศ.1860 อังกฤษชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 และเข้ายึดวังจักรพรรดิที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่ราชสำนักจีนก็ยังไม่วายมีสติพอที่จะสั่ง "ฆ่า" สุนัขพันธุ์ปักกิ่งทุกตัวที่มีอยู่ในวัง เพราะไม่อยากให้สุนัขสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง ทว่ามี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 5 ตัว เหลือซ่อนอยู่ ว่ากันว่า เป็นสุนัขสุดโปรดของซูสีไทเฮา และเป็นสุนัขห้าตัวที่สวยที่สุด ดีที่สุดในแผ่นดินจีนสมัยนั้น และพวกมันถูกนำไปยังดินแดนของอังกฤษ ก่อนจะถูกถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย

          3 ปี นับจากถูกนำตัวไปอังกฤษ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็เริ่มปรากฎโฉมต่อสาธารณชน ซึ่งผู้คนต่างพากันสนใจทั้งในความสวยงามและประวัติอันน่าตื่นเต้นของสุนัขพันธุ์นี้ จากนั้นความนิยมในการเลี้ยง ปักกิ่ง ก็กระจายไปทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกา มีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งไว้ใน American Kennel Club เมื่อปี ค.ศ.1906 ก่อนจะมีการจัดตั้ง Pakingese Club of America และลงทะเบียนเป็นสมาชิกใน American Kennel Club ในปี 1909 แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันให้ความนิยมชมชอบเจ้าสุนัขพันธุ์ปักกิ่งนี้อย่างมาก

ลักษณะทั่วไป สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ปักกิ่ง จะมีรูปร่างสมส่วน กะทัดรัด ท่วงท่าการเดินสง่างามอย่างยิ่ง ไม่ลุกลี้ลุกลน ลำตัวส่วนหน้าดูใหญ่ หนา ลำตัวส่วนหลังเล็กแคบกว่า มีลักษณะขนช่วงแผงคอยาวแผ่คล้ายสิงโต ซึ่งแม้จะดูตัวเล็ก แต่หากอุ้มจะรู้สึกหนักมากกว่าที่คิด เพราะโครงร่างของปักกิ่ง มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรง กระดูกหนา โดยปกติจะมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 10-14 ปอนด์ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ช่วงชีวิตเฉลี่ยประมาณ 14-17 ปี   

          ทั้งนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ได้รับสมญานามที่บ่งบอกลักษณะอันดี ดังนี้

          1. Lion Dogs หรือ หมาสิงโต เพราะมีลำตัวช่วงหน้าที่หนา ใหญ่ แล้วค่อย ๆ เล็กแคบลงไปในช่วงหลัง

          2. Sun Dogs เพราะมีขนสีแดงประกายทอง สวยจับตาจับใจ

          3. Sleeve Dogs (หมาแขนเสื้อ) เพราะขนาดตัวที่เล็ก จนสามารถใส่ไว้ในแขนเสื้อคนจีนสมัยก่อนได้ แต่ปกติมักใช้เรียกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

ลักษณะนิสัย สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่ ปักกิ่ง ก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์ ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์

การเลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น ปักกิ่ง จึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย 

 มาตรฐานสายพันธุ์ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          กะโหลก หนาแบนและกว้าง

          จมูก สีดำ กว้าง สั้น อยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างตาพอดี

          ตา ตากลมใหญ่ แต่ไม่โปน นัยน์ตาสีดำเข้มเป็นประกาย ขอบตาสีดำ ถ้าสุนัขมองตรง ๆ (ไม่เหลือกตา) จะต้องไม่เห็นตาขาว

          ใบหน้า โหนกแก้มสูงและกว้าง ขากรรไกรล่างและคางก็กว้างเช่นกัน

          ปาก เป็นสีดำ ขากรรไกรล่างกว้างและยื่นออกเล็กน้อย ทำให้ฟันล่างเกยฟันบน แต่ริมฝีปากปิดชิดกันสนิท

          ขน ยาว หนา และตรง ไม่หยิกเป็นคลื่น แบ่งเป็น 2 ชั้น ขนชั้นในจะแน่นและนุ่นกว่าขนชั้นนอก ขนที่แผงคอและช่วงไหล่จะยาวกว่าที่ส่วนอื่น ๆ

          ขา ขาสั้น กระดูกใหญ่ เท้าแบน

          ลำตัว กะทัดรัด ส่วนหน้ากว้างกว่าส่วนหลัง เพราะซี่โครงกางออกมากกว่าอกกว้าง ลำตัวค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปสู่ด้านหลัง มองเห็นเอวได้ชัดเจน แนวหลังตรง ไม่แอ่นเว้าหรือโค้งนูน มีลักษณะบึกบึนแข็งแรง

          หาง โคนหางตั้งสูง ขนหนา ยาวและตรงลงมาที่ลำตัวทั้งสองข้าง


8705


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          สุนัขพันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกมันเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซลล์ จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็ก ๆ พวกมันจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี


การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          ผู้เลี้ยงจำนวนมากมักมีความคิดว่า หากน้องหมาทานแต่อาหารเม็ด น้องหมาจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ถูกปาก และไม่อยากทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาที่สุดก็คือ อาหารเม็ดสำเร็จรูปเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปจะมีการคำนวณปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ที่น้องหมาควรได้รับต่อมื้อมาอย่างพอดี โดยผู้เลี้ยงควรให้น้องหมาทานอาหารตามสูตรและให้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ข้างถุง หรือข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้น้องหมาของเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มากหรือน้อยจนอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย และการอาบน้ำเพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอต่อความต้องการของน้องหมาแล้ว เนื่องจากพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนกับคนเรา การอาบน้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังของน้องหมาแห้ง แต่อาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำได้ตามสมควร หากว่ามันออกไปเล่นจนสกปรกมากเกินไป

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉง และตื่นตัวเป็นอย่างมาก จึงทำให้น้องหมามีความต้องการและชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ แต่การพาน้องหมาไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือบริเวณพื้นที่สาธารณะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีแนวโน้มที่จะวิ่งไล่กวดสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้โดยง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรใส่สายจูงให้มันทุกครั้งเมื่อพามันออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกาย
แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเมื่อราวปี ค.ศ. 1814 โดยศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ ผู้ชื่นชอบการไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก เขาต้องการสุนัขสายพันธุ์เทอร์เรียร์ขนาดเล็ก ที่จะใช้ไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก จนกระทั่งได้สุนัขเทอร์เรียเพศเมียมาตัวหนึ่งชื่อ "ทรัมพ์" จากคนส่งนม ศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ จึงใช้ทรัพพ์เป็นพื้นฐานจนเพาะพันธุ์ได้เป็น แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ขึ้นมาในที่สุด

          ทั้งนี้ ในยุคแรกๆ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีความสูงเฉลี่ย 35 เซนติเมตร แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการพัฒนาสายพันธุ์จนได้ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ที่มีขนาดเล็กลง และมี 2 สายพันธุ์ คือ พาร์สัน แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย และ แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

ลักษณะทั่วไป สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย 

          สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีลักษณะขน 3 ประเภทคือ ขนเรียบ ขนแตก และขนหยาบ ลักษณะที่ดีของ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย คือควรจะมีกะโหลกโต หูต้องเป็นรูปตัว V และตกไปทางด้านหน้า จมูกและริมฝีปากต้องมีสีดำ ตาควรเป็นสีน้ำตาลเข้มรูปถั่วอัลมอนด์ แฝงด้วยแววตาขี้เล่นและขี้สงสัย ขาต้องตรงและมีกล้ามเนื้อที่ต้นขา หางต้องสั้นและชี้ขึ้น

          อย่างไรก็ตาม ขนของสุนัข แจ็ครัสเซล ควรจะมีสีขาวตั้งแต่ 51% หรือมากกว่าขึ้นไปในร่างกาย และมีมาร์คกิ้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ หรือทั้งน้ำตาลและดำ หรือเรียกว่า "TRI COLOURED MARKING" ซึ่ง สุนัข แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ส่วนใหญ่จะพบที่บนใบหน้า รอบตา หู ที่ก้นถึงหางและเล็กน้อยบนลำตัว

ลักษณะนิสัย แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

          สุนัข พันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็กๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซล จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็กๆ พวกเขาจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ครัสเซล ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี

เรื่องควรรู้ก่อนคิดเลี้ยง สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          1.  แจ๊ครัสเซล เป็นสุนัขตื่นตัวตลอดเวลา มันควรได้รับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรอยู่ในความควบคุมดูแลและควรได้รับการฝึกสอนจากเจ้าของ หรือฝึก

          2.  แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลและเวลาจากเจ้าของอย่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมและขี้เล่น

          3.  ผู้เลี้ยง สุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ควรจัดระบบการเลี้ยงให้ถูกต้อง เช่นต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพราะ สามารถกระโดดได้สูงมาก รวมถึงปีนป่าย แม้กระทั่งขุดรูเพื่อหนีเที่ยวถ้ามันรู้สึกเบื่อหรืออยากหาอะไรสนุกตื่นเต้น ทำ

          4.  เพื่อความปลอดภัยของ สุนัข ผู้เลี้ยง แจ๊ครัสเซลล์ ควรจะใช้สายจูงตลอดเวลาที่พาไปเดินเล่น เนื่องจาก แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่มีความรวดเร็วและคล่องตัวสูงมาก


8706


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          สุนัขพันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกมันเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซลล์ จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็ก ๆ พวกมันจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี


การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          ผู้เลี้ยงจำนวนมากมักมีความคิดว่า หากน้องหมาทานแต่อาหารเม็ด น้องหมาจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ถูกปาก และไม่อยากทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาที่สุดก็คือ อาหารเม็ดสำเร็จรูปเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปจะมีการคำนวณปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ที่น้องหมาควรได้รับต่อมื้อมาอย่างพอดี โดยผู้เลี้ยงควรให้น้องหมาทานอาหารตามสูตรและให้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ข้างถุง หรือข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้น้องหมาของเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มากหรือน้อยจนอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย และการอาบน้ำเพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอต่อความต้องการของน้องหมาแล้ว เนื่องจากพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนกับคนเรา การอาบน้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังของน้องหมาแห้ง แต่อาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำได้ตามสมควร หากว่ามันออกไปเล่นจนสกปรกมากเกินไป

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉง และตื่นตัวเป็นอย่างมาก จึงทำให้น้องหมามีความต้องการและชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ แต่การพาน้องหมาไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือบริเวณพื้นที่สาธารณะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีแนวโน้มที่จะวิ่งไล่กวดสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้โดยง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรใส่สายจูงให้มันทุกครั้งเมื่อพามันออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกาย
แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเมื่อราวปี ค.ศ. 1814 โดยศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ ผู้ชื่นชอบการไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก เขาต้องการสุนัขสายพันธุ์เทอร์เรียร์ขนาดเล็ก ที่จะใช้ไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก จนกระทั่งได้สุนัขเทอร์เรียเพศเมียมาตัวหนึ่งชื่อ "ทรัมพ์" จากคนส่งนม ศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ จึงใช้ทรัพพ์เป็นพื้นฐานจนเพาะพันธุ์ได้เป็น แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ขึ้นมาในที่สุด

          ทั้งนี้ ในยุคแรกๆ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีความสูงเฉลี่ย 35 เซนติเมตร แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการพัฒนาสายพันธุ์จนได้ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ที่มีขนาดเล็กลง และมี 2 สายพันธุ์ คือ พาร์สัน แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย และ แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

ลักษณะทั่วไป สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย 

          สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีลักษณะขน 3 ประเภทคือ ขนเรียบ ขนแตก และขนหยาบ ลักษณะที่ดีของ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย คือควรจะมีกะโหลกโต หูต้องเป็นรูปตัว V และตกไปทางด้านหน้า จมูกและริมฝีปากต้องมีสีดำ ตาควรเป็นสีน้ำตาลเข้มรูปถั่วอัลมอนด์ แฝงด้วยแววตาขี้เล่นและขี้สงสัย ขาต้องตรงและมีกล้ามเนื้อที่ต้นขา หางต้องสั้นและชี้ขึ้น

          อย่างไรก็ตาม ขนของสุนัข แจ็ครัสเซล ควรจะมีสีขาวตั้งแต่ 51% หรือมากกว่าขึ้นไปในร่างกาย และมีมาร์คกิ้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ หรือทั้งน้ำตาลและดำ หรือเรียกว่า "TRI COLOURED MARKING" ซึ่ง สุนัข แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ส่วนใหญ่จะพบที่บนใบหน้า รอบตา หู ที่ก้นถึงหางและเล็กน้อยบนลำตัว

ลักษณะนิสัย แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

          สุนัข พันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็กๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซล จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็กๆ พวกเขาจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ครัสเซล ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี

เรื่องควรรู้ก่อนคิดเลี้ยง สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          1.  แจ๊ครัสเซล เป็นสุนัขตื่นตัวตลอดเวลา มันควรได้รับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรอยู่ในความควบคุมดูแลและควรได้รับการฝึกสอนจากเจ้าของ หรือฝึก

          2.  แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลและเวลาจากเจ้าของอย่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมและขี้เล่น

          3.  ผู้เลี้ยง สุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ควรจัดระบบการเลี้ยงให้ถูกต้อง เช่นต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพราะ สามารถกระโดดได้สูงมาก รวมถึงปีนป่าย แม้กระทั่งขุดรูเพื่อหนีเที่ยวถ้ามันรู้สึกเบื่อหรืออยากหาอะไรสนุกตื่นเต้น ทำ

          4.  เพื่อความปลอดภัยของ สุนัข ผู้เลี้ยง แจ๊ครัสเซลล์ ควรจะใช้สายจูงตลอดเวลาที่พาไปเดินเล่น เนื่องจาก แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่มีความรวดเร็วและคล่องตัวสูงมาก


8707


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          สุนัขพันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกมันเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซลล์ จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็ก ๆ พวกมันจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี


การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          ผู้เลี้ยงจำนวนมากมักมีความคิดว่า หากน้องหมาทานแต่อาหารเม็ด น้องหมาจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ถูกปาก และไม่อยากทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาที่สุดก็คือ อาหารเม็ดสำเร็จรูปเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปจะมีการคำนวณปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ที่น้องหมาควรได้รับต่อมื้อมาอย่างพอดี โดยผู้เลี้ยงควรให้น้องหมาทานอาหารตามสูตรและให้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ข้างถุง หรือข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้น้องหมาของเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มากหรือน้อยจนอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย และการอาบน้ำเพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอต่อความต้องการของน้องหมาแล้ว เนื่องจากพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนกับคนเรา การอาบน้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังของน้องหมาแห้ง แต่อาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำได้ตามสมควร หากว่ามันออกไปเล่นจนสกปรกมากเกินไป

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉง และตื่นตัวเป็นอย่างมาก จึงทำให้น้องหมามีความต้องการและชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ แต่การพาน้องหมาไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือบริเวณพื้นที่สาธารณะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีแนวโน้มที่จะวิ่งไล่กวดสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้โดยง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรใส่สายจูงให้มันทุกครั้งเมื่อพามันออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกาย
แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเมื่อราวปี ค.ศ. 1814 โดยศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ ผู้ชื่นชอบการไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก เขาต้องการสุนัขสายพันธุ์เทอร์เรียร์ขนาดเล็ก ที่จะใช้ไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก จนกระทั่งได้สุนัขเทอร์เรียเพศเมียมาตัวหนึ่งชื่อ "ทรัมพ์" จากคนส่งนม ศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ จึงใช้ทรัพพ์เป็นพื้นฐานจนเพาะพันธุ์ได้เป็น แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ขึ้นมาในที่สุด

          ทั้งนี้ ในยุคแรกๆ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีความสูงเฉลี่ย 35 เซนติเมตร แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการพัฒนาสายพันธุ์จนได้ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ที่มีขนาดเล็กลง และมี 2 สายพันธุ์ คือ พาร์สัน แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย และ แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

ลักษณะทั่วไป สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย 

          สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีลักษณะขน 3 ประเภทคือ ขนเรียบ ขนแตก และขนหยาบ ลักษณะที่ดีของ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย คือควรจะมีกะโหลกโต หูต้องเป็นรูปตัว V และตกไปทางด้านหน้า จมูกและริมฝีปากต้องมีสีดำ ตาควรเป็นสีน้ำตาลเข้มรูปถั่วอัลมอนด์ แฝงด้วยแววตาขี้เล่นและขี้สงสัย ขาต้องตรงและมีกล้ามเนื้อที่ต้นขา หางต้องสั้นและชี้ขึ้น

          อย่างไรก็ตาม ขนของสุนัข แจ็ครัสเซล ควรจะมีสีขาวตั้งแต่ 51% หรือมากกว่าขึ้นไปในร่างกาย และมีมาร์คกิ้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ หรือทั้งน้ำตาลและดำ หรือเรียกว่า "TRI COLOURED MARKING" ซึ่ง สุนัข แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ส่วนใหญ่จะพบที่บนใบหน้า รอบตา หู ที่ก้นถึงหางและเล็กน้อยบนลำตัว

ลักษณะนิสัย แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

          สุนัข พันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็กๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซล จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็กๆ พวกเขาจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ครัสเซล ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี

เรื่องควรรู้ก่อนคิดเลี้ยง สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          1.  แจ๊ครัสเซล เป็นสุนัขตื่นตัวตลอดเวลา มันควรได้รับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรอยู่ในความควบคุมดูแลและควรได้รับการฝึกสอนจากเจ้าของ หรือฝึก

          2.  แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลและเวลาจากเจ้าของอย่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมและขี้เล่น

          3.  ผู้เลี้ยง สุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ควรจัดระบบการเลี้ยงให้ถูกต้อง เช่นต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพราะ สามารถกระโดดได้สูงมาก รวมถึงปีนป่าย แม้กระทั่งขุดรูเพื่อหนีเที่ยวถ้ามันรู้สึกเบื่อหรืออยากหาอะไรสนุกตื่นเต้น ทำ

          4.  เพื่อความปลอดภัยของ สุนัข ผู้เลี้ยง แจ๊ครัสเซลล์ ควรจะใช้สายจูงตลอดเวลาที่พาไปเดินเล่น เนื่องจาก แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่มีความรวดเร็วและคล่องตัวสูงมาก


8708


ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          สุนัขพันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกมันเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซลล์ จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็ก ๆ พวกมันจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี


การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          ผู้เลี้ยงจำนวนมากมักมีความคิดว่า หากน้องหมาทานแต่อาหารเม็ด น้องหมาจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ถูกปาก และไม่อยากทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาที่สุดก็คือ อาหารเม็ดสำเร็จรูปเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปจะมีการคำนวณปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ที่น้องหมาควรได้รับต่อมื้อมาอย่างพอดี โดยผู้เลี้ยงควรให้น้องหมาทานอาหารตามสูตรและให้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ข้างถุง หรือข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้น้องหมาของเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มากหรือน้อยจนอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย และการอาบน้ำเพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอต่อความต้องการของน้องหมาแล้ว เนื่องจากพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนกับคนเรา การอาบน้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังของน้องหมาแห้ง แต่อาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำได้ตามสมควร หากว่ามันออกไปเล่นจนสกปรกมากเกินไป

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉง และตื่นตัวเป็นอย่างมาก จึงทำให้น้องหมามีความต้องการและชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ แต่การพาน้องหมาไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือบริเวณพื้นที่สาธารณะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีแนวโน้มที่จะวิ่งไล่กวดสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้โดยง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรใส่สายจูงให้มันทุกครั้งเมื่อพามันออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกาย
แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเมื่อราวปี ค.ศ. 1814 โดยศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ ผู้ชื่นชอบการไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก เขาต้องการสุนัขสายพันธุ์เทอร์เรียร์ขนาดเล็ก ที่จะใช้ไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก จนกระทั่งได้สุนัขเทอร์เรียเพศเมียมาตัวหนึ่งชื่อ "ทรัมพ์" จากคนส่งนม ศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ จึงใช้ทรัพพ์เป็นพื้นฐานจนเพาะพันธุ์ได้เป็น แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ขึ้นมาในที่สุด

          ทั้งนี้ ในยุคแรกๆ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีความสูงเฉลี่ย 35 เซนติเมตร แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการพัฒนาสายพันธุ์จนได้ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ที่มีขนาดเล็กลง และมี 2 สายพันธุ์ คือ พาร์สัน แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย และ แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

ลักษณะทั่วไป สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย 

          สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีลักษณะขน 3 ประเภทคือ ขนเรียบ ขนแตก และขนหยาบ ลักษณะที่ดีของ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย คือควรจะมีกะโหลกโต หูต้องเป็นรูปตัว V และตกไปทางด้านหน้า จมูกและริมฝีปากต้องมีสีดำ ตาควรเป็นสีน้ำตาลเข้มรูปถั่วอัลมอนด์ แฝงด้วยแววตาขี้เล่นและขี้สงสัย ขาต้องตรงและมีกล้ามเนื้อที่ต้นขา หางต้องสั้นและชี้ขึ้น

          อย่างไรก็ตาม ขนของสุนัข แจ็ครัสเซล ควรจะมีสีขาวตั้งแต่ 51% หรือมากกว่าขึ้นไปในร่างกาย และมีมาร์คกิ้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ หรือทั้งน้ำตาลและดำ หรือเรียกว่า "TRI COLOURED MARKING" ซึ่ง สุนัข แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ส่วนใหญ่จะพบที่บนใบหน้า รอบตา หู ที่ก้นถึงหางและเล็กน้อยบนลำตัว

ลักษณะนิสัย แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

          สุนัข พันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็กๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซล จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็กๆ พวกเขาจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ครัสเซล ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี

เรื่องควรรู้ก่อนคิดเลี้ยง สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          1.  แจ๊ครัสเซล เป็นสุนัขตื่นตัวตลอดเวลา มันควรได้รับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรอยู่ในความควบคุมดูแลและควรได้รับการฝึกสอนจากเจ้าของ หรือฝึก

          2.  แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลและเวลาจากเจ้าของอย่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมและขี้เล่น

          3.  ผู้เลี้ยง สุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ควรจัดระบบการเลี้ยงให้ถูกต้อง เช่นต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพราะ สามารถกระโดดได้สูงมาก รวมถึงปีนป่าย แม้กระทั่งขุดรูเพื่อหนีเที่ยวถ้ามันรู้สึกเบื่อหรืออยากหาอะไรสนุกตื่นเต้น ทำ

          4.  เพื่อความปลอดภัยของ สุนัข ผู้เลี้ยง แจ๊ครัสเซลล์ ควรจะใช้สายจูงตลอดเวลาที่พาไปเดินเล่น เนื่องจาก แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่มีความรวดเร็วและคล่องตัวสูงมาก


8709

ประวัติ สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก

          เฟรนช์ บูลด็อก (french bulldog) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เฟรนชี่" นี้ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูน่ารักแบบแปลก ๆ แต่ถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาไฮโซมาก นั่นก็คือ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจากการค้นข้อมูล ก็พบแหล่งกำเนิดของ เฟรนช์ บูลด็อก ดังนี้

           ปี ค.ศ.1850 – 1860 ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวอังกฤษได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์ สุนัข บูลด็อก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษให้มีขนาดเล็กลง

           ปี ค.ศ.1860 มีผู้นำ สุนัข อิงลิช บูลด็อก ที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กลงเข้าไปยังประเทศฝรั่งเศส

           ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวฝรั่งเศส ได้นำสุนัข อิงลิช บูลด็อก ขนาดเล็กไปผสมกับสุนัขสายพันธุ์ เฟรนช์ เทอร์เรียร์ และต้องชื่อสุนัขพันธุ์ใหม่นี้ว่า "เฟรนช์ บูลด็อก" (French Bulldog)

           นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันได้มาพบสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก เข้าและเกิดอาการปิ๊งทันทีที่ได้เห็น จึงนำกลับไปยังประเทศอเมริกา

           เฟรนช์ บูลด็อก ปรากฎตัวอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1896 ในงานประกวดสุนัข Westminster Kennel Club’s Show ที่นิวยอร์ก และได้มีการตั้งสมาคม French Bulldog Club of America ขึ้นเป็นสมาคมสุนัขพันธุ์นี้แห่งแรกในโลก
 
ลักษณะนิสัย        
          1. รูปร่างกลม ๆ ป้อม ๆ บวกกับขาสั้น ๆ ทำให้เวลาเดิน สะโพกของ เฟรนช บูลด็อก จะส่ายไปมา เมื่อรวมเข้ากับจมูกสั้น ย่น ปากกว้างที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา และใบหูอันใหญ่โตที่คล้ายกับหูค้างคาว ทำให้ใคร ๆ ที่ได้พบ เฟรนช์ บูลด็อก อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

          2. เฟรนช์ บูลด็อก มีนิสัยร่างเริง และเป็นมิตร เขาอาจจะเห่าเพื่อเตือนให้เราทราบว่ามีคนแปลกหน้ามาป้วยเปี้ยนอยู่แถวนี้นะจ๊ะ แต่นอกจากนั้นเขาจะไม่เห่าพร่ำเพรื่อ

          3. เพราะจมูกของ เฟรนช์ บูลด็อก ทั้งย่นทั้งสั้น เวลาที่เขาหายใจจึงมีเสียงดังตลอดเวลา นอกจากนั้นปากที่กว้างมากยังทำให้เขาซดน้ำเสียงดังและมักทำน้ำหกเลอะเทอะไปทั่วบ้าน

          4. หากคุณกิ้นข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของเขาหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้างด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วเขาก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน เขาก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา(อิอิ)

          5. เฟรนช์ บูลด็อก ไม่ทนต่อความร้อน ดังนั้นจึงต้องให้เขาอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิพอดี ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก

         
          อย่างไรก็ตาม เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว เข้ากับทุกคนในบ้านได้ และเข้ากับสัตว์ได้ทุกประเภท ปกติแล้วจะแทบไม่ได้ยินเสียงเห่าของเขาเลย ยกเว้นแต่เกิดสิ่งปกติอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่สุนัขสำหรับเฝ้าบ้าน เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนมากกว่า นอกจากนี้ จากประสบการณ์ผู้เลี้ยง สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก มักพูดตรงกันว่าเจ้าตูบพันธุ์นี้มีความตลก และชอบทำอะไรแปลก ๆ น่ารัก ๆ ไม่นิ่ง หรือไม่ไฮเปอร์เกินไป ที่สำคัญคือเงียบ ไม่เห่า
หัว : มีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กะโหลกระหว่างหูสองข้างค่อนข้างแบน หน้าผากมีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีกล้ามเนื้อชัดเจน

          ตา : มีลักษณะกลม สีเข้ม ขนาดปานกลาง ตำแหน่งของดวงตาค่อนข้างอยู่ห่างจากใบหู ตาไม่ลึกหรือโปนจนเกินไป

          จมูก : สั้น รูจมูกกว้าง สีอาจดำหรือจางขึ้นอยู่กับสีขน ดั้งจมูกมีมุมหักชัดเจน

          ปาก :  มีลักษณะกว้างและลึก มุมปากมีเหนียงค่อนข้างหนา กรามแข็งแรง ขณะหุบปากต้องไม่เห็นฟันยื่นออกมา

          คอ : กลมหนา หนังคอบริเวณลูกกระเดือกค่อนข้างย่น

          อก :  กว้างและลึก

          ขา : ขาหน้าทั้งสองข้างห่างกันพอสมควร ขาตั้งตรง ค่อนข้างสั้น มีกล้ามเนื้อ เท้าหน้ามีขนาดพอเหมาะ นิ้วเท้าชิด ขาหลังตั้งตรง ห่างกันพอประมาณ มีกล้ามเนื้อ เท้าหลังใหญ่กว่าเท้าหน้าเล็กน้อย นิ้วเท้าชิด

          หู : มีลักษณะเหมือนหูค้างคาว โคนหูใหญ่ ใบหูค่อนข้างยาว บริเวณปลายโค้งมน

          ลำตัว : ลักษณะสั้น กลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้าง เอวเล็ก

          หาง : ตรงหรือบิดเป็นเกลียวก็ได้ หางค่อนข้างสั้น โคนหางอยู่ในระดับต่ำ

          ขน :  เรียบ สั้น นุ่ม และหนาแน่น

          ความสูงและน้ำหนัก : สูงตั้งแต่ 10-12 นิ้ว พันธุ์เล็กน้ำหนักน้อยกว่า 22 ปอนด์ พันธุ์ใหญ่น้ำหนักประมาณ 22-28 ปอนด์

          ลักษณะที่ถือว่าบกพร่อง : หูไม่เหมือนึ้างคาว น้ำหนักเกิน 22 ปอนด์ สำหรับพันธุ์เล็ก

8710

ประวัติ สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก

          เฟรนช์ บูลด็อก (french bulldog) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เฟรนชี่" นี้ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูน่ารักแบบแปลก ๆ แต่ถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาไฮโซมาก นั่นก็คือ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจากการค้นข้อมูล ก็พบแหล่งกำเนิดของ เฟรนช์ บูลด็อก ดังนี้

           ปี ค.ศ.1850 – 1860 ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวอังกฤษได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์ สุนัข บูลด็อก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษให้มีขนาดเล็กลง

           ปี ค.ศ.1860 มีผู้นำ สุนัข อิงลิช บูลด็อก ที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กลงเข้าไปยังประเทศฝรั่งเศส

           ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวฝรั่งเศส ได้นำสุนัข อิงลิช บูลด็อก ขนาดเล็กไปผสมกับสุนัขสายพันธุ์ เฟรนช์ เทอร์เรียร์ และต้องชื่อสุนัขพันธุ์ใหม่นี้ว่า "เฟรนช์ บูลด็อก" (French Bulldog)

           นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันได้มาพบสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก เข้าและเกิดอาการปิ๊งทันทีที่ได้เห็น จึงนำกลับไปยังประเทศอเมริกา

           เฟรนช์ บูลด็อก ปรากฎตัวอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1896 ในงานประกวดสุนัข Westminster Kennel Club’s Show ที่นิวยอร์ก และได้มีการตั้งสมาคม French Bulldog Club of America ขึ้นเป็นสมาคมสุนัขพันธุ์นี้แห่งแรกในโลก
 
ลักษณะนิสัย        
          1. รูปร่างกลม ๆ ป้อม ๆ บวกกับขาสั้น ๆ ทำให้เวลาเดิน สะโพกของ เฟรนช บูลด็อก จะส่ายไปมา เมื่อรวมเข้ากับจมูกสั้น ย่น ปากกว้างที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา และใบหูอันใหญ่โตที่คล้ายกับหูค้างคาว ทำให้ใคร ๆ ที่ได้พบ เฟรนช์ บูลด็อก อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

          2. เฟรนช์ บูลด็อก มีนิสัยร่างเริง และเป็นมิตร เขาอาจจะเห่าเพื่อเตือนให้เราทราบว่ามีคนแปลกหน้ามาป้วยเปี้ยนอยู่แถวนี้นะจ๊ะ แต่นอกจากนั้นเขาจะไม่เห่าพร่ำเพรื่อ

          3. เพราะจมูกของ เฟรนช์ บูลด็อก ทั้งย่นทั้งสั้น เวลาที่เขาหายใจจึงมีเสียงดังตลอดเวลา นอกจากนั้นปากที่กว้างมากยังทำให้เขาซดน้ำเสียงดังและมักทำน้ำหกเลอะเทอะไปทั่วบ้าน

          4. หากคุณกิ้นข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของเขาหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้างด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วเขาก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน เขาก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา(อิอิ)

          5. เฟรนช์ บูลด็อก ไม่ทนต่อความร้อน ดังนั้นจึงต้องให้เขาอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิพอดี ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก

         
          อย่างไรก็ตาม เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว เข้ากับทุกคนในบ้านได้ และเข้ากับสัตว์ได้ทุกประเภท ปกติแล้วจะแทบไม่ได้ยินเสียงเห่าของเขาเลย ยกเว้นแต่เกิดสิ่งปกติอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่สุนัขสำหรับเฝ้าบ้าน เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนมากกว่า นอกจากนี้ จากประสบการณ์ผู้เลี้ยง สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก มักพูดตรงกันว่าเจ้าตูบพันธุ์นี้มีความตลก และชอบทำอะไรแปลก ๆ น่ารัก ๆ ไม่นิ่ง หรือไม่ไฮเปอร์เกินไป ที่สำคัญคือเงียบ ไม่เห่า
หัว : มีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กะโหลกระหว่างหูสองข้างค่อนข้างแบน หน้าผากมีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีกล้ามเนื้อชัดเจน

          ตา : มีลักษณะกลม สีเข้ม ขนาดปานกลาง ตำแหน่งของดวงตาค่อนข้างอยู่ห่างจากใบหู ตาไม่ลึกหรือโปนจนเกินไป

          จมูก : สั้น รูจมูกกว้าง สีอาจดำหรือจางขึ้นอยู่กับสีขน ดั้งจมูกมีมุมหักชัดเจน

          ปาก :  มีลักษณะกว้างและลึก มุมปากมีเหนียงค่อนข้างหนา กรามแข็งแรง ขณะหุบปากต้องไม่เห็นฟันยื่นออกมา

          คอ : กลมหนา หนังคอบริเวณลูกกระเดือกค่อนข้างย่น

          อก :  กว้างและลึก

          ขา : ขาหน้าทั้งสองข้างห่างกันพอสมควร ขาตั้งตรง ค่อนข้างสั้น มีกล้ามเนื้อ เท้าหน้ามีขนาดพอเหมาะ นิ้วเท้าชิด ขาหลังตั้งตรง ห่างกันพอประมาณ มีกล้ามเนื้อ เท้าหลังใหญ่กว่าเท้าหน้าเล็กน้อย นิ้วเท้าชิด

          หู : มีลักษณะเหมือนหูค้างคาว โคนหูใหญ่ ใบหูค่อนข้างยาว บริเวณปลายโค้งมน

          ลำตัว : ลักษณะสั้น กลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้าง เอวเล็ก

          หาง : ตรงหรือบิดเป็นเกลียวก็ได้ หางค่อนข้างสั้น โคนหางอยู่ในระดับต่ำ

          ขน :  เรียบ สั้น นุ่ม และหนาแน่น

          ความสูงและน้ำหนัก : สูงตั้งแต่ 10-12 นิ้ว พันธุ์เล็กน้ำหนักน้อยกว่า 22 ปอนด์ พันธุ์ใหญ่น้ำหนักประมาณ 22-28 ปอนด์

          ลักษณะที่ถือว่าบกพร่อง : หูไม่เหมือนึ้างคาว น้ำหนักเกิน 22 ปอนด์ สำหรับพันธุ์เล็ก

8711

ประวัติ สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก

          เฟรนช์ บูลด็อก (french bulldog) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เฟรนชี่" นี้ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูน่ารักแบบแปลก ๆ แต่ถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาไฮโซมาก นั่นก็คือ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจากการค้นข้อมูล ก็พบแหล่งกำเนิดของ เฟรนช์ บูลด็อก ดังนี้

           ปี ค.ศ.1850 – 1860 ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวอังกฤษได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์ สุนัข บูลด็อก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษให้มีขนาดเล็กลง

           ปี ค.ศ.1860 มีผู้นำ สุนัข อิงลิช บูลด็อก ที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กลงเข้าไปยังประเทศฝรั่งเศส

           ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวฝรั่งเศส ได้นำสุนัข อิงลิช บูลด็อก ขนาดเล็กไปผสมกับสุนัขสายพันธุ์ เฟรนช์ เทอร์เรียร์ และต้องชื่อสุนัขพันธุ์ใหม่นี้ว่า "เฟรนช์ บูลด็อก" (French Bulldog)

           นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันได้มาพบสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก เข้าและเกิดอาการปิ๊งทันทีที่ได้เห็น จึงนำกลับไปยังประเทศอเมริกา

           เฟรนช์ บูลด็อก ปรากฎตัวอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1896 ในงานประกวดสุนัข Westminster Kennel Club’s Show ที่นิวยอร์ก และได้มีการตั้งสมาคม French Bulldog Club of America ขึ้นเป็นสมาคมสุนัขพันธุ์นี้แห่งแรกในโลก
 
ลักษณะนิสัย        
          1. รูปร่างกลม ๆ ป้อม ๆ บวกกับขาสั้น ๆ ทำให้เวลาเดิน สะโพกของ เฟรนช บูลด็อก จะส่ายไปมา เมื่อรวมเข้ากับจมูกสั้น ย่น ปากกว้างที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา และใบหูอันใหญ่โตที่คล้ายกับหูค้างคาว ทำให้ใคร ๆ ที่ได้พบ เฟรนช์ บูลด็อก อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

          2. เฟรนช์ บูลด็อก มีนิสัยร่างเริง และเป็นมิตร เขาอาจจะเห่าเพื่อเตือนให้เราทราบว่ามีคนแปลกหน้ามาป้วยเปี้ยนอยู่แถวนี้นะจ๊ะ แต่นอกจากนั้นเขาจะไม่เห่าพร่ำเพรื่อ

          3. เพราะจมูกของ เฟรนช์ บูลด็อก ทั้งย่นทั้งสั้น เวลาที่เขาหายใจจึงมีเสียงดังตลอดเวลา นอกจากนั้นปากที่กว้างมากยังทำให้เขาซดน้ำเสียงดังและมักทำน้ำหกเลอะเทอะไปทั่วบ้าน

          4. หากคุณกิ้นข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของเขาหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้างด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วเขาก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน เขาก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา(อิอิ)

          5. เฟรนช์ บูลด็อก ไม่ทนต่อความร้อน ดังนั้นจึงต้องให้เขาอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิพอดี ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก

         
          อย่างไรก็ตาม เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว เข้ากับทุกคนในบ้านได้ และเข้ากับสัตว์ได้ทุกประเภท ปกติแล้วจะแทบไม่ได้ยินเสียงเห่าของเขาเลย ยกเว้นแต่เกิดสิ่งปกติอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่สุนัขสำหรับเฝ้าบ้าน เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนมากกว่า นอกจากนี้ จากประสบการณ์ผู้เลี้ยง สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก มักพูดตรงกันว่าเจ้าตูบพันธุ์นี้มีความตลก และชอบทำอะไรแปลก ๆ น่ารัก ๆ ไม่นิ่ง หรือไม่ไฮเปอร์เกินไป ที่สำคัญคือเงียบ ไม่เห่า
หัว : มีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กะโหลกระหว่างหูสองข้างค่อนข้างแบน หน้าผากมีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีกล้ามเนื้อชัดเจน

          ตา : มีลักษณะกลม สีเข้ม ขนาดปานกลาง ตำแหน่งของดวงตาค่อนข้างอยู่ห่างจากใบหู ตาไม่ลึกหรือโปนจนเกินไป

          จมูก : สั้น รูจมูกกว้าง สีอาจดำหรือจางขึ้นอยู่กับสีขน ดั้งจมูกมีมุมหักชัดเจน

          ปาก :  มีลักษณะกว้างและลึก มุมปากมีเหนียงค่อนข้างหนา กรามแข็งแรง ขณะหุบปากต้องไม่เห็นฟันยื่นออกมา

          คอ : กลมหนา หนังคอบริเวณลูกกระเดือกค่อนข้างย่น

          อก :  กว้างและลึก

          ขา : ขาหน้าทั้งสองข้างห่างกันพอสมควร ขาตั้งตรง ค่อนข้างสั้น มีกล้ามเนื้อ เท้าหน้ามีขนาดพอเหมาะ นิ้วเท้าชิด ขาหลังตั้งตรง ห่างกันพอประมาณ มีกล้ามเนื้อ เท้าหลังใหญ่กว่าเท้าหน้าเล็กน้อย นิ้วเท้าชิด

          หู : มีลักษณะเหมือนหูค้างคาว โคนหูใหญ่ ใบหูค่อนข้างยาว บริเวณปลายโค้งมน

          ลำตัว : ลักษณะสั้น กลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้าง เอวเล็ก

          หาง : ตรงหรือบิดเป็นเกลียวก็ได้ หางค่อนข้างสั้น โคนหางอยู่ในระดับต่ำ

          ขน :  เรียบ สั้น นุ่ม และหนาแน่น

          ความสูงและน้ำหนัก : สูงตั้งแต่ 10-12 นิ้ว พันธุ์เล็กน้ำหนักน้อยกว่า 22 ปอนด์ พันธุ์ใหญ่น้ำหนักประมาณ 22-28 ปอนด์

          ลักษณะที่ถือว่าบกพร่อง : หูไม่เหมือนึ้างคาว น้ำหนักเกิน 22 ปอนด์ สำหรับพันธุ์เล็ก

8712

ประวัติ สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก

          เฟรนช์ บูลด็อก (french bulldog) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เฟรนชี่" นี้ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูน่ารักแบบแปลก ๆ แต่ถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาไฮโซมาก นั่นก็คือ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจากการค้นข้อมูล ก็พบแหล่งกำเนิดของ เฟรนช์ บูลด็อก ดังนี้

           ปี ค.ศ.1850 – 1860 ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวอังกฤษได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์ สุนัข บูลด็อก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษให้มีขนาดเล็กลง

           ปี ค.ศ.1860 มีผู้นำ สุนัข อิงลิช บูลด็อก ที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กลงเข้าไปยังประเทศฝรั่งเศส

           ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวฝรั่งเศส ได้นำสุนัข อิงลิช บูลด็อก ขนาดเล็กไปผสมกับสุนัขสายพันธุ์ เฟรนช์ เทอร์เรียร์ และต้องชื่อสุนัขพันธุ์ใหม่นี้ว่า "เฟรนช์ บูลด็อก" (French Bulldog)

           นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันได้มาพบสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก เข้าและเกิดอาการปิ๊งทันทีที่ได้เห็น จึงนำกลับไปยังประเทศอเมริกา

           เฟรนช์ บูลด็อก ปรากฎตัวอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1896 ในงานประกวดสุนัข Westminster Kennel Club’s Show ที่นิวยอร์ก และได้มีการตั้งสมาคม French Bulldog Club of America ขึ้นเป็นสมาคมสุนัขพันธุ์นี้แห่งแรกในโลก
 
ลักษณะนิสัย        
          1. รูปร่างกลม ๆ ป้อม ๆ บวกกับขาสั้น ๆ ทำให้เวลาเดิน สะโพกของ เฟรนช บูลด็อก จะส่ายไปมา เมื่อรวมเข้ากับจมูกสั้น ย่น ปากกว้างที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา และใบหูอันใหญ่โตที่คล้ายกับหูค้างคาว ทำให้ใคร ๆ ที่ได้พบ เฟรนช์ บูลด็อก อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

          2. เฟรนช์ บูลด็อก มีนิสัยร่างเริง และเป็นมิตร เขาอาจจะเห่าเพื่อเตือนให้เราทราบว่ามีคนแปลกหน้ามาป้วยเปี้ยนอยู่แถวนี้นะจ๊ะ แต่นอกจากนั้นเขาจะไม่เห่าพร่ำเพรื่อ

          3. เพราะจมูกของ เฟรนช์ บูลด็อก ทั้งย่นทั้งสั้น เวลาที่เขาหายใจจึงมีเสียงดังตลอดเวลา นอกจากนั้นปากที่กว้างมากยังทำให้เขาซดน้ำเสียงดังและมักทำน้ำหกเลอะเทอะไปทั่วบ้าน

          4. หากคุณกิ้นข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของเขาหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้างด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วเขาก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน เขาก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา(อิอิ)

          5. เฟรนช์ บูลด็อก ไม่ทนต่อความร้อน ดังนั้นจึงต้องให้เขาอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิพอดี ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก

         
          อย่างไรก็ตาม เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว เข้ากับทุกคนในบ้านได้ และเข้ากับสัตว์ได้ทุกประเภท ปกติแล้วจะแทบไม่ได้ยินเสียงเห่าของเขาเลย ยกเว้นแต่เกิดสิ่งปกติอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่สุนัขสำหรับเฝ้าบ้าน เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนมากกว่า นอกจากนี้ จากประสบการณ์ผู้เลี้ยง สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก มักพูดตรงกันว่าเจ้าตูบพันธุ์นี้มีความตลก และชอบทำอะไรแปลก ๆ น่ารัก ๆ ไม่นิ่ง หรือไม่ไฮเปอร์เกินไป ที่สำคัญคือเงียบ ไม่เห่า
หัว : มีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กะโหลกระหว่างหูสองข้างค่อนข้างแบน หน้าผากมีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีกล้ามเนื้อชัดเจน

          ตา : มีลักษณะกลม สีเข้ม ขนาดปานกลาง ตำแหน่งของดวงตาค่อนข้างอยู่ห่างจากใบหู ตาไม่ลึกหรือโปนจนเกินไป

          จมูก : สั้น รูจมูกกว้าง สีอาจดำหรือจางขึ้นอยู่กับสีขน ดั้งจมูกมีมุมหักชัดเจน

          ปาก :  มีลักษณะกว้างและลึก มุมปากมีเหนียงค่อนข้างหนา กรามแข็งแรง ขณะหุบปากต้องไม่เห็นฟันยื่นออกมา

          คอ : กลมหนา หนังคอบริเวณลูกกระเดือกค่อนข้างย่น

          อก :  กว้างและลึก

          ขา : ขาหน้าทั้งสองข้างห่างกันพอสมควร ขาตั้งตรง ค่อนข้างสั้น มีกล้ามเนื้อ เท้าหน้ามีขนาดพอเหมาะ นิ้วเท้าชิด ขาหลังตั้งตรง ห่างกันพอประมาณ มีกล้ามเนื้อ เท้าหลังใหญ่กว่าเท้าหน้าเล็กน้อย นิ้วเท้าชิด

          หู : มีลักษณะเหมือนหูค้างคาว โคนหูใหญ่ ใบหูค่อนข้างยาว บริเวณปลายโค้งมน

          ลำตัว : ลักษณะสั้น กลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้าง เอวเล็ก

          หาง : ตรงหรือบิดเป็นเกลียวก็ได้ หางค่อนข้างสั้น โคนหางอยู่ในระดับต่ำ

          ขน :  เรียบ สั้น นุ่ม และหนาแน่น

          ความสูงและน้ำหนัก : สูงตั้งแต่ 10-12 นิ้ว พันธุ์เล็กน้ำหนักน้อยกว่า 22 ปอนด์ พันธุ์ใหญ่น้ำหนักประมาณ 22-28 ปอนด์

          ลักษณะที่ถือว่าบกพร่อง : หูไม่เหมือนึ้างคาว น้ำหนักเกิน 22 ปอนด์ สำหรับพันธุ์เล็ก

8713


เป็นสุนัขที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน มีประวัติและตำนานอันยาวนาน รูปร่างของเขาเป็นการผสมผสานระหว่าง สุนัขพันธุ์พ้อยเตอร์และสุนัขพันธุ์ฮาวนด์ที่มีใบหูเล็กและผิวหนังที่ตึงของทวีปยุโรปตะวันออก เนื่องจากมันไม่ได้ถูกใช้เป็นสุนัขดมกลิ่นหรือช่วยในการล่าสัตว์ จึงเป็นการยากที่จะรู้ถึงเทือกเถาเหล่ากอที่แน่ชัด ตามตำนานได้เล่าขานว่า เล่าขานว่ามาจากทางตอนเหนือของประเทศอินเดียเมื่อนานมาแล้ว แล้วถูกนำเข้าทวีปยุโรปตะวันออกโดยชาวยิปซี เนื่องจากพบบันทึกเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์นี้ในเมืองดัลเมเชียในยุคแรกๆ จึงมีการตั้งชื่อสุนัขพันธุ์นี้ว่าดัลเมเชียน

ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดอย่างไร เจ้าที่คอยวิ่งตามม้าเทียมรถตั้งแต่ยุคกลาง เพื่อปกป้องนักท่องเที่ยวจากโจรที่ปล้นคนเดินทาง แต่ในที่สุดมันก็กลายมาเป็นเครื่องประดับของผู้รากมากดี จากภาพที่สุนัขพันธุ์นี้วิ่งไปตามถนนของกรุงลอนดอน เพื่อกันผู้คนไม่ให้ไปเกะกะเจ้าหน้าที่ดับเพลิง จึงมีชื่อเล่นว่าสุนัขดับเพลิง ดัลเมเชียนเป็นสัตว์เลี้ยงที่สะอาด สงบเสงี่ยมและมองได้ไกล กลายเป็นสุนัขที่คอยระแวดระวังเกี่ยวกับเพลิงไหม้ เป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่ายกเว้นจะมีอะไรหลงเข้ามา สุนัขพันธุ์นี้มีความอดทนอย่างเหลือเชื่อ สามารถที่จะวิ่งในความเร็วปานกลางแบบไม่มีกำหนด ความจำเป็นในการออกกำลังกายจึงมีมาก

มาตราฐานสายพันธุ์

ลักษณะทั่วไป
: ดัลเมเชียนเป็นสุนัขที่มีจุดโดดเด่น ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว

อุปนิสัย : ร่าเริง รักสะอาด ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว

ศีรษะ : มีความสมดุลกับร่างกาย มีความยาวพอสมควร ผิวหนังไม่หย่อน

ตา : อยู่ห่างกันพอประมาณ ขนาดปานกลางและมีลักษณะกลม ตาสีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน ตายิ่งเข้มยิ่งดี ตามักมีสีเข้มในดัลเมเชียนที่มีจุดสีดำมากกว่าในตัวที่มีจุดสีตับ

หู : ขนาดปานกลาง ฐานหูกว้างแล้วค่อยๆ สอบ ปลายหูมน หูบาง เมื่อตื่นตัวส่วนบนของหูจะอยู่ระดับเดียว กันกับยอดของกะโหลกศีรษะ

จมูก : สีดำในสุนัขที่มีจุดสีดำ และสีน้ำตาลในสุนัขที่มีจุดสีตับ
ริมฝีปาก : ปิดสนิท

คอ : เส้นหลัง ลำตัว คอโค้งได้ที่ ค่อนข้างยาว ไม่มีเหนียง
เส้นหลัง : เรียบ

อก : ลึก กว้างปานกลาง

หลัง : อยู่ในแนวราบและแข็งแรง

ชายกระเบนเหน็บ : สั้น เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและโค้งเล็กน้อย

หาง : ต่อจากเส้นหลังอย่างธรรมชาติ ไม่มีการตัดหาง หางชูขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ม้วน
 
เท้า : ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลังกลมและกระทัดรัด มีอุ้งเท้าที่หนาและมีสปริง เล็บสีดำหรือขาวในสุนัขที่จุดสีดำ และสีน้ำตาลหรือสีขาวในสุนัขที่มีจุดสีตับ

ขน : ละเอียด หนา สั้น เป็นมัน


8714


เป็นสุนัขที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน มีประวัติและตำนานอันยาวนาน รูปร่างของเขาเป็นการผสมผสานระหว่าง สุนัขพันธุ์พ้อยเตอร์และสุนัขพันธุ์ฮาวนด์ที่มีใบหูเล็กและผิวหนังที่ตึงของทวีปยุโรปตะวันออก เนื่องจากมันไม่ได้ถูกใช้เป็นสุนัขดมกลิ่นหรือช่วยในการล่าสัตว์ จึงเป็นการยากที่จะรู้ถึงเทือกเถาเหล่ากอที่แน่ชัด ตามตำนานได้เล่าขานว่า เล่าขานว่ามาจากทางตอนเหนือของประเทศอินเดียเมื่อนานมาแล้ว แล้วถูกนำเข้าทวีปยุโรปตะวันออกโดยชาวยิปซี เนื่องจากพบบันทึกเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์นี้ในเมืองดัลเมเชียในยุคแรกๆ จึงมีการตั้งชื่อสุนัขพันธุ์นี้ว่าดัลเมเชียน

ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดอย่างไร เจ้าที่คอยวิ่งตามม้าเทียมรถตั้งแต่ยุคกลาง เพื่อปกป้องนักท่องเที่ยวจากโจรที่ปล้นคนเดินทาง แต่ในที่สุดมันก็กลายมาเป็นเครื่องประดับของผู้รากมากดี จากภาพที่สุนัขพันธุ์นี้วิ่งไปตามถนนของกรุงลอนดอน เพื่อกันผู้คนไม่ให้ไปเกะกะเจ้าหน้าที่ดับเพลิง จึงมีชื่อเล่นว่าสุนัขดับเพลิง ดัลเมเชียนเป็นสัตว์เลี้ยงที่สะอาด สงบเสงี่ยมและมองได้ไกล กลายเป็นสุนัขที่คอยระแวดระวังเกี่ยวกับเพลิงไหม้ เป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่ายกเว้นจะมีอะไรหลงเข้ามา สุนัขพันธุ์นี้มีความอดทนอย่างเหลือเชื่อ สามารถที่จะวิ่งในความเร็วปานกลางแบบไม่มีกำหนด ความจำเป็นในการออกกำลังกายจึงมีมาก

มาตราฐานสายพันธุ์

ลักษณะทั่วไป
: ดัลเมเชียนเป็นสุนัขที่มีจุดโดดเด่น ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว

อุปนิสัย : ร่าเริง รักสะอาด ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว

ศีรษะ : มีความสมดุลกับร่างกาย มีความยาวพอสมควร ผิวหนังไม่หย่อน

ตา : อยู่ห่างกันพอประมาณ ขนาดปานกลางและมีลักษณะกลม ตาสีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน ตายิ่งเข้มยิ่งดี ตามักมีสีเข้มในดัลเมเชียนที่มีจุดสีดำมากกว่าในตัวที่มีจุดสีตับ

หู : ขนาดปานกลาง ฐานหูกว้างแล้วค่อยๆ สอบ ปลายหูมน หูบาง เมื่อตื่นตัวส่วนบนของหูจะอยู่ระดับเดียว กันกับยอดของกะโหลกศีรษะ

จมูก : สีดำในสุนัขที่มีจุดสีดำ และสีน้ำตาลในสุนัขที่มีจุดสีตับ
ริมฝีปาก : ปิดสนิท

คอ : เส้นหลัง ลำตัว คอโค้งได้ที่ ค่อนข้างยาว ไม่มีเหนียง
เส้นหลัง : เรียบ

อก : ลึก กว้างปานกลาง

หลัง : อยู่ในแนวราบและแข็งแรง

ชายกระเบนเหน็บ : สั้น เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและโค้งเล็กน้อย

หาง : ต่อจากเส้นหลังอย่างธรรมชาติ ไม่มีการตัดหาง หางชูขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ม้วน
 
เท้า : ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลังกลมและกระทัดรัด มีอุ้งเท้าที่หนาและมีสปริง เล็บสีดำหรือขาวในสุนัขที่จุดสีดำ และสีน้ำตาลหรือสีขาวในสุนัขที่มีจุดสีตับ

ขน : ละเอียด หนา สั้น เป็นมัน


8715


เป็นสุนัขที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน มีประวัติและตำนานอันยาวนาน รูปร่างของเขาเป็นการผสมผสานระหว่าง สุนัขพันธุ์พ้อยเตอร์และสุนัขพันธุ์ฮาวนด์ที่มีใบหูเล็กและผิวหนังที่ตึงของทวีปยุโรปตะวันออก เนื่องจากมันไม่ได้ถูกใช้เป็นสุนัขดมกลิ่นหรือช่วยในการล่าสัตว์ จึงเป็นการยากที่จะรู้ถึงเทือกเถาเหล่ากอที่แน่ชัด ตามตำนานได้เล่าขานว่า เล่าขานว่ามาจากทางตอนเหนือของประเทศอินเดียเมื่อนานมาแล้ว แล้วถูกนำเข้าทวีปยุโรปตะวันออกโดยชาวยิปซี เนื่องจากพบบันทึกเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์นี้ในเมืองดัลเมเชียในยุคแรกๆ จึงมีการตั้งชื่อสุนัขพันธุ์นี้ว่าดัลเมเชียน

ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดอย่างไร เจ้าที่คอยวิ่งตามม้าเทียมรถตั้งแต่ยุคกลาง เพื่อปกป้องนักท่องเที่ยวจากโจรที่ปล้นคนเดินทาง แต่ในที่สุดมันก็กลายมาเป็นเครื่องประดับของผู้รากมากดี จากภาพที่สุนัขพันธุ์นี้วิ่งไปตามถนนของกรุงลอนดอน เพื่อกันผู้คนไม่ให้ไปเกะกะเจ้าหน้าที่ดับเพลิง จึงมีชื่อเล่นว่าสุนัขดับเพลิง ดัลเมเชียนเป็นสัตว์เลี้ยงที่สะอาด สงบเสงี่ยมและมองได้ไกล กลายเป็นสุนัขที่คอยระแวดระวังเกี่ยวกับเพลิงไหม้ เป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่ายกเว้นจะมีอะไรหลงเข้ามา สุนัขพันธุ์นี้มีความอดทนอย่างเหลือเชื่อ สามารถที่จะวิ่งในความเร็วปานกลางแบบไม่มีกำหนด ความจำเป็นในการออกกำลังกายจึงมีมาก

มาตราฐานสายพันธุ์

ลักษณะทั่วไป
: ดัลเมเชียนเป็นสุนัขที่มีจุดโดดเด่น ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว

อุปนิสัย : ร่าเริง รักสะอาด ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว

ศีรษะ : มีความสมดุลกับร่างกาย มีความยาวพอสมควร ผิวหนังไม่หย่อน

ตา : อยู่ห่างกันพอประมาณ ขนาดปานกลางและมีลักษณะกลม ตาสีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน ตายิ่งเข้มยิ่งดี ตามักมีสีเข้มในดัลเมเชียนที่มีจุดสีดำมากกว่าในตัวที่มีจุดสีตับ

หู : ขนาดปานกลาง ฐานหูกว้างแล้วค่อยๆ สอบ ปลายหูมน หูบาง เมื่อตื่นตัวส่วนบนของหูจะอยู่ระดับเดียว กันกับยอดของกะโหลกศีรษะ

จมูก : สีดำในสุนัขที่มีจุดสีดำ และสีน้ำตาลในสุนัขที่มีจุดสีตับ
ริมฝีปาก : ปิดสนิท

คอ : เส้นหลัง ลำตัว คอโค้งได้ที่ ค่อนข้างยาว ไม่มีเหนียง
เส้นหลัง : เรียบ

อก : ลึก กว้างปานกลาง

หลัง : อยู่ในแนวราบและแข็งแรง

ชายกระเบนเหน็บ : สั้น เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและโค้งเล็กน้อย

หาง : ต่อจากเส้นหลังอย่างธรรมชาติ ไม่มีการตัดหาง หางชูขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ม้วน
 
เท้า : ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลังกลมและกระทัดรัด มีอุ้งเท้าที่หนาและมีสปริง เล็บสีดำหรือขาวในสุนัขที่จุดสีดำ และสีน้ำตาลหรือสีขาวในสุนัขที่มีจุดสีตับ

ขน : ละเอียด หนา สั้น เป็นมัน