แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

8641
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8642
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8643
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8644
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8645
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่

8646
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่

8647
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่

8648
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่

8649
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8650
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8651
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8652
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8653


แจแปนนิส อากิตะ   

ความเป็นมา

 
ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ อากิตะ ยังคงไม่แน่ชัด แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างของกระดูกและวิธีการคาร์บอน เดทติ้งแล้ว เชื่อว่าพวกเขามีอยู่ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ว่าได้มีการบันทึกประวัติความเป็นมาเมื่อ 350 ปีก่อนนี้เอง สุนัขพันธุ์ อากิตะเป็นที่รู้จักในนามสุนัขโอดาเตะ ซึ่งตั้งชื่อตามบริเวณภูเขาในบริเวณโอดาเตะ บนเกาะฮอนชู เนื่องจากการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น เท้าที่เป็นพังผืด และขนหนาที่กันน้ำได้ ของสุนัขพันธุ์ อากิตะทำให้พวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของชาวประมง สุนัข อากิตะสามารถเป็นได้ทั้ง สุนัขเลี้ยงวัว และสุนัขนำทางให้คนตาบอด สุนัขลากรถเลื่อนตลอดไปจนถึงสุนัขตำรวจ พวกเขายังสามารถ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลทารกขณะที่คุณแม่ออกไปทำงานในนาข้าว สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีและสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีการส่งรูปปั้นขนาดเล็ก ของสุนัขอากิตะ เพื่ออวยพรคนป่วยให้หายจากโรคโดยเร็ว ในปี 1982 ได้มีการนำเข้าสุนัขพันธุ์ อากิตะเดินทางไปยัง ประเทศออสเตรเลีย ตอนใต้   
 

ช่วงชีวิตเฉลี่ย

 
เมื่อพิจารณาสุนัข กรุณาจำไว้ว่าคุณจะอยู่กับพวกเขาตลอดชีวิตของเขา อากิตะมีช่วงอายุระหว่าง 8 ถึง 10 ปี 
 

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย

 
61 ซม. ถึง 71 ซม. 
 

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

 
สุนัขอากิตะอุปมาอุปมัยถึงความลึกลับของประเทศญี่ปุ่น ความสง่างาม ความภูมิใจและกล้าหาญ มีสติ เยือกเย็น ไม่หวาดกลัวและหนักแน่น ทั้งยังไม่เสียการควบคุมเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่หรือตึงเครียด แม้เป็นลูกสุนัข อากิตะแสดงความผึ่งผายต่างจากสุนัขอื่น ความสามารถในควบคุมตัวเองได้ทำให้การฝึกมารยาทการอยู่ในบ้านหรือการฝึกให้อยู่ในสายสูงเป็นไปได้ง่าย พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่หลาย ๆ แบบ ในขณะเดียวกันพวกเขารักสันโดดและรักอิสระ ความเป็นระเบียบ ผึ่งผายสง่างามทำให้เขาเป็นเพื่อนที่คุณต้องการ พวกเขายังเป็นเพื่อนเล่นแก่เด็กที่ มีความอดทนสูงสำหรับเด็กและ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่บ้านและครอบครัว ที่สำคัญด้วยมือของผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจะเป็นความสุขในการเป็นเจ้าของ 
 

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

 
มีแนวโน้มในการแสดงความเป็นผู้นำต่อสุนัขตัวอื่น 
 

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

 
ถ้าคุณหาสุนัขที่สามารถเลี้ยงในบ้าน พร้อมกับครอบครัวของคุณ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสุนัขพันธุ์นี้ จะผลัดขนปีละ สองครั้ง หรือบางทีสามครั้ง เขาต้องการการออกกำลังกายปริมาณมากและการฝึกการเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องสอนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คุณต้องให้เขารู้ว่าคุณเป็นนาย เมื่อสุนัขพันธุ์ อากิตะผลัดขน ขนจะร่วงออกมา ในช่วงเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะเตรียมพื้นที่นอกบ้านและเตียงแห้งที่อบอุ่นเพื่อลดความเลอะเทอะ การอาบน้ำและแปรงขนจะช่วยให้การขนร่วงหยุดเร็วขึ้น


8654


แจแปนนิส อากิตะ   

ความเป็นมา

 
ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ อากิตะ ยังคงไม่แน่ชัด แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างของกระดูกและวิธีการคาร์บอน เดทติ้งแล้ว เชื่อว่าพวกเขามีอยู่ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ว่าได้มีการบันทึกประวัติความเป็นมาเมื่อ 350 ปีก่อนนี้เอง สุนัขพันธุ์ อากิตะเป็นที่รู้จักในนามสุนัขโอดาเตะ ซึ่งตั้งชื่อตามบริเวณภูเขาในบริเวณโอดาเตะ บนเกาะฮอนชู เนื่องจากการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น เท้าที่เป็นพังผืด และขนหนาที่กันน้ำได้ ของสุนัขพันธุ์ อากิตะทำให้พวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของชาวประมง สุนัข อากิตะสามารถเป็นได้ทั้ง สุนัขเลี้ยงวัว และสุนัขนำทางให้คนตาบอด สุนัขลากรถเลื่อนตลอดไปจนถึงสุนัขตำรวจ พวกเขายังสามารถ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลทารกขณะที่คุณแม่ออกไปทำงานในนาข้าว สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีและสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีการส่งรูปปั้นขนาดเล็ก ของสุนัขอากิตะ เพื่ออวยพรคนป่วยให้หายจากโรคโดยเร็ว ในปี 1982 ได้มีการนำเข้าสุนัขพันธุ์ อากิตะเดินทางไปยัง ประเทศออสเตรเลีย ตอนใต้   
 

ช่วงชีวิตเฉลี่ย

 
เมื่อพิจารณาสุนัข กรุณาจำไว้ว่าคุณจะอยู่กับพวกเขาตลอดชีวิตของเขา อากิตะมีช่วงอายุระหว่าง 8 ถึง 10 ปี 
 

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย

 
61 ซม. ถึง 71 ซม. 
 

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

 
สุนัขอากิตะอุปมาอุปมัยถึงความลึกลับของประเทศญี่ปุ่น ความสง่างาม ความภูมิใจและกล้าหาญ มีสติ เยือกเย็น ไม่หวาดกลัวและหนักแน่น ทั้งยังไม่เสียการควบคุมเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่หรือตึงเครียด แม้เป็นลูกสุนัข อากิตะแสดงความผึ่งผายต่างจากสุนัขอื่น ความสามารถในควบคุมตัวเองได้ทำให้การฝึกมารยาทการอยู่ในบ้านหรือการฝึกให้อยู่ในสายสูงเป็นไปได้ง่าย พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่หลาย ๆ แบบ ในขณะเดียวกันพวกเขารักสันโดดและรักอิสระ ความเป็นระเบียบ ผึ่งผายสง่างามทำให้เขาเป็นเพื่อนที่คุณต้องการ พวกเขายังเป็นเพื่อนเล่นแก่เด็กที่ มีความอดทนสูงสำหรับเด็กและ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่บ้านและครอบครัว ที่สำคัญด้วยมือของผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจะเป็นความสุขในการเป็นเจ้าของ 
 

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

 
มีแนวโน้มในการแสดงความเป็นผู้นำต่อสุนัขตัวอื่น 
 

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

 
ถ้าคุณหาสุนัขที่สามารถเลี้ยงในบ้าน พร้อมกับครอบครัวของคุณ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสุนัขพันธุ์นี้ จะผลัดขนปีละ สองครั้ง หรือบางทีสามครั้ง เขาต้องการการออกกำลังกายปริมาณมากและการฝึกการเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องสอนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คุณต้องให้เขารู้ว่าคุณเป็นนาย เมื่อสุนัขพันธุ์ อากิตะผลัดขน ขนจะร่วงออกมา ในช่วงเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะเตรียมพื้นที่นอกบ้านและเตียงแห้งที่อบอุ่นเพื่อลดความเลอะเทอะ การอาบน้ำและแปรงขนจะช่วยให้การขนร่วงหยุดเร็วขึ้น


8655


แจแปนนิส อากิตะ   

ความเป็นมา

 
ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ อากิตะ ยังคงไม่แน่ชัด แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างของกระดูกและวิธีการคาร์บอน เดทติ้งแล้ว เชื่อว่าพวกเขามีอยู่ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ว่าได้มีการบันทึกประวัติความเป็นมาเมื่อ 350 ปีก่อนนี้เอง สุนัขพันธุ์ อากิตะเป็นที่รู้จักในนามสุนัขโอดาเตะ ซึ่งตั้งชื่อตามบริเวณภูเขาในบริเวณโอดาเตะ บนเกาะฮอนชู เนื่องจากการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น เท้าที่เป็นพังผืด และขนหนาที่กันน้ำได้ ของสุนัขพันธุ์ อากิตะทำให้พวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของชาวประมง สุนัข อากิตะสามารถเป็นได้ทั้ง สุนัขเลี้ยงวัว และสุนัขนำทางให้คนตาบอด สุนัขลากรถเลื่อนตลอดไปจนถึงสุนัขตำรวจ พวกเขายังสามารถ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลทารกขณะที่คุณแม่ออกไปทำงานในนาข้าว สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีและสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีการส่งรูปปั้นขนาดเล็ก ของสุนัขอากิตะ เพื่ออวยพรคนป่วยให้หายจากโรคโดยเร็ว ในปี 1982 ได้มีการนำเข้าสุนัขพันธุ์ อากิตะเดินทางไปยัง ประเทศออสเตรเลีย ตอนใต้   
 

ช่วงชีวิตเฉลี่ย

 
เมื่อพิจารณาสุนัข กรุณาจำไว้ว่าคุณจะอยู่กับพวกเขาตลอดชีวิตของเขา อากิตะมีช่วงอายุระหว่าง 8 ถึง 10 ปี 
 

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย

 
61 ซม. ถึง 71 ซม. 
 

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

 
สุนัขอากิตะอุปมาอุปมัยถึงความลึกลับของประเทศญี่ปุ่น ความสง่างาม ความภูมิใจและกล้าหาญ มีสติ เยือกเย็น ไม่หวาดกลัวและหนักแน่น ทั้งยังไม่เสียการควบคุมเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่หรือตึงเครียด แม้เป็นลูกสุนัข อากิตะแสดงความผึ่งผายต่างจากสุนัขอื่น ความสามารถในควบคุมตัวเองได้ทำให้การฝึกมารยาทการอยู่ในบ้านหรือการฝึกให้อยู่ในสายสูงเป็นไปได้ง่าย พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่หลาย ๆ แบบ ในขณะเดียวกันพวกเขารักสันโดดและรักอิสระ ความเป็นระเบียบ ผึ่งผายสง่างามทำให้เขาเป็นเพื่อนที่คุณต้องการ พวกเขายังเป็นเพื่อนเล่นแก่เด็กที่ มีความอดทนสูงสำหรับเด็กและ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่บ้านและครอบครัว ที่สำคัญด้วยมือของผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจะเป็นความสุขในการเป็นเจ้าของ 
 

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

 
มีแนวโน้มในการแสดงความเป็นผู้นำต่อสุนัขตัวอื่น 
 

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

 
ถ้าคุณหาสุนัขที่สามารถเลี้ยงในบ้าน พร้อมกับครอบครัวของคุณ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสุนัขพันธุ์นี้ จะผลัดขนปีละ สองครั้ง หรือบางทีสามครั้ง เขาต้องการการออกกำลังกายปริมาณมากและการฝึกการเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องสอนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คุณต้องให้เขารู้ว่าคุณเป็นนาย เมื่อสุนัขพันธุ์ อากิตะผลัดขน ขนจะร่วงออกมา ในช่วงเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะเตรียมพื้นที่นอกบ้านและเตียงแห้งที่อบอุ่นเพื่อลดความเลอะเทอะ การอาบน้ำและแปรงขนจะช่วยให้การขนร่วงหยุดเร็วขึ้น