แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

8581
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8582
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8583
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8584
โรคที่มักพบ / โรคภูมิแพ้ในสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:05:04น. »


โรคภูมิแพ้ในสุนัข (Allergy)
          โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารทั่วๆไปรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลง อาหาร ตัวไร และสิ่งของต่างๆ ทั่วไปที่อยู่ภายในบ้านเราเรียกสารต่างๆ เหล่านี้ว่า Allergens การที่สุนัข ดม กินหรือสัมผัสกับ Allergens เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้พบได้ 15 % ในบรรดาสุนัขปกติทั่วไป และบางสายพันธุ์จะพบโรคนี้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ ปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด คือ พันธุ์ Westie หรือ West Highland White Terrier นอกจากนี้แล้วยังมีสุนัขที่ติดอันดับ Top list ของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง คือ Bichon Frise, Lhasa Apso, Golden Retriever, Cairm Terrier, Scottish Terrier, English Setter, American Eskimo Dog, Airedale Terrier, Mixed Breed, Wheaton Terrier, Fox Terrier สุนัขเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกับคน อาการของโรคภูมิแพ้ในคน คือ การจาม, หายใจเสียงแหลม, มีน้ำมูกและน้ำตา ส่วนในสุนัขอาการที่พบบ่อย คือ การคัน เกาหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังและหูอยู่บ่อยๆ ถึงแม้โรคภูมิแพ้ในสุนัขจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญแก่สุนัข และที่สำคัญคือ เจ้าของสุนัขนั่นเอง

อาการของโรคภูมิแพ้ จะทราบได้อย่างไรว่า… สุนัขของเราเป็นโรคภูมิแพ้ วิธีการสังเกตคือ ถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านมีอาการของโรคภูมิแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว หรือเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆหายๆ น่าสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกัน อาการที่ว่านี้คือ คัน เลียแทะเท้า เกา ถูหน้า หรือเอาหน้าไปถูกับพื้น หูอักเสบเรื้อรังอักเสบกันนานๆ ผิวหนังแดง เป็นๆ หายๆ กัดแทะผิวหนังตัวเอง ขนร่วง ผื่นแดงรอบๆ ดวงตา ใบหู ผิวหนังอักเสบร้อนแดง (hot spot) ตัวมีกลิ่นเหม็น หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อให้การควบคุมรักษาได้อย่างปลอดภัย

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในสุนัข
          - โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis, FAD) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เนื่องจากสุนัขแพ้น้ำลายหมัดที่มากัด หมัดกัด 1 ครั้ง สามารถเกิดการคันได้ถึง 3 สัปดาห์ เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัด ก็จะช่วยไม่ให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้

          - โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) อาหารสามารถก่อโรคภูมิแพ้ในสุนัขได้ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง บางรายอาจมีอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว โรคภูมิแพ้อาหารอาจเป็นเดี่ยวๆ หรืออาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้

          - แอโทปี (Atopy) คือโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับการสูดดมละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝุ่นบ้าน และสารที่ล่องลอยในอากาศ งานค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า Allergen ที่อยู่ในอากาศ อาจซึมผ่านผิวหนังเข้าไปและก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้

          - โรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact Allergy) แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนัก แต่การสัมผัสกับสาร หรือสารเคมีสามารถก่อโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ เช่น อุปกรณ์สารเคมีทำความสะอาดทั่วไป พรม หรืออุปกรณ์น้ำยาห้องปรับอากาศ พบว่าสารเหล่านี้ร่วมกับสารอื่นๆ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การรักษาโรคภูมิแพ้
          การรักษาที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยง พยายามไม่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ เช่น หากเราแพ้เห็บหมัดก็ต้องหมั่นดูแลกำจัดและป้องกันมิให้มีเห็บหมัด ส่วนโรคภูมิแพ้อาหาร ควบคุมโดยต้องเข้มงวดไม่กินอาหารที่แพ้ อย่างไรก็ตามเรามักจะให้สุนัขหลีกเลี่ยง Allergen ที่มากับอากาศไม่ได้ แต่เราสามารถขจัดสารเหล่านี้ได้ โดยการรักษาที่เรียกว่า “Immunotherapy” หรือการสร้างภูมิคุ้มกันโรค


การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้คืออะไร การสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ คือ กระบวนการฉีดสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Allergens) ครั้งละน้อยๆ เข้าสู่ตัวสุนัข เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังในสุนัขคุ้นเคยและไม่ไวต่อการสัมผัส Allergens อีก สุนัขหลายตัวสามารถควบคุมอาการโรคภูมิแพ้นี้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผล ซึ่งก่อนการรักษาโดยวิธีนี้ สุนัขควรต้องทำการทดสอบ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ก่อน เช่น ในกรณีภูมิแพ้อาหารต้องทำการทดสอบเรื่องอาหารก่อน ดังนั้นหากท่านสงสัยว่าสุนัขของท่านเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ควรปรึกษากับสัตวแพทย์ด้านโรคผิวหนัง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการทดสอบและรักษาสุนัขของท่าน อย่าปล่อยให้สุนัขต้องทนทุกข์จากโรค


8585


แจแปนนิส อากิตะ   

ความเป็นมา

 
ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ อากิตะ ยังคงไม่แน่ชัด แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างของกระดูกและวิธีการคาร์บอน เดทติ้งแล้ว เชื่อว่าพวกเขามีอยู่ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ว่าได้มีการบันทึกประวัติความเป็นมาเมื่อ 350 ปีก่อนนี้เอง สุนัขพันธุ์ อากิตะเป็นที่รู้จักในนามสุนัขโอดาเตะ ซึ่งตั้งชื่อตามบริเวณภูเขาในบริเวณโอดาเตะ บนเกาะฮอนชู เนื่องจากการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น เท้าที่เป็นพังผืด และขนหนาที่กันน้ำได้ ของสุนัขพันธุ์ อากิตะทำให้พวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของชาวประมง สุนัข อากิตะสามารถเป็นได้ทั้ง สุนัขเลี้ยงวัว และสุนัขนำทางให้คนตาบอด สุนัขลากรถเลื่อนตลอดไปจนถึงสุนัขตำรวจ พวกเขายังสามารถ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลทารกขณะที่คุณแม่ออกไปทำงานในนาข้าว สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีและสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีการส่งรูปปั้นขนาดเล็ก ของสุนัขอากิตะ เพื่ออวยพรคนป่วยให้หายจากโรคโดยเร็ว ในปี 1982 ได้มีการนำเข้าสุนัขพันธุ์ อากิตะเดินทางไปยัง ประเทศออสเตรเลีย ตอนใต้   
 

ช่วงชีวิตเฉลี่ย

 
เมื่อพิจารณาสุนัข กรุณาจำไว้ว่าคุณจะอยู่กับพวกเขาตลอดชีวิตของเขา อากิตะมีช่วงอายุระหว่าง 8 ถึง 10 ปี 
 

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย

 
61 ซม. ถึง 71 ซม. 
 

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

 
สุนัขอากิตะอุปมาอุปมัยถึงความลึกลับของประเทศญี่ปุ่น ความสง่างาม ความภูมิใจและกล้าหาญ มีสติ เยือกเย็น ไม่หวาดกลัวและหนักแน่น ทั้งยังไม่เสียการควบคุมเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่หรือตึงเครียด แม้เป็นลูกสุนัข อากิตะแสดงความผึ่งผายต่างจากสุนัขอื่น ความสามารถในควบคุมตัวเองได้ทำให้การฝึกมารยาทการอยู่ในบ้านหรือการฝึกให้อยู่ในสายสูงเป็นไปได้ง่าย พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่หลาย ๆ แบบ ในขณะเดียวกันพวกเขารักสันโดดและรักอิสระ ความเป็นระเบียบ ผึ่งผายสง่างามทำให้เขาเป็นเพื่อนที่คุณต้องการ พวกเขายังเป็นเพื่อนเล่นแก่เด็กที่ มีความอดทนสูงสำหรับเด็กและ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่บ้านและครอบครัว ที่สำคัญด้วยมือของผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจะเป็นความสุขในการเป็นเจ้าของ 
 

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

 
มีแนวโน้มในการแสดงความเป็นผู้นำต่อสุนัขตัวอื่น 
 

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

 
ถ้าคุณหาสุนัขที่สามารถเลี้ยงในบ้าน พร้อมกับครอบครัวของคุณ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสุนัขพันธุ์นี้ จะผลัดขนปีละ สองครั้ง หรือบางทีสามครั้ง เขาต้องการการออกกำลังกายปริมาณมากและการฝึกการเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องสอนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คุณต้องให้เขารู้ว่าคุณเป็นนาย เมื่อสุนัขพันธุ์ อากิตะผลัดขน ขนจะร่วงออกมา ในช่วงเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะเตรียมพื้นที่นอกบ้านและเตียงแห้งที่อบอุ่นเพื่อลดความเลอะเทอะ การอาบน้ำและแปรงขนจะช่วยให้การขนร่วงหยุดเร็วขึ้น


8586


แจแปนนิส อากิตะ   

ความเป็นมา

 
ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ อากิตะ ยังคงไม่แน่ชัด แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างของกระดูกและวิธีการคาร์บอน เดทติ้งแล้ว เชื่อว่าพวกเขามีอยู่ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ว่าได้มีการบันทึกประวัติความเป็นมาเมื่อ 350 ปีก่อนนี้เอง สุนัขพันธุ์ อากิตะเป็นที่รู้จักในนามสุนัขโอดาเตะ ซึ่งตั้งชื่อตามบริเวณภูเขาในบริเวณโอดาเตะ บนเกาะฮอนชู เนื่องจากการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น เท้าที่เป็นพังผืด และขนหนาที่กันน้ำได้ ของสุนัขพันธุ์ อากิตะทำให้พวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของชาวประมง สุนัข อากิตะสามารถเป็นได้ทั้ง สุนัขเลี้ยงวัว และสุนัขนำทางให้คนตาบอด สุนัขลากรถเลื่อนตลอดไปจนถึงสุนัขตำรวจ พวกเขายังสามารถ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลทารกขณะที่คุณแม่ออกไปทำงานในนาข้าว สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีและสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีการส่งรูปปั้นขนาดเล็ก ของสุนัขอากิตะ เพื่ออวยพรคนป่วยให้หายจากโรคโดยเร็ว ในปี 1982 ได้มีการนำเข้าสุนัขพันธุ์ อากิตะเดินทางไปยัง ประเทศออสเตรเลีย ตอนใต้   
 

ช่วงชีวิตเฉลี่ย

 
เมื่อพิจารณาสุนัข กรุณาจำไว้ว่าคุณจะอยู่กับพวกเขาตลอดชีวิตของเขา อากิตะมีช่วงอายุระหว่าง 8 ถึง 10 ปี 
 

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย

 
61 ซม. ถึง 71 ซม. 
 

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

 
สุนัขอากิตะอุปมาอุปมัยถึงความลึกลับของประเทศญี่ปุ่น ความสง่างาม ความภูมิใจและกล้าหาญ มีสติ เยือกเย็น ไม่หวาดกลัวและหนักแน่น ทั้งยังไม่เสียการควบคุมเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่หรือตึงเครียด แม้เป็นลูกสุนัข อากิตะแสดงความผึ่งผายต่างจากสุนัขอื่น ความสามารถในควบคุมตัวเองได้ทำให้การฝึกมารยาทการอยู่ในบ้านหรือการฝึกให้อยู่ในสายสูงเป็นไปได้ง่าย พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่หลาย ๆ แบบ ในขณะเดียวกันพวกเขารักสันโดดและรักอิสระ ความเป็นระเบียบ ผึ่งผายสง่างามทำให้เขาเป็นเพื่อนที่คุณต้องการ พวกเขายังเป็นเพื่อนเล่นแก่เด็กที่ มีความอดทนสูงสำหรับเด็กและ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่บ้านและครอบครัว ที่สำคัญด้วยมือของผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจะเป็นความสุขในการเป็นเจ้าของ 
 

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

 
มีแนวโน้มในการแสดงความเป็นผู้นำต่อสุนัขตัวอื่น 
 

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

 
ถ้าคุณหาสุนัขที่สามารถเลี้ยงในบ้าน พร้อมกับครอบครัวของคุณ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสุนัขพันธุ์นี้ จะผลัดขนปีละ สองครั้ง หรือบางทีสามครั้ง เขาต้องการการออกกำลังกายปริมาณมากและการฝึกการเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องสอนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คุณต้องให้เขารู้ว่าคุณเป็นนาย เมื่อสุนัขพันธุ์ อากิตะผลัดขน ขนจะร่วงออกมา ในช่วงเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะเตรียมพื้นที่นอกบ้านและเตียงแห้งที่อบอุ่นเพื่อลดความเลอะเทอะ การอาบน้ำและแปรงขนจะช่วยให้การขนร่วงหยุดเร็วขึ้น


8587


แจแปนนิส อากิตะ   

ความเป็นมา

 
ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ อากิตะ ยังคงไม่แน่ชัด แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างของกระดูกและวิธีการคาร์บอน เดทติ้งแล้ว เชื่อว่าพวกเขามีอยู่ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ว่าได้มีการบันทึกประวัติความเป็นมาเมื่อ 350 ปีก่อนนี้เอง สุนัขพันธุ์ อากิตะเป็นที่รู้จักในนามสุนัขโอดาเตะ ซึ่งตั้งชื่อตามบริเวณภูเขาในบริเวณโอดาเตะ บนเกาะฮอนชู เนื่องจากการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น เท้าที่เป็นพังผืด และขนหนาที่กันน้ำได้ ของสุนัขพันธุ์ อากิตะทำให้พวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของชาวประมง สุนัข อากิตะสามารถเป็นได้ทั้ง สุนัขเลี้ยงวัว และสุนัขนำทางให้คนตาบอด สุนัขลากรถเลื่อนตลอดไปจนถึงสุนัขตำรวจ พวกเขายังสามารถ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลทารกขณะที่คุณแม่ออกไปทำงานในนาข้าว สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีและสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีการส่งรูปปั้นขนาดเล็ก ของสุนัขอากิตะ เพื่ออวยพรคนป่วยให้หายจากโรคโดยเร็ว ในปี 1982 ได้มีการนำเข้าสุนัขพันธุ์ อากิตะเดินทางไปยัง ประเทศออสเตรเลีย ตอนใต้   
 

ช่วงชีวิตเฉลี่ย

 
เมื่อพิจารณาสุนัข กรุณาจำไว้ว่าคุณจะอยู่กับพวกเขาตลอดชีวิตของเขา อากิตะมีช่วงอายุระหว่าง 8 ถึง 10 ปี 
 

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย

 
61 ซม. ถึง 71 ซม. 
 

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

 
สุนัขอากิตะอุปมาอุปมัยถึงความลึกลับของประเทศญี่ปุ่น ความสง่างาม ความภูมิใจและกล้าหาญ มีสติ เยือกเย็น ไม่หวาดกลัวและหนักแน่น ทั้งยังไม่เสียการควบคุมเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่หรือตึงเครียด แม้เป็นลูกสุนัข อากิตะแสดงความผึ่งผายต่างจากสุนัขอื่น ความสามารถในควบคุมตัวเองได้ทำให้การฝึกมารยาทการอยู่ในบ้านหรือการฝึกให้อยู่ในสายสูงเป็นไปได้ง่าย พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่หลาย ๆ แบบ ในขณะเดียวกันพวกเขารักสันโดดและรักอิสระ ความเป็นระเบียบ ผึ่งผายสง่างามทำให้เขาเป็นเพื่อนที่คุณต้องการ พวกเขายังเป็นเพื่อนเล่นแก่เด็กที่ มีความอดทนสูงสำหรับเด็กและ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่บ้านและครอบครัว ที่สำคัญด้วยมือของผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจะเป็นความสุขในการเป็นเจ้าของ 
 

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

 
มีแนวโน้มในการแสดงความเป็นผู้นำต่อสุนัขตัวอื่น 
 

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

 
ถ้าคุณหาสุนัขที่สามารถเลี้ยงในบ้าน พร้อมกับครอบครัวของคุณ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสุนัขพันธุ์นี้ จะผลัดขนปีละ สองครั้ง หรือบางทีสามครั้ง เขาต้องการการออกกำลังกายปริมาณมากและการฝึกการเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องสอนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คุณต้องให้เขารู้ว่าคุณเป็นนาย เมื่อสุนัขพันธุ์ อากิตะผลัดขน ขนจะร่วงออกมา ในช่วงเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะเตรียมพื้นที่นอกบ้านและเตียงแห้งที่อบอุ่นเพื่อลดความเลอะเทอะ การอาบน้ำและแปรงขนจะช่วยให้การขนร่วงหยุดเร็วขึ้น


8588


แจแปนนิส อากิตะ   

ความเป็นมา

 
ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ อากิตะ ยังคงไม่แน่ชัด แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างของกระดูกและวิธีการคาร์บอน เดทติ้งแล้ว เชื่อว่าพวกเขามีอยู่ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ว่าได้มีการบันทึกประวัติความเป็นมาเมื่อ 350 ปีก่อนนี้เอง สุนัขพันธุ์ อากิตะเป็นที่รู้จักในนามสุนัขโอดาเตะ ซึ่งตั้งชื่อตามบริเวณภูเขาในบริเวณโอดาเตะ บนเกาะฮอนชู เนื่องจากการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น เท้าที่เป็นพังผืด และขนหนาที่กันน้ำได้ ของสุนัขพันธุ์ อากิตะทำให้พวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของชาวประมง สุนัข อากิตะสามารถเป็นได้ทั้ง สุนัขเลี้ยงวัว และสุนัขนำทางให้คนตาบอด สุนัขลากรถเลื่อนตลอดไปจนถึงสุนัขตำรวจ พวกเขายังสามารถ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลทารกขณะที่คุณแม่ออกไปทำงานในนาข้าว สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีและสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีการส่งรูปปั้นขนาดเล็ก ของสุนัขอากิตะ เพื่ออวยพรคนป่วยให้หายจากโรคโดยเร็ว ในปี 1982 ได้มีการนำเข้าสุนัขพันธุ์ อากิตะเดินทางไปยัง ประเทศออสเตรเลีย ตอนใต้   
 

ช่วงชีวิตเฉลี่ย

 
เมื่อพิจารณาสุนัข กรุณาจำไว้ว่าคุณจะอยู่กับพวกเขาตลอดชีวิตของเขา อากิตะมีช่วงอายุระหว่าง 8 ถึง 10 ปี 
 

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย

 
61 ซม. ถึง 71 ซม. 
 

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

 
สุนัขอากิตะอุปมาอุปมัยถึงความลึกลับของประเทศญี่ปุ่น ความสง่างาม ความภูมิใจและกล้าหาญ มีสติ เยือกเย็น ไม่หวาดกลัวและหนักแน่น ทั้งยังไม่เสียการควบคุมเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่หรือตึงเครียด แม้เป็นลูกสุนัข อากิตะแสดงความผึ่งผายต่างจากสุนัขอื่น ความสามารถในควบคุมตัวเองได้ทำให้การฝึกมารยาทการอยู่ในบ้านหรือการฝึกให้อยู่ในสายสูงเป็นไปได้ง่าย พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่หลาย ๆ แบบ ในขณะเดียวกันพวกเขารักสันโดดและรักอิสระ ความเป็นระเบียบ ผึ่งผายสง่างามทำให้เขาเป็นเพื่อนที่คุณต้องการ พวกเขายังเป็นเพื่อนเล่นแก่เด็กที่ มีความอดทนสูงสำหรับเด็กและ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่บ้านและครอบครัว ที่สำคัญด้วยมือของผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจะเป็นความสุขในการเป็นเจ้าของ 
 

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

 
มีแนวโน้มในการแสดงความเป็นผู้นำต่อสุนัขตัวอื่น 
 

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

 
ถ้าคุณหาสุนัขที่สามารถเลี้ยงในบ้าน พร้อมกับครอบครัวของคุณ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสุนัขพันธุ์นี้ จะผลัดขนปีละ สองครั้ง หรือบางทีสามครั้ง เขาต้องการการออกกำลังกายปริมาณมากและการฝึกการเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องสอนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คุณต้องให้เขารู้ว่าคุณเป็นนาย เมื่อสุนัขพันธุ์ อากิตะผลัดขน ขนจะร่วงออกมา ในช่วงเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะเตรียมพื้นที่นอกบ้านและเตียงแห้งที่อบอุ่นเพื่อลดความเลอะเทอะ การอาบน้ำและแปรงขนจะช่วยให้การขนร่วงหยุดเร็วขึ้น


8589


อเมริกัน ค็อกเกอร์
 
ลักษณะท่าทางโดยทั่วไป เป็นสุนัขขนาดกลาง มีอุปนิสัยร่าเริง แจ่มใสตลอดเวลา

มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : กะโหลกกว้างเล็กน้อย มีความสมส่วนกับขากรรไกร
ขากรรไกร : มีความสมส่วนกับกะโหลกจากกะโหลกมาถึงขากรรไกร มีจุดตก (STOP) อย่างเห็นได้
ฟัน : เรียงกันเป็นระเบียบ ขบกันแบบขากรรไกร ขาว และไม่เล็กจนเกินไป
จมูก : มีความสมดุลกับขากรรไกร แต่จะต้องมีสีดำ
ตา : ตากลม ดวงตามีสีน้ำตาลเข้ม มีแววตาสดใส
หู : หูยาวและกลม ตำแหน่งของหูอยู่ระดับเดียวกับตา ความยาวของหูต้องถึงปลายจมูก มีขนขึ้นปกคลุม
คอและไหล่ : คอมีความยาวสมส่วนกับลำตัว และคอต้องตั้ง ยามเคลื่อนไหวเส้นหลังลาดลงมาจากหัวไหล่
ลำตัว : มีความกระชับ
หาง : ตำแหน่งของหางอยู่เหนือบั้นท้าย และตัดออกให้สมส่วน และชี้ไปทางด้านหลัง
ขาและเท้า : มีขนขึ้นปกคลุมที่ขาและเท้า ขาตรง นิ้วเท้ากำแน่น มีความแข็งแรง
ขน : ขนที่หัวและหลังจะสั้นเรียบ มีความสะอาดเป็นเงางาม บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี
การเคลื่อนไหว : ขาทั้ง 4 สัมพันธ์กัน มีความสมดุลและสง่างาม
ขนาด : ความสูงวัดจากขาถึงหัวไหล่ สุนัขเพศผู้ สูง 15 นิ้ว , สุนัขเพศเมีย สูง 14 นิ้ว


8590


อเมริกัน ค็อกเกอร์
 
ลักษณะท่าทางโดยทั่วไป เป็นสุนัขขนาดกลาง มีอุปนิสัยร่าเริง แจ่มใสตลอดเวลา

มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : กะโหลกกว้างเล็กน้อย มีความสมส่วนกับขากรรไกร
ขากรรไกร : มีความสมส่วนกับกะโหลกจากกะโหลกมาถึงขากรรไกร มีจุดตก (STOP) อย่างเห็นได้
ฟัน : เรียงกันเป็นระเบียบ ขบกันแบบขากรรไกร ขาว และไม่เล็กจนเกินไป
จมูก : มีความสมดุลกับขากรรไกร แต่จะต้องมีสีดำ
ตา : ตากลม ดวงตามีสีน้ำตาลเข้ม มีแววตาสดใส
หู : หูยาวและกลม ตำแหน่งของหูอยู่ระดับเดียวกับตา ความยาวของหูต้องถึงปลายจมูก มีขนขึ้นปกคลุม
คอและไหล่ : คอมีความยาวสมส่วนกับลำตัว และคอต้องตั้ง ยามเคลื่อนไหวเส้นหลังลาดลงมาจากหัวไหล่
ลำตัว : มีความกระชับ
หาง : ตำแหน่งของหางอยู่เหนือบั้นท้าย และตัดออกให้สมส่วน และชี้ไปทางด้านหลัง
ขาและเท้า : มีขนขึ้นปกคลุมที่ขาและเท้า ขาตรง นิ้วเท้ากำแน่น มีความแข็งแรง
ขน : ขนที่หัวและหลังจะสั้นเรียบ มีความสะอาดเป็นเงางาม บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี
การเคลื่อนไหว : ขาทั้ง 4 สัมพันธ์กัน มีความสมดุลและสง่างาม
ขนาด : ความสูงวัดจากขาถึงหัวไหล่ สุนัขเพศผู้ สูง 15 นิ้ว , สุนัขเพศเมีย สูง 14 นิ้ว


8591


อเมริกัน ค็อกเกอร์
 
ลักษณะท่าทางโดยทั่วไป เป็นสุนัขขนาดกลาง มีอุปนิสัยร่าเริง แจ่มใสตลอดเวลา

มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : กะโหลกกว้างเล็กน้อย มีความสมส่วนกับขากรรไกร
ขากรรไกร : มีความสมส่วนกับกะโหลกจากกะโหลกมาถึงขากรรไกร มีจุดตก (STOP) อย่างเห็นได้
ฟัน : เรียงกันเป็นระเบียบ ขบกันแบบขากรรไกร ขาว และไม่เล็กจนเกินไป
จมูก : มีความสมดุลกับขากรรไกร แต่จะต้องมีสีดำ
ตา : ตากลม ดวงตามีสีน้ำตาลเข้ม มีแววตาสดใส
หู : หูยาวและกลม ตำแหน่งของหูอยู่ระดับเดียวกับตา ความยาวของหูต้องถึงปลายจมูก มีขนขึ้นปกคลุม
คอและไหล่ : คอมีความยาวสมส่วนกับลำตัว และคอต้องตั้ง ยามเคลื่อนไหวเส้นหลังลาดลงมาจากหัวไหล่
ลำตัว : มีความกระชับ
หาง : ตำแหน่งของหางอยู่เหนือบั้นท้าย และตัดออกให้สมส่วน และชี้ไปทางด้านหลัง
ขาและเท้า : มีขนขึ้นปกคลุมที่ขาและเท้า ขาตรง นิ้วเท้ากำแน่น มีความแข็งแรง
ขน : ขนที่หัวและหลังจะสั้นเรียบ มีความสะอาดเป็นเงางาม บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี
การเคลื่อนไหว : ขาทั้ง 4 สัมพันธ์กัน มีความสมดุลและสง่างาม
ขนาด : ความสูงวัดจากขาถึงหัวไหล่ สุนัขเพศผู้ สูง 15 นิ้ว , สุนัขเพศเมีย สูง 14 นิ้ว


8592


อเมริกัน ค็อกเกอร์
 
ลักษณะท่าทางโดยทั่วไป เป็นสุนัขขนาดกลาง มีอุปนิสัยร่าเริง แจ่มใสตลอดเวลา

มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : กะโหลกกว้างเล็กน้อย มีความสมส่วนกับขากรรไกร
ขากรรไกร : มีความสมส่วนกับกะโหลกจากกะโหลกมาถึงขากรรไกร มีจุดตก (STOP) อย่างเห็นได้
ฟัน : เรียงกันเป็นระเบียบ ขบกันแบบขากรรไกร ขาว และไม่เล็กจนเกินไป
จมูก : มีความสมดุลกับขากรรไกร แต่จะต้องมีสีดำ
ตา : ตากลม ดวงตามีสีน้ำตาลเข้ม มีแววตาสดใส
หู : หูยาวและกลม ตำแหน่งของหูอยู่ระดับเดียวกับตา ความยาวของหูต้องถึงปลายจมูก มีขนขึ้นปกคลุม
คอและไหล่ : คอมีความยาวสมส่วนกับลำตัว และคอต้องตั้ง ยามเคลื่อนไหวเส้นหลังลาดลงมาจากหัวไหล่
ลำตัว : มีความกระชับ
หาง : ตำแหน่งของหางอยู่เหนือบั้นท้าย และตัดออกให้สมส่วน และชี้ไปทางด้านหลัง
ขาและเท้า : มีขนขึ้นปกคลุมที่ขาและเท้า ขาตรง นิ้วเท้ากำแน่น มีความแข็งแรง
ขน : ขนที่หัวและหลังจะสั้นเรียบ มีความสะอาดเป็นเงางาม บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี
การเคลื่อนไหว : ขาทั้ง 4 สัมพันธ์กัน มีความสมดุลและสง่างาม
ขนาด : ความสูงวัดจากขาถึงหัวไหล่ สุนัขเพศผู้ สูง 15 นิ้ว , สุนัขเพศเมีย สูง 14 นิ้ว


8593



อาฟกันฮาวด์
 
ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและลักษณะของขนที่ยาวสลวยจึงทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่สง่างาม ดูแล้วเป็นสุนัขที่มีความคลาสสิกในตัวมากเมื่อมองจากด้านหน้าจะดูตรงหัวเชิด ตรง คอยาวโค้ง ได้สัดส่วน ขนยาว ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวจะต้องสง่างาม ให้สมกับที่ฝรั่งเขาตั้งให้ว่าเป็น THE KING OF DOG

มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : เป็นสุนัขที่เรียบร้อย สำอาง แต่ตอน อายุระหว่าง 2-12 เดือน จะซนมาก
ศีรษะ : โหนกยาวได้สัดส่วน บ่งบอกถึงความสมดุลกับลำตัว หน้าผากและใบหน้าเรียบไม่ควรมีสต๊อป สันจมูกเรียบ หรืออาจจะโก่งเล็กน้อย ขนตรงส่วนหัวจะต้องยาวนุ่มสลวย แต่ขนที่ใบหน้าต้องสั้นเกรียน ลูกสุนัขบางตัวจะมีหนวด แต่จะหลุดออกเมื่อโตขึ้น
หู : ยาว ต้องอยู่ในแนวเดียวกับตา เนื้อปลายหูจะต้องยาว เวลาวัดจะต้องยาวถึงจมูก อย่างน้อยที่สุด ปกคลุมด้วยขนยาว
ตา : ยาวคล้ายผลอัลมอนด์ ดวงตาสีดำหรือสีคล้ำใสไม่ฝ้าฟาง
จมูก : โตพอสมควรและต้องเป็นสีดำ
คอ : ยาว แข็งแรง โค้งมนได้สัดส่วน จนถึงหัวไหล่ ซึ่งยาวโค้งและลู่ไปข้างหลัง
ลำตัว : เส้นตรงในระดับหัวไหล่ถึงสะโพกแข็งแรงและมีกระดูกสะโพกโผล่ เล็กน้อย สีข้างเรียบ ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่เท่ากับความยาวจากข้างหน้าถึงข้างหลัง
หาง : ไม่อยู่สูงเกินไปจากเส้นหลัง ต้องขดเป็นวงแหวนหรือตรง ส่วนปลายโค้งเหมือนดาบแขก แต่จะต้องไม่ขดเหมือนก้นหอย หางต้องไม่เบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาวิ่งหางจะต้องไม่ไปจุกที่ก้น
ขาหน้า : ตรง แข็งแรง และมีช่วงยาวสวยงามระหว่างข้อศอกกับข้อพับเท้าสุนัขที่มีหัวไหล่ตรงเป็นสุนัขที่ผิดแสตนดาร์ด
ขน : ปกคลุมยาวทั้งตัวยกเว้นขนหลัง หน้าและหางมีขนปกคลุมยาวไม่มาก ลักษณะเส้นขนนุ่มเส้นบางไม่หนาหยาบ ในสุนัขที่โตเต็มที่ขนหลังจะต้องสั้นเกรียนสีเข้มกว่าสีขนบนลำตัว
สี : ทุกสี เช่น ขาว ครีม เทา ดำแดง ดำเงิน รวมไปถึงลายเสือ
น้ำหนัก : ตัวผู้ประมาณ 28 กก. ตัวเมียประมาณ 23 กก
ส่วนสูง : ตัวผู้สูง 27 นิ้ว ตัวเมียสูง 25 นิ้ว อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เกินหนึ่งนิ้ว
ข้อบกพร่อง : ดุหรือขี้กลัว ขนสั้นเกินไป เวลาวิ่งเท้าแกว่ง หลังแอ่น หลังโก่งหรือสุนัขที่มีเส้นหลังไม่เรียบหน้าอกกว้างเกินไป หัวสุนัขที่ไม่โหนกและไม่มีขนปกคลุม

8594



อาฟกันฮาวด์
 
ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและลักษณะของขนที่ยาวสลวยจึงทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่สง่างาม ดูแล้วเป็นสุนัขที่มีความคลาสสิกในตัวมากเมื่อมองจากด้านหน้าจะดูตรงหัวเชิด ตรง คอยาวโค้ง ได้สัดส่วน ขนยาว ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวจะต้องสง่างาม ให้สมกับที่ฝรั่งเขาตั้งให้ว่าเป็น THE KING OF DOG

มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : เป็นสุนัขที่เรียบร้อย สำอาง แต่ตอน อายุระหว่าง 2-12 เดือน จะซนมาก
ศีรษะ : โหนกยาวได้สัดส่วน บ่งบอกถึงความสมดุลกับลำตัว หน้าผากและใบหน้าเรียบไม่ควรมีสต๊อป สันจมูกเรียบ หรืออาจจะโก่งเล็กน้อย ขนตรงส่วนหัวจะต้องยาวนุ่มสลวย แต่ขนที่ใบหน้าต้องสั้นเกรียน ลูกสุนัขบางตัวจะมีหนวด แต่จะหลุดออกเมื่อโตขึ้น
หู : ยาว ต้องอยู่ในแนวเดียวกับตา เนื้อปลายหูจะต้องยาว เวลาวัดจะต้องยาวถึงจมูก อย่างน้อยที่สุด ปกคลุมด้วยขนยาว
ตา : ยาวคล้ายผลอัลมอนด์ ดวงตาสีดำหรือสีคล้ำใสไม่ฝ้าฟาง
จมูก : โตพอสมควรและต้องเป็นสีดำ
คอ : ยาว แข็งแรง โค้งมนได้สัดส่วน จนถึงหัวไหล่ ซึ่งยาวโค้งและลู่ไปข้างหลัง
ลำตัว : เส้นตรงในระดับหัวไหล่ถึงสะโพกแข็งแรงและมีกระดูกสะโพกโผล่ เล็กน้อย สีข้างเรียบ ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่เท่ากับความยาวจากข้างหน้าถึงข้างหลัง
หาง : ไม่อยู่สูงเกินไปจากเส้นหลัง ต้องขดเป็นวงแหวนหรือตรง ส่วนปลายโค้งเหมือนดาบแขก แต่จะต้องไม่ขดเหมือนก้นหอย หางต้องไม่เบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาวิ่งหางจะต้องไม่ไปจุกที่ก้น
ขาหน้า : ตรง แข็งแรง และมีช่วงยาวสวยงามระหว่างข้อศอกกับข้อพับเท้าสุนัขที่มีหัวไหล่ตรงเป็นสุนัขที่ผิดแสตนดาร์ด
ขน : ปกคลุมยาวทั้งตัวยกเว้นขนหลัง หน้าและหางมีขนปกคลุมยาวไม่มาก ลักษณะเส้นขนนุ่มเส้นบางไม่หนาหยาบ ในสุนัขที่โตเต็มที่ขนหลังจะต้องสั้นเกรียนสีเข้มกว่าสีขนบนลำตัว
สี : ทุกสี เช่น ขาว ครีม เทา ดำแดง ดำเงิน รวมไปถึงลายเสือ
น้ำหนัก : ตัวผู้ประมาณ 28 กก. ตัวเมียประมาณ 23 กก
ส่วนสูง : ตัวผู้สูง 27 นิ้ว ตัวเมียสูง 25 นิ้ว อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เกินหนึ่งนิ้ว
ข้อบกพร่อง : ดุหรือขี้กลัว ขนสั้นเกินไป เวลาวิ่งเท้าแกว่ง หลังแอ่น หลังโก่งหรือสุนัขที่มีเส้นหลังไม่เรียบหน้าอกกว้างเกินไป หัวสุนัขที่ไม่โหนกและไม่มีขนปกคลุม

8595



อาฟกันฮาวด์
 
ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและลักษณะของขนที่ยาวสลวยจึงทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่สง่างาม ดูแล้วเป็นสุนัขที่มีความคลาสสิกในตัวมากเมื่อมองจากด้านหน้าจะดูตรงหัวเชิด ตรง คอยาวโค้ง ได้สัดส่วน ขนยาว ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวจะต้องสง่างาม ให้สมกับที่ฝรั่งเขาตั้งให้ว่าเป็น THE KING OF DOG

มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : เป็นสุนัขที่เรียบร้อย สำอาง แต่ตอน อายุระหว่าง 2-12 เดือน จะซนมาก
ศีรษะ : โหนกยาวได้สัดส่วน บ่งบอกถึงความสมดุลกับลำตัว หน้าผากและใบหน้าเรียบไม่ควรมีสต๊อป สันจมูกเรียบ หรืออาจจะโก่งเล็กน้อย ขนตรงส่วนหัวจะต้องยาวนุ่มสลวย แต่ขนที่ใบหน้าต้องสั้นเกรียน ลูกสุนัขบางตัวจะมีหนวด แต่จะหลุดออกเมื่อโตขึ้น
หู : ยาว ต้องอยู่ในแนวเดียวกับตา เนื้อปลายหูจะต้องยาว เวลาวัดจะต้องยาวถึงจมูก อย่างน้อยที่สุด ปกคลุมด้วยขนยาว
ตา : ยาวคล้ายผลอัลมอนด์ ดวงตาสีดำหรือสีคล้ำใสไม่ฝ้าฟาง
จมูก : โตพอสมควรและต้องเป็นสีดำ
คอ : ยาว แข็งแรง โค้งมนได้สัดส่วน จนถึงหัวไหล่ ซึ่งยาวโค้งและลู่ไปข้างหลัง
ลำตัว : เส้นตรงในระดับหัวไหล่ถึงสะโพกแข็งแรงและมีกระดูกสะโพกโผล่ เล็กน้อย สีข้างเรียบ ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่เท่ากับความยาวจากข้างหน้าถึงข้างหลัง
หาง : ไม่อยู่สูงเกินไปจากเส้นหลัง ต้องขดเป็นวงแหวนหรือตรง ส่วนปลายโค้งเหมือนดาบแขก แต่จะต้องไม่ขดเหมือนก้นหอย หางต้องไม่เบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาวิ่งหางจะต้องไม่ไปจุกที่ก้น
ขาหน้า : ตรง แข็งแรง และมีช่วงยาวสวยงามระหว่างข้อศอกกับข้อพับเท้าสุนัขที่มีหัวไหล่ตรงเป็นสุนัขที่ผิดแสตนดาร์ด
ขน : ปกคลุมยาวทั้งตัวยกเว้นขนหลัง หน้าและหางมีขนปกคลุมยาวไม่มาก ลักษณะเส้นขนนุ่มเส้นบางไม่หนาหยาบ ในสุนัขที่โตเต็มที่ขนหลังจะต้องสั้นเกรียนสีเข้มกว่าสีขนบนลำตัว
สี : ทุกสี เช่น ขาว ครีม เทา ดำแดง ดำเงิน รวมไปถึงลายเสือ
น้ำหนัก : ตัวผู้ประมาณ 28 กก. ตัวเมียประมาณ 23 กก
ส่วนสูง : ตัวผู้สูง 27 นิ้ว ตัวเมียสูง 25 นิ้ว อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เกินหนึ่งนิ้ว
ข้อบกพร่อง : ดุหรือขี้กลัว ขนสั้นเกินไป เวลาวิ่งเท้าแกว่ง หลังแอ่น หลังโก่งหรือสุนัขที่มีเส้นหลังไม่เรียบหน้าอกกว้างเกินไป หัวสุนัขที่ไม่โหนกและไม่มีขนปกคลุม