แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

1126
ภาวะลมแดด หรือฮีทสโตรก (Heat stroke) ในแมว

   อากาศในประเทศไทยร้อนขึ้นทุกปี ยิ่งช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทั้งสุนัข และแมว ซึ่งหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในช่วงอากาศร้อนคือ ภาวะลมแดด หรือ ฮีทสโตรก น้องแมวเป็นสัตว์ที่เก็บอาการ ไม่ค่อยแสดงอาการเวลาไม่สบาย โรคลมแดดมีอาการตั้งแต่น้อยๆหรือบางตัวอาจจะหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นการรู้อาการตั้งแต่แรกเริ่ม จึงเป็นวิธีช่วยชีวิตน้องแมวที่ดีที่สุด



สาเหตุภาวะลมแดด

ภาวะฮีทสโตรก คือ ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 102.5 องศาฟาเรนไฮต์ หรือมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน เกิดจากสภาพอากาศร้อน อบอ้าว มีความชื้นในอากาศสูง หรืออยู่ในห้องปิดทึบ ไม่มีอากาศ อยู่ในรถในวันที่อากาศร้อน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ออกกำลังกายหรือเล่นจนทำให้เหนื่อยเกิดการระบายความร้อนไม่ทัน ทำให้น้องแมวระบายความร้อนได้ไม่ดี สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะน้องแมวนั้นมีต่อมเหงื่อที่ช่วยระบายความร้อนจำกัด โดยมีเพียงบริเวณอุ้งเท้าเท่านั้น จึงไม่สามารถเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อนแบบคนได้ น้องแมวสามารถระบายความร้อนผ่านทางการปาก การหายใจ ใบหู อุ้งเท้า และผิวหนังบริเวณที่ไม่มีขน ดังนั้นถ้าน้องแมวตัวไหนขนยาวก็อาจจะทำให้การระบายความร้อนได้ยากกว่าแมวขนสั้น

อาการฮีทสโตรกในแมว

   น้องแมวจะกระวนกระวาย พยายามอยู่ที่เย็นๆ ไม่ยอมนอน เดินไปเดินมา อาจจะกินน้ำมากขึ้น ถ้าเป็นหนักขึ้นจะพบว่ามีอาการอ้าปากหายใจ หรือพยายามยืดคอหายใจ แลบลิ้นออกมาเพื่อระบายความร้อน ลิ้นและเยื่อเมือกสีเข้มขึ้น ใบหูเป็นสีแดงกว่าปกติ ถ้าเจ้าของพบน้องช้าอาการอาจจะลุกลาม อาจจะพบอาการถ่ายเหลว อาเจียน พบจ้ำเลือดออกตามตัว ถ้าอุณหภูมิสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้หมดสติ หรือเรียกไม่ตื่น อ่อนแรง ชัก และอาจจะเสียชีวิตได้

วิธีการรักษาภาวะลมแดด

   หากเจ้าของน้องแมวพบอาการดังกล่าว ถ้าเป็นอาการเล็กน้อย คือเริ่มหอบกระวนกระวาย หอบหายใจ ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการเช็ดตัว หาน้ำเย็นให้กินหรือป้อนน้ำ  แต่ถ้าอาการหนัก อาจนำน้องแมวจุ่มในอ่างน้ำที่อุณหภูมิปกติ หรือในน้ำเย็นก็ได้ จากนั้นเปิดพัดลมให้พัดผ่านในหน้า ใบหู และท้อง และจากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

วิธีการป้องกันภาวะลมแดด

   ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน เจ้าของน้องแมวอาจจะตัดขนบริเวณท้องให้สั้นลง เพิ่มชามน้ำให้กับน้อง อาจจะใส่น้ำแข็งลงในชามน้ำได้ และคอยดูแลให้น้องแมวอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่เป็นห้องปิดทึบ หรือห้ามทิ้งน้องแมวไว้ในรถขณะอากาศร้อนเด็ดขาด และงดหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงที่อากาศร้อนเช่นช่วงเที่ยง ถึงบ่าย





1127
ภาวะลมแดด หรือฮีทสโตรก (Heat stroke) ในแมว

   อากาศในประเทศไทยร้อนขึ้นทุกปี ยิ่งช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทั้งสุนัข และแมว ซึ่งหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในช่วงอากาศร้อนคือ ภาวะลมแดด หรือ ฮีทสโตรก น้องแมวเป็นสัตว์ที่เก็บอาการ ไม่ค่อยแสดงอาการเวลาไม่สบาย โรคลมแดดมีอาการตั้งแต่น้อยๆหรือบางตัวอาจจะหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นการรู้อาการตั้งแต่แรกเริ่ม จึงเป็นวิธีช่วยชีวิตน้องแมวที่ดีที่สุด



สาเหตุภาวะลมแดด

ภาวะฮีทสโตรก คือ ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 102.5 องศาฟาเรนไฮต์ หรือมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน เกิดจากสภาพอากาศร้อน อบอ้าว มีความชื้นในอากาศสูง หรืออยู่ในห้องปิดทึบ ไม่มีอากาศ อยู่ในรถในวันที่อากาศร้อน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ออกกำลังกายหรือเล่นจนทำให้เหนื่อยเกิดการระบายความร้อนไม่ทัน ทำให้น้องแมวระบายความร้อนได้ไม่ดี สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะน้องแมวนั้นมีต่อมเหงื่อที่ช่วยระบายความร้อนจำกัด โดยมีเพียงบริเวณอุ้งเท้าเท่านั้น จึงไม่สามารถเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อนแบบคนได้ น้องแมวสามารถระบายความร้อนผ่านทางการปาก การหายใจ ใบหู อุ้งเท้า และผิวหนังบริเวณที่ไม่มีขน ดังนั้นถ้าน้องแมวตัวไหนขนยาวก็อาจจะทำให้การระบายความร้อนได้ยากกว่าแมวขนสั้น

อาการฮีทสโตรกในแมว

   น้องแมวจะกระวนกระวาย พยายามอยู่ที่เย็นๆ ไม่ยอมนอน เดินไปเดินมา อาจจะกินน้ำมากขึ้น ถ้าเป็นหนักขึ้นจะพบว่ามีอาการอ้าปากหายใจ หรือพยายามยืดคอหายใจ แลบลิ้นออกมาเพื่อระบายความร้อน ลิ้นและเยื่อเมือกสีเข้มขึ้น ใบหูเป็นสีแดงกว่าปกติ ถ้าเจ้าของพบน้องช้าอาการอาจจะลุกลาม อาจจะพบอาการถ่ายเหลว อาเจียน พบจ้ำเลือดออกตามตัว ถ้าอุณหภูมิสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้หมดสติ หรือเรียกไม่ตื่น อ่อนแรง ชัก และอาจจะเสียชีวิตได้

วิธีการรักษาภาวะลมแดด

   หากเจ้าของน้องแมวพบอาการดังกล่าว ถ้าเป็นอาการเล็กน้อย คือเริ่มหอบกระวนกระวาย หอบหายใจ ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการเช็ดตัว หาน้ำเย็นให้กินหรือป้อนน้ำ  แต่ถ้าอาการหนัก อาจนำน้องแมวจุ่มในอ่างน้ำที่อุณหภูมิปกติ หรือในน้ำเย็นก็ได้ จากนั้นเปิดพัดลมให้พัดผ่านในหน้า ใบหู และท้อง และจากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

วิธีการป้องกันภาวะลมแดด

   ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน เจ้าของน้องแมวอาจจะตัดขนบริเวณท้องให้สั้นลง เพิ่มชามน้ำให้กับน้อง อาจจะใส่น้ำแข็งลงในชามน้ำได้ และคอยดูแลให้น้องแมวอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่เป็นห้องปิดทึบ หรือห้ามทิ้งน้องแมวไว้ในรถขณะอากาศร้อนเด็ดขาด และงดหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงที่อากาศร้อนเช่นช่วงเที่ยง ถึงบ่าย





1128
ภาวะลมแดด หรือฮีทสโตรก (Heat stroke) ในแมว

   อากาศในประเทศไทยร้อนขึ้นทุกปี ยิ่งช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทั้งสุนัข และแมว ซึ่งหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในช่วงอากาศร้อนคือ ภาวะลมแดด หรือ ฮีทสโตรก น้องแมวเป็นสัตว์ที่เก็บอาการ ไม่ค่อยแสดงอาการเวลาไม่สบาย โรคลมแดดมีอาการตั้งแต่น้อยๆหรือบางตัวอาจจะหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นการรู้อาการตั้งแต่แรกเริ่ม จึงเป็นวิธีช่วยชีวิตน้องแมวที่ดีที่สุด



สาเหตุภาวะลมแดด

ภาวะฮีทสโตรก คือ ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 102.5 องศาฟาเรนไฮต์ หรือมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน เกิดจากสภาพอากาศร้อน อบอ้าว มีความชื้นในอากาศสูง หรืออยู่ในห้องปิดทึบ ไม่มีอากาศ อยู่ในรถในวันที่อากาศร้อน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ออกกำลังกายหรือเล่นจนทำให้เหนื่อยเกิดการระบายความร้อนไม่ทัน ทำให้น้องแมวระบายความร้อนได้ไม่ดี สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะน้องแมวนั้นมีต่อมเหงื่อที่ช่วยระบายความร้อนจำกัด โดยมีเพียงบริเวณอุ้งเท้าเท่านั้น จึงไม่สามารถเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อนแบบคนได้ น้องแมวสามารถระบายความร้อนผ่านทางการปาก การหายใจ ใบหู อุ้งเท้า และผิวหนังบริเวณที่ไม่มีขน ดังนั้นถ้าน้องแมวตัวไหนขนยาวก็อาจจะทำให้การระบายความร้อนได้ยากกว่าแมวขนสั้น

อาการฮีทสโตรกในแมว

   น้องแมวจะกระวนกระวาย พยายามอยู่ที่เย็นๆ ไม่ยอมนอน เดินไปเดินมา อาจจะกินน้ำมากขึ้น ถ้าเป็นหนักขึ้นจะพบว่ามีอาการอ้าปากหายใจ หรือพยายามยืดคอหายใจ แลบลิ้นออกมาเพื่อระบายความร้อน ลิ้นและเยื่อเมือกสีเข้มขึ้น ใบหูเป็นสีแดงกว่าปกติ ถ้าเจ้าของพบน้องช้าอาการอาจจะลุกลาม อาจจะพบอาการถ่ายเหลว อาเจียน พบจ้ำเลือดออกตามตัว ถ้าอุณหภูมิสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้หมดสติ หรือเรียกไม่ตื่น อ่อนแรง ชัก และอาจจะเสียชีวิตได้

วิธีการรักษาภาวะลมแดด

   หากเจ้าของน้องแมวพบอาการดังกล่าว ถ้าเป็นอาการเล็กน้อย คือเริ่มหอบกระวนกระวาย หอบหายใจ ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการเช็ดตัว หาน้ำเย็นให้กินหรือป้อนน้ำ  แต่ถ้าอาการหนัก อาจนำน้องแมวจุ่มในอ่างน้ำที่อุณหภูมิปกติ หรือในน้ำเย็นก็ได้ จากนั้นเปิดพัดลมให้พัดผ่านในหน้า ใบหู และท้อง และจากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

วิธีการป้องกันภาวะลมแดด

   ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน เจ้าของน้องแมวอาจจะตัดขนบริเวณท้องให้สั้นลง เพิ่มชามน้ำให้กับน้อง อาจจะใส่น้ำแข็งลงในชามน้ำได้ และคอยดูแลให้น้องแมวอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่เป็นห้องปิดทึบ หรือห้ามทิ้งน้องแมวไว้ในรถขณะอากาศร้อนเด็ดขาด และงดหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงที่อากาศร้อนเช่นช่วงเที่ยง ถึงบ่าย





1129
บาเซ็นจิ (Basenji)

สุนัขย่อมคู่กับการเห่าหอนหมาบางตัวเห่าทุกอย่างที่สงสัยและไม่คุ้นเคย บางตัวก็เห่าแต่พองาม แต่ถ้าได้มาเจอกับสุนัขพันธุ์ บาเซนจิ ก็อาจทำให้คุณสงสัยว่าสุนัขพันธุ์นี้ไร้เสียงเห่ารึเปล่า เพราะมันแทบไม่ส่งเสียงเห่าเลย จนได้ฉายาว่า “สุนัขที่ไม่เคยเห่า”



สุนัข บาเซนจิ

ที่จริงแล้ว บาเซนจิ ก็สามารถเห่าได้เหมือนน้องหมาทั่วไป แต่บาเซ็นจิจะไม่เห่าเหมือนสุนัขบ้านทั่วไป แต่จะเพียงแค่คำรามสั้นๆ ในลำคอเท่านั้น หากรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายที่เข้ามาใกล้

• ลักษณะทั่วไปสุนัข บาเซ็นจิ

ลักษณะทั่วไปของบาเซ็นจิ นั้นเป็นรูปร่างปราดเปรียว สง่างาม หลังตรง มีขนสั้น สีน้ำตาล-ขาว หรือ สีน้ำตาล-แดง รูปร่างของบาเซ็นจิ นั้นไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับสุนัขล่าเนื้อชนิดอื่น หางม้วนเป็นวงกลม หน้าแหลม หูแหลมชี้ตั้ง มีความสูงประมาณ 43 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 11 กิโลกรัม และมีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีกลิ่นตัว และไม่เห่า อายุโดยเฉลี่ย 16 ปี

• อุปนิสัยสุนัข บาเซ็นจิ

บาเซ็นจิ มีความร่าเริง ฉลาด สง่างาม และมีความสามารถรอบตัวสูง พวกมันรักษาความสะอาด ชอบเลียขนรักษาความสะอาดคล้ายกับแมวเลยทีเดียว จึงทำให้ไม่มีกลิ่นตัว และยังสามารถฝึกการขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย รักเป็นมิตรกับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งเด็กๆ โดยหากสัญญาณอันตรายเข้ามาใกล้ มันจะยิ่งปกป้องเด็กเล็กมากกว่าปกติด้วย

• การดูแล

บาเซ็นจิเป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ไม่ต้องคอยแปรงขน และไม่ต้องอาบน้ำให้บ่อยๆ เพราะว่าบาเซ็นจิจะใส่ใจความสะอาดของตัวเองมาก โดยบาเซ็นจิจะใช้อุ้งเท้าทำความสะอาดให้ตัวเอง



• อาหาร

บาเซ็นจิ ควรได้รับอาหาร 2 มื้อต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายและทำให้ย่อยได้ยากมากขึ้น ปริมาณอาหารที่ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงอายุ อัตราการเผาผลาญ ขนาดของสุนัข และกิจกรรมที่สุนัขทำ นอกจากนี้คุณภาพของอาหารก็เป็นส่วนที่สำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ การเจริญเติบโต ความแข็งแรง และเพื่อให้สุนัขได้รับสารอาหารที่ดีที่สุด

• ปัญหาสุขภาพของสายพันธุ์

บาเซ็นจิ สำหรับโรคที่มักพบในหมาสายพันธุ์นี้ก็จะเป็นโรคขาดเม็ดเลือดแดง โรคเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โรคจอรับภาพเสื่อม โรคไตจากกรรมพันธุ์ ซึ่งต้องคอยติดตามดูอาการที่อาจกำเริบได้ทุกเมื่อ

ถ้าหากจะเลี้ยงบาเซ็นจิ ควรมีสถานที่ และเวลาพาสุนัขไปออกกำลังกายทุกวัน เพราะพวกมันชอบที่จะซุกซน วิ่งเล่น นอกจากนี้ บาเซ็นจิ ยังเป็นสุนัขที่ชอบเคี้ยว แทะ เป็นอย่างมาก ดังนั้นการหาของเล่นให้เขาได้แทะเล่นจึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำ



1130
บาเซ็นจิ (Basenji)

สุนัขย่อมคู่กับการเห่าหอนหมาบางตัวเห่าทุกอย่างที่สงสัยและไม่คุ้นเคย บางตัวก็เห่าแต่พองาม แต่ถ้าได้มาเจอกับสุนัขพันธุ์ บาเซนจิ ก็อาจทำให้คุณสงสัยว่าสุนัขพันธุ์นี้ไร้เสียงเห่ารึเปล่า เพราะมันแทบไม่ส่งเสียงเห่าเลย จนได้ฉายาว่า “สุนัขที่ไม่เคยเห่า”



สุนัข บาเซนจิ

ที่จริงแล้ว บาเซนจิ ก็สามารถเห่าได้เหมือนน้องหมาทั่วไป แต่บาเซ็นจิจะไม่เห่าเหมือนสุนัขบ้านทั่วไป แต่จะเพียงแค่คำรามสั้นๆ ในลำคอเท่านั้น หากรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายที่เข้ามาใกล้

• ลักษณะทั่วไปสุนัข บาเซ็นจิ

ลักษณะทั่วไปของบาเซ็นจิ นั้นเป็นรูปร่างปราดเปรียว สง่างาม หลังตรง มีขนสั้น สีน้ำตาล-ขาว หรือ สีน้ำตาล-แดง รูปร่างของบาเซ็นจิ นั้นไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับสุนัขล่าเนื้อชนิดอื่น หางม้วนเป็นวงกลม หน้าแหลม หูแหลมชี้ตั้ง มีความสูงประมาณ 43 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 11 กิโลกรัม และมีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีกลิ่นตัว และไม่เห่า อายุโดยเฉลี่ย 16 ปี

• อุปนิสัยสุนัข บาเซ็นจิ

บาเซ็นจิ มีความร่าเริง ฉลาด สง่างาม และมีความสามารถรอบตัวสูง พวกมันรักษาความสะอาด ชอบเลียขนรักษาความสะอาดคล้ายกับแมวเลยทีเดียว จึงทำให้ไม่มีกลิ่นตัว และยังสามารถฝึกการขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย รักเป็นมิตรกับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งเด็กๆ โดยหากสัญญาณอันตรายเข้ามาใกล้ มันจะยิ่งปกป้องเด็กเล็กมากกว่าปกติด้วย

• การดูแล

บาเซ็นจิเป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ไม่ต้องคอยแปรงขน และไม่ต้องอาบน้ำให้บ่อยๆ เพราะว่าบาเซ็นจิจะใส่ใจความสะอาดของตัวเองมาก โดยบาเซ็นจิจะใช้อุ้งเท้าทำความสะอาดให้ตัวเอง



• อาหาร

บาเซ็นจิ ควรได้รับอาหาร 2 มื้อต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายและทำให้ย่อยได้ยากมากขึ้น ปริมาณอาหารที่ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงอายุ อัตราการเผาผลาญ ขนาดของสุนัข และกิจกรรมที่สุนัขทำ นอกจากนี้คุณภาพของอาหารก็เป็นส่วนที่สำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ การเจริญเติบโต ความแข็งแรง และเพื่อให้สุนัขได้รับสารอาหารที่ดีที่สุด

• ปัญหาสุขภาพของสายพันธุ์

บาเซ็นจิ สำหรับโรคที่มักพบในหมาสายพันธุ์นี้ก็จะเป็นโรคขาดเม็ดเลือดแดง โรคเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โรคจอรับภาพเสื่อม โรคไตจากกรรมพันธุ์ ซึ่งต้องคอยติดตามดูอาการที่อาจกำเริบได้ทุกเมื่อ

ถ้าหากจะเลี้ยงบาเซ็นจิ ควรมีสถานที่ และเวลาพาสุนัขไปออกกำลังกายทุกวัน เพราะพวกมันชอบที่จะซุกซน วิ่งเล่น นอกจากนี้ บาเซ็นจิ ยังเป็นสุนัขที่ชอบเคี้ยว แทะ เป็นอย่างมาก ดังนั้นการหาของเล่นให้เขาได้แทะเล่นจึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำ



1131
บาเซ็นจิ (Basenji)

สุนัขย่อมคู่กับการเห่าหอนหมาบางตัวเห่าทุกอย่างที่สงสัยและไม่คุ้นเคย บางตัวก็เห่าแต่พองาม แต่ถ้าได้มาเจอกับสุนัขพันธุ์ บาเซนจิ ก็อาจทำให้คุณสงสัยว่าสุนัขพันธุ์นี้ไร้เสียงเห่ารึเปล่า เพราะมันแทบไม่ส่งเสียงเห่าเลย จนได้ฉายาว่า “สุนัขที่ไม่เคยเห่า”



สุนัข บาเซนจิ

ที่จริงแล้ว บาเซนจิ ก็สามารถเห่าได้เหมือนน้องหมาทั่วไป แต่บาเซ็นจิจะไม่เห่าเหมือนสุนัขบ้านทั่วไป แต่จะเพียงแค่คำรามสั้นๆ ในลำคอเท่านั้น หากรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายที่เข้ามาใกล้

• ลักษณะทั่วไปสุนัข บาเซ็นจิ

ลักษณะทั่วไปของบาเซ็นจิ นั้นเป็นรูปร่างปราดเปรียว สง่างาม หลังตรง มีขนสั้น สีน้ำตาล-ขาว หรือ สีน้ำตาล-แดง รูปร่างของบาเซ็นจิ นั้นไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับสุนัขล่าเนื้อชนิดอื่น หางม้วนเป็นวงกลม หน้าแหลม หูแหลมชี้ตั้ง มีความสูงประมาณ 43 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 11 กิโลกรัม และมีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีกลิ่นตัว และไม่เห่า อายุโดยเฉลี่ย 16 ปี

• อุปนิสัยสุนัข บาเซ็นจิ

บาเซ็นจิ มีความร่าเริง ฉลาด สง่างาม และมีความสามารถรอบตัวสูง พวกมันรักษาความสะอาด ชอบเลียขนรักษาความสะอาดคล้ายกับแมวเลยทีเดียว จึงทำให้ไม่มีกลิ่นตัว และยังสามารถฝึกการขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย รักเป็นมิตรกับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งเด็กๆ โดยหากสัญญาณอันตรายเข้ามาใกล้ มันจะยิ่งปกป้องเด็กเล็กมากกว่าปกติด้วย

• การดูแล

บาเซ็นจิเป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ไม่ต้องคอยแปรงขน และไม่ต้องอาบน้ำให้บ่อยๆ เพราะว่าบาเซ็นจิจะใส่ใจความสะอาดของตัวเองมาก โดยบาเซ็นจิจะใช้อุ้งเท้าทำความสะอาดให้ตัวเอง



• อาหาร

บาเซ็นจิ ควรได้รับอาหาร 2 มื้อต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายและทำให้ย่อยได้ยากมากขึ้น ปริมาณอาหารที่ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงอายุ อัตราการเผาผลาญ ขนาดของสุนัข และกิจกรรมที่สุนัขทำ นอกจากนี้คุณภาพของอาหารก็เป็นส่วนที่สำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ การเจริญเติบโต ความแข็งแรง และเพื่อให้สุนัขได้รับสารอาหารที่ดีที่สุด

• ปัญหาสุขภาพของสายพันธุ์

บาเซ็นจิ สำหรับโรคที่มักพบในหมาสายพันธุ์นี้ก็จะเป็นโรคขาดเม็ดเลือดแดง โรคเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โรคจอรับภาพเสื่อม โรคไตจากกรรมพันธุ์ ซึ่งต้องคอยติดตามดูอาการที่อาจกำเริบได้ทุกเมื่อ

ถ้าหากจะเลี้ยงบาเซ็นจิ ควรมีสถานที่ และเวลาพาสุนัขไปออกกำลังกายทุกวัน เพราะพวกมันชอบที่จะซุกซน วิ่งเล่น นอกจากนี้ บาเซ็นจิ ยังเป็นสุนัขที่ชอบเคี้ยว แทะ เป็นอย่างมาก ดังนั้นการหาของเล่นให้เขาได้แทะเล่นจึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำ



1132
บาเซ็นจิ (Basenji)

สุนัขย่อมคู่กับการเห่าหอนหมาบางตัวเห่าทุกอย่างที่สงสัยและไม่คุ้นเคย บางตัวก็เห่าแต่พองาม แต่ถ้าได้มาเจอกับสุนัขพันธุ์ บาเซนจิ ก็อาจทำให้คุณสงสัยว่าสุนัขพันธุ์นี้ไร้เสียงเห่ารึเปล่า เพราะมันแทบไม่ส่งเสียงเห่าเลย จนได้ฉายาว่า “สุนัขที่ไม่เคยเห่า”



สุนัข บาเซนจิ

ที่จริงแล้ว บาเซนจิ ก็สามารถเห่าได้เหมือนน้องหมาทั่วไป แต่บาเซ็นจิจะไม่เห่าเหมือนสุนัขบ้านทั่วไป แต่จะเพียงแค่คำรามสั้นๆ ในลำคอเท่านั้น หากรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายที่เข้ามาใกล้

• ลักษณะทั่วไปสุนัข บาเซ็นจิ

ลักษณะทั่วไปของบาเซ็นจิ นั้นเป็นรูปร่างปราดเปรียว สง่างาม หลังตรง มีขนสั้น สีน้ำตาล-ขาว หรือ สีน้ำตาล-แดง รูปร่างของบาเซ็นจิ นั้นไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับสุนัขล่าเนื้อชนิดอื่น หางม้วนเป็นวงกลม หน้าแหลม หูแหลมชี้ตั้ง มีความสูงประมาณ 43 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 11 กิโลกรัม และมีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีกลิ่นตัว และไม่เห่า อายุโดยเฉลี่ย 16 ปี

• อุปนิสัยสุนัข บาเซ็นจิ

บาเซ็นจิ มีความร่าเริง ฉลาด สง่างาม และมีความสามารถรอบตัวสูง พวกมันรักษาความสะอาด ชอบเลียขนรักษาความสะอาดคล้ายกับแมวเลยทีเดียว จึงทำให้ไม่มีกลิ่นตัว และยังสามารถฝึกการขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย รักเป็นมิตรกับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งเด็กๆ โดยหากสัญญาณอันตรายเข้ามาใกล้ มันจะยิ่งปกป้องเด็กเล็กมากกว่าปกติด้วย

• การดูแล

บาเซ็นจิเป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ไม่ต้องคอยแปรงขน และไม่ต้องอาบน้ำให้บ่อยๆ เพราะว่าบาเซ็นจิจะใส่ใจความสะอาดของตัวเองมาก โดยบาเซ็นจิจะใช้อุ้งเท้าทำความสะอาดให้ตัวเอง



• อาหาร

บาเซ็นจิ ควรได้รับอาหาร 2 มื้อต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายและทำให้ย่อยได้ยากมากขึ้น ปริมาณอาหารที่ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงอายุ อัตราการเผาผลาญ ขนาดของสุนัข และกิจกรรมที่สุนัขทำ นอกจากนี้คุณภาพของอาหารก็เป็นส่วนที่สำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ การเจริญเติบโต ความแข็งแรง และเพื่อให้สุนัขได้รับสารอาหารที่ดีที่สุด

• ปัญหาสุขภาพของสายพันธุ์

บาเซ็นจิ สำหรับโรคที่มักพบในหมาสายพันธุ์นี้ก็จะเป็นโรคขาดเม็ดเลือดแดง โรคเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โรคจอรับภาพเสื่อม โรคไตจากกรรมพันธุ์ ซึ่งต้องคอยติดตามดูอาการที่อาจกำเริบได้ทุกเมื่อ

ถ้าหากจะเลี้ยงบาเซ็นจิ ควรมีสถานที่ และเวลาพาสุนัขไปออกกำลังกายทุกวัน เพราะพวกมันชอบที่จะซุกซน วิ่งเล่น นอกจากนี้ บาเซ็นจิ ยังเป็นสุนัขที่ชอบเคี้ยว แทะ เป็นอย่างมาก ดังนั้นการหาของเล่นให้เขาได้แทะเล่นจึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำ



1133
พุดเดิ้ล(Poodle)  สุนัข แสนรู้

เมื่อถามถึงสุนัขที่มีคนนิยมเลี้ยงเป็นอันดับต้น ๆ หนึ่งในสายพันธุ์ที่นึกได้ก็คงเป็นสายพันธุ์นี้ พุดเดิ้ล  น้องหมาพุดเดิ้ล นั้นได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก พุดเดิ้ล นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นสุนัขที่มีฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด เลี้ยงง่าย แม้จะเห่าเก่งไปสักหน่อย



น้องหมาพุดเดิ้ลไม่ได้แค่สายพันธุ์เดียวนะคะ แต่ยังแบ่งย่อย 4 สายพันธุ์ เลยนะคะ แต่สำหรับบ้านเรานั้น พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย  เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถพาไปไหนมาไหนได้สะดวก

ความเป็นมาของ พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล (Poodle) แต่ไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าต้นกำเนิดจริงๆ เป็นประเทศเยอรมนีหรือประเทศฝรั่งเศส ในแต่เดิมนั้นมักเลี้ยง พุดเดิ้ล ไว้เพื่อใช้งาน เก็บของในน้ำและของที่ว่าก็คือ นกเป็ดน้ำ ที่ชาวไร่ชาวนายิงได้

          ในประเทศเยอรมนีเรียก พุดเดิ้ล ว่า "Pudel" หรือ "Pudelin" แปลว่า กระโดดน้ำ ส่วนในประเทศฝรั่งเศส พุดเดิ้ล พวกมันมีฉายาว่า Caniche แปลว่า "สุนัขล่าเป็ด"

         และเพราะพวกมันนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งาน ขนของของพวกมันจึงถูกตัดให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำเป็นหลัก ไม่เน้นไปที่ความสวยงาม แต่ในเวลาต่อมาการตัดแต่งทรงขนของ พุดเดิ้ล จึงได้เกิดการพัฒนาเป็นทรงต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ น่าหลงใหลมากขึ้น

ลักษณะสายพันธุ์ สุนัข พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล  เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ

สุนัข พุดเดิ้ล แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
          1. พุดเดิ้ลทอย (Toy Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดเล็ก
          2. พุดเดิ้ล มินิเจอร์ (Miniture Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดกลาง
          3. พุดเดิ้ล สแตนดาร์ด (Standard Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดใหญ่
          4. พุดเดิ้ลทีคัพ (Tea-Cup Poodle) เป็นขนาดเล็กที่สุดในตระกูลที่เพิ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้น



นิสัยและพฤติกรรมของหมาพุดเดิ้ล

พุดเดิ้ล เป็นหมาที่มีความฉลาด แสนรู้ สนุกสนาน มีซื่อสัตย์อีกด้วย พุดเดิ้ลเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี ซึ่งผู้เลี้ยงควรฝึกสอนน้องตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ฝึกน้องง่ายมากกว่าตอนโต
ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ชอบเห่าเสียงแหลมบาดหู อาจสร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้านได้ แต่นิสัยที่ชอบเห่าของน้องนี่แหละ ทำให้น้องเหมาะที่จะเป็นหมาเฝ้าบ้าน เวลามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน น้องจะส่งเสียงเห่าดัง เตือนเจ้าของว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้น

อาหารและการดูแล สุนัข พุดเดิ้ล

          อาหารการกินของ สุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด ความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ การดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด

พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย จึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก

   ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาสายพันธุ์ไหน เราก็ต้องใส่ใจดูแลนะคะ อย่ารักแค่ตอนน้องเป็นลูกสุนัขพอโตก็เบื่อแล้วทิ้งขวางกันนะคะ เพราะเขาก็มีจิตใจเหมือนเราค่ะ




1134
พุดเดิ้ล(Poodle)  สุนัข แสนรู้

เมื่อถามถึงสุนัขที่มีคนนิยมเลี้ยงเป็นอันดับต้น ๆ หนึ่งในสายพันธุ์ที่นึกได้ก็คงเป็นสายพันธุ์นี้ พุดเดิ้ล  น้องหมาพุดเดิ้ล นั้นได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก พุดเดิ้ล นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นสุนัขที่มีฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด เลี้ยงง่าย แม้จะเห่าเก่งไปสักหน่อย



น้องหมาพุดเดิ้ลไม่ได้แค่สายพันธุ์เดียวนะคะ แต่ยังแบ่งย่อย 4 สายพันธุ์ เลยนะคะ แต่สำหรับบ้านเรานั้น พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย  เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถพาไปไหนมาไหนได้สะดวก

ความเป็นมาของ พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล (Poodle) แต่ไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าต้นกำเนิดจริงๆ เป็นประเทศเยอรมนีหรือประเทศฝรั่งเศส ในแต่เดิมนั้นมักเลี้ยง พุดเดิ้ล ไว้เพื่อใช้งาน เก็บของในน้ำและของที่ว่าก็คือ นกเป็ดน้ำ ที่ชาวไร่ชาวนายิงได้

          ในประเทศเยอรมนีเรียก พุดเดิ้ล ว่า "Pudel" หรือ "Pudelin" แปลว่า กระโดดน้ำ ส่วนในประเทศฝรั่งเศส พุดเดิ้ล พวกมันมีฉายาว่า Caniche แปลว่า "สุนัขล่าเป็ด"

         และเพราะพวกมันนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งาน ขนของของพวกมันจึงถูกตัดให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำเป็นหลัก ไม่เน้นไปที่ความสวยงาม แต่ในเวลาต่อมาการตัดแต่งทรงขนของ พุดเดิ้ล จึงได้เกิดการพัฒนาเป็นทรงต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ น่าหลงใหลมากขึ้น

ลักษณะสายพันธุ์ สุนัข พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล  เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ

สุนัข พุดเดิ้ล แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
          1. พุดเดิ้ลทอย (Toy Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดเล็ก
          2. พุดเดิ้ล มินิเจอร์ (Miniture Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดกลาง
          3. พุดเดิ้ล สแตนดาร์ด (Standard Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดใหญ่
          4. พุดเดิ้ลทีคัพ (Tea-Cup Poodle) เป็นขนาดเล็กที่สุดในตระกูลที่เพิ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้น



นิสัยและพฤติกรรมของหมาพุดเดิ้ล

พุดเดิ้ล เป็นหมาที่มีความฉลาด แสนรู้ สนุกสนาน มีซื่อสัตย์อีกด้วย พุดเดิ้ลเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี ซึ่งผู้เลี้ยงควรฝึกสอนน้องตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ฝึกน้องง่ายมากกว่าตอนโต
ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ชอบเห่าเสียงแหลมบาดหู อาจสร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้านได้ แต่นิสัยที่ชอบเห่าของน้องนี่แหละ ทำให้น้องเหมาะที่จะเป็นหมาเฝ้าบ้าน เวลามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน น้องจะส่งเสียงเห่าดัง เตือนเจ้าของว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้น

อาหารและการดูแล สุนัข พุดเดิ้ล

          อาหารการกินของ สุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด ความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ การดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด

พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย จึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก

   ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาสายพันธุ์ไหน เราก็ต้องใส่ใจดูแลนะคะ อย่ารักแค่ตอนน้องเป็นลูกสุนัขพอโตก็เบื่อแล้วทิ้งขวางกันนะคะ เพราะเขาก็มีจิตใจเหมือนเราค่ะ




1135
พุดเดิ้ล(Poodle)  สุนัข แสนรู้

เมื่อถามถึงสุนัขที่มีคนนิยมเลี้ยงเป็นอันดับต้น ๆ หนึ่งในสายพันธุ์ที่นึกได้ก็คงเป็นสายพันธุ์นี้ พุดเดิ้ล  น้องหมาพุดเดิ้ล นั้นได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก พุดเดิ้ล นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นสุนัขที่มีฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด เลี้ยงง่าย แม้จะเห่าเก่งไปสักหน่อย



น้องหมาพุดเดิ้ลไม่ได้แค่สายพันธุ์เดียวนะคะ แต่ยังแบ่งย่อย 4 สายพันธุ์ เลยนะคะ แต่สำหรับบ้านเรานั้น พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย  เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถพาไปไหนมาไหนได้สะดวก

ความเป็นมาของ พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล (Poodle) แต่ไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าต้นกำเนิดจริงๆ เป็นประเทศเยอรมนีหรือประเทศฝรั่งเศส ในแต่เดิมนั้นมักเลี้ยง พุดเดิ้ล ไว้เพื่อใช้งาน เก็บของในน้ำและของที่ว่าก็คือ นกเป็ดน้ำ ที่ชาวไร่ชาวนายิงได้

          ในประเทศเยอรมนีเรียก พุดเดิ้ล ว่า "Pudel" หรือ "Pudelin" แปลว่า กระโดดน้ำ ส่วนในประเทศฝรั่งเศส พุดเดิ้ล พวกมันมีฉายาว่า Caniche แปลว่า "สุนัขล่าเป็ด"

         และเพราะพวกมันนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งาน ขนของของพวกมันจึงถูกตัดให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำเป็นหลัก ไม่เน้นไปที่ความสวยงาม แต่ในเวลาต่อมาการตัดแต่งทรงขนของ พุดเดิ้ล จึงได้เกิดการพัฒนาเป็นทรงต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ น่าหลงใหลมากขึ้น

ลักษณะสายพันธุ์ สุนัข พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล  เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ

สุนัข พุดเดิ้ล แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
          1. พุดเดิ้ลทอย (Toy Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดเล็ก
          2. พุดเดิ้ล มินิเจอร์ (Miniture Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดกลาง
          3. พุดเดิ้ล สแตนดาร์ด (Standard Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดใหญ่
          4. พุดเดิ้ลทีคัพ (Tea-Cup Poodle) เป็นขนาดเล็กที่สุดในตระกูลที่เพิ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้น



นิสัยและพฤติกรรมของหมาพุดเดิ้ล

พุดเดิ้ล เป็นหมาที่มีความฉลาด แสนรู้ สนุกสนาน มีซื่อสัตย์อีกด้วย พุดเดิ้ลเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี ซึ่งผู้เลี้ยงควรฝึกสอนน้องตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ฝึกน้องง่ายมากกว่าตอนโต
ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ชอบเห่าเสียงแหลมบาดหู อาจสร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้านได้ แต่นิสัยที่ชอบเห่าของน้องนี่แหละ ทำให้น้องเหมาะที่จะเป็นหมาเฝ้าบ้าน เวลามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน น้องจะส่งเสียงเห่าดัง เตือนเจ้าของว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้น

อาหารและการดูแล สุนัข พุดเดิ้ล

          อาหารการกินของ สุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด ความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ การดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด

พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย จึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก

   ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาสายพันธุ์ไหน เราก็ต้องใส่ใจดูแลนะคะ อย่ารักแค่ตอนน้องเป็นลูกสุนัขพอโตก็เบื่อแล้วทิ้งขวางกันนะคะ เพราะเขาก็มีจิตใจเหมือนเราค่ะ




1136
พุดเดิ้ล(Poodle)  สุนัข แสนรู้

เมื่อถามถึงสุนัขที่มีคนนิยมเลี้ยงเป็นอันดับต้น ๆ หนึ่งในสายพันธุ์ที่นึกได้ก็คงเป็นสายพันธุ์นี้ พุดเดิ้ล  น้องหมาพุดเดิ้ล นั้นได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก พุดเดิ้ล นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นสุนัขที่มีฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด เลี้ยงง่าย แม้จะเห่าเก่งไปสักหน่อย



น้องหมาพุดเดิ้ลไม่ได้แค่สายพันธุ์เดียวนะคะ แต่ยังแบ่งย่อย 4 สายพันธุ์ เลยนะคะ แต่สำหรับบ้านเรานั้น พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย  เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถพาไปไหนมาไหนได้สะดวก

ความเป็นมาของ พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล (Poodle) แต่ไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าต้นกำเนิดจริงๆ เป็นประเทศเยอรมนีหรือประเทศฝรั่งเศส ในแต่เดิมนั้นมักเลี้ยง พุดเดิ้ล ไว้เพื่อใช้งาน เก็บของในน้ำและของที่ว่าก็คือ นกเป็ดน้ำ ที่ชาวไร่ชาวนายิงได้

          ในประเทศเยอรมนีเรียก พุดเดิ้ล ว่า "Pudel" หรือ "Pudelin" แปลว่า กระโดดน้ำ ส่วนในประเทศฝรั่งเศส พุดเดิ้ล พวกมันมีฉายาว่า Caniche แปลว่า "สุนัขล่าเป็ด"

         และเพราะพวกมันนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งาน ขนของของพวกมันจึงถูกตัดให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำเป็นหลัก ไม่เน้นไปที่ความสวยงาม แต่ในเวลาต่อมาการตัดแต่งทรงขนของ พุดเดิ้ล จึงได้เกิดการพัฒนาเป็นทรงต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ น่าหลงใหลมากขึ้น

ลักษณะสายพันธุ์ สุนัข พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล  เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ

สุนัข พุดเดิ้ล แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
          1. พุดเดิ้ลทอย (Toy Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดเล็ก
          2. พุดเดิ้ล มินิเจอร์ (Miniture Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดกลาง
          3. พุดเดิ้ล สแตนดาร์ด (Standard Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดใหญ่
          4. พุดเดิ้ลทีคัพ (Tea-Cup Poodle) เป็นขนาดเล็กที่สุดในตระกูลที่เพิ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้น



นิสัยและพฤติกรรมของหมาพุดเดิ้ล

พุดเดิ้ล เป็นหมาที่มีความฉลาด แสนรู้ สนุกสนาน มีซื่อสัตย์อีกด้วย พุดเดิ้ลเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี ซึ่งผู้เลี้ยงควรฝึกสอนน้องตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ฝึกน้องง่ายมากกว่าตอนโต
ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ชอบเห่าเสียงแหลมบาดหู อาจสร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้านได้ แต่นิสัยที่ชอบเห่าของน้องนี่แหละ ทำให้น้องเหมาะที่จะเป็นหมาเฝ้าบ้าน เวลามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน น้องจะส่งเสียงเห่าดัง เตือนเจ้าของว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้น

อาหารและการดูแล สุนัข พุดเดิ้ล

          อาหารการกินของ สุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด ความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ การดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด

พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย จึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก

   ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาสายพันธุ์ไหน เราก็ต้องใส่ใจดูแลนะคะ อย่ารักแค่ตอนน้องเป็นลูกสุนัขพอโตก็เบื่อแล้วทิ้งขวางกันนะคะ เพราะเขาก็มีจิตใจเหมือนเราค่ะ




1137
ปาปิยอง (Papillon)

ปาปิยอง น้องหมาขนยาวที่ขี้อ้อนเจ้าของและเป็นตัวจอมซนประจำบ้าน อย่างน้องหมาปาปิยอง วันนี้พระเอกของเราที่จะนำมาเสนอก็คือ น้องหมาปาปิยองนั่นเอง เรามาทำความรู้จักเพิ่มขึ้นกันเลยค่ะ



ความเป็นมา               

                ปาปิยอง น้องหมาสายพันธุ์ที่เก่าแก่มากที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของยุโรป มีการสันนิษฐานถิ่นกำเนิดว่าอยู่ในประเทศฝรั่งเศส บ้างก็ว่ามีต้นกำเนิดในจีนแต่มีการนำไปค้าขายและขยายพันธุ์กันอย่างกว้างขวางในประเทศเสปนเดิมปาปิยองเป็นน้องหมาหูตก มีชื่อเรียกว่า สเปเนียลแคระ

ต่อมามีการพัฒนาสายพันธุ์กลายมาเป็น ปาปิยองหูตั้ง ขนหูแผ่คล้ายปีกผีเสื้อ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นปาปิยอง ที่แปลว่า ผีเสื้อในภาษาฝรั่งเศส ส่วนปาปิยองหูตกจะเรียกเป็นอีกชื่อว่า "ฟาแลน"

ลักษณะทั่วไป

                ปาปิยอง สุนัขขนาดเล็กขาวยาวสลวยเหมือนเส้นไหม หูตั้งสวยรูปทรงคล้ายปีกผีเสื้อ ต้องการการดูแลมากกว่าสุนัขพันธุ์เล็กทั่วไป เนื่องจากมีคนยาวเป็นจุดเด่น เป็นมิตรรักเจ้าของ ชอบออกกำลังกาย หูลักษณะคล้ายกับปีกผีเสื้อ



ลักษณะนิสัย

            หมาสายพันธุ์ ปาปิยอง เป็นน้องหมาที่มีความฉลาดเฉลียว มีไหวพริบเป็นเลิศ หูไว ตาไว เป็นน้องหมาเฝ้าเวรยามได้เป็นอย่างดี รักเด็ก รักครอบครัว เชื่อฟังคำสั่ง ขี้เล่น เหมาะกับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนรักของครอบครัว แต่ในบางอารมณ์ก็เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องความสนใจ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และดื้อเงียบ น้องหมาปาปิยองนั้นสามารถเข้ากับคนอื่น และสัตว์อื่นได้ดี เพราะน้องนั้นเป็นเข้าสังคมก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นถึงธรรมชาตินิสัยจะเป็นน้องหมาจิตใจดี อ่อนโยนก็ตาม แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาหวาดกลัวคนแปลกหน้า เกิดพฤติกรรมก้าวราว จึงไม่ควรเก็บเขาไว้แต่ในบ้านไม่ให้พบปะเจอใคร อาจส่งผลให้พวกเขารู้สึกเหงา และรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณืได้ และที่สำคัญควรหมั่นแปรงขน และทำความสะอาดขนให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ

การดูแล

•   ด้วยเพราะขนของน้องหมา ปาปิยอง มีขนที่ค่อนข้างยาว และพลัดขนบ่อย จึงต้องแปรงขนเป็นประจำทุกวัน โดยแปรงที่ใช้ควรเป็นแปรงที่มีความอ่อนนุ่ม

•   ควรตัดเล็มปลายขนบริเวณขาและท้องให้ยาวเพียง 5 ซม. เพื่อไม่ให้เปรอะเปื้อนได้ง่าย โดยเฉพาะหน้าฝน ซึ่งจะทำให้ขนชื้น ผิวหนังเป็นเชื้อรา และอักเสบได้

•   ควรอาบประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และทำความสะอาดที่หูเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดการอักเสบได้ง่าย

•   ควรพาไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และ เผาผลาญพลังงานไม่ให้เกิดเป็นปัญหาพฤติกรรมตามมา



1138
ปาปิยอง (Papillon)

ปาปิยอง น้องหมาขนยาวที่ขี้อ้อนเจ้าของและเป็นตัวจอมซนประจำบ้าน อย่างน้องหมาปาปิยอง วันนี้พระเอกของเราที่จะนำมาเสนอก็คือ น้องหมาปาปิยองนั่นเอง เรามาทำความรู้จักเพิ่มขึ้นกันเลยค่ะ



ความเป็นมา               

                ปาปิยอง น้องหมาสายพันธุ์ที่เก่าแก่มากที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของยุโรป มีการสันนิษฐานถิ่นกำเนิดว่าอยู่ในประเทศฝรั่งเศส บ้างก็ว่ามีต้นกำเนิดในจีนแต่มีการนำไปค้าขายและขยายพันธุ์กันอย่างกว้างขวางในประเทศเสปนเดิมปาปิยองเป็นน้องหมาหูตก มีชื่อเรียกว่า สเปเนียลแคระ

ต่อมามีการพัฒนาสายพันธุ์กลายมาเป็น ปาปิยองหูตั้ง ขนหูแผ่คล้ายปีกผีเสื้อ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นปาปิยอง ที่แปลว่า ผีเสื้อในภาษาฝรั่งเศส ส่วนปาปิยองหูตกจะเรียกเป็นอีกชื่อว่า "ฟาแลน"

ลักษณะทั่วไป

                ปาปิยอง สุนัขขนาดเล็กขาวยาวสลวยเหมือนเส้นไหม หูตั้งสวยรูปทรงคล้ายปีกผีเสื้อ ต้องการการดูแลมากกว่าสุนัขพันธุ์เล็กทั่วไป เนื่องจากมีคนยาวเป็นจุดเด่น เป็นมิตรรักเจ้าของ ชอบออกกำลังกาย หูลักษณะคล้ายกับปีกผีเสื้อ



ลักษณะนิสัย

            หมาสายพันธุ์ ปาปิยอง เป็นน้องหมาที่มีความฉลาดเฉลียว มีไหวพริบเป็นเลิศ หูไว ตาไว เป็นน้องหมาเฝ้าเวรยามได้เป็นอย่างดี รักเด็ก รักครอบครัว เชื่อฟังคำสั่ง ขี้เล่น เหมาะกับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนรักของครอบครัว แต่ในบางอารมณ์ก็เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องความสนใจ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และดื้อเงียบ น้องหมาปาปิยองนั้นสามารถเข้ากับคนอื่น และสัตว์อื่นได้ดี เพราะน้องนั้นเป็นเข้าสังคมก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นถึงธรรมชาตินิสัยจะเป็นน้องหมาจิตใจดี อ่อนโยนก็ตาม แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาหวาดกลัวคนแปลกหน้า เกิดพฤติกรรมก้าวราว จึงไม่ควรเก็บเขาไว้แต่ในบ้านไม่ให้พบปะเจอใคร อาจส่งผลให้พวกเขารู้สึกเหงา และรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณืได้ และที่สำคัญควรหมั่นแปรงขน และทำความสะอาดขนให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ

การดูแล

•   ด้วยเพราะขนของน้องหมา ปาปิยอง มีขนที่ค่อนข้างยาว และพลัดขนบ่อย จึงต้องแปรงขนเป็นประจำทุกวัน โดยแปรงที่ใช้ควรเป็นแปรงที่มีความอ่อนนุ่ม

•   ควรตัดเล็มปลายขนบริเวณขาและท้องให้ยาวเพียง 5 ซม. เพื่อไม่ให้เปรอะเปื้อนได้ง่าย โดยเฉพาะหน้าฝน ซึ่งจะทำให้ขนชื้น ผิวหนังเป็นเชื้อรา และอักเสบได้

•   ควรอาบประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และทำความสะอาดที่หูเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดการอักเสบได้ง่าย

•   ควรพาไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และ เผาผลาญพลังงานไม่ให้เกิดเป็นปัญหาพฤติกรรมตามมา



1139
ปาปิยอง (Papillon)

ปาปิยอง น้องหมาขนยาวที่ขี้อ้อนเจ้าของและเป็นตัวจอมซนประจำบ้าน อย่างน้องหมาปาปิยอง วันนี้พระเอกของเราที่จะนำมาเสนอก็คือ น้องหมาปาปิยองนั่นเอง เรามาทำความรู้จักเพิ่มขึ้นกันเลยค่ะ



ความเป็นมา               

                ปาปิยอง น้องหมาสายพันธุ์ที่เก่าแก่มากที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของยุโรป มีการสันนิษฐานถิ่นกำเนิดว่าอยู่ในประเทศฝรั่งเศส บ้างก็ว่ามีต้นกำเนิดในจีนแต่มีการนำไปค้าขายและขยายพันธุ์กันอย่างกว้างขวางในประเทศเสปนเดิมปาปิยองเป็นน้องหมาหูตก มีชื่อเรียกว่า สเปเนียลแคระ

ต่อมามีการพัฒนาสายพันธุ์กลายมาเป็น ปาปิยองหูตั้ง ขนหูแผ่คล้ายปีกผีเสื้อ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นปาปิยอง ที่แปลว่า ผีเสื้อในภาษาฝรั่งเศส ส่วนปาปิยองหูตกจะเรียกเป็นอีกชื่อว่า "ฟาแลน"

ลักษณะทั่วไป

                ปาปิยอง สุนัขขนาดเล็กขาวยาวสลวยเหมือนเส้นไหม หูตั้งสวยรูปทรงคล้ายปีกผีเสื้อ ต้องการการดูแลมากกว่าสุนัขพันธุ์เล็กทั่วไป เนื่องจากมีคนยาวเป็นจุดเด่น เป็นมิตรรักเจ้าของ ชอบออกกำลังกาย หูลักษณะคล้ายกับปีกผีเสื้อ



ลักษณะนิสัย

            หมาสายพันธุ์ ปาปิยอง เป็นน้องหมาที่มีความฉลาดเฉลียว มีไหวพริบเป็นเลิศ หูไว ตาไว เป็นน้องหมาเฝ้าเวรยามได้เป็นอย่างดี รักเด็ก รักครอบครัว เชื่อฟังคำสั่ง ขี้เล่น เหมาะกับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนรักของครอบครัว แต่ในบางอารมณ์ก็เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องความสนใจ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และดื้อเงียบ น้องหมาปาปิยองนั้นสามารถเข้ากับคนอื่น และสัตว์อื่นได้ดี เพราะน้องนั้นเป็นเข้าสังคมก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นถึงธรรมชาตินิสัยจะเป็นน้องหมาจิตใจดี อ่อนโยนก็ตาม แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาหวาดกลัวคนแปลกหน้า เกิดพฤติกรรมก้าวราว จึงไม่ควรเก็บเขาไว้แต่ในบ้านไม่ให้พบปะเจอใคร อาจส่งผลให้พวกเขารู้สึกเหงา และรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณืได้ และที่สำคัญควรหมั่นแปรงขน และทำความสะอาดขนให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ

การดูแล

•   ด้วยเพราะขนของน้องหมา ปาปิยอง มีขนที่ค่อนข้างยาว และพลัดขนบ่อย จึงต้องแปรงขนเป็นประจำทุกวัน โดยแปรงที่ใช้ควรเป็นแปรงที่มีความอ่อนนุ่ม

•   ควรตัดเล็มปลายขนบริเวณขาและท้องให้ยาวเพียง 5 ซม. เพื่อไม่ให้เปรอะเปื้อนได้ง่าย โดยเฉพาะหน้าฝน ซึ่งจะทำให้ขนชื้น ผิวหนังเป็นเชื้อรา และอักเสบได้

•   ควรอาบประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และทำความสะอาดที่หูเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดการอักเสบได้ง่าย

•   ควรพาไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และ เผาผลาญพลังงานไม่ให้เกิดเป็นปัญหาพฤติกรรมตามมา



1140
ปาปิยอง (Papillon)

ปาปิยอง น้องหมาขนยาวที่ขี้อ้อนเจ้าของและเป็นตัวจอมซนประจำบ้าน อย่างน้องหมาปาปิยอง วันนี้พระเอกของเราที่จะนำมาเสนอก็คือ น้องหมาปาปิยองนั่นเอง เรามาทำความรู้จักเพิ่มขึ้นกันเลยค่ะ



ความเป็นมา               

                ปาปิยอง น้องหมาสายพันธุ์ที่เก่าแก่มากที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของยุโรป มีการสันนิษฐานถิ่นกำเนิดว่าอยู่ในประเทศฝรั่งเศส บ้างก็ว่ามีต้นกำเนิดในจีนแต่มีการนำไปค้าขายและขยายพันธุ์กันอย่างกว้างขวางในประเทศเสปนเดิมปาปิยองเป็นน้องหมาหูตก มีชื่อเรียกว่า สเปเนียลแคระ

ต่อมามีการพัฒนาสายพันธุ์กลายมาเป็น ปาปิยองหูตั้ง ขนหูแผ่คล้ายปีกผีเสื้อ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นปาปิยอง ที่แปลว่า ผีเสื้อในภาษาฝรั่งเศส ส่วนปาปิยองหูตกจะเรียกเป็นอีกชื่อว่า "ฟาแลน"

ลักษณะทั่วไป

                ปาปิยอง สุนัขขนาดเล็กขาวยาวสลวยเหมือนเส้นไหม หูตั้งสวยรูปทรงคล้ายปีกผีเสื้อ ต้องการการดูแลมากกว่าสุนัขพันธุ์เล็กทั่วไป เนื่องจากมีคนยาวเป็นจุดเด่น เป็นมิตรรักเจ้าของ ชอบออกกำลังกาย หูลักษณะคล้ายกับปีกผีเสื้อ



ลักษณะนิสัย

            หมาสายพันธุ์ ปาปิยอง เป็นน้องหมาที่มีความฉลาดเฉลียว มีไหวพริบเป็นเลิศ หูไว ตาไว เป็นน้องหมาเฝ้าเวรยามได้เป็นอย่างดี รักเด็ก รักครอบครัว เชื่อฟังคำสั่ง ขี้เล่น เหมาะกับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนรักของครอบครัว แต่ในบางอารมณ์ก็เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องความสนใจ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และดื้อเงียบ น้องหมาปาปิยองนั้นสามารถเข้ากับคนอื่น และสัตว์อื่นได้ดี เพราะน้องนั้นเป็นเข้าสังคมก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นถึงธรรมชาตินิสัยจะเป็นน้องหมาจิตใจดี อ่อนโยนก็ตาม แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาหวาดกลัวคนแปลกหน้า เกิดพฤติกรรมก้าวราว จึงไม่ควรเก็บเขาไว้แต่ในบ้านไม่ให้พบปะเจอใคร อาจส่งผลให้พวกเขารู้สึกเหงา และรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณืได้ และที่สำคัญควรหมั่นแปรงขน และทำความสะอาดขนให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ

การดูแล

•   ด้วยเพราะขนของน้องหมา ปาปิยอง มีขนที่ค่อนข้างยาว และพลัดขนบ่อย จึงต้องแปรงขนเป็นประจำทุกวัน โดยแปรงที่ใช้ควรเป็นแปรงที่มีความอ่อนนุ่ม

•   ควรตัดเล็มปลายขนบริเวณขาและท้องให้ยาวเพียง 5 ซม. เพื่อไม่ให้เปรอะเปื้อนได้ง่าย โดยเฉพาะหน้าฝน ซึ่งจะทำให้ขนชื้น ผิวหนังเป็นเชื้อรา และอักเสบได้

•   ควรอาบประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และทำความสะอาดที่หูเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดการอักเสบได้ง่าย

•   ควรพาไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และ เผาผลาญพลังงานไม่ให้เกิดเป็นปัญหาพฤติกรรมตามมา