สุนัขสายพันธุ์ พิเรเนียน มาสทิฟฟ์ (Pyrenean Mastiff) หนึ่งในสุนัขสำหรับการใช้งานที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในวงการของการเลี้ยงสุนัขนั้นก็คงหนีไม่พ้นสายพันธุ์อย่าง
พิเรเนียน มาสทิฟฟ์ ที่เป็นสุนัขที่มีความเก่าเเก่เป็นอย่างยิ่งอีกหนึ่งสายพันธุ์ของโลกใบนี้ ทำให้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เเม้ว่าจะไม่ได้เป็นสุนัขยอดนิยมเเต่ก็ได้รับความสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

โดย
Pyrenean Mastiff นั้นมีอีกชื่อเรียกสายพันธุ์ว่า
เปโร มัสติน เดล ปิเรนโก โดยสำหรับสุนัขพันธุ์นี้เล็กกกว่าสุนัขพันธุ์พิเรเนียน เมาน์เทน ด็อก ซึ่งสืบสายพันธุ์มาจากสุนัขพันธุ์เดียวกันมีรูปร่างบึกบึน แข็งแรง มีขนมักสมมาตรกันทั้งตัวหัวใหญ่ต่อกับช่วงคอที่หนาและแข็งแรง ผิวผนังใต้คอยานเหมือนเหนียง ขาแข็งแรงมากเพื่อรับน้ำหนักตัว
โดยประวัติของ
พิเรเนียน มาสทิฟฟ์ นั้นถือกำเนิดมาตั้งเเต่ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ในดินเเดนที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของแคว้นอารากอน ในประเทศสเปน โดยมีต้นกำเนิดเดียวกันกับพันธุ์พิเรเนียน เมาน์เทน ด็อก คือจากสุนัขที่นักเดินเรือในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนยุคแรกๆ นำเข้ามายังประเทศสเปน พวกมันถูกนำมาใช้งานในการเฝ้าฝูงปศุสัตว์ ซึ่งสามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีตั้งเเต่อดีต จนในปัจจุบันนั้นก็ยังมีการนำพวกมันมาใช้งานทั้งด้านนี้อยู่เสมอ อีกทั้งมีความนิยมเลี้ยงเป็นสุนัขในบ้านบ้างเเล้ว เเม้จะไม่มากนักก็ตามที โดยสิ่งที่ควรระวังมากที่สุดสำหรับพวกมันก็คือเรื่องของการขาดสารอาหารเนื่องจากกินอาหารน้อย ซึ่งเป็นสาเหตุของขาอ่อนแรง

สำหรับ
Pyrenean Mastiff นั้นมีความสูง 77 เซนติเมตรสำหรับตัวผู้ เเละ 71 เซนติเมตรสำหรับตัวเมีย โดยมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 54.5-70 กิโลกรัม โดยที่พวกมันนั้นมีกะโหลกกว้างและหนา เเละมีใบหูห้อยลง ส่วนช่วงอกกว้างมีกล้ามเนื้อแน่น มีขาใหญ่และแข็งแรง พร้อมกับฝ่าเท้ากว้างและหนา พร้อมกับสีขนเเบบต่างๆ หลายสี โดยที่พวกมันนั้นมีลักษณะนิสัยที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเเละมีการตอบสนองเร็วเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าเป็นสุนัขอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้
โดยที่ทางด้านความนิยมในการเลี้ยง
พิเรเนียน มาสทิฟฟ์ นั้นจะจำกัดอยู่เเต่ในประเทศสเปนเท่านั้น เเละเนื่องจากชื่อเสียงของมันที่เเทบจะไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าใดนักทำให้ในอีกหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทยก็ไม่รู้จักเเละไม่มีความนิยมในการเลี้ยงพวกมันเเต่อย่างใด ด้วยลักษณะของมันที่มีความใหญ่โตเเละบึกบึน ส่วนหน้าตาก็มีความน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการไม่นิยมเลี้ยงกัน