แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Smile Smile

1831


เชื่อว่าถ้าใครเป็นทาสแมว ทาสหมาก็จะเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ว่าพวกมันอยู่ไหนดรานั้นก็จะเป็นห่วง ไม่แตกต่างจากพวกมันเลยที่ตอนอยู่บ้านกับเราพวกมันก็เล่นซนหรือนอนหลับแทบทั้งวัน เหมือนมันอยู่แบบไม่แคร์เราเลย จนบางคนก้อดสงสัยไม่ได้ว่ามันสนใจเราบ้างรึเปล่า แต่นั่นอาจเป็นเพราะคุณไม่เคยเห็นพวกมันตอนอยู่ห่างจากคุณ ถ้าคุณลองแอบถ่ายรูปหรือวิดีโอตอนที่คุณไม่อยู่บ้านไว้ คุณอาจจะได้เห็นว่าพวกมันคิดถึงคุณมากจนแทบรอเจอหน้าไม่ไหวก็ได้ เอาเป็นว่าวันนี้เราจะพาเพื่อๆนั้นมาชม ความน่ารักของเช้า 4 ขากันว่า พวกกันรอเรากละบบ้านนั้นมัน่ารักขนาดไหน




































1832


เชื่อว่าถ้าใครเป็นทาสแมว ทาสหมาก็จะเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ว่าพวกมันอยู่ไหนดรานั้นก็จะเป็นห่วง ไม่แตกต่างจากพวกมันเลยที่ตอนอยู่บ้านกับเราพวกมันก็เล่นซนหรือนอนหลับแทบทั้งวัน เหมือนมันอยู่แบบไม่แคร์เราเลย จนบางคนก้อดสงสัยไม่ได้ว่ามันสนใจเราบ้างรึเปล่า แต่นั่นอาจเป็นเพราะคุณไม่เคยเห็นพวกมันตอนอยู่ห่างจากคุณ ถ้าคุณลองแอบถ่ายรูปหรือวิดีโอตอนที่คุณไม่อยู่บ้านไว้ คุณอาจจะได้เห็นว่าพวกมันคิดถึงคุณมากจนแทบรอเจอหน้าไม่ไหวก็ได้ เอาเป็นว่าวันนี้เราจะพาเพื่อๆนั้นมาชม ความน่ารักของเช้า 4 ขากันว่า พวกกันรอเรากละบบ้านนั้นมัน่ารักขนาดไหน




































1833


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าเศร้าเป็นอย่างมาก เมื่อเรื่องราวนี้ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ น้องหมาแสนรู้และแสนดีตัวนี้มีชื่อว่า Chief มันถูกรับเลี้ยงโดย Schiller เมื่อ 5 ปีที่แล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไป ทั้งคู่กลายเป็นคู่พ่อลูกที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
Anne Marie Sibthorp แฟนของ Schiller เห็นถึงมิตรภาพอันงดงามของพวกเขาเสมอ เธอบอกว่า “พวกเขามีความผูกพันกันมาก และอยู่ด้วยกันตลอดเวลา” และแล้ว กาลเวลาก็ได้พราก Schiller ไปจากครอบครัว แน่นอนว่า Chief ได้รับเชิญมาร่วมงานศพด้วยเช่นกัน



ตอนที่ Sibthorp พา Chief ไปยังโลงศพของ Schiller ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเจ้าตูบจะมีท่าทีหรือบอกลาเพื่อนรักครั้งสุดท้ายอย่างไร Sibthorp บอกว่า “มันเหยียดคอให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นมันก็ส่ง Schiller ครั้งสุดท้ายด้วยการเลียหูของเขาอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่าเพื่อนรักของมันไม่มีท่าทีตอบสนองเหมือนครั้งยังมีชีวิตอยู่” “Chief จึงวางหัวของมันลงข้างๆ หัวของเพื่อนรักที่ไร้วิญญาณ แล้วมันก็อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมขยับไปไหน”



Sam James เจ้าของ James Funeral Home สถานที่จัดงานศพของ Schiller บอกว่า “เราต้อนรับเพื่อนรักของผู้ตายเข้ามาข้างใน และมันทำให้เราเห็นใจว่าสุนัขก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน” “การบอกลาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น เราจึงไม่ปิดกั้นใครก็ตามที่จะมาบอกลาคนที่ตัวเองรัก รวมไปถึงเพื่อน 4 ขาด้วย Chief แค่อยากมาบอกลาพ่อ เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นของครอบครัว และนี่เป็นสิ่งเดียวที่เราทำให้มันได้”







1834


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าเศร้าเป็นอย่างมาก เมื่อเรื่องราวนี้ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ น้องหมาแสนรู้และแสนดีตัวนี้มีชื่อว่า Chief มันถูกรับเลี้ยงโดย Schiller เมื่อ 5 ปีที่แล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไป ทั้งคู่กลายเป็นคู่พ่อลูกที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
Anne Marie Sibthorp แฟนของ Schiller เห็นถึงมิตรภาพอันงดงามของพวกเขาเสมอ เธอบอกว่า “พวกเขามีความผูกพันกันมาก และอยู่ด้วยกันตลอดเวลา” และแล้ว กาลเวลาก็ได้พราก Schiller ไปจากครอบครัว แน่นอนว่า Chief ได้รับเชิญมาร่วมงานศพด้วยเช่นกัน



ตอนที่ Sibthorp พา Chief ไปยังโลงศพของ Schiller ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเจ้าตูบจะมีท่าทีหรือบอกลาเพื่อนรักครั้งสุดท้ายอย่างไร Sibthorp บอกว่า “มันเหยียดคอให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นมันก็ส่ง Schiller ครั้งสุดท้ายด้วยการเลียหูของเขาอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่าเพื่อนรักของมันไม่มีท่าทีตอบสนองเหมือนครั้งยังมีชีวิตอยู่” “Chief จึงวางหัวของมันลงข้างๆ หัวของเพื่อนรักที่ไร้วิญญาณ แล้วมันก็อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมขยับไปไหน”



Sam James เจ้าของ James Funeral Home สถานที่จัดงานศพของ Schiller บอกว่า “เราต้อนรับเพื่อนรักของผู้ตายเข้ามาข้างใน และมันทำให้เราเห็นใจว่าสุนัขก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน” “การบอกลาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น เราจึงไม่ปิดกั้นใครก็ตามที่จะมาบอกลาคนที่ตัวเองรัก รวมไปถึงเพื่อน 4 ขาด้วย Chief แค่อยากมาบอกลาพ่อ เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นของครอบครัว และนี่เป็นสิ่งเดียวที่เราทำให้มันได้”







1835


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าเศร้าเป็นอย่างมาก เมื่อเรื่องราวนี้ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ น้องหมาแสนรู้และแสนดีตัวนี้มีชื่อว่า Chief มันถูกรับเลี้ยงโดย Schiller เมื่อ 5 ปีที่แล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไป ทั้งคู่กลายเป็นคู่พ่อลูกที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
Anne Marie Sibthorp แฟนของ Schiller เห็นถึงมิตรภาพอันงดงามของพวกเขาเสมอ เธอบอกว่า “พวกเขามีความผูกพันกันมาก และอยู่ด้วยกันตลอดเวลา” และแล้ว กาลเวลาก็ได้พราก Schiller ไปจากครอบครัว แน่นอนว่า Chief ได้รับเชิญมาร่วมงานศพด้วยเช่นกัน



ตอนที่ Sibthorp พา Chief ไปยังโลงศพของ Schiller ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเจ้าตูบจะมีท่าทีหรือบอกลาเพื่อนรักครั้งสุดท้ายอย่างไร Sibthorp บอกว่า “มันเหยียดคอให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นมันก็ส่ง Schiller ครั้งสุดท้ายด้วยการเลียหูของเขาอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่าเพื่อนรักของมันไม่มีท่าทีตอบสนองเหมือนครั้งยังมีชีวิตอยู่” “Chief จึงวางหัวของมันลงข้างๆ หัวของเพื่อนรักที่ไร้วิญญาณ แล้วมันก็อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมขยับไปไหน”



Sam James เจ้าของ James Funeral Home สถานที่จัดงานศพของ Schiller บอกว่า “เราต้อนรับเพื่อนรักของผู้ตายเข้ามาข้างใน และมันทำให้เราเห็นใจว่าสุนัขก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน” “การบอกลาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น เราจึงไม่ปิดกั้นใครก็ตามที่จะมาบอกลาคนที่ตัวเองรัก รวมไปถึงเพื่อน 4 ขาด้วย Chief แค่อยากมาบอกลาพ่อ เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นของครอบครัว และนี่เป็นสิ่งเดียวที่เราทำให้มันได้”







1836


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าเศร้าเป็นอย่างมาก เมื่อเรื่องราวนี้ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ น้องหมาแสนรู้และแสนดีตัวนี้มีชื่อว่า Chief มันถูกรับเลี้ยงโดย Schiller เมื่อ 5 ปีที่แล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไป ทั้งคู่กลายเป็นคู่พ่อลูกที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
Anne Marie Sibthorp แฟนของ Schiller เห็นถึงมิตรภาพอันงดงามของพวกเขาเสมอ เธอบอกว่า “พวกเขามีความผูกพันกันมาก และอยู่ด้วยกันตลอดเวลา” และแล้ว กาลเวลาก็ได้พราก Schiller ไปจากครอบครัว แน่นอนว่า Chief ได้รับเชิญมาร่วมงานศพด้วยเช่นกัน



ตอนที่ Sibthorp พา Chief ไปยังโลงศพของ Schiller ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเจ้าตูบจะมีท่าทีหรือบอกลาเพื่อนรักครั้งสุดท้ายอย่างไร Sibthorp บอกว่า “มันเหยียดคอให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นมันก็ส่ง Schiller ครั้งสุดท้ายด้วยการเลียหูของเขาอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่าเพื่อนรักของมันไม่มีท่าทีตอบสนองเหมือนครั้งยังมีชีวิตอยู่” “Chief จึงวางหัวของมันลงข้างๆ หัวของเพื่อนรักที่ไร้วิญญาณ แล้วมันก็อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมขยับไปไหน”



Sam James เจ้าของ James Funeral Home สถานที่จัดงานศพของ Schiller บอกว่า “เราต้อนรับเพื่อนรักของผู้ตายเข้ามาข้างใน และมันทำให้เราเห็นใจว่าสุนัขก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน” “การบอกลาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น เราจึงไม่ปิดกั้นใครก็ตามที่จะมาบอกลาคนที่ตัวเองรัก รวมไปถึงเพื่อน 4 ขาด้วย Chief แค่อยากมาบอกลาพ่อ เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นของครอบครัว และนี่เป็นสิ่งเดียวที่เราทำให้มันได้”







1837


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ โดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งได้เผยแพร่เรื่องราวของยาย ที่ถึงขนาดยื่นคำขาดกับหลานสาวที่พาสุนัขเข้าบ้านในวันแรกว่า ‘ฉันจะทิ้งมันลงมาจากชั้น 3 ถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ก็เอามันออกจากบ้านซะ
แม้คุณยายจะคัดค้านหัวชนฝาพร้อมคำขู่สารพัด แต่หลานสาวเองก็ดื้อไม่แพ้กัน และตัดสินใจให้สุนัขอยู่ในบ้านต่อไป ส่วนคำขู่ของยายนั้น เธอรู้ว่ายายไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน เพราะยายเป็นคนใจดีและอ่อนโยน เพียงแต่เธอไม่คุ้นเคยกับการมีสัตว์เลี้ยงเท่านั้น



เจ้าตูบนั้น มันทั้งแสนรู้และเรียบร้อย มันรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร และจะกัดเฉพาะของเล่นของตัวเองเท่านั้น แถมยังคอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนในครอบครัวด้วย เวลาผ่านไป คุณยายเริ่มเผลอพูดติดตลกถึงเจ้าตูบในบางครั้ง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ เธอก็จะวางฟอร์ม ทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม เพราะกลัวลูกหลานจะจับได้ว่าเธอเริ่มมีใจให้เจ้าตูบตัวนี้



กระทั่งวันหนึ่ง คุณยายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลานที่ไปเยี่ยมจึงแกล้งหยอกเล่นว่า “เป็นแบบนี้ ต้องขายบ้านซะแล้วมั้ง จะได้มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล” คุณยายรีบตอบมาทันทีว่า “จะขายทำไม ขายให้ใคร แล้วเธอกับหมาล่ะ จะไปอยู่ที่ไหน” แหม่ จะพูดเพราะลืมตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่แสดงให้เห็นว่ายายก็ห่วงเจ้าหลาน 4 ขาเหมือนกัน



หลังจากนั้นประมาณครึ่งปี บ้านของยายหลานคู่นี้ มีสุนัขเพิ่มขึ้นเป็น 3 ตัว ทุกตัวเป็นเพื่อนสนิทของหลานสาว ที่สำคัญคุณยายยอมรับพวกมันเป็นหลานทุกตัว แถมเธอยังมีชื่อเรียกเฉพาะสำหรับหลาน 4 ขาแต่ละตัวด้วย นุ้งหมาทั้ง 3 ตัวเองก็รักคุณยายมากๆ พวกมันสนิทกับยายมากกว่าใคร และชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับยาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าความผูกพันของพวกเขานั้น แน่นแฟ้นแค่ไหน



เมื่อไหร่ก็ตาม ที่หลานสาวพูดกับเหล่าเพื่อนตูบว่า “คุณยายอยู่ไหนน้าาาา” พวกสุนัขจะกระดิกหางด้วยความตื่นเต้นและวิ่งไปหายายทันที การกระทำเล็กๆ ของเจ้าตูบเหล่านี้ ทำให้คุณยายรู้สึกอบอุ่นใจ ประทับใจ และมีความสุขมาก



หลานสาวบอกว่าคุณยายมักจะบ่นว่าสุนัขเหล่านี้ทั้งใหญ่และหนัก แต่ถึงอย่างนั้น ยายก็มักจะอุ้มขึ้นมากอดหรือเอามานอนตักอยู่เสมอจากคนที่ปฏิเสธสุนัข กลายเป็นคนที่รักสุนัขมากกว่าใครและเธอจินตนาการไม่ออกว่าหากไม่มีพวกมัน ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้พวกมันทั้ง 3 ตัว ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเธอไปซะแล้ว











1838


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ โดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งได้เผยแพร่เรื่องราวของยาย ที่ถึงขนาดยื่นคำขาดกับหลานสาวที่พาสุนัขเข้าบ้านในวันแรกว่า ‘ฉันจะทิ้งมันลงมาจากชั้น 3 ถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ก็เอามันออกจากบ้านซะ
แม้คุณยายจะคัดค้านหัวชนฝาพร้อมคำขู่สารพัด แต่หลานสาวเองก็ดื้อไม่แพ้กัน และตัดสินใจให้สุนัขอยู่ในบ้านต่อไป ส่วนคำขู่ของยายนั้น เธอรู้ว่ายายไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน เพราะยายเป็นคนใจดีและอ่อนโยน เพียงแต่เธอไม่คุ้นเคยกับการมีสัตว์เลี้ยงเท่านั้น



เจ้าตูบนั้น มันทั้งแสนรู้และเรียบร้อย มันรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร และจะกัดเฉพาะของเล่นของตัวเองเท่านั้น แถมยังคอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนในครอบครัวด้วย เวลาผ่านไป คุณยายเริ่มเผลอพูดติดตลกถึงเจ้าตูบในบางครั้ง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ เธอก็จะวางฟอร์ม ทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม เพราะกลัวลูกหลานจะจับได้ว่าเธอเริ่มมีใจให้เจ้าตูบตัวนี้



กระทั่งวันหนึ่ง คุณยายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลานที่ไปเยี่ยมจึงแกล้งหยอกเล่นว่า “เป็นแบบนี้ ต้องขายบ้านซะแล้วมั้ง จะได้มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล” คุณยายรีบตอบมาทันทีว่า “จะขายทำไม ขายให้ใคร แล้วเธอกับหมาล่ะ จะไปอยู่ที่ไหน” แหม่ จะพูดเพราะลืมตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่แสดงให้เห็นว่ายายก็ห่วงเจ้าหลาน 4 ขาเหมือนกัน



หลังจากนั้นประมาณครึ่งปี บ้านของยายหลานคู่นี้ มีสุนัขเพิ่มขึ้นเป็น 3 ตัว ทุกตัวเป็นเพื่อนสนิทของหลานสาว ที่สำคัญคุณยายยอมรับพวกมันเป็นหลานทุกตัว แถมเธอยังมีชื่อเรียกเฉพาะสำหรับหลาน 4 ขาแต่ละตัวด้วย นุ้งหมาทั้ง 3 ตัวเองก็รักคุณยายมากๆ พวกมันสนิทกับยายมากกว่าใคร และชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับยาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าความผูกพันของพวกเขานั้น แน่นแฟ้นแค่ไหน



เมื่อไหร่ก็ตาม ที่หลานสาวพูดกับเหล่าเพื่อนตูบว่า “คุณยายอยู่ไหนน้าาาา” พวกสุนัขจะกระดิกหางด้วยความตื่นเต้นและวิ่งไปหายายทันที การกระทำเล็กๆ ของเจ้าตูบเหล่านี้ ทำให้คุณยายรู้สึกอบอุ่นใจ ประทับใจ และมีความสุขมาก



หลานสาวบอกว่าคุณยายมักจะบ่นว่าสุนัขเหล่านี้ทั้งใหญ่และหนัก แต่ถึงอย่างนั้น ยายก็มักจะอุ้มขึ้นมากอดหรือเอามานอนตักอยู่เสมอจากคนที่ปฏิเสธสุนัข กลายเป็นคนที่รักสุนัขมากกว่าใครและเธอจินตนาการไม่ออกว่าหากไม่มีพวกมัน ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้พวกมันทั้ง 3 ตัว ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเธอไปซะแล้ว











1839


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ โดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งได้เผยแพร่เรื่องราวของยาย ที่ถึงขนาดยื่นคำขาดกับหลานสาวที่พาสุนัขเข้าบ้านในวันแรกว่า ‘ฉันจะทิ้งมันลงมาจากชั้น 3 ถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ก็เอามันออกจากบ้านซะ
แม้คุณยายจะคัดค้านหัวชนฝาพร้อมคำขู่สารพัด แต่หลานสาวเองก็ดื้อไม่แพ้กัน และตัดสินใจให้สุนัขอยู่ในบ้านต่อไป ส่วนคำขู่ของยายนั้น เธอรู้ว่ายายไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน เพราะยายเป็นคนใจดีและอ่อนโยน เพียงแต่เธอไม่คุ้นเคยกับการมีสัตว์เลี้ยงเท่านั้น



เจ้าตูบนั้น มันทั้งแสนรู้และเรียบร้อย มันรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร และจะกัดเฉพาะของเล่นของตัวเองเท่านั้น แถมยังคอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนในครอบครัวด้วย เวลาผ่านไป คุณยายเริ่มเผลอพูดติดตลกถึงเจ้าตูบในบางครั้ง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ เธอก็จะวางฟอร์ม ทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม เพราะกลัวลูกหลานจะจับได้ว่าเธอเริ่มมีใจให้เจ้าตูบตัวนี้



กระทั่งวันหนึ่ง คุณยายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลานที่ไปเยี่ยมจึงแกล้งหยอกเล่นว่า “เป็นแบบนี้ ต้องขายบ้านซะแล้วมั้ง จะได้มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล” คุณยายรีบตอบมาทันทีว่า “จะขายทำไม ขายให้ใคร แล้วเธอกับหมาล่ะ จะไปอยู่ที่ไหน” แหม่ จะพูดเพราะลืมตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่แสดงให้เห็นว่ายายก็ห่วงเจ้าหลาน 4 ขาเหมือนกัน



หลังจากนั้นประมาณครึ่งปี บ้านของยายหลานคู่นี้ มีสุนัขเพิ่มขึ้นเป็น 3 ตัว ทุกตัวเป็นเพื่อนสนิทของหลานสาว ที่สำคัญคุณยายยอมรับพวกมันเป็นหลานทุกตัว แถมเธอยังมีชื่อเรียกเฉพาะสำหรับหลาน 4 ขาแต่ละตัวด้วย นุ้งหมาทั้ง 3 ตัวเองก็รักคุณยายมากๆ พวกมันสนิทกับยายมากกว่าใคร และชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับยาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าความผูกพันของพวกเขานั้น แน่นแฟ้นแค่ไหน



เมื่อไหร่ก็ตาม ที่หลานสาวพูดกับเหล่าเพื่อนตูบว่า “คุณยายอยู่ไหนน้าาาา” พวกสุนัขจะกระดิกหางด้วยความตื่นเต้นและวิ่งไปหายายทันที การกระทำเล็กๆ ของเจ้าตูบเหล่านี้ ทำให้คุณยายรู้สึกอบอุ่นใจ ประทับใจ และมีความสุขมาก



หลานสาวบอกว่าคุณยายมักจะบ่นว่าสุนัขเหล่านี้ทั้งใหญ่และหนัก แต่ถึงอย่างนั้น ยายก็มักจะอุ้มขึ้นมากอดหรือเอามานอนตักอยู่เสมอจากคนที่ปฏิเสธสุนัข กลายเป็นคนที่รักสุนัขมากกว่าใครและเธอจินตนาการไม่ออกว่าหากไม่มีพวกมัน ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้พวกมันทั้ง 3 ตัว ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเธอไปซะแล้ว











1840


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ โดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งได้เผยแพร่เรื่องราวของยาย ที่ถึงขนาดยื่นคำขาดกับหลานสาวที่พาสุนัขเข้าบ้านในวันแรกว่า ‘ฉันจะทิ้งมันลงมาจากชั้น 3 ถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ก็เอามันออกจากบ้านซะ
แม้คุณยายจะคัดค้านหัวชนฝาพร้อมคำขู่สารพัด แต่หลานสาวเองก็ดื้อไม่แพ้กัน และตัดสินใจให้สุนัขอยู่ในบ้านต่อไป ส่วนคำขู่ของยายนั้น เธอรู้ว่ายายไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน เพราะยายเป็นคนใจดีและอ่อนโยน เพียงแต่เธอไม่คุ้นเคยกับการมีสัตว์เลี้ยงเท่านั้น



เจ้าตูบนั้น มันทั้งแสนรู้และเรียบร้อย มันรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร และจะกัดเฉพาะของเล่นของตัวเองเท่านั้น แถมยังคอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนในครอบครัวด้วย เวลาผ่านไป คุณยายเริ่มเผลอพูดติดตลกถึงเจ้าตูบในบางครั้ง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ เธอก็จะวางฟอร์ม ทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม เพราะกลัวลูกหลานจะจับได้ว่าเธอเริ่มมีใจให้เจ้าตูบตัวนี้



กระทั่งวันหนึ่ง คุณยายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลานที่ไปเยี่ยมจึงแกล้งหยอกเล่นว่า “เป็นแบบนี้ ต้องขายบ้านซะแล้วมั้ง จะได้มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล” คุณยายรีบตอบมาทันทีว่า “จะขายทำไม ขายให้ใคร แล้วเธอกับหมาล่ะ จะไปอยู่ที่ไหน” แหม่ จะพูดเพราะลืมตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่แสดงให้เห็นว่ายายก็ห่วงเจ้าหลาน 4 ขาเหมือนกัน



หลังจากนั้นประมาณครึ่งปี บ้านของยายหลานคู่นี้ มีสุนัขเพิ่มขึ้นเป็น 3 ตัว ทุกตัวเป็นเพื่อนสนิทของหลานสาว ที่สำคัญคุณยายยอมรับพวกมันเป็นหลานทุกตัว แถมเธอยังมีชื่อเรียกเฉพาะสำหรับหลาน 4 ขาแต่ละตัวด้วย นุ้งหมาทั้ง 3 ตัวเองก็รักคุณยายมากๆ พวกมันสนิทกับยายมากกว่าใคร และชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับยาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าความผูกพันของพวกเขานั้น แน่นแฟ้นแค่ไหน



เมื่อไหร่ก็ตาม ที่หลานสาวพูดกับเหล่าเพื่อนตูบว่า “คุณยายอยู่ไหนน้าาาา” พวกสุนัขจะกระดิกหางด้วยความตื่นเต้นและวิ่งไปหายายทันที การกระทำเล็กๆ ของเจ้าตูบเหล่านี้ ทำให้คุณยายรู้สึกอบอุ่นใจ ประทับใจ และมีความสุขมาก



หลานสาวบอกว่าคุณยายมักจะบ่นว่าสุนัขเหล่านี้ทั้งใหญ่และหนัก แต่ถึงอย่างนั้น ยายก็มักจะอุ้มขึ้นมากอดหรือเอามานอนตักอยู่เสมอจากคนที่ปฏิเสธสุนัข กลายเป็นคนที่รักสุนัขมากกว่าใครและเธอจินตนาการไม่ออกว่าหากไม่มีพวกมัน ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้พวกมันทั้ง 3 ตัว ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเธอไปซะแล้ว











1841


ถ้าใครเป็นทาศแมวก็จะรู้ว่าเจ้าเหมียวนั้นมันน่ารักขนาดไหน เพราะว่า แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่รักอิสระ ขี้เล่น และชอบความสนุกสนาน และการศึกษาล่าสุดจากศูนย์วิจัยแคทดั๊มบ์พบว่า แมวยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่เซ่อมากๆ อีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันชอบเมินเฉยเวลาที่คุณเรียกมัน ต่อให้ขนมแสนอร่อยมาล่อ มันก็ไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ทาสแมวรักพวกมันน้อยลงเลย และพวกมันยังเป็นแหล่งความรักที่ยอดเยี่ยมเสมอ และวันนี้เรานั้นจะพาเพื่อนๆนั้นมาชมความน่ารักของน้องแมว ที่เห็นแล้วเราให้เรานั้นรัก หัวเราะ และมีความสุขไปพร้อมกับมัน เอาเป็นว่าอย่ารอช้าไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ










































1842


ถ้าใครเป็นทาศแมวก็จะรู้ว่าเจ้าเหมียวนั้นมันน่ารักขนาดไหน เพราะว่า แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่รักอิสระ ขี้เล่น และชอบความสนุกสนาน และการศึกษาล่าสุดจากศูนย์วิจัยแคทดั๊มบ์พบว่า แมวยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่เซ่อมากๆ อีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันชอบเมินเฉยเวลาที่คุณเรียกมัน ต่อให้ขนมแสนอร่อยมาล่อ มันก็ไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ทาสแมวรักพวกมันน้อยลงเลย และพวกมันยังเป็นแหล่งความรักที่ยอดเยี่ยมเสมอ และวันนี้เรานั้นจะพาเพื่อนๆนั้นมาชมความน่ารักของน้องแมว ที่เห็นแล้วเราให้เรานั้นรัก หัวเราะ และมีความสุขไปพร้อมกับมัน เอาเป็นว่าอย่ารอช้าไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ










































1843


ถ้าใครเป็นทาศแมวก็จะรู้ว่าเจ้าเหมียวนั้นมันน่ารักขนาดไหน เพราะว่า แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่รักอิสระ ขี้เล่น และชอบความสนุกสนาน และการศึกษาล่าสุดจากศูนย์วิจัยแคทดั๊มบ์พบว่า แมวยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่เซ่อมากๆ อีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันชอบเมินเฉยเวลาที่คุณเรียกมัน ต่อให้ขนมแสนอร่อยมาล่อ มันก็ไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ทาสแมวรักพวกมันน้อยลงเลย และพวกมันยังเป็นแหล่งความรักที่ยอดเยี่ยมเสมอ และวันนี้เรานั้นจะพาเพื่อนๆนั้นมาชมความน่ารักของน้องแมว ที่เห็นแล้วเราให้เรานั้นรัก หัวเราะ และมีความสุขไปพร้อมกับมัน เอาเป็นว่าอย่ารอช้าไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ










































1844


ถ้าใครเป็นทาศแมวก็จะรู้ว่าเจ้าเหมียวนั้นมันน่ารักขนาดไหน เพราะว่า แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่รักอิสระ ขี้เล่น และชอบความสนุกสนาน และการศึกษาล่าสุดจากศูนย์วิจัยแคทดั๊มบ์พบว่า แมวยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่เซ่อมากๆ อีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันชอบเมินเฉยเวลาที่คุณเรียกมัน ต่อให้ขนมแสนอร่อยมาล่อ มันก็ไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ทาสแมวรักพวกมันน้อยลงเลย และพวกมันยังเป็นแหล่งความรักที่ยอดเยี่ยมเสมอ และวันนี้เรานั้นจะพาเพื่อนๆนั้นมาชมความน่ารักของน้องแมว ที่เห็นแล้วเราให้เรานั้นรัก หัวเราะ และมีความสุขไปพร้อมกับมัน เอาเป็นว่าอย่ารอช้าไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ










































1845


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ชาวเน็ตนั้นให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีสมาชิคเฟสบุ๊ค ที่มีชื่อว่า บีอย่านอนดึกมากนะลุก อ่านหนังสือด้วย เธอเล่าไว้ในเพจ “ทาสแมว” ว่าที่บ้านของเธอไม่ได้ติดแอร์สักที เพราะว่าพ่อไม่ยอมให้ติดแอร์มาตั้ง 3 ปีแล้ว แม้พี่ชายของเธอเสนอจะจัดการให้คุณพ่อก็ยังไม่อนุมัติให้เอาแอร์เข้ามาสักที จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้คุณพ่อเห็นเจ้าโจวชัวมันทนร้อนไม่ไหว ถึงกับต้องหลบไปอาศัยกระเบื้องเย็นๆ ในห้องน้ำเป็นที่นอน คุณพ่อถึงรีบทำการติดตั้งแอร์อย่างเร่งด่วน



จากที่ลูกๆ ทนร้อนกันมานาน 3 ปีก็ยังไม่มีแอร์ใช้ พอแมวร้อนเท่านั้นแหละภายในเวลา 24 ชั่วโมงในบ้านก็มีแอร์ตัวใหม่ใช้เลย รวดเร็วเหมือนเสกแอร์มาลงยังไงยังงั้น คุณบีถึงกับเขียนขอบคุณเจ้าแมวว่า “คุณหลวงโจวชัววิฬาร์สลิดเสนากับแอร์ตัวใหม่ของเขา กราบแมวสิโว้ยรออะไร นี่ถ้าไม่มีแมวเราร้อนตายเลย”



อันที่จริงดูเหมือนก่อนหน้านี้คุณพ่อของคุณบีก็ไม่ได้สนับสนุนให้เธอเลี้ยงแมวหรอกนะ เขาน่าจะเคยบอกเธอว่า “เรียนจบไม่ต้องเอามันกลับมาบ้านนะ พ่อเกลียดแมว” แต่ดูเหมือนพอได้อยู่ด้วยกันแล้วคุณพ่อก็ต้านทานเสน่ห์ของโจวชัวไม่ไหวเหมือนกัน ตอนนี้กลายเป็นทาสแมวอย่างเต็มตัวแล้ว แถมยังทำท่าทางห่วงมันยิ่งกว่าลูกซะอีกแน่ะ