แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Smile Smile

1726


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ สำหรับ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการจัดงานประกวดหมาที่น่าเกลียดที่สุดในโลก หรือ World Ugliest Dog ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เรายังรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เองที่เจ้าหมาอิงลิชบูลล์ด็อก Zsa Zsa ได้ครองตำแหน่งหมาที่น่าเกลียดที่สุดในโลกประจำปี 2018 ไป



แต่ตอนนี้เรามีผู้ครองตำแหน่งตัวใหม่แล้ว เชิญเพื่อนๆ พบกับเจ้าหมาน้อย Scamp the Tramp หมาน่าเกลียดที่สุดในโลกประจำปี 2019 ได้เลยScamp the Tramp เป็นหมาของ Yvonne Morones เดิมทีเจ้าหมาเป็นหมาจรจัดในเมืองคอมป์ตัน แถมยังไม่มีใครระบุสายพันธุ์ที่แท้จริงของมันได้ด้วย ด้วยขนสีเทาที่ถึงจะสะอาดแต่ก็ยังดูยุ่งเหยิงเสมอ และสีหน้าที่ดูเหมือนตีมึนอยู่ตลอดเวลา มันจึงเอาชนะหมาผู้เข้าแข่งขันอีก 16 ตัวได้อย่างสบายๆ และคว้าเงินรางวัล 1,500 (ประมาณ 46,000 บาท) ให้แม่มันกลับบ้านด้วย



เจ้า Scamp the Tramp ไม่ได้เป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันเท่านั้น ก่อนจะมาเข้าชิงตำแหน่งมันก็เป็นหมาที่ทำประโยชน์ให้กับชุมชน โดยการเป็นหมาบำบัดให้กับคนแก่ในบ้านพักคนชรามาก่อนด้วย นอกจากนี้มันยังเป็นสุนัขเพื่อนนักอ่านสำหรับเด็กน้อย ที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเด็กๆ โดยช่วยฟังพวกเขาเล่านิทานในเวลาว่างอีกด้วย มันทำประโยชน์ให้สังคมมาไม่ต่างจากนางงามเลย



และตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นตัวแทนขององค์กรช่วยเหลือสัตว์ Humane Society จึงได้ไปออกงานต่างๆ ของพวกเขาเพื่อสนับสนุนให้คนช่วยกันรับเลี้ยงสัตว์Morones ซึ่งเป็นเจ้าของของมันบอกว่าทุกคนในงานไม่ได้โหวตให้มันเป็นหมาน่าเกลียดเพราะหน้าตาของมันอย่างเดียว พวกเขาคงจะตกหลุมรักกับความร่าเริงสดใสของมัน และความดีที่มันเคยช่วยเหลือสังคมมาด้วย






1727


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ สำหรับ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการจัดงานประกวดหมาที่น่าเกลียดที่สุดในโลก หรือ World Ugliest Dog ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เรายังรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เองที่เจ้าหมาอิงลิชบูลล์ด็อก Zsa Zsa ได้ครองตำแหน่งหมาที่น่าเกลียดที่สุดในโลกประจำปี 2018 ไป



แต่ตอนนี้เรามีผู้ครองตำแหน่งตัวใหม่แล้ว เชิญเพื่อนๆ พบกับเจ้าหมาน้อย Scamp the Tramp หมาน่าเกลียดที่สุดในโลกประจำปี 2019 ได้เลยScamp the Tramp เป็นหมาของ Yvonne Morones เดิมทีเจ้าหมาเป็นหมาจรจัดในเมืองคอมป์ตัน แถมยังไม่มีใครระบุสายพันธุ์ที่แท้จริงของมันได้ด้วย ด้วยขนสีเทาที่ถึงจะสะอาดแต่ก็ยังดูยุ่งเหยิงเสมอ และสีหน้าที่ดูเหมือนตีมึนอยู่ตลอดเวลา มันจึงเอาชนะหมาผู้เข้าแข่งขันอีก 16 ตัวได้อย่างสบายๆ และคว้าเงินรางวัล 1,500 (ประมาณ 46,000 บาท) ให้แม่มันกลับบ้านด้วย



เจ้า Scamp the Tramp ไม่ได้เป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันเท่านั้น ก่อนจะมาเข้าชิงตำแหน่งมันก็เป็นหมาที่ทำประโยชน์ให้กับชุมชน โดยการเป็นหมาบำบัดให้กับคนแก่ในบ้านพักคนชรามาก่อนด้วย นอกจากนี้มันยังเป็นสุนัขเพื่อนนักอ่านสำหรับเด็กน้อย ที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเด็กๆ โดยช่วยฟังพวกเขาเล่านิทานในเวลาว่างอีกด้วย มันทำประโยชน์ให้สังคมมาไม่ต่างจากนางงามเลย



และตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นตัวแทนขององค์กรช่วยเหลือสัตว์ Humane Society จึงได้ไปออกงานต่างๆ ของพวกเขาเพื่อสนับสนุนให้คนช่วยกันรับเลี้ยงสัตว์Morones ซึ่งเป็นเจ้าของของมันบอกว่าทุกคนในงานไม่ได้โหวตให้มันเป็นหมาน่าเกลียดเพราะหน้าตาของมันอย่างเดียว พวกเขาคงจะตกหลุมรักกับความร่าเริงสดใสของมัน และความดีที่มันเคยช่วยเหลือสังคมมาด้วย






1728


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ สำหรับ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการจัดงานประกวดหมาที่น่าเกลียดที่สุดในโลก หรือ World Ugliest Dog ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เรายังรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เองที่เจ้าหมาอิงลิชบูลล์ด็อก Zsa Zsa ได้ครองตำแหน่งหมาที่น่าเกลียดที่สุดในโลกประจำปี 2018 ไป



แต่ตอนนี้เรามีผู้ครองตำแหน่งตัวใหม่แล้ว เชิญเพื่อนๆ พบกับเจ้าหมาน้อย Scamp the Tramp หมาน่าเกลียดที่สุดในโลกประจำปี 2019 ได้เลยScamp the Tramp เป็นหมาของ Yvonne Morones เดิมทีเจ้าหมาเป็นหมาจรจัดในเมืองคอมป์ตัน แถมยังไม่มีใครระบุสายพันธุ์ที่แท้จริงของมันได้ด้วย ด้วยขนสีเทาที่ถึงจะสะอาดแต่ก็ยังดูยุ่งเหยิงเสมอ และสีหน้าที่ดูเหมือนตีมึนอยู่ตลอดเวลา มันจึงเอาชนะหมาผู้เข้าแข่งขันอีก 16 ตัวได้อย่างสบายๆ และคว้าเงินรางวัล 1,500 (ประมาณ 46,000 บาท) ให้แม่มันกลับบ้านด้วย



เจ้า Scamp the Tramp ไม่ได้เป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันเท่านั้น ก่อนจะมาเข้าชิงตำแหน่งมันก็เป็นหมาที่ทำประโยชน์ให้กับชุมชน โดยการเป็นหมาบำบัดให้กับคนแก่ในบ้านพักคนชรามาก่อนด้วย นอกจากนี้มันยังเป็นสุนัขเพื่อนนักอ่านสำหรับเด็กน้อย ที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเด็กๆ โดยช่วยฟังพวกเขาเล่านิทานในเวลาว่างอีกด้วย มันทำประโยชน์ให้สังคมมาไม่ต่างจากนางงามเลย



และตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นตัวแทนขององค์กรช่วยเหลือสัตว์ Humane Society จึงได้ไปออกงานต่างๆ ของพวกเขาเพื่อสนับสนุนให้คนช่วยกันรับเลี้ยงสัตว์Morones ซึ่งเป็นเจ้าของของมันบอกว่าทุกคนในงานไม่ได้โหวตให้มันเป็นหมาน่าเกลียดเพราะหน้าตาของมันอย่างเดียว พวกเขาคงจะตกหลุมรักกับความร่าเริงสดใสของมัน และความดีที่มันเคยช่วยเหลือสังคมมาด้วย






1729


เรียกได้ว่าเป็นเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของเจ้าตูบ  Buboy จากประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหมาจรจัดที่ซื่อสัตย์ มานั่งรอเจอเพื่อนรักแต่น่าเศร้าที่ตอนนี้เราต้องบอกทุกคนว่า ตอนนี้ก็ถึงตาของเจ้า Buboy ที่ต้องไปอยู่บนสวรรค์ตามเพื่อนรักของมันแล้วสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกับ Buboy หรือจำเรื่องราวของมันไม่ได้ เจ้าหมาตัวนี้เป็นหมาจรจัดอยู่ในมหาวิทยาลัย Mabalacat City College



และมันก็มีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือ Carmelito Marcelo เขาเคยเป็นอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แล้วเขาก็สนิทกับเจ้าหมามากBuboy มักจะไปรอเจอ Marcelo ที่หน้าห้องเรียนตอนเขาสอนเสร็จเป็นประจำ แต่พออาจารย์เสียชีวิตอย่างกระทันหัน เจ้าหมาที่ไม่รู้เรื่องก็ยังมารอเขาอยู่นานหลายสัปดาห์จนกระทั่งนักศึกษาที่เห็นสงสารมันจนทนไม่ไหว จึงอุ้มมันไปงานศพของ Marcelo เพื่อบอกให้มันรู้ว่าเพื่อนรักของมันตายไปแล้ว



หลังจากที่มันได้รู้แล้ว เจ้าหมาก็เลิกรอเข้าที่หน้าห้องเรียน แล้วเปลี่ยนมานอนเฝ้าร่างของเพื่อนรักที่หน้าโลงศพของเขาแทนความซื่อสัตย์ของมันทำให้เจ้าหมาดังติดกระแสไวรัล และเริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่ชาวเน็ตผู้รักสัตว์หลังจบงานศพของ Marcelo แล้ว เจ้า Buboy ก็ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม โดยที่มีนักศึกษากับอาสาสมัครของกลุ่มช่วยเหลือสัตว์คอยให้อาหารและดูแลมันแต่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2019 ทางกลุ่มช่วยเหลือสัตว์ Animal Kingdom Foundation ก็ได้โพสต์บอกกับผู้ติดตามว่า



“AFK (Animal Kingdom Foundation) ขอร่วมแสดงความเสียใจกับเหตุสลด ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหมาซื่อสัตย์ Buboy ที่ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร รายงานเบื้องต้นแจ้งว่าเจ้าหมาถูกรถทับในช่วงเช้านี้ ตอนที่อาสาสมัครที่ดูแลมันรู้ข่าว เขาก็รีบไปหามันแม้จะเป็นวันหยุด แต่พอไปถึงก็พบแค่ร่างไร้วิญญาณของมันแล้ว”ถึงมันจะน่าเศร้าที่ Buboy ต้องตายจากโลกนี้ไปเร็ว แต่อย่างน้อยตอนนี้เจ้าหมาก็คงได้ไปเจอกับอาจารย์ Marcelo ที่อยู่บนสวรรค์รอมันแล้ว ขอให้มันไปดีนะ








1730


เรียกได้ว่าเป็นเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของเจ้าตูบ  Buboy จากประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหมาจรจัดที่ซื่อสัตย์ มานั่งรอเจอเพื่อนรักแต่น่าเศร้าที่ตอนนี้เราต้องบอกทุกคนว่า ตอนนี้ก็ถึงตาของเจ้า Buboy ที่ต้องไปอยู่บนสวรรค์ตามเพื่อนรักของมันแล้วสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกับ Buboy หรือจำเรื่องราวของมันไม่ได้ เจ้าหมาตัวนี้เป็นหมาจรจัดอยู่ในมหาวิทยาลัย Mabalacat City College



และมันก็มีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือ Carmelito Marcelo เขาเคยเป็นอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แล้วเขาก็สนิทกับเจ้าหมามากBuboy มักจะไปรอเจอ Marcelo ที่หน้าห้องเรียนตอนเขาสอนเสร็จเป็นประจำ แต่พออาจารย์เสียชีวิตอย่างกระทันหัน เจ้าหมาที่ไม่รู้เรื่องก็ยังมารอเขาอยู่นานหลายสัปดาห์จนกระทั่งนักศึกษาที่เห็นสงสารมันจนทนไม่ไหว จึงอุ้มมันไปงานศพของ Marcelo เพื่อบอกให้มันรู้ว่าเพื่อนรักของมันตายไปแล้ว



หลังจากที่มันได้รู้แล้ว เจ้าหมาก็เลิกรอเข้าที่หน้าห้องเรียน แล้วเปลี่ยนมานอนเฝ้าร่างของเพื่อนรักที่หน้าโลงศพของเขาแทนความซื่อสัตย์ของมันทำให้เจ้าหมาดังติดกระแสไวรัล และเริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่ชาวเน็ตผู้รักสัตว์หลังจบงานศพของ Marcelo แล้ว เจ้า Buboy ก็ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม โดยที่มีนักศึกษากับอาสาสมัครของกลุ่มช่วยเหลือสัตว์คอยให้อาหารและดูแลมันแต่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2019 ทางกลุ่มช่วยเหลือสัตว์ Animal Kingdom Foundation ก็ได้โพสต์บอกกับผู้ติดตามว่า



“AFK (Animal Kingdom Foundation) ขอร่วมแสดงความเสียใจกับเหตุสลด ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหมาซื่อสัตย์ Buboy ที่ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร รายงานเบื้องต้นแจ้งว่าเจ้าหมาถูกรถทับในช่วงเช้านี้ ตอนที่อาสาสมัครที่ดูแลมันรู้ข่าว เขาก็รีบไปหามันแม้จะเป็นวันหยุด แต่พอไปถึงก็พบแค่ร่างไร้วิญญาณของมันแล้ว”ถึงมันจะน่าเศร้าที่ Buboy ต้องตายจากโลกนี้ไปเร็ว แต่อย่างน้อยตอนนี้เจ้าหมาก็คงได้ไปเจอกับอาจารย์ Marcelo ที่อยู่บนสวรรค์รอมันแล้ว ขอให้มันไปดีนะ








1731


เรียกได้ว่าเป็นเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของเจ้าตูบ  Buboy จากประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหมาจรจัดที่ซื่อสัตย์ มานั่งรอเจอเพื่อนรักแต่น่าเศร้าที่ตอนนี้เราต้องบอกทุกคนว่า ตอนนี้ก็ถึงตาของเจ้า Buboy ที่ต้องไปอยู่บนสวรรค์ตามเพื่อนรักของมันแล้วสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกับ Buboy หรือจำเรื่องราวของมันไม่ได้ เจ้าหมาตัวนี้เป็นหมาจรจัดอยู่ในมหาวิทยาลัย Mabalacat City College



และมันก็มีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือ Carmelito Marcelo เขาเคยเป็นอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แล้วเขาก็สนิทกับเจ้าหมามากBuboy มักจะไปรอเจอ Marcelo ที่หน้าห้องเรียนตอนเขาสอนเสร็จเป็นประจำ แต่พออาจารย์เสียชีวิตอย่างกระทันหัน เจ้าหมาที่ไม่รู้เรื่องก็ยังมารอเขาอยู่นานหลายสัปดาห์จนกระทั่งนักศึกษาที่เห็นสงสารมันจนทนไม่ไหว จึงอุ้มมันไปงานศพของ Marcelo เพื่อบอกให้มันรู้ว่าเพื่อนรักของมันตายไปแล้ว



หลังจากที่มันได้รู้แล้ว เจ้าหมาก็เลิกรอเข้าที่หน้าห้องเรียน แล้วเปลี่ยนมานอนเฝ้าร่างของเพื่อนรักที่หน้าโลงศพของเขาแทนความซื่อสัตย์ของมันทำให้เจ้าหมาดังติดกระแสไวรัล และเริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่ชาวเน็ตผู้รักสัตว์หลังจบงานศพของ Marcelo แล้ว เจ้า Buboy ก็ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม โดยที่มีนักศึกษากับอาสาสมัครของกลุ่มช่วยเหลือสัตว์คอยให้อาหารและดูแลมันแต่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2019 ทางกลุ่มช่วยเหลือสัตว์ Animal Kingdom Foundation ก็ได้โพสต์บอกกับผู้ติดตามว่า



“AFK (Animal Kingdom Foundation) ขอร่วมแสดงความเสียใจกับเหตุสลด ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหมาซื่อสัตย์ Buboy ที่ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร รายงานเบื้องต้นแจ้งว่าเจ้าหมาถูกรถทับในช่วงเช้านี้ ตอนที่อาสาสมัครที่ดูแลมันรู้ข่าว เขาก็รีบไปหามันแม้จะเป็นวันหยุด แต่พอไปถึงก็พบแค่ร่างไร้วิญญาณของมันแล้ว”ถึงมันจะน่าเศร้าที่ Buboy ต้องตายจากโลกนี้ไปเร็ว แต่อย่างน้อยตอนนี้เจ้าหมาก็คงได้ไปเจอกับอาจารย์ Marcelo ที่อยู่บนสวรรค์รอมันแล้ว ขอให้มันไปดีนะ








1732


เรียกได้ว่าเป็นเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของเจ้าตูบ  Buboy จากประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหมาจรจัดที่ซื่อสัตย์ มานั่งรอเจอเพื่อนรักแต่น่าเศร้าที่ตอนนี้เราต้องบอกทุกคนว่า ตอนนี้ก็ถึงตาของเจ้า Buboy ที่ต้องไปอยู่บนสวรรค์ตามเพื่อนรักของมันแล้วสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกับ Buboy หรือจำเรื่องราวของมันไม่ได้ เจ้าหมาตัวนี้เป็นหมาจรจัดอยู่ในมหาวิทยาลัย Mabalacat City College



และมันก็มีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือ Carmelito Marcelo เขาเคยเป็นอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แล้วเขาก็สนิทกับเจ้าหมามากBuboy มักจะไปรอเจอ Marcelo ที่หน้าห้องเรียนตอนเขาสอนเสร็จเป็นประจำ แต่พออาจารย์เสียชีวิตอย่างกระทันหัน เจ้าหมาที่ไม่รู้เรื่องก็ยังมารอเขาอยู่นานหลายสัปดาห์จนกระทั่งนักศึกษาที่เห็นสงสารมันจนทนไม่ไหว จึงอุ้มมันไปงานศพของ Marcelo เพื่อบอกให้มันรู้ว่าเพื่อนรักของมันตายไปแล้ว



หลังจากที่มันได้รู้แล้ว เจ้าหมาก็เลิกรอเข้าที่หน้าห้องเรียน แล้วเปลี่ยนมานอนเฝ้าร่างของเพื่อนรักที่หน้าโลงศพของเขาแทนความซื่อสัตย์ของมันทำให้เจ้าหมาดังติดกระแสไวรัล และเริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่ชาวเน็ตผู้รักสัตว์หลังจบงานศพของ Marcelo แล้ว เจ้า Buboy ก็ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม โดยที่มีนักศึกษากับอาสาสมัครของกลุ่มช่วยเหลือสัตว์คอยให้อาหารและดูแลมันแต่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2019 ทางกลุ่มช่วยเหลือสัตว์ Animal Kingdom Foundation ก็ได้โพสต์บอกกับผู้ติดตามว่า



“AFK (Animal Kingdom Foundation) ขอร่วมแสดงความเสียใจกับเหตุสลด ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหมาซื่อสัตย์ Buboy ที่ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร รายงานเบื้องต้นแจ้งว่าเจ้าหมาถูกรถทับในช่วงเช้านี้ ตอนที่อาสาสมัครที่ดูแลมันรู้ข่าว เขาก็รีบไปหามันแม้จะเป็นวันหยุด แต่พอไปถึงก็พบแค่ร่างไร้วิญญาณของมันแล้ว”ถึงมันจะน่าเศร้าที่ Buboy ต้องตายจากโลกนี้ไปเร็ว แต่อย่างน้อยตอนนี้เจ้าหมาก็คงได้ไปเจอกับอาจารย์ Marcelo ที่อยู่บนสวรรค์รอมันแล้ว ขอให้มันไปดีนะ








1733


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จาก เพจบุ๊ค ชื่อว่า Luktal Tpw โดยได้เล่าเรื่องราวว่า มีแมวสีเทาปนน้ำตาลอยู่ตัวหนึ่ง เธอตั้งชื่อให้มันว่า หมูอ้วน (ก็พอจะเข้าว่าทำไมตั้งแบบนี้)ปกติเธอจะเลี้ยงมันไว้แบบปิด ให้มันอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น แต่ตอนที่คุณย่าของแฟนเธอเข้ามาเยี่ยมที่บ้าน เธอไม่ทันได้ระวังตอนเข้าบ้านเจ้าแมวจึงวิ่งหนีออกบ้านไปคุณลูกตาลร้อนใจมากที่เจ้าหมูอ้วนหลุดออกไปข้างนอก เธอเป็นกังวลมากจนร้องไห้เลย เธอกลัวว่าแมวที่เคยอยู่แต่ในบ้านอย่างมันจะไปเจออันตรายข้างนอก



เธอจึงทำประกาศตามหาแมวไปแปะไว้แถวบ้าน ทั้งยังออกไปตามหามันรอบๆ บ้าน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เจอเจ้าหมูอ้วนสักที เธอจึงทำได้แค่รอต่อมาระหว่างที่รอมันกลับมาอยู่เธอเล่าว่า “มีคนแนะนำว่า ให้เอารูปหมูอ้วนไปให้แมวแถวบ้านดู ละบอกว่านี่มันชื่อหมูอ้วน ถ้าเจอมันบอกให้มันกลับบ้านด้วย”พอเธอลองทำแบบนั้นดูบ้างจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าใช้เวลาไม่นานเจ้าหมูอ้วนมันก็กลับมานั่งรออยู่หน้าบ้านด้วยตัวเองแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หายังไงก็ไม่เจอ



บอกตามตรงตอนที่มันหายไปคุณลูกตาลกังวลหน่อยๆ เหมือนกัน ว่าพอมีคนไปเจอมันจริงๆ คนที่เห็นประกาศตามหาจะไม่รู้ว่ามันคือหมูอ้วนเพราะถึงจะระบุแล้วว่ามันใส่ปลอกคอสีเขียวมีกระดิ่ง แต่ด้วยความที่มันอ้วนจนเหนียงกองเป็นชั้น ทำให้เหนียงของมันบังปลอกคอซะมิดเลย กลัวจะเข้าใจว่ามันเป็นแมวจรจัดแทนไม่น่าเชื่อเลยนะว่าวิธีบอกแมวจรจัดไปตามแมวกลับบ้านจะได้ผลจริงๆ แบบนี้แปลว่าพวกมันน่าจะฟังคำเรารู้เรื่องอยู่เหมือนกัน คราวหลังจะนินทาอะไรพวกมันคงต้องระวังเอาไว้ส่วนในใบประกาศที่คุณลูกตาลเคยเขียนไว้ ว่ามีรางวัลให้สำหรับคนที่เจอมันและพากลับมาบ้านได้ ตอนนี้ก็คงจะต้องเอาไปมอบให้กับเจ้าแมวจรจัดซะแล้ว









1734


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จาก เพจบุ๊ค ชื่อว่า Luktal Tpw โดยได้เล่าเรื่องราวว่า มีแมวสีเทาปนน้ำตาลอยู่ตัวหนึ่ง เธอตั้งชื่อให้มันว่า หมูอ้วน (ก็พอจะเข้าว่าทำไมตั้งแบบนี้)ปกติเธอจะเลี้ยงมันไว้แบบปิด ให้มันอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น แต่ตอนที่คุณย่าของแฟนเธอเข้ามาเยี่ยมที่บ้าน เธอไม่ทันได้ระวังตอนเข้าบ้านเจ้าแมวจึงวิ่งหนีออกบ้านไปคุณลูกตาลร้อนใจมากที่เจ้าหมูอ้วนหลุดออกไปข้างนอก เธอเป็นกังวลมากจนร้องไห้เลย เธอกลัวว่าแมวที่เคยอยู่แต่ในบ้านอย่างมันจะไปเจออันตรายข้างนอก



เธอจึงทำประกาศตามหาแมวไปแปะไว้แถวบ้าน ทั้งยังออกไปตามหามันรอบๆ บ้าน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เจอเจ้าหมูอ้วนสักที เธอจึงทำได้แค่รอต่อมาระหว่างที่รอมันกลับมาอยู่เธอเล่าว่า “มีคนแนะนำว่า ให้เอารูปหมูอ้วนไปให้แมวแถวบ้านดู ละบอกว่านี่มันชื่อหมูอ้วน ถ้าเจอมันบอกให้มันกลับบ้านด้วย”พอเธอลองทำแบบนั้นดูบ้างจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าใช้เวลาไม่นานเจ้าหมูอ้วนมันก็กลับมานั่งรออยู่หน้าบ้านด้วยตัวเองแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หายังไงก็ไม่เจอ



บอกตามตรงตอนที่มันหายไปคุณลูกตาลกังวลหน่อยๆ เหมือนกัน ว่าพอมีคนไปเจอมันจริงๆ คนที่เห็นประกาศตามหาจะไม่รู้ว่ามันคือหมูอ้วนเพราะถึงจะระบุแล้วว่ามันใส่ปลอกคอสีเขียวมีกระดิ่ง แต่ด้วยความที่มันอ้วนจนเหนียงกองเป็นชั้น ทำให้เหนียงของมันบังปลอกคอซะมิดเลย กลัวจะเข้าใจว่ามันเป็นแมวจรจัดแทนไม่น่าเชื่อเลยนะว่าวิธีบอกแมวจรจัดไปตามแมวกลับบ้านจะได้ผลจริงๆ แบบนี้แปลว่าพวกมันน่าจะฟังคำเรารู้เรื่องอยู่เหมือนกัน คราวหลังจะนินทาอะไรพวกมันคงต้องระวังเอาไว้ส่วนในใบประกาศที่คุณลูกตาลเคยเขียนไว้ ว่ามีรางวัลให้สำหรับคนที่เจอมันและพากลับมาบ้านได้ ตอนนี้ก็คงจะต้องเอาไปมอบให้กับเจ้าแมวจรจัดซะแล้ว









1735


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จาก เพจบุ๊ค ชื่อว่า Luktal Tpw โดยได้เล่าเรื่องราวว่า มีแมวสีเทาปนน้ำตาลอยู่ตัวหนึ่ง เธอตั้งชื่อให้มันว่า หมูอ้วน (ก็พอจะเข้าว่าทำไมตั้งแบบนี้)ปกติเธอจะเลี้ยงมันไว้แบบปิด ให้มันอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น แต่ตอนที่คุณย่าของแฟนเธอเข้ามาเยี่ยมที่บ้าน เธอไม่ทันได้ระวังตอนเข้าบ้านเจ้าแมวจึงวิ่งหนีออกบ้านไปคุณลูกตาลร้อนใจมากที่เจ้าหมูอ้วนหลุดออกไปข้างนอก เธอเป็นกังวลมากจนร้องไห้เลย เธอกลัวว่าแมวที่เคยอยู่แต่ในบ้านอย่างมันจะไปเจออันตรายข้างนอก



เธอจึงทำประกาศตามหาแมวไปแปะไว้แถวบ้าน ทั้งยังออกไปตามหามันรอบๆ บ้าน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เจอเจ้าหมูอ้วนสักที เธอจึงทำได้แค่รอต่อมาระหว่างที่รอมันกลับมาอยู่เธอเล่าว่า “มีคนแนะนำว่า ให้เอารูปหมูอ้วนไปให้แมวแถวบ้านดู ละบอกว่านี่มันชื่อหมูอ้วน ถ้าเจอมันบอกให้มันกลับบ้านด้วย”พอเธอลองทำแบบนั้นดูบ้างจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าใช้เวลาไม่นานเจ้าหมูอ้วนมันก็กลับมานั่งรออยู่หน้าบ้านด้วยตัวเองแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หายังไงก็ไม่เจอ



บอกตามตรงตอนที่มันหายไปคุณลูกตาลกังวลหน่อยๆ เหมือนกัน ว่าพอมีคนไปเจอมันจริงๆ คนที่เห็นประกาศตามหาจะไม่รู้ว่ามันคือหมูอ้วนเพราะถึงจะระบุแล้วว่ามันใส่ปลอกคอสีเขียวมีกระดิ่ง แต่ด้วยความที่มันอ้วนจนเหนียงกองเป็นชั้น ทำให้เหนียงของมันบังปลอกคอซะมิดเลย กลัวจะเข้าใจว่ามันเป็นแมวจรจัดแทนไม่น่าเชื่อเลยนะว่าวิธีบอกแมวจรจัดไปตามแมวกลับบ้านจะได้ผลจริงๆ แบบนี้แปลว่าพวกมันน่าจะฟังคำเรารู้เรื่องอยู่เหมือนกัน คราวหลังจะนินทาอะไรพวกมันคงต้องระวังเอาไว้ส่วนในใบประกาศที่คุณลูกตาลเคยเขียนไว้ ว่ามีรางวัลให้สำหรับคนที่เจอมันและพากลับมาบ้านได้ ตอนนี้ก็คงจะต้องเอาไปมอบให้กับเจ้าแมวจรจัดซะแล้ว









1736


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จาก เพจบุ๊ค ชื่อว่า Luktal Tpw โดยได้เล่าเรื่องราวว่า มีแมวสีเทาปนน้ำตาลอยู่ตัวหนึ่ง เธอตั้งชื่อให้มันว่า หมูอ้วน (ก็พอจะเข้าว่าทำไมตั้งแบบนี้)ปกติเธอจะเลี้ยงมันไว้แบบปิด ให้มันอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น แต่ตอนที่คุณย่าของแฟนเธอเข้ามาเยี่ยมที่บ้าน เธอไม่ทันได้ระวังตอนเข้าบ้านเจ้าแมวจึงวิ่งหนีออกบ้านไปคุณลูกตาลร้อนใจมากที่เจ้าหมูอ้วนหลุดออกไปข้างนอก เธอเป็นกังวลมากจนร้องไห้เลย เธอกลัวว่าแมวที่เคยอยู่แต่ในบ้านอย่างมันจะไปเจออันตรายข้างนอก



เธอจึงทำประกาศตามหาแมวไปแปะไว้แถวบ้าน ทั้งยังออกไปตามหามันรอบๆ บ้าน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เจอเจ้าหมูอ้วนสักที เธอจึงทำได้แค่รอต่อมาระหว่างที่รอมันกลับมาอยู่เธอเล่าว่า “มีคนแนะนำว่า ให้เอารูปหมูอ้วนไปให้แมวแถวบ้านดู ละบอกว่านี่มันชื่อหมูอ้วน ถ้าเจอมันบอกให้มันกลับบ้านด้วย”พอเธอลองทำแบบนั้นดูบ้างจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าใช้เวลาไม่นานเจ้าหมูอ้วนมันก็กลับมานั่งรออยู่หน้าบ้านด้วยตัวเองแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หายังไงก็ไม่เจอ



บอกตามตรงตอนที่มันหายไปคุณลูกตาลกังวลหน่อยๆ เหมือนกัน ว่าพอมีคนไปเจอมันจริงๆ คนที่เห็นประกาศตามหาจะไม่รู้ว่ามันคือหมูอ้วนเพราะถึงจะระบุแล้วว่ามันใส่ปลอกคอสีเขียวมีกระดิ่ง แต่ด้วยความที่มันอ้วนจนเหนียงกองเป็นชั้น ทำให้เหนียงของมันบังปลอกคอซะมิดเลย กลัวจะเข้าใจว่ามันเป็นแมวจรจัดแทนไม่น่าเชื่อเลยนะว่าวิธีบอกแมวจรจัดไปตามแมวกลับบ้านจะได้ผลจริงๆ แบบนี้แปลว่าพวกมันน่าจะฟังคำเรารู้เรื่องอยู่เหมือนกัน คราวหลังจะนินทาอะไรพวกมันคงต้องระวังเอาไว้ส่วนในใบประกาศที่คุณลูกตาลเคยเขียนไว้ ว่ามีรางวัลให้สำหรับคนที่เจอมันและพากลับมาบ้านได้ ตอนนี้ก็คงจะต้องเอาไปมอบให้กับเจ้าแมวจรจัดซะแล้ว









1737


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าของบ้านหลังหนึ่งในบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา พบลูกแมวส้มตัวเล็กๆ บนสนามหญ้า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นลูกแมวแรกเกิดเจ้าของบ้านจึงติดต่อไปยัง Shuswap Paws Rescue เพื่อขอความช่วยเหลือ และเมื่อผู้ช่วยเหลือมาถึง พวกเขาเห็นแผลบนตัวแมวน้อย จึงรีบพามันไปหาสัตวแพทย์ทันทีBarb Gosselin ผู้ก่อตั้ง Shuswap Paws Rescue บอกว่า “ลูกแมวอายุแค่ 1 วันเท่านั้น มันโดนนกจิกเพื่อจับไปเป็นเหยื่อ จนได้รับบาดเจ็บ”



ต่อมา ทาง Okanagan Humane Society ได้รับแมวส้มน้อยตัวนี้ไปอยู่ในการดูแล และให้มันไปอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ของอาสาสมัครที่ชื่อ KatrinaKatrina เริ่มป้อนนมขวดให้มิ้วน้อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และตั้งชื่อให้มันว่า Cinder โชคดีที่นุ้งแมวดูติดนมขวดมาก มันดื่มนมเหมือนแชมป์ และแผลของมันค่อยๆ หายเป็นปกติเพียงไม่กี่วัน Cinder ก็ฟื้นตัวและทำเสียงเพอร์อย่างต่อเนื่อง มันไม่อยากอยู่คนเดียว และจะร้องไห้ทุกครั้งที่แม่บุญธรรมไม่อยู่ใกล้ๆ



Katrina จึงตัดสินใจแนะนำมิ้วน้อยให้รู้จักกับ Mr. Kitty ซึ่งเป็นแมวผู้มีนิสัยอ่อนโยนของเธอ “มันสนใจลูกแมวตัวน้อยมาก และชอบให้ Cinder เข้ามาหาความสะดวกสบายจากมัน”สามวันต่อมา Cinder ได้สร้างความประทับใจให้แม่บุญธรรมด้วยการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 20% ในที่สุด มันก็หนัก 100 กรัม และมันไม่เคยยอมแพ้ จนเติบโตขึ้นเรื่อยๆขณะเดียวกันนี้ Barb กับทีมงาน กำลังทำงานร่วมกับ Okanagan Humane Society เพื่อให้แมวจรทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงได้รับการทำหมัน ระหว่างนั้น พวกเขาได้พบกับมิ้วน้อยอีกตัว และตั้งชื่อให้มันว่า Ichiเมื่อ Cinder ได้พบกับ Ichi ก็เกิดเป็นรักแรกพบทันที











1738


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าของบ้านหลังหนึ่งในบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา พบลูกแมวส้มตัวเล็กๆ บนสนามหญ้า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นลูกแมวแรกเกิดเจ้าของบ้านจึงติดต่อไปยัง Shuswap Paws Rescue เพื่อขอความช่วยเหลือ และเมื่อผู้ช่วยเหลือมาถึง พวกเขาเห็นแผลบนตัวแมวน้อย จึงรีบพามันไปหาสัตวแพทย์ทันทีBarb Gosselin ผู้ก่อตั้ง Shuswap Paws Rescue บอกว่า “ลูกแมวอายุแค่ 1 วันเท่านั้น มันโดนนกจิกเพื่อจับไปเป็นเหยื่อ จนได้รับบาดเจ็บ”



ต่อมา ทาง Okanagan Humane Society ได้รับแมวส้มน้อยตัวนี้ไปอยู่ในการดูแล และให้มันไปอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ของอาสาสมัครที่ชื่อ KatrinaKatrina เริ่มป้อนนมขวดให้มิ้วน้อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และตั้งชื่อให้มันว่า Cinder โชคดีที่นุ้งแมวดูติดนมขวดมาก มันดื่มนมเหมือนแชมป์ และแผลของมันค่อยๆ หายเป็นปกติเพียงไม่กี่วัน Cinder ก็ฟื้นตัวและทำเสียงเพอร์อย่างต่อเนื่อง มันไม่อยากอยู่คนเดียว และจะร้องไห้ทุกครั้งที่แม่บุญธรรมไม่อยู่ใกล้ๆ



Katrina จึงตัดสินใจแนะนำมิ้วน้อยให้รู้จักกับ Mr. Kitty ซึ่งเป็นแมวผู้มีนิสัยอ่อนโยนของเธอ “มันสนใจลูกแมวตัวน้อยมาก และชอบให้ Cinder เข้ามาหาความสะดวกสบายจากมัน”สามวันต่อมา Cinder ได้สร้างความประทับใจให้แม่บุญธรรมด้วยการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 20% ในที่สุด มันก็หนัก 100 กรัม และมันไม่เคยยอมแพ้ จนเติบโตขึ้นเรื่อยๆขณะเดียวกันนี้ Barb กับทีมงาน กำลังทำงานร่วมกับ Okanagan Humane Society เพื่อให้แมวจรทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงได้รับการทำหมัน ระหว่างนั้น พวกเขาได้พบกับมิ้วน้อยอีกตัว และตั้งชื่อให้มันว่า Ichiเมื่อ Cinder ได้พบกับ Ichi ก็เกิดเป็นรักแรกพบทันที











1739


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าของบ้านหลังหนึ่งในบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา พบลูกแมวส้มตัวเล็กๆ บนสนามหญ้า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นลูกแมวแรกเกิดเจ้าของบ้านจึงติดต่อไปยัง Shuswap Paws Rescue เพื่อขอความช่วยเหลือ และเมื่อผู้ช่วยเหลือมาถึง พวกเขาเห็นแผลบนตัวแมวน้อย จึงรีบพามันไปหาสัตวแพทย์ทันทีBarb Gosselin ผู้ก่อตั้ง Shuswap Paws Rescue บอกว่า “ลูกแมวอายุแค่ 1 วันเท่านั้น มันโดนนกจิกเพื่อจับไปเป็นเหยื่อ จนได้รับบาดเจ็บ”



ต่อมา ทาง Okanagan Humane Society ได้รับแมวส้มน้อยตัวนี้ไปอยู่ในการดูแล และให้มันไปอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ของอาสาสมัครที่ชื่อ KatrinaKatrina เริ่มป้อนนมขวดให้มิ้วน้อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และตั้งชื่อให้มันว่า Cinder โชคดีที่นุ้งแมวดูติดนมขวดมาก มันดื่มนมเหมือนแชมป์ และแผลของมันค่อยๆ หายเป็นปกติเพียงไม่กี่วัน Cinder ก็ฟื้นตัวและทำเสียงเพอร์อย่างต่อเนื่อง มันไม่อยากอยู่คนเดียว และจะร้องไห้ทุกครั้งที่แม่บุญธรรมไม่อยู่ใกล้ๆ



Katrina จึงตัดสินใจแนะนำมิ้วน้อยให้รู้จักกับ Mr. Kitty ซึ่งเป็นแมวผู้มีนิสัยอ่อนโยนของเธอ “มันสนใจลูกแมวตัวน้อยมาก และชอบให้ Cinder เข้ามาหาความสะดวกสบายจากมัน”สามวันต่อมา Cinder ได้สร้างความประทับใจให้แม่บุญธรรมด้วยการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 20% ในที่สุด มันก็หนัก 100 กรัม และมันไม่เคยยอมแพ้ จนเติบโตขึ้นเรื่อยๆขณะเดียวกันนี้ Barb กับทีมงาน กำลังทำงานร่วมกับ Okanagan Humane Society เพื่อให้แมวจรทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงได้รับการทำหมัน ระหว่างนั้น พวกเขาได้พบกับมิ้วน้อยอีกตัว และตั้งชื่อให้มันว่า Ichiเมื่อ Cinder ได้พบกับ Ichi ก็เกิดเป็นรักแรกพบทันที











1740


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้เผยแพร่จากต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าของบ้านหลังหนึ่งในบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา พบลูกแมวส้มตัวเล็กๆ บนสนามหญ้า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นลูกแมวแรกเกิดเจ้าของบ้านจึงติดต่อไปยัง Shuswap Paws Rescue เพื่อขอความช่วยเหลือ และเมื่อผู้ช่วยเหลือมาถึง พวกเขาเห็นแผลบนตัวแมวน้อย จึงรีบพามันไปหาสัตวแพทย์ทันทีBarb Gosselin ผู้ก่อตั้ง Shuswap Paws Rescue บอกว่า “ลูกแมวอายุแค่ 1 วันเท่านั้น มันโดนนกจิกเพื่อจับไปเป็นเหยื่อ จนได้รับบาดเจ็บ”



ต่อมา ทาง Okanagan Humane Society ได้รับแมวส้มน้อยตัวนี้ไปอยู่ในการดูแล และให้มันไปอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ของอาสาสมัครที่ชื่อ KatrinaKatrina เริ่มป้อนนมขวดให้มิ้วน้อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และตั้งชื่อให้มันว่า Cinder โชคดีที่นุ้งแมวดูติดนมขวดมาก มันดื่มนมเหมือนแชมป์ และแผลของมันค่อยๆ หายเป็นปกติเพียงไม่กี่วัน Cinder ก็ฟื้นตัวและทำเสียงเพอร์อย่างต่อเนื่อง มันไม่อยากอยู่คนเดียว และจะร้องไห้ทุกครั้งที่แม่บุญธรรมไม่อยู่ใกล้ๆ



Katrina จึงตัดสินใจแนะนำมิ้วน้อยให้รู้จักกับ Mr. Kitty ซึ่งเป็นแมวผู้มีนิสัยอ่อนโยนของเธอ “มันสนใจลูกแมวตัวน้อยมาก และชอบให้ Cinder เข้ามาหาความสะดวกสบายจากมัน”สามวันต่อมา Cinder ได้สร้างความประทับใจให้แม่บุญธรรมด้วยการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 20% ในที่สุด มันก็หนัก 100 กรัม และมันไม่เคยยอมแพ้ จนเติบโตขึ้นเรื่อยๆขณะเดียวกันนี้ Barb กับทีมงาน กำลังทำงานร่วมกับ Okanagan Humane Society เพื่อให้แมวจรทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงได้รับการทำหมัน ระหว่างนั้น พวกเขาได้พบกับมิ้วน้อยอีกตัว และตั้งชื่อให้มันว่า Ichiเมื่อ Cinder ได้พบกับ Ichi ก็เกิดเป็นรักแรกพบทันที