แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - dognews

316


แมวกินน้ำน้อย โดยธรรมชาติ เราเชื่อกันว่าเป็นพฤติกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลทราย ทำให้แมวต้องมีการปรับตัวให้เข้าสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ และพฤติกรรมนี้ก็ถูกถ่ายทอดมายังปัจจุบัน

ปริมาณน้ำ ที่ต้องการของร่างกายแมวเฉลี่ยจะอยู่ที่ 40-60 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัวแมว 1 กิโลกรัม ต่อวัน การที่ แมวกินน้ำน้อย จึงสามารถนำไปสู่ การเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้เช่น โรคไต , โรคระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น วันนี้เรามีทริปที่จะช่วยกระตุ้นให้น้องแมวกินน้ำมากขึ้น มาลองทำดูกัน


วิธีกระตุ้นแมวให้กินน้ำมากขึ้น (How to encourage your cat to drink)

1. ชนิดของภาชนะใส่น้ำ : ต้องเลือกภาชนะใส่น้ำ ที่ทำให้แมวอยากกินน้ำ

- ปกติแล้ว แมวจะชอบชามแก้ว โลหะ และ เซรามิก มากกว่า ชามพลาสติก (ให้ทดลองดู ว่าแมวเราชอบแบบไหน)
- แมวส่วนใหญ่ชอบชามน้ำที่ ตื้น กว้าง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอาหัวไปจุ่ม หรือ เข้าไปในภาชนะเพื่อเลียกินน้ำ เพราะแมวจะไม่ชอบให้หนวด แตะข้างชามน้ำ หรือ ชามอาหาร
- แมวบางตัวอาจจะชอบเลียกินน้ำจาก แก้วน้ำ อาจจะจัดหามาตั้งวางไว้ เผื่อเป็นทางเลือกให้น้องแมว
- พยายามเติมน้ำ ให้ถึงขอบบนสุด ของชามไว้ เพราะ แมวชอบเลียกินน้ำ จากภาชนะที่มีน้ำเต็ม ๆ

2. จำนวนของชามน้ำ : การมีจำนวนชามน้ำหลายใบ เพื่อให้แมวสามารถเข้าถึง การกินน้ำได้ง่าย

- ถ้าบ้านมี 2 ชั้น ก็ควรมีชามน้ำวางไว้ ทั้ง 2 ชั้น แมวจะได้ไม่ต้องเดิน ขึ้น-ลง หาแหล่งน้ำให้ยากลำบาก
- ถ้ามีแมวมากกว่า 1 ตัว ควรมีชามน้ำ ให้ตามจำนวนกลุ่มสังคมแมว ที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ในบ้าน เช่น มีแมว 3 ตัวในบ้าน แมว 2 ตัวเข้ากันได้ดี ส่วนอีกตัว เข้ากับใครไม่ได้เลย ก็ควรมีชามน้ำ อย่างน้อย 2 ชาม


3. ตำแหน่งที่ตั้ง ของชามน้ำ : ต้องเลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งชามน้ำ

- แมวไม่ชอบกินน้ำ ที่วางอยู่ใกล้ชามอาหาร ดังนั้น ไม่ควรตั้งไว้ใกล้กัน
- หลีกเลี่ยงชามชนิดคู่ ที่ใส่น้ำ และ อาหารคนละฝั่ง ชามชนิดแยก จะช่วยทำให้แมวอยากกินน้ำมากขึ้น
- สถานที่ตั้งชามน้ำ ควรเป็นที่ ที่เงียบสงบ ไม่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน และ ไม่อยู่ใกล้ประตูที่มีคนใช้งานตลอด

4. แหล่งกำเนิดน้ำชนิดอื่นๆ : แหล่งกำเนิดน้ำชนิดที่น้ำไหล เพราะ แมวบางตัวชอบกินน้ำที่มีการเคลื่อนไหว

- ลองเลือกใช้น้ำพุแมว , น้ำก๊อกหยด หรือ อ่างอาบน้ำ ที่มีน้ำอยู่ข้างในเพียงเล็กน้อย
- ลองใช้ลูกปิงปอง ใส่ในชามน้ำขนาดใหญ่ การลอยของ ลูกปิงปอง จะช่วยให้น้ำเคลื่อนไหว แมวบางตัว จะสนุกกับการกินน้ำมากขึ้น

5. ชนิดของน้ำ ก็ช่วยกระตุ้นความอยากกินได้

- น้ำประปาที่ผ่านการกรอง , น้ำฝนที่รองเก็บอย่างสะอาด , น้ำสะอาดจากน้ำขวดสำเร็จรูป
- น้ำซุป จากการต้มปลา หรือ ไก่ ก็ช่วยกระตุ้นความอยากกิน ของน้องแมวได้ เพราะ มีกลิ่นหอม ๆ ที่ชวนให้อยากกิน
- อุณหภูมิของน้ำ ควรจะมีปริมาณอุณหภูมิที่ เท่ากับ อุณหภูมิห้อง เนื่องจาก แมวไม่ชอบกินน้ำ ที่เย็นเกินไป
- ให้อาหารเปียก แล้วผสมน้ำสะอาด หรือ น้ำซุปเพิ่มลงไป เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำที่กิน
 

สุดท้าย การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่แนะนำนั้น ให้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะ น้องแมวไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วกระทันหัน และ อาจทำให้น้องแมว เกิดการปฏิเสธสิ่งใหม่ ๆ ได้



317


แมวกินน้ำน้อย โดยธรรมชาติ เราเชื่อกันว่าเป็นพฤติกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลทราย ทำให้แมวต้องมีการปรับตัวให้เข้าสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ และพฤติกรรมนี้ก็ถูกถ่ายทอดมายังปัจจุบัน

ปริมาณน้ำ ที่ต้องการของร่างกายแมวเฉลี่ยจะอยู่ที่ 40-60 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัวแมว 1 กิโลกรัม ต่อวัน การที่ แมวกินน้ำน้อย จึงสามารถนำไปสู่ การเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้เช่น โรคไต , โรคระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น วันนี้เรามีทริปที่จะช่วยกระตุ้นให้น้องแมวกินน้ำมากขึ้น มาลองทำดูกัน


วิธีกระตุ้นแมวให้กินน้ำมากขึ้น (How to encourage your cat to drink)

1. ชนิดของภาชนะใส่น้ำ : ต้องเลือกภาชนะใส่น้ำ ที่ทำให้แมวอยากกินน้ำ

- ปกติแล้ว แมวจะชอบชามแก้ว โลหะ และ เซรามิก มากกว่า ชามพลาสติก (ให้ทดลองดู ว่าแมวเราชอบแบบไหน)
- แมวส่วนใหญ่ชอบชามน้ำที่ ตื้น กว้าง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอาหัวไปจุ่ม หรือ เข้าไปในภาชนะเพื่อเลียกินน้ำ เพราะแมวจะไม่ชอบให้หนวด แตะข้างชามน้ำ หรือ ชามอาหาร
- แมวบางตัวอาจจะชอบเลียกินน้ำจาก แก้วน้ำ อาจจะจัดหามาตั้งวางไว้ เผื่อเป็นทางเลือกให้น้องแมว
- พยายามเติมน้ำ ให้ถึงขอบบนสุด ของชามไว้ เพราะ แมวชอบเลียกินน้ำ จากภาชนะที่มีน้ำเต็ม ๆ

2. จำนวนของชามน้ำ : การมีจำนวนชามน้ำหลายใบ เพื่อให้แมวสามารถเข้าถึง การกินน้ำได้ง่าย

- ถ้าบ้านมี 2 ชั้น ก็ควรมีชามน้ำวางไว้ ทั้ง 2 ชั้น แมวจะได้ไม่ต้องเดิน ขึ้น-ลง หาแหล่งน้ำให้ยากลำบาก
- ถ้ามีแมวมากกว่า 1 ตัว ควรมีชามน้ำ ให้ตามจำนวนกลุ่มสังคมแมว ที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ในบ้าน เช่น มีแมว 3 ตัวในบ้าน แมว 2 ตัวเข้ากันได้ดี ส่วนอีกตัว เข้ากับใครไม่ได้เลย ก็ควรมีชามน้ำ อย่างน้อย 2 ชาม


3. ตำแหน่งที่ตั้ง ของชามน้ำ : ต้องเลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งชามน้ำ

- แมวไม่ชอบกินน้ำ ที่วางอยู่ใกล้ชามอาหาร ดังนั้น ไม่ควรตั้งไว้ใกล้กัน
- หลีกเลี่ยงชามชนิดคู่ ที่ใส่น้ำ และ อาหารคนละฝั่ง ชามชนิดแยก จะช่วยทำให้แมวอยากกินน้ำมากขึ้น
- สถานที่ตั้งชามน้ำ ควรเป็นที่ ที่เงียบสงบ ไม่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน และ ไม่อยู่ใกล้ประตูที่มีคนใช้งานตลอด

4. แหล่งกำเนิดน้ำชนิดอื่นๆ : แหล่งกำเนิดน้ำชนิดที่น้ำไหล เพราะ แมวบางตัวชอบกินน้ำที่มีการเคลื่อนไหว

- ลองเลือกใช้น้ำพุแมว , น้ำก๊อกหยด หรือ อ่างอาบน้ำ ที่มีน้ำอยู่ข้างในเพียงเล็กน้อย
- ลองใช้ลูกปิงปอง ใส่ในชามน้ำขนาดใหญ่ การลอยของ ลูกปิงปอง จะช่วยให้น้ำเคลื่อนไหว แมวบางตัว จะสนุกกับการกินน้ำมากขึ้น

5. ชนิดของน้ำ ก็ช่วยกระตุ้นความอยากกินได้

- น้ำประปาที่ผ่านการกรอง , น้ำฝนที่รองเก็บอย่างสะอาด , น้ำสะอาดจากน้ำขวดสำเร็จรูป
- น้ำซุป จากการต้มปลา หรือ ไก่ ก็ช่วยกระตุ้นความอยากกิน ของน้องแมวได้ เพราะ มีกลิ่นหอม ๆ ที่ชวนให้อยากกิน
- อุณหภูมิของน้ำ ควรจะมีปริมาณอุณหภูมิที่ เท่ากับ อุณหภูมิห้อง เนื่องจาก แมวไม่ชอบกินน้ำ ที่เย็นเกินไป
- ให้อาหารเปียก แล้วผสมน้ำสะอาด หรือ น้ำซุปเพิ่มลงไป เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำที่กิน
 

สุดท้าย การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่แนะนำนั้น ให้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะ น้องแมวไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วกระทันหัน และ อาจทำให้น้องแมว เกิดการปฏิเสธสิ่งใหม่ ๆ ได้



318


แมวกินน้ำน้อย โดยธรรมชาติ เราเชื่อกันว่าเป็นพฤติกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลทราย ทำให้แมวต้องมีการปรับตัวให้เข้าสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ และพฤติกรรมนี้ก็ถูกถ่ายทอดมายังปัจจุบัน

ปริมาณน้ำ ที่ต้องการของร่างกายแมวเฉลี่ยจะอยู่ที่ 40-60 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัวแมว 1 กิโลกรัม ต่อวัน การที่ แมวกินน้ำน้อย จึงสามารถนำไปสู่ การเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้เช่น โรคไต , โรคระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น วันนี้เรามีทริปที่จะช่วยกระตุ้นให้น้องแมวกินน้ำมากขึ้น มาลองทำดูกัน


วิธีกระตุ้นแมวให้กินน้ำมากขึ้น (How to encourage your cat to drink)

1. ชนิดของภาชนะใส่น้ำ : ต้องเลือกภาชนะใส่น้ำ ที่ทำให้แมวอยากกินน้ำ

- ปกติแล้ว แมวจะชอบชามแก้ว โลหะ และ เซรามิก มากกว่า ชามพลาสติก (ให้ทดลองดู ว่าแมวเราชอบแบบไหน)
- แมวส่วนใหญ่ชอบชามน้ำที่ ตื้น กว้าง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอาหัวไปจุ่ม หรือ เข้าไปในภาชนะเพื่อเลียกินน้ำ เพราะแมวจะไม่ชอบให้หนวด แตะข้างชามน้ำ หรือ ชามอาหาร
- แมวบางตัวอาจจะชอบเลียกินน้ำจาก แก้วน้ำ อาจจะจัดหามาตั้งวางไว้ เผื่อเป็นทางเลือกให้น้องแมว
- พยายามเติมน้ำ ให้ถึงขอบบนสุด ของชามไว้ เพราะ แมวชอบเลียกินน้ำ จากภาชนะที่มีน้ำเต็ม ๆ

2. จำนวนของชามน้ำ : การมีจำนวนชามน้ำหลายใบ เพื่อให้แมวสามารถเข้าถึง การกินน้ำได้ง่าย

- ถ้าบ้านมี 2 ชั้น ก็ควรมีชามน้ำวางไว้ ทั้ง 2 ชั้น แมวจะได้ไม่ต้องเดิน ขึ้น-ลง หาแหล่งน้ำให้ยากลำบาก
- ถ้ามีแมวมากกว่า 1 ตัว ควรมีชามน้ำ ให้ตามจำนวนกลุ่มสังคมแมว ที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ในบ้าน เช่น มีแมว 3 ตัวในบ้าน แมว 2 ตัวเข้ากันได้ดี ส่วนอีกตัว เข้ากับใครไม่ได้เลย ก็ควรมีชามน้ำ อย่างน้อย 2 ชาม


3. ตำแหน่งที่ตั้ง ของชามน้ำ : ต้องเลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งชามน้ำ

- แมวไม่ชอบกินน้ำ ที่วางอยู่ใกล้ชามอาหาร ดังนั้น ไม่ควรตั้งไว้ใกล้กัน
- หลีกเลี่ยงชามชนิดคู่ ที่ใส่น้ำ และ อาหารคนละฝั่ง ชามชนิดแยก จะช่วยทำให้แมวอยากกินน้ำมากขึ้น
- สถานที่ตั้งชามน้ำ ควรเป็นที่ ที่เงียบสงบ ไม่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน และ ไม่อยู่ใกล้ประตูที่มีคนใช้งานตลอด

4. แหล่งกำเนิดน้ำชนิดอื่นๆ : แหล่งกำเนิดน้ำชนิดที่น้ำไหล เพราะ แมวบางตัวชอบกินน้ำที่มีการเคลื่อนไหว

- ลองเลือกใช้น้ำพุแมว , น้ำก๊อกหยด หรือ อ่างอาบน้ำ ที่มีน้ำอยู่ข้างในเพียงเล็กน้อย
- ลองใช้ลูกปิงปอง ใส่ในชามน้ำขนาดใหญ่ การลอยของ ลูกปิงปอง จะช่วยให้น้ำเคลื่อนไหว แมวบางตัว จะสนุกกับการกินน้ำมากขึ้น

5. ชนิดของน้ำ ก็ช่วยกระตุ้นความอยากกินได้

- น้ำประปาที่ผ่านการกรอง , น้ำฝนที่รองเก็บอย่างสะอาด , น้ำสะอาดจากน้ำขวดสำเร็จรูป
- น้ำซุป จากการต้มปลา หรือ ไก่ ก็ช่วยกระตุ้นความอยากกิน ของน้องแมวได้ เพราะ มีกลิ่นหอม ๆ ที่ชวนให้อยากกิน
- อุณหภูมิของน้ำ ควรจะมีปริมาณอุณหภูมิที่ เท่ากับ อุณหภูมิห้อง เนื่องจาก แมวไม่ชอบกินน้ำ ที่เย็นเกินไป
- ให้อาหารเปียก แล้วผสมน้ำสะอาด หรือ น้ำซุปเพิ่มลงไป เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำที่กิน
 

สุดท้าย การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่แนะนำนั้น ให้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะ น้องแมวไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วกระทันหัน และ อาจทำให้น้องแมว เกิดการปฏิเสธสิ่งใหม่ ๆ ได้



319



เมื่อพูดถึงสุนัขแล้วก็ต้องนึกถึงความน่ารัก ขี้เล่น แสนซน ซื่อสัตย์ และรักเจ้าของ ซึ่งทำให้ใครหลายคนต้องหลงใหล โดยเฉพาะสุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ที่มีความน่ารักน่ากอดเหมือนตุ๊กตา เพิ่มความน่ารักน่าทะนุถนอมแบบคูณสอง


วันนี้เรามี 8 สุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ มาฝากกันจ้า

1.มอลทีส (Maltese)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม สูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สุนัขพันธุ์เล็กที่มีขนาดกะทัดรัดรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม ขนยาว และอ่อนนุ่มสีขาวปกคลุกทั้งตัว หางเป็นพวง กะโหลกทรงค่อนข้างกลม นัยน์ตาสีดำ หูตก หางยาวและม้วนมาที่หลัง ขณะที่วิ่งเหยาะ ๆ จะดูเหมือนกำลังลอยอยู่

ลักษณะนิสัย : มีความอ่อนโยน  ฉลาด มีชีวิตชีวา และชอบการเอาใจใส่จากเจ้าของ

การดูแลและข้อควรระวัง : อาจมีปัญหาหูหนวก โรคสั่น และปัญหาเกี่ยวกับฟัน นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับการเลี้ยงไว้นอกบ้าน


2.ซามอยด์ (Samoyed)



สุนัขขนาดกลาง หนักประมาณ 23-29 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสี่เหลี่ยม ร่างกายกำยำ หูยกตั้ง และศีรษะกว้าง หางเป็นพุ่มขนปุยม้วนอยู่เหนือหลัง ลักษณะขนหนา หยาบ ตรง สีขาวดูปุกปุย มันเงาคล้ายเคลือบเทฟลอน  จึงช่วยให้สิ่งสกปรกไม่เกาะติดขน สามารถทำความสะอาดขนได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีเส้นรอบดวงตา จมูก และริมฝีปาก สีเข้มตัดกับขนสีขาว บริเวณมุมปากยกขึ้น ทำให้เกิดเป็นบุคลิกที่เรียกว่า Sammie smile

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร มีเสน่ห์ ฉลาด และมีความเป็นตัวของตัวเอง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องการการเอาใจใส่สูง ไม่เหมาะกับการถูกทิ้งไว้เพียงลำพังเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้น้องหมาแสดงนิสัยแย่ ๆ ออกมาได้


3.เวสตี้ หรือ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ (West Highland White Terrier)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 8-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สก็อตติช, แคร์น เทอร์เรียร์ และ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์มาจากสายพันธุเดียวกัน แต่ได้รับการเพาะพันธุ์ให้มีสีที่ต่างกันออกไป โดยเวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ จะมีขนสีขาวหนา กระด้าง มีหูตั้ง และดวงตาเป็นรูปเมล็ดอัลมอนด์

ลักษณะนิสัย : ฉลาด สันโดษ หัวดื้อเล็กน้อย หวงสิ่งของในครอบครองมาก และกล้าหาญเกินตัวด้วยสัญชาตญาณที่เคยเป็นสุนัขล่าสัตว์มาก่อน

การดูแลและข้อควรระวัง : ชอบวิ่งเล่นเป็นประจำ แต่ก็เหนื่อยหอบง่าย มักมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังแห้งจึงไม่ควรอาบน้ำบ่อยจนเกินไป รวมถึงอาจมีการสะสมของไขมันและสิ่งสกปรกบริเวณใบหูได้ง่าย


4.อเมริกัน เอสกิโม ด็อก (American Eskimo Dog) หรือ เอสกี้ (Eskies)



Standard หนักประมาณ 10-18 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-48 เซนติเมตร

Miniature หนักประมาณ 5-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-38 เซนติเมตร

Toy หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร


ลักษณะกายภาพ : ตาสวยคล้ายกับหมาป่าหิมะ มีหูรูปทรงสามเหลี่ยม ศีรษะรูปลิ่ม และหางม้วนเป็นลอนถึงหลัง ขนหนาแต่ไม่เป็นคลื่น หาเลี้ยงได้ยากทั้งในและต่างประเทศ

ลักษณะนิสัย : เฉลียวฉลาด ฝึกง่าย ชอบเรียนรู้ มีความจงรักภักดี รักสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้า และชอบผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนร่วงค่อนข้างมาก


5.บิชอง ฟริเซ่ (Bichon Frisé)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 24-30 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสวยงาม ท่ายืนดูสง่า ลำตัวสีขาว ขนหยิกหนานุ่มฟูฟ่อง โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ ตาเล็กกลม นัยน์ตาสดใส หูลู่ลง ทำให้ลักษณะใบหน้าดูอ่อนโยน

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง อ่อนหวาน มีเสน่ห์  ตื่นตัว ปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ขี้เล่น และเป็นมิตร แต่อ่อนไหวง่าย

การดูแลและข้อควรระวัง : ไม่ควรเลี้ยงไว้นอกบ้าน เพราะ ต้องการความเอาใจใส่และความรักในครอบครัวสูง และไม่ควรปล่อยไว้ในอุณหภูมิที่ร้อน หรือหนาวเกินไป นอกจากนี้ยังควรระมัดระวังเรื่องโรคกระดูกสะบ้าเคลื่อน

6.เจแปนนิส สปิตซ์ (Japanese Spitz)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 5-6 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-35 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : เกิดมาจากการผสมกันระหว่าง ไซบีเรียน (Siberian) กับซามอยด์ (Samoyed) หน้าตาจึงเหมือนซามอยด์ทุกอย่าง แต่จะมีขนาดเล็กลงมา หูเล็ก ตั้งตรง และจมูกเป็นสีดำสนิท

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง ฉลาด มีพละกำลังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ชอบออกกำลังกาย  รักความสะอาด ฝึกได้ง่าย และเชื่อฟังเจ้าของ แต่เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างเห่าเก่ง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องคอยดูแลขนอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งช่วงอากาศร้อนอาจเกิดความอับชื้นบริเวณผิวหนังใต้ขน ทำให้เกิดเชื้อราได้


7.โคมอนดอร์  (Komondor)



สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 35-60 กิโลกรัม สูงประมาณ 65-90 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ขนสีขาวมีลักษณะเป็นพู่ หยิกขอดเหมือนผมทรง dreadlocks หรือขนของไม้ถูพื้น ทำให้โคมอนดอร์ มีฉายาว่า “หมาม็อบ” โดยขนจะเริ่มจับกลุ่มกันเป็นก้อนตั้งแต่ 6 ถึง 9 เดือน และพันกันเป็นเกลียวเต็มที่เมื่ออายุ 2 ปี แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กจะเรียกว่า พูลิ (Puli)  มีหลายสีมากกว่า

ลักษณะนิสัย : มีพละกำลังมาก เป็นตัวของตัวเอง กล้าหาญไร้ขีดจำกัด น่ารัก เห่าเสียงดัง และต้องการการออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนมักจะสกปรกและเป็นสังกะตังง่าย จึงควรหมั่นแกะก้อนขนที่พันกันให้คลายออกเป็นก้อน ๆ

8.คูวาสซ์ (Kuvasz)

สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 36-52 กิโลกรัม สูงประมาณ 70-85 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ร่างกายเป็นทรงสามเหลี่ยม มีรูปร่างกระฉับกระเฉง แข็งแกร่ง หูพับมาด้านหน้า ปากเป็นรูปทรงกระบอก จมูกเป็นสีดำ และมีขนาดใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม หางยาวเป็นพวงสวยงาม ขนหยาบ และมีลักษณะเหมือนเกลียวคลื่น

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร ใจดี สุภาพ ดูแลง่าย ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ เเละหวงแหนพื้นที่ของตัวเองเป็นที่สุด นอกจากนี้บางตัวอาจมีความเป็นตัวของตัวเองและก้าวร้าวได้

การดูแลและข้อควรระวัง : เป็นสายพันธุ์ที่กินเก่งมาก จึงควรหมั่นพาไปออกกำลังกายบ่อย ๆ และ อาบน้ำ-ดูแลขนให้สะอาดเป็นประจำ

320



เมื่อพูดถึงสุนัขแล้วก็ต้องนึกถึงความน่ารัก ขี้เล่น แสนซน ซื่อสัตย์ และรักเจ้าของ ซึ่งทำให้ใครหลายคนต้องหลงใหล โดยเฉพาะสุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ที่มีความน่ารักน่ากอดเหมือนตุ๊กตา เพิ่มความน่ารักน่าทะนุถนอมแบบคูณสอง


วันนี้เรามี 8 สุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ มาฝากกันจ้า

1.มอลทีส (Maltese)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม สูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สุนัขพันธุ์เล็กที่มีขนาดกะทัดรัดรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม ขนยาว และอ่อนนุ่มสีขาวปกคลุกทั้งตัว หางเป็นพวง กะโหลกทรงค่อนข้างกลม นัยน์ตาสีดำ หูตก หางยาวและม้วนมาที่หลัง ขณะที่วิ่งเหยาะ ๆ จะดูเหมือนกำลังลอยอยู่

ลักษณะนิสัย : มีความอ่อนโยน  ฉลาด มีชีวิตชีวา และชอบการเอาใจใส่จากเจ้าของ

การดูแลและข้อควรระวัง : อาจมีปัญหาหูหนวก โรคสั่น และปัญหาเกี่ยวกับฟัน นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับการเลี้ยงไว้นอกบ้าน


2.ซามอยด์ (Samoyed)



สุนัขขนาดกลาง หนักประมาณ 23-29 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสี่เหลี่ยม ร่างกายกำยำ หูยกตั้ง และศีรษะกว้าง หางเป็นพุ่มขนปุยม้วนอยู่เหนือหลัง ลักษณะขนหนา หยาบ ตรง สีขาวดูปุกปุย มันเงาคล้ายเคลือบเทฟลอน  จึงช่วยให้สิ่งสกปรกไม่เกาะติดขน สามารถทำความสะอาดขนได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีเส้นรอบดวงตา จมูก และริมฝีปาก สีเข้มตัดกับขนสีขาว บริเวณมุมปากยกขึ้น ทำให้เกิดเป็นบุคลิกที่เรียกว่า Sammie smile

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร มีเสน่ห์ ฉลาด และมีความเป็นตัวของตัวเอง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องการการเอาใจใส่สูง ไม่เหมาะกับการถูกทิ้งไว้เพียงลำพังเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้น้องหมาแสดงนิสัยแย่ ๆ ออกมาได้


3.เวสตี้ หรือ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ (West Highland White Terrier)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 8-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สก็อตติช, แคร์น เทอร์เรียร์ และ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์มาจากสายพันธุเดียวกัน แต่ได้รับการเพาะพันธุ์ให้มีสีที่ต่างกันออกไป โดยเวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ จะมีขนสีขาวหนา กระด้าง มีหูตั้ง และดวงตาเป็นรูปเมล็ดอัลมอนด์

ลักษณะนิสัย : ฉลาด สันโดษ หัวดื้อเล็กน้อย หวงสิ่งของในครอบครองมาก และกล้าหาญเกินตัวด้วยสัญชาตญาณที่เคยเป็นสุนัขล่าสัตว์มาก่อน

การดูแลและข้อควรระวัง : ชอบวิ่งเล่นเป็นประจำ แต่ก็เหนื่อยหอบง่าย มักมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังแห้งจึงไม่ควรอาบน้ำบ่อยจนเกินไป รวมถึงอาจมีการสะสมของไขมันและสิ่งสกปรกบริเวณใบหูได้ง่าย


4.อเมริกัน เอสกิโม ด็อก (American Eskimo Dog) หรือ เอสกี้ (Eskies)



Standard หนักประมาณ 10-18 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-48 เซนติเมตร

Miniature หนักประมาณ 5-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-38 เซนติเมตร

Toy หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร


ลักษณะกายภาพ : ตาสวยคล้ายกับหมาป่าหิมะ มีหูรูปทรงสามเหลี่ยม ศีรษะรูปลิ่ม และหางม้วนเป็นลอนถึงหลัง ขนหนาแต่ไม่เป็นคลื่น หาเลี้ยงได้ยากทั้งในและต่างประเทศ

ลักษณะนิสัย : เฉลียวฉลาด ฝึกง่าย ชอบเรียนรู้ มีความจงรักภักดี รักสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้า และชอบผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนร่วงค่อนข้างมาก


5.บิชอง ฟริเซ่ (Bichon Frisé)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 24-30 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสวยงาม ท่ายืนดูสง่า ลำตัวสีขาว ขนหยิกหนานุ่มฟูฟ่อง โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ ตาเล็กกลม นัยน์ตาสดใส หูลู่ลง ทำให้ลักษณะใบหน้าดูอ่อนโยน

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง อ่อนหวาน มีเสน่ห์  ตื่นตัว ปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ขี้เล่น และเป็นมิตร แต่อ่อนไหวง่าย

การดูแลและข้อควรระวัง : ไม่ควรเลี้ยงไว้นอกบ้าน เพราะ ต้องการความเอาใจใส่และความรักในครอบครัวสูง และไม่ควรปล่อยไว้ในอุณหภูมิที่ร้อน หรือหนาวเกินไป นอกจากนี้ยังควรระมัดระวังเรื่องโรคกระดูกสะบ้าเคลื่อน

6.เจแปนนิส สปิตซ์ (Japanese Spitz)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 5-6 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-35 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : เกิดมาจากการผสมกันระหว่าง ไซบีเรียน (Siberian) กับซามอยด์ (Samoyed) หน้าตาจึงเหมือนซามอยด์ทุกอย่าง แต่จะมีขนาดเล็กลงมา หูเล็ก ตั้งตรง และจมูกเป็นสีดำสนิท

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง ฉลาด มีพละกำลังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ชอบออกกำลังกาย  รักความสะอาด ฝึกได้ง่าย และเชื่อฟังเจ้าของ แต่เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างเห่าเก่ง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องคอยดูแลขนอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งช่วงอากาศร้อนอาจเกิดความอับชื้นบริเวณผิวหนังใต้ขน ทำให้เกิดเชื้อราได้


7.โคมอนดอร์  (Komondor)



สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 35-60 กิโลกรัม สูงประมาณ 65-90 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ขนสีขาวมีลักษณะเป็นพู่ หยิกขอดเหมือนผมทรง dreadlocks หรือขนของไม้ถูพื้น ทำให้โคมอนดอร์ มีฉายาว่า “หมาม็อบ” โดยขนจะเริ่มจับกลุ่มกันเป็นก้อนตั้งแต่ 6 ถึง 9 เดือน และพันกันเป็นเกลียวเต็มที่เมื่ออายุ 2 ปี แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กจะเรียกว่า พูลิ (Puli)  มีหลายสีมากกว่า

ลักษณะนิสัย : มีพละกำลังมาก เป็นตัวของตัวเอง กล้าหาญไร้ขีดจำกัด น่ารัก เห่าเสียงดัง และต้องการการออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนมักจะสกปรกและเป็นสังกะตังง่าย จึงควรหมั่นแกะก้อนขนที่พันกันให้คลายออกเป็นก้อน ๆ

8.คูวาสซ์ (Kuvasz)

สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 36-52 กิโลกรัม สูงประมาณ 70-85 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ร่างกายเป็นทรงสามเหลี่ยม มีรูปร่างกระฉับกระเฉง แข็งแกร่ง หูพับมาด้านหน้า ปากเป็นรูปทรงกระบอก จมูกเป็นสีดำ และมีขนาดใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม หางยาวเป็นพวงสวยงาม ขนหยาบ และมีลักษณะเหมือนเกลียวคลื่น

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร ใจดี สุภาพ ดูแลง่าย ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ เเละหวงแหนพื้นที่ของตัวเองเป็นที่สุด นอกจากนี้บางตัวอาจมีความเป็นตัวของตัวเองและก้าวร้าวได้

การดูแลและข้อควรระวัง : เป็นสายพันธุ์ที่กินเก่งมาก จึงควรหมั่นพาไปออกกำลังกายบ่อย ๆ และ อาบน้ำ-ดูแลขนให้สะอาดเป็นประจำ

321



เมื่อพูดถึงสุนัขแล้วก็ต้องนึกถึงความน่ารัก ขี้เล่น แสนซน ซื่อสัตย์ และรักเจ้าของ ซึ่งทำให้ใครหลายคนต้องหลงใหล โดยเฉพาะสุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ที่มีความน่ารักน่ากอดเหมือนตุ๊กตา เพิ่มความน่ารักน่าทะนุถนอมแบบคูณสอง


วันนี้เรามี 8 สุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ มาฝากกันจ้า

1.มอลทีส (Maltese)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม สูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สุนัขพันธุ์เล็กที่มีขนาดกะทัดรัดรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม ขนยาว และอ่อนนุ่มสีขาวปกคลุกทั้งตัว หางเป็นพวง กะโหลกทรงค่อนข้างกลม นัยน์ตาสีดำ หูตก หางยาวและม้วนมาที่หลัง ขณะที่วิ่งเหยาะ ๆ จะดูเหมือนกำลังลอยอยู่

ลักษณะนิสัย : มีความอ่อนโยน  ฉลาด มีชีวิตชีวา และชอบการเอาใจใส่จากเจ้าของ

การดูแลและข้อควรระวัง : อาจมีปัญหาหูหนวก โรคสั่น และปัญหาเกี่ยวกับฟัน นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับการเลี้ยงไว้นอกบ้าน


2.ซามอยด์ (Samoyed)



สุนัขขนาดกลาง หนักประมาณ 23-29 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสี่เหลี่ยม ร่างกายกำยำ หูยกตั้ง และศีรษะกว้าง หางเป็นพุ่มขนปุยม้วนอยู่เหนือหลัง ลักษณะขนหนา หยาบ ตรง สีขาวดูปุกปุย มันเงาคล้ายเคลือบเทฟลอน  จึงช่วยให้สิ่งสกปรกไม่เกาะติดขน สามารถทำความสะอาดขนได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีเส้นรอบดวงตา จมูก และริมฝีปาก สีเข้มตัดกับขนสีขาว บริเวณมุมปากยกขึ้น ทำให้เกิดเป็นบุคลิกที่เรียกว่า Sammie smile

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร มีเสน่ห์ ฉลาด และมีความเป็นตัวของตัวเอง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องการการเอาใจใส่สูง ไม่เหมาะกับการถูกทิ้งไว้เพียงลำพังเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้น้องหมาแสดงนิสัยแย่ ๆ ออกมาได้


3.เวสตี้ หรือ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ (West Highland White Terrier)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 8-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สก็อตติช, แคร์น เทอร์เรียร์ และ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์มาจากสายพันธุเดียวกัน แต่ได้รับการเพาะพันธุ์ให้มีสีที่ต่างกันออกไป โดยเวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ จะมีขนสีขาวหนา กระด้าง มีหูตั้ง และดวงตาเป็นรูปเมล็ดอัลมอนด์

ลักษณะนิสัย : ฉลาด สันโดษ หัวดื้อเล็กน้อย หวงสิ่งของในครอบครองมาก และกล้าหาญเกินตัวด้วยสัญชาตญาณที่เคยเป็นสุนัขล่าสัตว์มาก่อน

การดูแลและข้อควรระวัง : ชอบวิ่งเล่นเป็นประจำ แต่ก็เหนื่อยหอบง่าย มักมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังแห้งจึงไม่ควรอาบน้ำบ่อยจนเกินไป รวมถึงอาจมีการสะสมของไขมันและสิ่งสกปรกบริเวณใบหูได้ง่าย


4.อเมริกัน เอสกิโม ด็อก (American Eskimo Dog) หรือ เอสกี้ (Eskies)



Standard หนักประมาณ 10-18 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-48 เซนติเมตร

Miniature หนักประมาณ 5-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-38 เซนติเมตร

Toy หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร


ลักษณะกายภาพ : ตาสวยคล้ายกับหมาป่าหิมะ มีหูรูปทรงสามเหลี่ยม ศีรษะรูปลิ่ม และหางม้วนเป็นลอนถึงหลัง ขนหนาแต่ไม่เป็นคลื่น หาเลี้ยงได้ยากทั้งในและต่างประเทศ

ลักษณะนิสัย : เฉลียวฉลาด ฝึกง่าย ชอบเรียนรู้ มีความจงรักภักดี รักสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้า และชอบผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนร่วงค่อนข้างมาก


5.บิชอง ฟริเซ่ (Bichon Frisé)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 24-30 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสวยงาม ท่ายืนดูสง่า ลำตัวสีขาว ขนหยิกหนานุ่มฟูฟ่อง โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ ตาเล็กกลม นัยน์ตาสดใส หูลู่ลง ทำให้ลักษณะใบหน้าดูอ่อนโยน

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง อ่อนหวาน มีเสน่ห์  ตื่นตัว ปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ขี้เล่น และเป็นมิตร แต่อ่อนไหวง่าย

การดูแลและข้อควรระวัง : ไม่ควรเลี้ยงไว้นอกบ้าน เพราะ ต้องการความเอาใจใส่และความรักในครอบครัวสูง และไม่ควรปล่อยไว้ในอุณหภูมิที่ร้อน หรือหนาวเกินไป นอกจากนี้ยังควรระมัดระวังเรื่องโรคกระดูกสะบ้าเคลื่อน

6.เจแปนนิส สปิตซ์ (Japanese Spitz)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 5-6 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-35 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : เกิดมาจากการผสมกันระหว่าง ไซบีเรียน (Siberian) กับซามอยด์ (Samoyed) หน้าตาจึงเหมือนซามอยด์ทุกอย่าง แต่จะมีขนาดเล็กลงมา หูเล็ก ตั้งตรง และจมูกเป็นสีดำสนิท

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง ฉลาด มีพละกำลังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ชอบออกกำลังกาย  รักความสะอาด ฝึกได้ง่าย และเชื่อฟังเจ้าของ แต่เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างเห่าเก่ง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องคอยดูแลขนอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งช่วงอากาศร้อนอาจเกิดความอับชื้นบริเวณผิวหนังใต้ขน ทำให้เกิดเชื้อราได้


7.โคมอนดอร์  (Komondor)



สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 35-60 กิโลกรัม สูงประมาณ 65-90 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ขนสีขาวมีลักษณะเป็นพู่ หยิกขอดเหมือนผมทรง dreadlocks หรือขนของไม้ถูพื้น ทำให้โคมอนดอร์ มีฉายาว่า “หมาม็อบ” โดยขนจะเริ่มจับกลุ่มกันเป็นก้อนตั้งแต่ 6 ถึง 9 เดือน และพันกันเป็นเกลียวเต็มที่เมื่ออายุ 2 ปี แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กจะเรียกว่า พูลิ (Puli)  มีหลายสีมากกว่า

ลักษณะนิสัย : มีพละกำลังมาก เป็นตัวของตัวเอง กล้าหาญไร้ขีดจำกัด น่ารัก เห่าเสียงดัง และต้องการการออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนมักจะสกปรกและเป็นสังกะตังง่าย จึงควรหมั่นแกะก้อนขนที่พันกันให้คลายออกเป็นก้อน ๆ

8.คูวาสซ์ (Kuvasz)

สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 36-52 กิโลกรัม สูงประมาณ 70-85 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ร่างกายเป็นทรงสามเหลี่ยม มีรูปร่างกระฉับกระเฉง แข็งแกร่ง หูพับมาด้านหน้า ปากเป็นรูปทรงกระบอก จมูกเป็นสีดำ และมีขนาดใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม หางยาวเป็นพวงสวยงาม ขนหยาบ และมีลักษณะเหมือนเกลียวคลื่น

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร ใจดี สุภาพ ดูแลง่าย ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ เเละหวงแหนพื้นที่ของตัวเองเป็นที่สุด นอกจากนี้บางตัวอาจมีความเป็นตัวของตัวเองและก้าวร้าวได้

การดูแลและข้อควรระวัง : เป็นสายพันธุ์ที่กินเก่งมาก จึงควรหมั่นพาไปออกกำลังกายบ่อย ๆ และ อาบน้ำ-ดูแลขนให้สะอาดเป็นประจำ

322



เมื่อพูดถึงสุนัขแล้วก็ต้องนึกถึงความน่ารัก ขี้เล่น แสนซน ซื่อสัตย์ และรักเจ้าของ ซึ่งทำให้ใครหลายคนต้องหลงใหล โดยเฉพาะสุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ที่มีความน่ารักน่ากอดเหมือนตุ๊กตา เพิ่มความน่ารักน่าทะนุถนอมแบบคูณสอง


วันนี้เรามี 8 สุนัขสายพันธุ์ขนสีขาว ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ มาฝากกันจ้า

1.มอลทีส (Maltese)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม สูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สุนัขพันธุ์เล็กที่มีขนาดกะทัดรัดรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม ขนยาว และอ่อนนุ่มสีขาวปกคลุกทั้งตัว หางเป็นพวง กะโหลกทรงค่อนข้างกลม นัยน์ตาสีดำ หูตก หางยาวและม้วนมาที่หลัง ขณะที่วิ่งเหยาะ ๆ จะดูเหมือนกำลังลอยอยู่

ลักษณะนิสัย : มีความอ่อนโยน  ฉลาด มีชีวิตชีวา และชอบการเอาใจใส่จากเจ้าของ

การดูแลและข้อควรระวัง : อาจมีปัญหาหูหนวก โรคสั่น และปัญหาเกี่ยวกับฟัน นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับการเลี้ยงไว้นอกบ้าน


2.ซามอยด์ (Samoyed)



สุนัขขนาดกลาง หนักประมาณ 23-29 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสี่เหลี่ยม ร่างกายกำยำ หูยกตั้ง และศีรษะกว้าง หางเป็นพุ่มขนปุยม้วนอยู่เหนือหลัง ลักษณะขนหนา หยาบ ตรง สีขาวดูปุกปุย มันเงาคล้ายเคลือบเทฟลอน  จึงช่วยให้สิ่งสกปรกไม่เกาะติดขน สามารถทำความสะอาดขนได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีเส้นรอบดวงตา จมูก และริมฝีปาก สีเข้มตัดกับขนสีขาว บริเวณมุมปากยกขึ้น ทำให้เกิดเป็นบุคลิกที่เรียกว่า Sammie smile

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร มีเสน่ห์ ฉลาด และมีความเป็นตัวของตัวเอง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องการการเอาใจใส่สูง ไม่เหมาะกับการถูกทิ้งไว้เพียงลำพังเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้น้องหมาแสดงนิสัยแย่ ๆ ออกมาได้


3.เวสตี้ หรือ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ (West Highland White Terrier)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 8-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : สก็อตติช, แคร์น เทอร์เรียร์ และ เวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์มาจากสายพันธุเดียวกัน แต่ได้รับการเพาะพันธุ์ให้มีสีที่ต่างกันออกไป โดยเวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรียร์ จะมีขนสีขาวหนา กระด้าง มีหูตั้ง และดวงตาเป็นรูปเมล็ดอัลมอนด์

ลักษณะนิสัย : ฉลาด สันโดษ หัวดื้อเล็กน้อย หวงสิ่งของในครอบครองมาก และกล้าหาญเกินตัวด้วยสัญชาตญาณที่เคยเป็นสุนัขล่าสัตว์มาก่อน

การดูแลและข้อควรระวัง : ชอบวิ่งเล่นเป็นประจำ แต่ก็เหนื่อยหอบง่าย มักมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังแห้งจึงไม่ควรอาบน้ำบ่อยจนเกินไป รวมถึงอาจมีการสะสมของไขมันและสิ่งสกปรกบริเวณใบหูได้ง่าย


4.อเมริกัน เอสกิโม ด็อก (American Eskimo Dog) หรือ เอสกี้ (Eskies)



Standard หนักประมาณ 10-18 กิโลกรัม สูงประมาณ 40-48 เซนติเมตร

Miniature หนักประมาณ 5-9 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-38 เซนติเมตร

Toy หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 25-28 เซนติเมตร


ลักษณะกายภาพ : ตาสวยคล้ายกับหมาป่าหิมะ มีหูรูปทรงสามเหลี่ยม ศีรษะรูปลิ่ม และหางม้วนเป็นลอนถึงหลัง ขนหนาแต่ไม่เป็นคลื่น หาเลี้ยงได้ยากทั้งในและต่างประเทศ

ลักษณะนิสัย : เฉลียวฉลาด ฝึกง่าย ชอบเรียนรู้ มีความจงรักภักดี รักสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้า และชอบผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนร่วงค่อนข้างมาก


5.บิชอง ฟริเซ่ (Bichon Frisé)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม สูงประมาณ 24-30 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : รูปร่างสวยงาม ท่ายืนดูสง่า ลำตัวสีขาว ขนหยิกหนานุ่มฟูฟ่อง โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ ตาเล็กกลม นัยน์ตาสดใส หูลู่ลง ทำให้ลักษณะใบหน้าดูอ่อนโยน

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง อ่อนหวาน มีเสน่ห์  ตื่นตัว ปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ขี้เล่น และเป็นมิตร แต่อ่อนไหวง่าย

การดูแลและข้อควรระวัง : ไม่ควรเลี้ยงไว้นอกบ้าน เพราะ ต้องการความเอาใจใส่และความรักในครอบครัวสูง และไม่ควรปล่อยไว้ในอุณหภูมิที่ร้อน หรือหนาวเกินไป นอกจากนี้ยังควรระมัดระวังเรื่องโรคกระดูกสะบ้าเคลื่อน

6.เจแปนนิส สปิตซ์ (Japanese Spitz)



สุนัขขนาดเล็ก หนักประมาณ 5-6 กิโลกรัม สูงประมาณ 30-35 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : เกิดมาจากการผสมกันระหว่าง ไซบีเรียน (Siberian) กับซามอยด์ (Samoyed) หน้าตาจึงเหมือนซามอยด์ทุกอย่าง แต่จะมีขนาดเล็กลงมา หูเล็ก ตั้งตรง และจมูกเป็นสีดำสนิท

ลักษณะนิสัย : ร่าเริง ฉลาด มีพละกำลังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ชอบออกกำลังกาย  รักความสะอาด ฝึกได้ง่าย และเชื่อฟังเจ้าของ แต่เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างเห่าเก่ง

การดูแลและข้อควรระวัง : ต้องคอยดูแลขนอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งช่วงอากาศร้อนอาจเกิดความอับชื้นบริเวณผิวหนังใต้ขน ทำให้เกิดเชื้อราได้


7.โคมอนดอร์  (Komondor)



สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 35-60 กิโลกรัม สูงประมาณ 65-90 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ขนสีขาวมีลักษณะเป็นพู่ หยิกขอดเหมือนผมทรง dreadlocks หรือขนของไม้ถูพื้น ทำให้โคมอนดอร์ มีฉายาว่า “หมาม็อบ” โดยขนจะเริ่มจับกลุ่มกันเป็นก้อนตั้งแต่ 6 ถึง 9 เดือน และพันกันเป็นเกลียวเต็มที่เมื่ออายุ 2 ปี แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กจะเรียกว่า พูลิ (Puli)  มีหลายสีมากกว่า

ลักษณะนิสัย : มีพละกำลังมาก เป็นตัวของตัวเอง กล้าหาญไร้ขีดจำกัด น่ารัก เห่าเสียงดัง และต้องการการออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

การดูแลและข้อควรระวัง : ขนมักจะสกปรกและเป็นสังกะตังง่าย จึงควรหมั่นแกะก้อนขนที่พันกันให้คลายออกเป็นก้อน ๆ

8.คูวาสซ์ (Kuvasz)

สุนัขขนาดใหญ่ หนักประมาณ 36-52 กิโลกรัม สูงประมาณ 70-85 เซนติเมตร

ลักษณะกายภาพ : ร่างกายเป็นทรงสามเหลี่ยม มีรูปร่างกระฉับกระเฉง แข็งแกร่ง หูพับมาด้านหน้า ปากเป็นรูปทรงกระบอก จมูกเป็นสีดำ และมีขนาดใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม หางยาวเป็นพวงสวยงาม ขนหยาบ และมีลักษณะเหมือนเกลียวคลื่น

ลักษณะนิสัย : เป็นมิตร ใจดี สุภาพ ดูแลง่าย ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ เเละหวงแหนพื้นที่ของตัวเองเป็นที่สุด นอกจากนี้บางตัวอาจมีความเป็นตัวของตัวเองและก้าวร้าวได้

การดูแลและข้อควรระวัง : เป็นสายพันธุ์ที่กินเก่งมาก จึงควรหมั่นพาไปออกกำลังกายบ่อย ๆ และ อาบน้ำ-ดูแลขนให้สะอาดเป็นประจำ

323



เอ็นดูแรง ไวรัลหมาหลงในดงทุเรียน กับสกิลหลบหนามยังไงให้แคล้วคลาด ทำคนดูลุ้นหนักขาสั่นพั่บ ๆ แซวกันคึกคัก กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง


  กลายเป็นคลิปน้องหมาสุดไวรัลในขณะนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ผู้ใช้ TikTok@apatsanan17 ได้โพสต์การเอาตัวรอดของน้องหมาที่เลี้ยงไว้ เมื่อพลาดหลงเดินเข้าไปในกองทุเรียน พร้อมแคปชั่น "นายหมี เข้าไปทำอะไรครับท่าน"

           ในคลิปเผยให้เห็นสกิลขั้นเทพของน้องหมา ที่พยายามถอยหลังหลบหนามทุเรียน ขาสั่นพั่บ ๆ ทำเอาคนดูลุ้นหนัก กลัวน้องจะโดนหนามทิ่มขา แต่สุดท้ายก็รอดมาได้อย่างสวยงาม คลิปดังกล่าวจึงกลายเป็นไวรัลทันทีมียอดเข้าชมทะลุ 4.3 ล้านวิวไปแล้ว

           ด้านชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์เอ็นดูเจ้าหมีกันยกใหญ่ พร้อมแซวในการสู้ชีวิตเอาตัวรอดจากหนามทุเรียน เรียกว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง งานนี้ใส่เกียร์หมาถอยให้ไวไปเลยสิคะ 555









324



เอ็นดูแรง ไวรัลหมาหลงในดงทุเรียน กับสกิลหลบหนามยังไงให้แคล้วคลาด ทำคนดูลุ้นหนักขาสั่นพั่บ ๆ แซวกันคึกคัก กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง


  กลายเป็นคลิปน้องหมาสุดไวรัลในขณะนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ผู้ใช้ TikTok@apatsanan17 ได้โพสต์การเอาตัวรอดของน้องหมาที่เลี้ยงไว้ เมื่อพลาดหลงเดินเข้าไปในกองทุเรียน พร้อมแคปชั่น "นายหมี เข้าไปทำอะไรครับท่าน"

           ในคลิปเผยให้เห็นสกิลขั้นเทพของน้องหมา ที่พยายามถอยหลังหลบหนามทุเรียน ขาสั่นพั่บ ๆ ทำเอาคนดูลุ้นหนัก กลัวน้องจะโดนหนามทิ่มขา แต่สุดท้ายก็รอดมาได้อย่างสวยงาม คลิปดังกล่าวจึงกลายเป็นไวรัลทันทีมียอดเข้าชมทะลุ 4.3 ล้านวิวไปแล้ว

           ด้านชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์เอ็นดูเจ้าหมีกันยกใหญ่ พร้อมแซวในการสู้ชีวิตเอาตัวรอดจากหนามทุเรียน เรียกว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง งานนี้ใส่เกียร์หมาถอยให้ไวไปเลยสิคะ 555









325



เอ็นดูแรง ไวรัลหมาหลงในดงทุเรียน กับสกิลหลบหนามยังไงให้แคล้วคลาด ทำคนดูลุ้นหนักขาสั่นพั่บ ๆ แซวกันคึกคัก กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง


  กลายเป็นคลิปน้องหมาสุดไวรัลในขณะนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ผู้ใช้ TikTok@apatsanan17 ได้โพสต์การเอาตัวรอดของน้องหมาที่เลี้ยงไว้ เมื่อพลาดหลงเดินเข้าไปในกองทุเรียน พร้อมแคปชั่น "นายหมี เข้าไปทำอะไรครับท่าน"

           ในคลิปเผยให้เห็นสกิลขั้นเทพของน้องหมา ที่พยายามถอยหลังหลบหนามทุเรียน ขาสั่นพั่บ ๆ ทำเอาคนดูลุ้นหนัก กลัวน้องจะโดนหนามทิ่มขา แต่สุดท้ายก็รอดมาได้อย่างสวยงาม คลิปดังกล่าวจึงกลายเป็นไวรัลทันทีมียอดเข้าชมทะลุ 4.3 ล้านวิวไปแล้ว

           ด้านชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์เอ็นดูเจ้าหมีกันยกใหญ่ พร้อมแซวในการสู้ชีวิตเอาตัวรอดจากหนามทุเรียน เรียกว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง งานนี้ใส่เกียร์หมาถอยให้ไวไปเลยสิคะ 555









326



เอ็นดูแรง ไวรัลหมาหลงในดงทุเรียน กับสกิลหลบหนามยังไงให้แคล้วคลาด ทำคนดูลุ้นหนักขาสั่นพั่บ ๆ แซวกันคึกคัก กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง


  กลายเป็นคลิปน้องหมาสุดไวรัลในขณะนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ผู้ใช้ TikTok@apatsanan17 ได้โพสต์การเอาตัวรอดของน้องหมาที่เลี้ยงไว้ เมื่อพลาดหลงเดินเข้าไปในกองทุเรียน พร้อมแคปชั่น "นายหมี เข้าไปทำอะไรครับท่าน"

           ในคลิปเผยให้เห็นสกิลขั้นเทพของน้องหมา ที่พยายามถอยหลังหลบหนามทุเรียน ขาสั่นพั่บ ๆ ทำเอาคนดูลุ้นหนัก กลัวน้องจะโดนหนามทิ่มขา แต่สุดท้ายก็รอดมาได้อย่างสวยงาม คลิปดังกล่าวจึงกลายเป็นไวรัลทันทีมียอดเข้าชมทะลุ 4.3 ล้านวิวไปแล้ว

           ด้านชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์เอ็นดูเจ้าหมีกันยกใหญ่ พร้อมแซวในการสู้ชีวิตเอาตัวรอดจากหนามทุเรียน เรียกว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง งานนี้ใส่เกียร์หมาถอยให้ไวไปเลยสิคะ 555









327
ส้มโดนแม่ใช้ให้เลี้ยงน้อง รักน้องมากแค่ไหน ดูได้จากปฏิกิริยาเจ้าแมวส้มตัวนี้ได้เลย

 เฟซบุ๊กเพจ ละมุดแมวส้ม ได้เผยภาพของ น้องละมุด แมวส้มเซเลบขวัญใจชาวเน็ต ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพี่ เลี้ยงน้องแทนแม่ เห็นอุ้มน้องแบบนี้ แต่หน้าบูดเลยเชียว ชาวเน็ตต่างพากันขำและเอ็นดูในความน่ารักของทั้งคู่








328
ส้มโดนแม่ใช้ให้เลี้ยงน้อง รักน้องมากแค่ไหน ดูได้จากปฏิกิริยาเจ้าแมวส้มตัวนี้ได้เลย

 เฟซบุ๊กเพจ ละมุดแมวส้ม ได้เผยภาพของ น้องละมุด แมวส้มเซเลบขวัญใจชาวเน็ต ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพี่ เลี้ยงน้องแทนแม่ เห็นอุ้มน้องแบบนี้ แต่หน้าบูดเลยเชียว ชาวเน็ตต่างพากันขำและเอ็นดูในความน่ารักของทั้งคู่








329
ส้มโดนแม่ใช้ให้เลี้ยงน้อง รักน้องมากแค่ไหน ดูได้จากปฏิกิริยาเจ้าแมวส้มตัวนี้ได้เลย

 เฟซบุ๊กเพจ ละมุดแมวส้ม ได้เผยภาพของ น้องละมุด แมวส้มเซเลบขวัญใจชาวเน็ต ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพี่ เลี้ยงน้องแทนแม่ เห็นอุ้มน้องแบบนี้ แต่หน้าบูดเลยเชียว ชาวเน็ตต่างพากันขำและเอ็นดูในความน่ารักของทั้งคู่








330
ส้มโดนแม่ใช้ให้เลี้ยงน้อง รักน้องมากแค่ไหน ดูได้จากปฏิกิริยาเจ้าแมวส้มตัวนี้ได้เลย

 เฟซบุ๊กเพจ ละมุดแมวส้ม ได้เผยภาพของ น้องละมุด แมวส้มเซเลบขวัญใจชาวเน็ต ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพี่ เลี้ยงน้องแทนแม่ เห็นอุ้มน้องแบบนี้ แต่หน้าบูดเลยเชียว ชาวเน็ตต่างพากันขำและเอ็นดูในความน่ารักของทั้งคู่