แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

991
GOOD TO KNOW ทำความรู้จักสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนกันเถอะ !

ประวัติความเป็นมาของสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน


   สุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน มีบรรพบุรุษมาจากสุนัขในกลุ่มสายพันธุ์สปิตซ์ (Spitz) ซึ่งจะมีลักษณะหลายอย่างเพื่อป้องกันความหนาวเย็นเช่นเดียวกับสายพันธุ์สปิตซ์ ที่จะมีขนหนาและยาว ใบหูขนาดเล็ก หางม้วนเป็นพวงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นเมื่อนอนขดตัว ไม่มีการบันทึกแน่ชัดว่ามีการพัฒนาสายพันธุ์จากสปิตซ์มาเป็นสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนได้อย่างไร แต่พบว่าปอมเมอเรียนที่เลี้ยงอยู่ในปัจจุบันขนาดตัวเล็กลง ก่อนหน้านี้พบว่ามีน้ำหนักตัวประมาณ 10-13 กิโลกรัมซึ่งชื่อปอมเมอเรเนียนมาจาก ปอมเมอเรเนีย (Pomerania) ซึ่งเป็นชื่อเมืองหนึ่งที่ประเทศโปแลนด์ตอนเหนือและประเทศเยอรมันนี มีการเลี้ยงแพร่หลายในยุโรป และมีคนดังในอดีตมากมายเป็นเจ้าของปอมเมอเรียนไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล แองเจิลโล, โมสาร์ท และเซอร์ไอแซคนิวตัน สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรียนเป็นสุนัขตัวแรกของราชวงศ์อังกฤษ ณ พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ในปี 1761 โดยพระราชินีชาร์ลอต นอกจากนั้นในปี 1888 พระราชินีวิคตอเรียผู้ชื่นชอบสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนได้นำเข้าสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรียนที่ตัวเล็ก น้ำหนักเพียง 5 กิโลกรัม จึงเกิดเป็นค่านิยมในการเลี้ยงสุนัขปอมเมอเรเนียนที่ตัวเล็กลง และเป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศแถบยุโรปเรื่อยมา



ลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน


-   เป็นสุนัขที่ร่าเริง ชอบเล่น มีพลังงานเยอะ

-   เป็นสุนัขที่เข้ากับเด็กได้ แต่ควรอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่เนื่องจากเป็นสุนัขตัวเล็ก

-    มีลักษณะนิสัยที่หลงเหลือจากสายพันธุ์สปอตซ์คือ เป็นสุนัขที่มีความใจกล้า และชอบความตื่นเต้น การผจญภัย

-   ถ้าเป็นสุนัขตัวเดียวในบ้านมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนแปลกหน้า ควรฝึกให้เข้าสังคม พบเจอผู้คนใหม่ๆตั้งแต่ๆยังอายุน้อย

-   บางตัวอาจจะมีนิสัยก้าวร้าว อวดเก่ง ไม่กลัวใคร

-   เป็นคนที่เรียนรู้ได้ไว แต่อาจจะแอบดื้อ

-   สามารถฝึกได้ด้วยการให้รางวัลเป็นขนมหรือการเล่นสนุกๆ

-   บางตัวอาจจะมีพฤติกรรมเห่าเก่ง ซึ่งควรสอนตั้งแต่อายุน้อยๆ

การดูแลสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรียน

-   ลักษณะขนจะเป็นขน 2 ชั้น ซึ่งขนชั้นนอกจะมีลักษณะแข็งกว่ายาวกว่าขนด้านใน ควรแปรงขนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และเพิ่มความถี่ในการแปรงหากอยู่ในช่วงผลัดขน เพื่อป้องกันไม่ให้ขนร่วง จะมีการผลัดขนมากกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น

-   เนื่องจากขนยาวมากจึงควรดูแลทำความสะอาดขนบริเวณรอบๆก้นหลังการขับถ่าย หรืออาจจะตัดให้สั้น

-   จำเป็นต้องแปรงฟันเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งพบมาในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรียน

-   สุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนส่วนมากจะมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ แต่เจ้าของสัตว์เลี้ยงอาจจะต้องระวังการให้ขนมต่างๆ เนื่องจากเขาตัวเล็ก การให้ขนมเกินปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้น้ำหนักเกินเกณฑ์

-   ระวงัภาวะน้ำตาลต่ำลูกสันขพันธุ์ปอมเมอเรียน ควรให้อาหารที่มีโภชนการเหมาะสม และบ่อยครั้ง เลือกอาหารที่โปรตีนสูง ไขมันสูง มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/dog-breeds/pomeranian


992
GOOD TO KNOW ทำความรู้จักสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนกันเถอะ !

ประวัติความเป็นมาของสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน


   สุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน มีบรรพบุรุษมาจากสุนัขในกลุ่มสายพันธุ์สปิตซ์ (Spitz) ซึ่งจะมีลักษณะหลายอย่างเพื่อป้องกันความหนาวเย็นเช่นเดียวกับสายพันธุ์สปิตซ์ ที่จะมีขนหนาและยาว ใบหูขนาดเล็ก หางม้วนเป็นพวงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นเมื่อนอนขดตัว ไม่มีการบันทึกแน่ชัดว่ามีการพัฒนาสายพันธุ์จากสปิตซ์มาเป็นสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนได้อย่างไร แต่พบว่าปอมเมอเรียนที่เลี้ยงอยู่ในปัจจุบันขนาดตัวเล็กลง ก่อนหน้านี้พบว่ามีน้ำหนักตัวประมาณ 10-13 กิโลกรัมซึ่งชื่อปอมเมอเรเนียนมาจาก ปอมเมอเรเนีย (Pomerania) ซึ่งเป็นชื่อเมืองหนึ่งที่ประเทศโปแลนด์ตอนเหนือและประเทศเยอรมันนี มีการเลี้ยงแพร่หลายในยุโรป และมีคนดังในอดีตมากมายเป็นเจ้าของปอมเมอเรียนไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล แองเจิลโล, โมสาร์ท และเซอร์ไอแซคนิวตัน สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรียนเป็นสุนัขตัวแรกของราชวงศ์อังกฤษ ณ พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ในปี 1761 โดยพระราชินีชาร์ลอต นอกจากนั้นในปี 1888 พระราชินีวิคตอเรียผู้ชื่นชอบสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนได้นำเข้าสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรียนที่ตัวเล็ก น้ำหนักเพียง 5 กิโลกรัม จึงเกิดเป็นค่านิยมในการเลี้ยงสุนัขปอมเมอเรเนียนที่ตัวเล็กลง และเป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศแถบยุโรปเรื่อยมา



ลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน


-   เป็นสุนัขที่ร่าเริง ชอบเล่น มีพลังงานเยอะ

-   เป็นสุนัขที่เข้ากับเด็กได้ แต่ควรอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่เนื่องจากเป็นสุนัขตัวเล็ก

-    มีลักษณะนิสัยที่หลงเหลือจากสายพันธุ์สปอตซ์คือ เป็นสุนัขที่มีความใจกล้า และชอบความตื่นเต้น การผจญภัย

-   ถ้าเป็นสุนัขตัวเดียวในบ้านมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนแปลกหน้า ควรฝึกให้เข้าสังคม พบเจอผู้คนใหม่ๆตั้งแต่ๆยังอายุน้อย

-   บางตัวอาจจะมีนิสัยก้าวร้าว อวดเก่ง ไม่กลัวใคร

-   เป็นคนที่เรียนรู้ได้ไว แต่อาจจะแอบดื้อ

-   สามารถฝึกได้ด้วยการให้รางวัลเป็นขนมหรือการเล่นสนุกๆ

-   บางตัวอาจจะมีพฤติกรรมเห่าเก่ง ซึ่งควรสอนตั้งแต่อายุน้อยๆ

การดูแลสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรียน

-   ลักษณะขนจะเป็นขน 2 ชั้น ซึ่งขนชั้นนอกจะมีลักษณะแข็งกว่ายาวกว่าขนด้านใน ควรแปรงขนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และเพิ่มความถี่ในการแปรงหากอยู่ในช่วงผลัดขน เพื่อป้องกันไม่ให้ขนร่วง จะมีการผลัดขนมากกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น

-   เนื่องจากขนยาวมากจึงควรดูแลทำความสะอาดขนบริเวณรอบๆก้นหลังการขับถ่าย หรืออาจจะตัดให้สั้น

-   จำเป็นต้องแปรงฟันเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งพบมาในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรียน

-   สุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนส่วนมากจะมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ แต่เจ้าของสัตว์เลี้ยงอาจจะต้องระวังการให้ขนมต่างๆ เนื่องจากเขาตัวเล็ก การให้ขนมเกินปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้น้ำหนักเกินเกณฑ์

-   ระวงัภาวะน้ำตาลต่ำลูกสันขพันธุ์ปอมเมอเรียน ควรให้อาหารที่มีโภชนการเหมาะสม และบ่อยครั้ง เลือกอาหารที่โปรตีนสูง ไขมันสูง มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/dog-breeds/pomeranian


993
ทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าติดโควิด แต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแล ?

   การระบาดของโรคโควิด-19 ยังถือว่าเป็นโรคระบาดใหม่ เพิ่งพบการระบาดในช่วงปี 2019 ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับระบาดวิทยาในคนไม่มากนัก ซึ่งมีการพบเชื้อโคโรนาไวรัสก่อโรคในสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว ม้า หมู เป็นต้น และมีการแสดงอาการหลากหลายระบบ แต่พบว่าในคนจะแสดงอาการในระบบทางเดินหายใจ



หากว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงติดโควิด และจำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างกะทันหัน อาจจะไม่มีเวลาเตรียมตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง เราต้องทำความเข้าใจและความเสี่ยงที่สัตว์เลี้ยงจะได้รับจากเราเสียก่อน
สัตว์เลี้ยงสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19 ได้หรือไม่ ?

   มีรายงานตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ในสุนัข แมว เสือ ตัวมิงค์ เฟอร์เร็ท มีบางรายงานพบว่าไม่มีอาการป่วยและบางรายงานพบว่าสัมพันธ์กับอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ชนิดอื่นๆสามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อกลับมาสู่มนุษย์ได้ แต่ทั้งนี้เราไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์หรือการกลายพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากเราได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 เราก็จำเป็นที่จะต้องถูกกักตัวทั้งจากสัตว์เลี้ยงและคนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนหรือสัตว์เลี้ยงที่ยังไม่ป่วย

ครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงควรเตรียมตัวอย่างไร ?

   ในประเทศไทยยังไม่มี Home quarantine (ข้อมูลล่าสุด17/04/2564) เหมือนในต่างประเทศ ทุกคนที่ตรวจพบเชื้อไม่ว่าจะแสดงอาการ หรือแบบไม่แสดงอาการจะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ดังนั้นหากใครที่ติดเชื้อแต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแลจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมหาผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงแทนในช่วงที่เราต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างน้อย 14 วัน หรือเตรียมสอบถามโรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือโรงพยาบาลที่มีการรับฝากสัตว์เลี้ยง โดยต้องแจ้งความเสี่ยงว่าสุนัขหรือแมวของเราใกล้ชิดกับเราในช่วงที่ผู้เลี้ยงตรวจเจอเชื้อโควิด-19 เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องอาหาร และอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยงอื่นๆเพื่อที่หากเกิดเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันจะได้หายห่วง

คำแนะนำในการดูแลสัตว์เลี้ยง ?


   หากเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีความเสี่ยงว่าจะติดโควิด จำเป็นต้องกักตัวตามคำสั่งแพทย์ หรือทราบแล้วว่าติดโควิดแต่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการรอไปโรงพยาบาล ทางที่ดีที่สุดคือควรหาผู้มาดูแลสัตว์เลี้ยงแทน แต่ถ้าเราไม่สามารถทำได้ เราต้องปฎิบัติตัวดังนี้

-   ล้างมือก่อนและหลังให้อาหารสัตว์เลี้ยง

-   ล้างมือก่อนและหลังเมื่อต้องดูแล หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง

-   ลดการสัมผัส เล่นอย่างใกล้ชิด เช่น การหอม การกอด หรือการสัมผัสอื่นๆบริเวณใบหน้า

-   ใช้กระดาษชำระเมื่อมีการไอหรือจาม และทิ้งในถังขยะแยกจากส่วนอื่นๆที่สัตว์เลี้ยงไม่สามารถเข้าถึงได้

-   ไม่ควรแบ่งอาหารของเรา หรือนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ทำความสะอาดบริเวณต่างๆในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ

-   ไม่ควรปล่อยสุนัขและแมวออกนอนบ้าน

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/caring-for-your-pets-if-you-have-covid-19


994
ทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าติดโควิด แต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแล ?

   การระบาดของโรคโควิด-19 ยังถือว่าเป็นโรคระบาดใหม่ เพิ่งพบการระบาดในช่วงปี 2019 ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับระบาดวิทยาในคนไม่มากนัก ซึ่งมีการพบเชื้อโคโรนาไวรัสก่อโรคในสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว ม้า หมู เป็นต้น และมีการแสดงอาการหลากหลายระบบ แต่พบว่าในคนจะแสดงอาการในระบบทางเดินหายใจ



หากว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงติดโควิด และจำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างกะทันหัน อาจจะไม่มีเวลาเตรียมตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง เราต้องทำความเข้าใจและความเสี่ยงที่สัตว์เลี้ยงจะได้รับจากเราเสียก่อน
สัตว์เลี้ยงสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19 ได้หรือไม่ ?

   มีรายงานตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ในสุนัข แมว เสือ ตัวมิงค์ เฟอร์เร็ท มีบางรายงานพบว่าไม่มีอาการป่วยและบางรายงานพบว่าสัมพันธ์กับอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ชนิดอื่นๆสามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อกลับมาสู่มนุษย์ได้ แต่ทั้งนี้เราไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์หรือการกลายพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากเราได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 เราก็จำเป็นที่จะต้องถูกกักตัวทั้งจากสัตว์เลี้ยงและคนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนหรือสัตว์เลี้ยงที่ยังไม่ป่วย

ครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงควรเตรียมตัวอย่างไร ?

   ในประเทศไทยยังไม่มี Home quarantine (ข้อมูลล่าสุด17/04/2564) เหมือนในต่างประเทศ ทุกคนที่ตรวจพบเชื้อไม่ว่าจะแสดงอาการ หรือแบบไม่แสดงอาการจะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ดังนั้นหากใครที่ติดเชื้อแต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแลจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมหาผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงแทนในช่วงที่เราต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างน้อย 14 วัน หรือเตรียมสอบถามโรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือโรงพยาบาลที่มีการรับฝากสัตว์เลี้ยง โดยต้องแจ้งความเสี่ยงว่าสุนัขหรือแมวของเราใกล้ชิดกับเราในช่วงที่ผู้เลี้ยงตรวจเจอเชื้อโควิด-19 เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องอาหาร และอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยงอื่นๆเพื่อที่หากเกิดเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันจะได้หายห่วง

คำแนะนำในการดูแลสัตว์เลี้ยง ?


   หากเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีความเสี่ยงว่าจะติดโควิด จำเป็นต้องกักตัวตามคำสั่งแพทย์ หรือทราบแล้วว่าติดโควิดแต่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการรอไปโรงพยาบาล ทางที่ดีที่สุดคือควรหาผู้มาดูแลสัตว์เลี้ยงแทน แต่ถ้าเราไม่สามารถทำได้ เราต้องปฎิบัติตัวดังนี้

-   ล้างมือก่อนและหลังให้อาหารสัตว์เลี้ยง

-   ล้างมือก่อนและหลังเมื่อต้องดูแล หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง

-   ลดการสัมผัส เล่นอย่างใกล้ชิด เช่น การหอม การกอด หรือการสัมผัสอื่นๆบริเวณใบหน้า

-   ใช้กระดาษชำระเมื่อมีการไอหรือจาม และทิ้งในถังขยะแยกจากส่วนอื่นๆที่สัตว์เลี้ยงไม่สามารถเข้าถึงได้

-   ไม่ควรแบ่งอาหารของเรา หรือนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ทำความสะอาดบริเวณต่างๆในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ

-   ไม่ควรปล่อยสุนัขและแมวออกนอนบ้าน

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/caring-for-your-pets-if-you-have-covid-19


995
ทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าติดโควิด แต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแล ?

   การระบาดของโรคโควิด-19 ยังถือว่าเป็นโรคระบาดใหม่ เพิ่งพบการระบาดในช่วงปี 2019 ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับระบาดวิทยาในคนไม่มากนัก ซึ่งมีการพบเชื้อโคโรนาไวรัสก่อโรคในสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว ม้า หมู เป็นต้น และมีการแสดงอาการหลากหลายระบบ แต่พบว่าในคนจะแสดงอาการในระบบทางเดินหายใจ



หากว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงติดโควิด และจำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างกะทันหัน อาจจะไม่มีเวลาเตรียมตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง เราต้องทำความเข้าใจและความเสี่ยงที่สัตว์เลี้ยงจะได้รับจากเราเสียก่อน
สัตว์เลี้ยงสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19 ได้หรือไม่ ?

   มีรายงานตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ในสุนัข แมว เสือ ตัวมิงค์ เฟอร์เร็ท มีบางรายงานพบว่าไม่มีอาการป่วยและบางรายงานพบว่าสัมพันธ์กับอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ชนิดอื่นๆสามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อกลับมาสู่มนุษย์ได้ แต่ทั้งนี้เราไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์หรือการกลายพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากเราได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 เราก็จำเป็นที่จะต้องถูกกักตัวทั้งจากสัตว์เลี้ยงและคนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนหรือสัตว์เลี้ยงที่ยังไม่ป่วย

ครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงควรเตรียมตัวอย่างไร ?

   ในประเทศไทยยังไม่มี Home quarantine (ข้อมูลล่าสุด17/04/2564) เหมือนในต่างประเทศ ทุกคนที่ตรวจพบเชื้อไม่ว่าจะแสดงอาการ หรือแบบไม่แสดงอาการจะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ดังนั้นหากใครที่ติดเชื้อแต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแลจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมหาผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงแทนในช่วงที่เราต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างน้อย 14 วัน หรือเตรียมสอบถามโรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือโรงพยาบาลที่มีการรับฝากสัตว์เลี้ยง โดยต้องแจ้งความเสี่ยงว่าสุนัขหรือแมวของเราใกล้ชิดกับเราในช่วงที่ผู้เลี้ยงตรวจเจอเชื้อโควิด-19 เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องอาหาร และอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยงอื่นๆเพื่อที่หากเกิดเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันจะได้หายห่วง

คำแนะนำในการดูแลสัตว์เลี้ยง ?


   หากเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีความเสี่ยงว่าจะติดโควิด จำเป็นต้องกักตัวตามคำสั่งแพทย์ หรือทราบแล้วว่าติดโควิดแต่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการรอไปโรงพยาบาล ทางที่ดีที่สุดคือควรหาผู้มาดูแลสัตว์เลี้ยงแทน แต่ถ้าเราไม่สามารถทำได้ เราต้องปฎิบัติตัวดังนี้

-   ล้างมือก่อนและหลังให้อาหารสัตว์เลี้ยง

-   ล้างมือก่อนและหลังเมื่อต้องดูแล หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง

-   ลดการสัมผัส เล่นอย่างใกล้ชิด เช่น การหอม การกอด หรือการสัมผัสอื่นๆบริเวณใบหน้า

-   ใช้กระดาษชำระเมื่อมีการไอหรือจาม และทิ้งในถังขยะแยกจากส่วนอื่นๆที่สัตว์เลี้ยงไม่สามารถเข้าถึงได้

-   ไม่ควรแบ่งอาหารของเรา หรือนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ทำความสะอาดบริเวณต่างๆในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ

-   ไม่ควรปล่อยสุนัขและแมวออกนอนบ้าน

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/caring-for-your-pets-if-you-have-covid-19


996
ทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าติดโควิด แต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแล ?

   การระบาดของโรคโควิด-19 ยังถือว่าเป็นโรคระบาดใหม่ เพิ่งพบการระบาดในช่วงปี 2019 ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับระบาดวิทยาในคนไม่มากนัก ซึ่งมีการพบเชื้อโคโรนาไวรัสก่อโรคในสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว ม้า หมู เป็นต้น และมีการแสดงอาการหลากหลายระบบ แต่พบว่าในคนจะแสดงอาการในระบบทางเดินหายใจ



หากว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงติดโควิด และจำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างกะทันหัน อาจจะไม่มีเวลาเตรียมตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง เราต้องทำความเข้าใจและความเสี่ยงที่สัตว์เลี้ยงจะได้รับจากเราเสียก่อน
สัตว์เลี้ยงสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19 ได้หรือไม่ ?

   มีรายงานตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ในสุนัข แมว เสือ ตัวมิงค์ เฟอร์เร็ท มีบางรายงานพบว่าไม่มีอาการป่วยและบางรายงานพบว่าสัมพันธ์กับอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ชนิดอื่นๆสามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อกลับมาสู่มนุษย์ได้ แต่ทั้งนี้เราไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์หรือการกลายพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากเราได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 เราก็จำเป็นที่จะต้องถูกกักตัวทั้งจากสัตว์เลี้ยงและคนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนหรือสัตว์เลี้ยงที่ยังไม่ป่วย

ครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงควรเตรียมตัวอย่างไร ?

   ในประเทศไทยยังไม่มี Home quarantine (ข้อมูลล่าสุด17/04/2564) เหมือนในต่างประเทศ ทุกคนที่ตรวจพบเชื้อไม่ว่าจะแสดงอาการ หรือแบบไม่แสดงอาการจะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ดังนั้นหากใครที่ติดเชื้อแต่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแลจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมหาผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงแทนในช่วงที่เราต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างน้อย 14 วัน หรือเตรียมสอบถามโรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือโรงพยาบาลที่มีการรับฝากสัตว์เลี้ยง โดยต้องแจ้งความเสี่ยงว่าสุนัขหรือแมวของเราใกล้ชิดกับเราในช่วงที่ผู้เลี้ยงตรวจเจอเชื้อโควิด-19 เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องอาหาร และอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยงอื่นๆเพื่อที่หากเกิดเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันจะได้หายห่วง

คำแนะนำในการดูแลสัตว์เลี้ยง ?


   หากเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีความเสี่ยงว่าจะติดโควิด จำเป็นต้องกักตัวตามคำสั่งแพทย์ หรือทราบแล้วว่าติดโควิดแต่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการรอไปโรงพยาบาล ทางที่ดีที่สุดคือควรหาผู้มาดูแลสัตว์เลี้ยงแทน แต่ถ้าเราไม่สามารถทำได้ เราต้องปฎิบัติตัวดังนี้

-   ล้างมือก่อนและหลังให้อาหารสัตว์เลี้ยง

-   ล้างมือก่อนและหลังเมื่อต้องดูแล หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง

-   ลดการสัมผัส เล่นอย่างใกล้ชิด เช่น การหอม การกอด หรือการสัมผัสอื่นๆบริเวณใบหน้า

-   ใช้กระดาษชำระเมื่อมีการไอหรือจาม และทิ้งในถังขยะแยกจากส่วนอื่นๆที่สัตว์เลี้ยงไม่สามารถเข้าถึงได้

-   ไม่ควรแบ่งอาหารของเรา หรือนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยง

-   ทำความสะอาดบริเวณต่างๆในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ

-   ไม่ควรปล่อยสุนัขและแมวออกนอนบ้าน

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/caring-for-your-pets-if-you-have-covid-19


997
ทำไมสุนัขใช้ยาสีฟันของคนไม่ได้

   การแปรงฟันให้กับสุนัขมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยรักษาสุขภาพฟันและเหงือกให้อยู่กับสุนัขนาน พร้อมลมหายใจที่สะอาด แต่รู้หรือไม่ว่าสุนัขต้องใช้ยาสีฟันเฉพาะสำหรับสัตว์เท่านั้น ไม่ควรใช้ยาสีฟันของคน สุนัขไม่สามารถบ้วนปากได้เหมือนในคนจึงอาจจะกลืนยาสีฟันลงไปปริมาณมาก บางผลิตภัณฑ์มีสารประกอบที่เป็นพิษต่อสุนัข อาจจะส่งผลเสียอันตรายถึงชีวิตของสุนัขเราได้ ซึ่งส่วนประกอบในยาสีฟันคนที่เป็นพิษกับสุนัขได้แก่ ไซลิทอล และฟลูออไรด์



สารไซลิทอล (Xylitol) คืออะไร ? และเป็นพิษกับสุนัขได้อย่างไร ?

   ไซลิทอลจัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง (alcohol sugar) ซึ่งมีการใช้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นหมากฝรั่ง ยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก น้ำยาบ้วนปาก รวมทั้งยาสีฟันของคน หากสุนัขได้รับสารไซลิทอลปริมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัม หรือหมากฝรั่งที่มีสารไซลิทอลจำนวน 9 ชิ้นทำให้เกิดความเป็นพิษกับสุนัข 20 กิโลลกัรมได้ ไซลิทอลทำให้เกิดพิษกับสุนัขอย่างรุนแรงผ่านการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ปริมาณมากอย่างเฉียบพลัน เมื่ออินซูลินหลั่งออกมากจะส่งผลทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) ภายใน 10-60 นาทีหลังกินไซลิทอลเข้าไป และสารไซลิทอลยังมีผลต่อการทำงานของตับทำให้เกิดภาวะตับวายตามมาได้

   อาการที่พบหากสุนัขได้รับสารไซลิทอลเป็นจำนวนมากมักจะเกิดอาการทันทีภายใน 15-30 นาทีหลังกินเข้าไป เจ้าของอาจจะพบเศษของผลิตภัณฑ์ที่สุนัขกินเข้าไป อาการที่พบได้ คือ อาการอาเจียน อ่อนแรง ไม่สามารถยืนได้ ลุกเดินไม่ไหว ซึมลงอย่างกะทันหัน อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก หากได้รับปริมาณมากอาจะหมดสิต ชัก และอาจเสียชีวิต และหากได้รับการรักษาไม่ทันอาจจะทำให้เกิดภาวะตับวายตามมา

สารฟลูออไรด์ เป็นพิษกับสุนัขมากกว่าที่คุณคิด

   ฟลูออไรด์เป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ อาจจะพบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือในระบบบำบัดน้ำบางประเภท และเป็นสารที่พบได้ปริมาณในยาสีฟันของคน ซึ่งหากสุนัขได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าสุนัขได้รับสารฟลูออไรด์จะแสดงอาการภายใน 90 นาที และอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชิวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา สุนัขที่ได้รับฟลูออไรด์ปริมาณน้อยๆเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน หรือการเจริญเติบโตของกระดูกผิดปกติ และอาจจะเกิดปัญหากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง

   สารประกอบทั้ง 2 อย่าง ทั้งสารไซลิทอล และสารฟลูออไรด์ เป็นสารประกอบที่ไม่เป็นอันตรายกับคน แต่อันตรายถึงชีวิตในสุนัข ดังนั้นผู้เลี้ยงสัตว์ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เลือกมาให้สัตว์เลี้ยงจะไม่เป็นอันตรายกับพวกเขา ควรใช้ยาสีฟันที่ปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงในการดูแลสุขภาพช่องปากกสุนัขที่คุณรัก



แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/xylitol-toxicity-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/brushing-teeth-in-dogs
https://wagwalking.com/condition/fluoride-poisoning



998
ทำไมสุนัขใช้ยาสีฟันของคนไม่ได้

   การแปรงฟันให้กับสุนัขมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยรักษาสุขภาพฟันและเหงือกให้อยู่กับสุนัขนาน พร้อมลมหายใจที่สะอาด แต่รู้หรือไม่ว่าสุนัขต้องใช้ยาสีฟันเฉพาะสำหรับสัตว์เท่านั้น ไม่ควรใช้ยาสีฟันของคน สุนัขไม่สามารถบ้วนปากได้เหมือนในคนจึงอาจจะกลืนยาสีฟันลงไปปริมาณมาก บางผลิตภัณฑ์มีสารประกอบที่เป็นพิษต่อสุนัข อาจจะส่งผลเสียอันตรายถึงชีวิตของสุนัขเราได้ ซึ่งส่วนประกอบในยาสีฟันคนที่เป็นพิษกับสุนัขได้แก่ ไซลิทอล และฟลูออไรด์



สารไซลิทอล (Xylitol) คืออะไร ? และเป็นพิษกับสุนัขได้อย่างไร ?

   ไซลิทอลจัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง (alcohol sugar) ซึ่งมีการใช้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นหมากฝรั่ง ยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก น้ำยาบ้วนปาก รวมทั้งยาสีฟันของคน หากสุนัขได้รับสารไซลิทอลปริมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัม หรือหมากฝรั่งที่มีสารไซลิทอลจำนวน 9 ชิ้นทำให้เกิดความเป็นพิษกับสุนัข 20 กิโลลกัรมได้ ไซลิทอลทำให้เกิดพิษกับสุนัขอย่างรุนแรงผ่านการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ปริมาณมากอย่างเฉียบพลัน เมื่ออินซูลินหลั่งออกมากจะส่งผลทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) ภายใน 10-60 นาทีหลังกินไซลิทอลเข้าไป และสารไซลิทอลยังมีผลต่อการทำงานของตับทำให้เกิดภาวะตับวายตามมาได้

   อาการที่พบหากสุนัขได้รับสารไซลิทอลเป็นจำนวนมากมักจะเกิดอาการทันทีภายใน 15-30 นาทีหลังกินเข้าไป เจ้าของอาจจะพบเศษของผลิตภัณฑ์ที่สุนัขกินเข้าไป อาการที่พบได้ คือ อาการอาเจียน อ่อนแรง ไม่สามารถยืนได้ ลุกเดินไม่ไหว ซึมลงอย่างกะทันหัน อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก หากได้รับปริมาณมากอาจะหมดสิต ชัก และอาจเสียชีวิต และหากได้รับการรักษาไม่ทันอาจจะทำให้เกิดภาวะตับวายตามมา

สารฟลูออไรด์ เป็นพิษกับสุนัขมากกว่าที่คุณคิด

   ฟลูออไรด์เป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ อาจจะพบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือในระบบบำบัดน้ำบางประเภท และเป็นสารที่พบได้ปริมาณในยาสีฟันของคน ซึ่งหากสุนัขได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าสุนัขได้รับสารฟลูออไรด์จะแสดงอาการภายใน 90 นาที และอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชิวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา สุนัขที่ได้รับฟลูออไรด์ปริมาณน้อยๆเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน หรือการเจริญเติบโตของกระดูกผิดปกติ และอาจจะเกิดปัญหากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง

   สารประกอบทั้ง 2 อย่าง ทั้งสารไซลิทอล และสารฟลูออไรด์ เป็นสารประกอบที่ไม่เป็นอันตรายกับคน แต่อันตรายถึงชีวิตในสุนัข ดังนั้นผู้เลี้ยงสัตว์ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เลือกมาให้สัตว์เลี้ยงจะไม่เป็นอันตรายกับพวกเขา ควรใช้ยาสีฟันที่ปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงในการดูแลสุขภาพช่องปากกสุนัขที่คุณรัก



แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/xylitol-toxicity-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/brushing-teeth-in-dogs
https://wagwalking.com/condition/fluoride-poisoning



999
ทำไมสุนัขใช้ยาสีฟันของคนไม่ได้

   การแปรงฟันให้กับสุนัขมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยรักษาสุขภาพฟันและเหงือกให้อยู่กับสุนัขนาน พร้อมลมหายใจที่สะอาด แต่รู้หรือไม่ว่าสุนัขต้องใช้ยาสีฟันเฉพาะสำหรับสัตว์เท่านั้น ไม่ควรใช้ยาสีฟันของคน สุนัขไม่สามารถบ้วนปากได้เหมือนในคนจึงอาจจะกลืนยาสีฟันลงไปปริมาณมาก บางผลิตภัณฑ์มีสารประกอบที่เป็นพิษต่อสุนัข อาจจะส่งผลเสียอันตรายถึงชีวิตของสุนัขเราได้ ซึ่งส่วนประกอบในยาสีฟันคนที่เป็นพิษกับสุนัขได้แก่ ไซลิทอล และฟลูออไรด์



สารไซลิทอล (Xylitol) คืออะไร ? และเป็นพิษกับสุนัขได้อย่างไร ?

   ไซลิทอลจัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง (alcohol sugar) ซึ่งมีการใช้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นหมากฝรั่ง ยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก น้ำยาบ้วนปาก รวมทั้งยาสีฟันของคน หากสุนัขได้รับสารไซลิทอลปริมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัม หรือหมากฝรั่งที่มีสารไซลิทอลจำนวน 9 ชิ้นทำให้เกิดความเป็นพิษกับสุนัข 20 กิโลลกัรมได้ ไซลิทอลทำให้เกิดพิษกับสุนัขอย่างรุนแรงผ่านการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ปริมาณมากอย่างเฉียบพลัน เมื่ออินซูลินหลั่งออกมากจะส่งผลทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) ภายใน 10-60 นาทีหลังกินไซลิทอลเข้าไป และสารไซลิทอลยังมีผลต่อการทำงานของตับทำให้เกิดภาวะตับวายตามมาได้

   อาการที่พบหากสุนัขได้รับสารไซลิทอลเป็นจำนวนมากมักจะเกิดอาการทันทีภายใน 15-30 นาทีหลังกินเข้าไป เจ้าของอาจจะพบเศษของผลิตภัณฑ์ที่สุนัขกินเข้าไป อาการที่พบได้ คือ อาการอาเจียน อ่อนแรง ไม่สามารถยืนได้ ลุกเดินไม่ไหว ซึมลงอย่างกะทันหัน อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก หากได้รับปริมาณมากอาจะหมดสิต ชัก และอาจเสียชีวิต และหากได้รับการรักษาไม่ทันอาจจะทำให้เกิดภาวะตับวายตามมา

สารฟลูออไรด์ เป็นพิษกับสุนัขมากกว่าที่คุณคิด

   ฟลูออไรด์เป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ อาจจะพบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือในระบบบำบัดน้ำบางประเภท และเป็นสารที่พบได้ปริมาณในยาสีฟันของคน ซึ่งหากสุนัขได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าสุนัขได้รับสารฟลูออไรด์จะแสดงอาการภายใน 90 นาที และอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชิวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา สุนัขที่ได้รับฟลูออไรด์ปริมาณน้อยๆเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน หรือการเจริญเติบโตของกระดูกผิดปกติ และอาจจะเกิดปัญหากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง

   สารประกอบทั้ง 2 อย่าง ทั้งสารไซลิทอล และสารฟลูออไรด์ เป็นสารประกอบที่ไม่เป็นอันตรายกับคน แต่อันตรายถึงชีวิตในสุนัข ดังนั้นผู้เลี้ยงสัตว์ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เลือกมาให้สัตว์เลี้ยงจะไม่เป็นอันตรายกับพวกเขา ควรใช้ยาสีฟันที่ปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงในการดูแลสุขภาพช่องปากกสุนัขที่คุณรัก



แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/xylitol-toxicity-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/brushing-teeth-in-dogs
https://wagwalking.com/condition/fluoride-poisoning



1000
ทำไมสุนัขใช้ยาสีฟันของคนไม่ได้

   การแปรงฟันให้กับสุนัขมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยรักษาสุขภาพฟันและเหงือกให้อยู่กับสุนัขนาน พร้อมลมหายใจที่สะอาด แต่รู้หรือไม่ว่าสุนัขต้องใช้ยาสีฟันเฉพาะสำหรับสัตว์เท่านั้น ไม่ควรใช้ยาสีฟันของคน สุนัขไม่สามารถบ้วนปากได้เหมือนในคนจึงอาจจะกลืนยาสีฟันลงไปปริมาณมาก บางผลิตภัณฑ์มีสารประกอบที่เป็นพิษต่อสุนัข อาจจะส่งผลเสียอันตรายถึงชีวิตของสุนัขเราได้ ซึ่งส่วนประกอบในยาสีฟันคนที่เป็นพิษกับสุนัขได้แก่ ไซลิทอล และฟลูออไรด์



สารไซลิทอล (Xylitol) คืออะไร ? และเป็นพิษกับสุนัขได้อย่างไร ?

   ไซลิทอลจัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง (alcohol sugar) ซึ่งมีการใช้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นหมากฝรั่ง ยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก น้ำยาบ้วนปาก รวมทั้งยาสีฟันของคน หากสุนัขได้รับสารไซลิทอลปริมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัม หรือหมากฝรั่งที่มีสารไซลิทอลจำนวน 9 ชิ้นทำให้เกิดความเป็นพิษกับสุนัข 20 กิโลลกัรมได้ ไซลิทอลทำให้เกิดพิษกับสุนัขอย่างรุนแรงผ่านการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ปริมาณมากอย่างเฉียบพลัน เมื่ออินซูลินหลั่งออกมากจะส่งผลทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) ภายใน 10-60 นาทีหลังกินไซลิทอลเข้าไป และสารไซลิทอลยังมีผลต่อการทำงานของตับทำให้เกิดภาวะตับวายตามมาได้

   อาการที่พบหากสุนัขได้รับสารไซลิทอลเป็นจำนวนมากมักจะเกิดอาการทันทีภายใน 15-30 นาทีหลังกินเข้าไป เจ้าของอาจจะพบเศษของผลิตภัณฑ์ที่สุนัขกินเข้าไป อาการที่พบได้ คือ อาการอาเจียน อ่อนแรง ไม่สามารถยืนได้ ลุกเดินไม่ไหว ซึมลงอย่างกะทันหัน อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก หากได้รับปริมาณมากอาจะหมดสิต ชัก และอาจเสียชีวิต และหากได้รับการรักษาไม่ทันอาจจะทำให้เกิดภาวะตับวายตามมา

สารฟลูออไรด์ เป็นพิษกับสุนัขมากกว่าที่คุณคิด

   ฟลูออไรด์เป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ อาจจะพบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือในระบบบำบัดน้ำบางประเภท และเป็นสารที่พบได้ปริมาณในยาสีฟันของคน ซึ่งหากสุนัขได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าสุนัขได้รับสารฟลูออไรด์จะแสดงอาการภายใน 90 นาที และอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชิวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา สุนัขที่ได้รับฟลูออไรด์ปริมาณน้อยๆเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน หรือการเจริญเติบโตของกระดูกผิดปกติ และอาจจะเกิดปัญหากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง

   สารประกอบทั้ง 2 อย่าง ทั้งสารไซลิทอล และสารฟลูออไรด์ เป็นสารประกอบที่ไม่เป็นอันตรายกับคน แต่อันตรายถึงชีวิตในสุนัข ดังนั้นผู้เลี้ยงสัตว์ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เลือกมาให้สัตว์เลี้ยงจะไม่เป็นอันตรายกับพวกเขา ควรใช้ยาสีฟันที่ปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงในการดูแลสุขภาพช่องปากกสุนัขที่คุณรัก



แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/xylitol-toxicity-in-dogs
https://vcahospitals.com/know-your-pet/brushing-teeth-in-dogs
https://wagwalking.com/condition/fluoride-poisoning



1001
วิธีการจัดการ อาการน้ำตาลต่ำในสุนัข

ทำความรู้จักกับน้ำตาลในเลือด

   น้ำตาลในเลือด โดมากจะสื่อถึงระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตาลตัวหลักที่ให้พลังงานกับเวล์ของร่างกาย โดยเราได้รับน้ำตาลจากการกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และร่างกายจะย่อยและเปลี่ยนรูปเป็นกลูโคสเพื่อให้เซลล์ในอวัยวะต่างๆนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งถูกสร้างมาจากตับอ่อน ระดับน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน พบว่าหลังจากกินอาหาร ระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นและจะลดลงหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชัวโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ที่ 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร



สาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

โรคเบาหวาน สุนัขที่ป่วยเป็นเบาหวานอาจจะเกิดอาการน้ำตาลต่ำ เนื่องจากความผิดปกติของการหลั่งหรือการใช้ฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติไป หรือการที่รักษาด้วยการฉีดอินซูลินทดแทนในขนาดการใช้ที่ไม่เหมาะสม

   ลูกสุนัข ลูกสุนัขที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน หรือสุนัขสายพันธุ์เล็กต่างๆ รวมทั้งกลุ่ม Toy Breed เช่น ชิวาว่า พุดเดิ้ล มอลทีส ปอมเมอเรเนียน ชิสุ เป็นต้น สุนัขเหล่านี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าสุนัขทั่วไปเนื่องจากมีการสะสมไขมันน้อยกว่า และยังมีความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเท่าสุนัขโต

   การได้รับสารไซลิทอล (Xylitol) ในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะทำให้มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำฉับพลัน อาเจียน ถ่ายเหลว หมดแรง ชัก สารไซลิทอลเป็นสารให้ความหวานชนิดหนึ่ง (Sugar alcohol) ซึ่งมีการใช้ในอาหาร ลูกอม หมากฝรั่ง สเปรย์พ่นจมูกของคน ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็ก กระดาษเช็ดทำความสะอาดสำหรับเด็ก (Baby wipes) ครีมกันแดด น้ำยาบ้วนปาก และยาสีฟันของคน

   สุนัขป่วยและมีอาการท้องเสีย อาเจียน และเมื่อป่วยสุนัขก็มักจะไม่ค่อยกินอาหารหรือน้ำ ถ้ากินก็กินในปริมาณน้อย ภาวะขาดน้ำร่วมกับการสูญเสียอิเล็คโตรไลท์ไปกับการท้องเสียและอาเจียน จะทำให้สุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำได้

   การได้รับโภชนาการไม่เหมาะสม พบบ่อยในลูกสุนัขที่เจ้าของให้อาหารไม่เพียงพอ หรือไม่เหมาะสมกับช่วงวัย ความถี่ของแต่ละมื้ออาหารนานเกินไป ลูกสุนัขเล่นเกินกำลังของตัวเองจนอ่อนเพลียร่วมกับได้รับอาหารไม่เพียงพอ

อาการที่พบเมื่อสุนัขมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

   สุนัขจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงลุก จับท่าไหนก็จะอยู่ท่านั้น  อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อสั่น ตาบอดฉับพลัน หรือถ้าอาการรุนแรงอาจจะถึงขั้นชักและหมดสติได้ ซึ่งถ้าสัตวแพทย์สงสัยว่ามีอาการดังกล่าวจะทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือด หากมีอาการน้ำตาลต่ำเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับรักษาอาจจะรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะสมองตายและอาจรุนแรงถึงเสียชีวิต

วิธีการรักษา

   เมื่อสัตวแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าสุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำ ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุใด จำเป็นที่จะต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน และค่อยรักษาที่สาเหตุของภาวะน้ำตาลต่ำภายหลัง การรักษาที่สามารถทำได้เลย หากเจ้าของสัตว์สงสัยว่าน้องมีอาการน้ำตาลต่ำหรือเคยมีประวัติน้ำตาลตกก่อนหน้านี้ เช่น การป้อนน้ำหวาน น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลกลูโคสโดยตรง แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงถึงขั้นชักเกร็ง หมดสติ ต้องรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันที เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับน้ำตาบผ่านทางเส้นเลือดให้เร็วที่สุด

แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs


1002
วิธีการจัดการ อาการน้ำตาลต่ำในสุนัข

ทำความรู้จักกับน้ำตาลในเลือด

   น้ำตาลในเลือด โดมากจะสื่อถึงระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตาลตัวหลักที่ให้พลังงานกับเวล์ของร่างกาย โดยเราได้รับน้ำตาลจากการกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และร่างกายจะย่อยและเปลี่ยนรูปเป็นกลูโคสเพื่อให้เซลล์ในอวัยวะต่างๆนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งถูกสร้างมาจากตับอ่อน ระดับน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน พบว่าหลังจากกินอาหาร ระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นและจะลดลงหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชัวโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ที่ 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร



สาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

โรคเบาหวาน สุนัขที่ป่วยเป็นเบาหวานอาจจะเกิดอาการน้ำตาลต่ำ เนื่องจากความผิดปกติของการหลั่งหรือการใช้ฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติไป หรือการที่รักษาด้วยการฉีดอินซูลินทดแทนในขนาดการใช้ที่ไม่เหมาะสม

   ลูกสุนัข ลูกสุนัขที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน หรือสุนัขสายพันธุ์เล็กต่างๆ รวมทั้งกลุ่ม Toy Breed เช่น ชิวาว่า พุดเดิ้ล มอลทีส ปอมเมอเรเนียน ชิสุ เป็นต้น สุนัขเหล่านี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าสุนัขทั่วไปเนื่องจากมีการสะสมไขมันน้อยกว่า และยังมีความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเท่าสุนัขโต

   การได้รับสารไซลิทอล (Xylitol) ในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะทำให้มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำฉับพลัน อาเจียน ถ่ายเหลว หมดแรง ชัก สารไซลิทอลเป็นสารให้ความหวานชนิดหนึ่ง (Sugar alcohol) ซึ่งมีการใช้ในอาหาร ลูกอม หมากฝรั่ง สเปรย์พ่นจมูกของคน ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็ก กระดาษเช็ดทำความสะอาดสำหรับเด็ก (Baby wipes) ครีมกันแดด น้ำยาบ้วนปาก และยาสีฟันของคน

   สุนัขป่วยและมีอาการท้องเสีย อาเจียน และเมื่อป่วยสุนัขก็มักจะไม่ค่อยกินอาหารหรือน้ำ ถ้ากินก็กินในปริมาณน้อย ภาวะขาดน้ำร่วมกับการสูญเสียอิเล็คโตรไลท์ไปกับการท้องเสียและอาเจียน จะทำให้สุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำได้

   การได้รับโภชนาการไม่เหมาะสม พบบ่อยในลูกสุนัขที่เจ้าของให้อาหารไม่เพียงพอ หรือไม่เหมาะสมกับช่วงวัย ความถี่ของแต่ละมื้ออาหารนานเกินไป ลูกสุนัขเล่นเกินกำลังของตัวเองจนอ่อนเพลียร่วมกับได้รับอาหารไม่เพียงพอ

อาการที่พบเมื่อสุนัขมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

   สุนัขจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงลุก จับท่าไหนก็จะอยู่ท่านั้น  อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อสั่น ตาบอดฉับพลัน หรือถ้าอาการรุนแรงอาจจะถึงขั้นชักและหมดสติได้ ซึ่งถ้าสัตวแพทย์สงสัยว่ามีอาการดังกล่าวจะทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือด หากมีอาการน้ำตาลต่ำเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับรักษาอาจจะรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะสมองตายและอาจรุนแรงถึงเสียชีวิต

วิธีการรักษา

   เมื่อสัตวแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าสุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำ ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุใด จำเป็นที่จะต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน และค่อยรักษาที่สาเหตุของภาวะน้ำตาลต่ำภายหลัง การรักษาที่สามารถทำได้เลย หากเจ้าของสัตว์สงสัยว่าน้องมีอาการน้ำตาลต่ำหรือเคยมีประวัติน้ำตาลตกก่อนหน้านี้ เช่น การป้อนน้ำหวาน น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลกลูโคสโดยตรง แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงถึงขั้นชักเกร็ง หมดสติ ต้องรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันที เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับน้ำตาบผ่านทางเส้นเลือดให้เร็วที่สุด

แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs


1003
วิธีการจัดการ อาการน้ำตาลต่ำในสุนัข

ทำความรู้จักกับน้ำตาลในเลือด

   น้ำตาลในเลือด โดมากจะสื่อถึงระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตาลตัวหลักที่ให้พลังงานกับเวล์ของร่างกาย โดยเราได้รับน้ำตาลจากการกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และร่างกายจะย่อยและเปลี่ยนรูปเป็นกลูโคสเพื่อให้เซลล์ในอวัยวะต่างๆนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งถูกสร้างมาจากตับอ่อน ระดับน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน พบว่าหลังจากกินอาหาร ระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นและจะลดลงหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชัวโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ที่ 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร



สาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

โรคเบาหวาน สุนัขที่ป่วยเป็นเบาหวานอาจจะเกิดอาการน้ำตาลต่ำ เนื่องจากความผิดปกติของการหลั่งหรือการใช้ฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติไป หรือการที่รักษาด้วยการฉีดอินซูลินทดแทนในขนาดการใช้ที่ไม่เหมาะสม

   ลูกสุนัข ลูกสุนัขที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน หรือสุนัขสายพันธุ์เล็กต่างๆ รวมทั้งกลุ่ม Toy Breed เช่น ชิวาว่า พุดเดิ้ล มอลทีส ปอมเมอเรเนียน ชิสุ เป็นต้น สุนัขเหล่านี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าสุนัขทั่วไปเนื่องจากมีการสะสมไขมันน้อยกว่า และยังมีความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเท่าสุนัขโต

   การได้รับสารไซลิทอล (Xylitol) ในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะทำให้มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำฉับพลัน อาเจียน ถ่ายเหลว หมดแรง ชัก สารไซลิทอลเป็นสารให้ความหวานชนิดหนึ่ง (Sugar alcohol) ซึ่งมีการใช้ในอาหาร ลูกอม หมากฝรั่ง สเปรย์พ่นจมูกของคน ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็ก กระดาษเช็ดทำความสะอาดสำหรับเด็ก (Baby wipes) ครีมกันแดด น้ำยาบ้วนปาก และยาสีฟันของคน

   สุนัขป่วยและมีอาการท้องเสีย อาเจียน และเมื่อป่วยสุนัขก็มักจะไม่ค่อยกินอาหารหรือน้ำ ถ้ากินก็กินในปริมาณน้อย ภาวะขาดน้ำร่วมกับการสูญเสียอิเล็คโตรไลท์ไปกับการท้องเสียและอาเจียน จะทำให้สุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำได้

   การได้รับโภชนาการไม่เหมาะสม พบบ่อยในลูกสุนัขที่เจ้าของให้อาหารไม่เพียงพอ หรือไม่เหมาะสมกับช่วงวัย ความถี่ของแต่ละมื้ออาหารนานเกินไป ลูกสุนัขเล่นเกินกำลังของตัวเองจนอ่อนเพลียร่วมกับได้รับอาหารไม่เพียงพอ

อาการที่พบเมื่อสุนัขมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

   สุนัขจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงลุก จับท่าไหนก็จะอยู่ท่านั้น  อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อสั่น ตาบอดฉับพลัน หรือถ้าอาการรุนแรงอาจจะถึงขั้นชักและหมดสติได้ ซึ่งถ้าสัตวแพทย์สงสัยว่ามีอาการดังกล่าวจะทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือด หากมีอาการน้ำตาลต่ำเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับรักษาอาจจะรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะสมองตายและอาจรุนแรงถึงเสียชีวิต

วิธีการรักษา

   เมื่อสัตวแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าสุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำ ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุใด จำเป็นที่จะต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน และค่อยรักษาที่สาเหตุของภาวะน้ำตาลต่ำภายหลัง การรักษาที่สามารถทำได้เลย หากเจ้าของสัตว์สงสัยว่าน้องมีอาการน้ำตาลต่ำหรือเคยมีประวัติน้ำตาลตกก่อนหน้านี้ เช่น การป้อนน้ำหวาน น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลกลูโคสโดยตรง แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงถึงขั้นชักเกร็ง หมดสติ ต้องรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันที เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับน้ำตาบผ่านทางเส้นเลือดให้เร็วที่สุด

แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs


1004
วิธีการจัดการ อาการน้ำตาลต่ำในสุนัข

ทำความรู้จักกับน้ำตาลในเลือด

   น้ำตาลในเลือด โดมากจะสื่อถึงระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตาลตัวหลักที่ให้พลังงานกับเวล์ของร่างกาย โดยเราได้รับน้ำตาลจากการกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และร่างกายจะย่อยและเปลี่ยนรูปเป็นกลูโคสเพื่อให้เซลล์ในอวัยวะต่างๆนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งถูกสร้างมาจากตับอ่อน ระดับน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน พบว่าหลังจากกินอาหาร ระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นและจะลดลงหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชัวโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ที่ 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร



สาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

โรคเบาหวาน สุนัขที่ป่วยเป็นเบาหวานอาจจะเกิดอาการน้ำตาลต่ำ เนื่องจากความผิดปกติของการหลั่งหรือการใช้ฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติไป หรือการที่รักษาด้วยการฉีดอินซูลินทดแทนในขนาดการใช้ที่ไม่เหมาะสม

   ลูกสุนัข ลูกสุนัขที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน หรือสุนัขสายพันธุ์เล็กต่างๆ รวมทั้งกลุ่ม Toy Breed เช่น ชิวาว่า พุดเดิ้ล มอลทีส ปอมเมอเรเนียน ชิสุ เป็นต้น สุนัขเหล่านี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าสุนัขทั่วไปเนื่องจากมีการสะสมไขมันน้อยกว่า และยังมีความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเท่าสุนัขโต

   การได้รับสารไซลิทอล (Xylitol) ในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะทำให้มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำฉับพลัน อาเจียน ถ่ายเหลว หมดแรง ชัก สารไซลิทอลเป็นสารให้ความหวานชนิดหนึ่ง (Sugar alcohol) ซึ่งมีการใช้ในอาหาร ลูกอม หมากฝรั่ง สเปรย์พ่นจมูกของคน ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็ก กระดาษเช็ดทำความสะอาดสำหรับเด็ก (Baby wipes) ครีมกันแดด น้ำยาบ้วนปาก และยาสีฟันของคน

   สุนัขป่วยและมีอาการท้องเสีย อาเจียน และเมื่อป่วยสุนัขก็มักจะไม่ค่อยกินอาหารหรือน้ำ ถ้ากินก็กินในปริมาณน้อย ภาวะขาดน้ำร่วมกับการสูญเสียอิเล็คโตรไลท์ไปกับการท้องเสียและอาเจียน จะทำให้สุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำได้

   การได้รับโภชนาการไม่เหมาะสม พบบ่อยในลูกสุนัขที่เจ้าของให้อาหารไม่เพียงพอ หรือไม่เหมาะสมกับช่วงวัย ความถี่ของแต่ละมื้ออาหารนานเกินไป ลูกสุนัขเล่นเกินกำลังของตัวเองจนอ่อนเพลียร่วมกับได้รับอาหารไม่เพียงพอ

อาการที่พบเมื่อสุนัขมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

   สุนัขจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงลุก จับท่าไหนก็จะอยู่ท่านั้น  อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อสั่น ตาบอดฉับพลัน หรือถ้าอาการรุนแรงอาจจะถึงขั้นชักและหมดสติได้ ซึ่งถ้าสัตวแพทย์สงสัยว่ามีอาการดังกล่าวจะทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือด หากมีอาการน้ำตาลต่ำเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับรักษาอาจจะรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะสมองตายและอาจรุนแรงถึงเสียชีวิต

วิธีการรักษา

   เมื่อสัตวแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าสุนัขมีอาการน้ำตาลต่ำ ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุใด จำเป็นที่จะต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน และค่อยรักษาที่สาเหตุของภาวะน้ำตาลต่ำภายหลัง การรักษาที่สามารถทำได้เลย หากเจ้าของสัตว์สงสัยว่าน้องมีอาการน้ำตาลต่ำหรือเคยมีประวัติน้ำตาลตกก่อนหน้านี้ เช่น การป้อนน้ำหวาน น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลกลูโคสโดยตรง แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงถึงขั้นชักเกร็ง หมดสติ ต้องรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันที เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับน้ำตาบผ่านทางเส้นเลือดให้เร็วที่สุด

แหล่งที่มา

https://www.dognews.com/merry-fitzgerald-dvm-blood-sugar-hypoglycemia-hyperglycemia-in-dogs


1005
โรคที่มักพบ / โรคเชื้อราในแมว
« เมื่อ: 19 เม.ย. 64, 22:03:01น. »
โรคเชื้อราในแมว

สาเหตุ

   โรคเชื้อรา (Dermathophytosis หรือ Ringworm) ในแมวส่วนมากเกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า Microsporum canis ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคผิวหนังในแมว แมวที่สุขภาพแข็งแรงจำนวนมากเป็นแหล่งแพร่โรคนี้โดยที่ไม่แสดงอาการ โดยมากแมวที่มีอาการคือลูกแมว แมวอายุมาก หรือแมวที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน น้องแมวที่เลี้ยงในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี เลี้ยงอย่างหนาแน่นหลายตัวในพื้นที่จำกัด หรือน้องแมวที่มีความเครียดสะสม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไป



   น้องแมวจะติดเชื้อจากสปอร์ของเชื้อราที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสปอร์เชื้อราสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นปี หากไม่มีการทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม ซึ่งแมวจะติดโดยการสัมผัสสปอร์เชื้อราจากแมวที่เป็นพาหะ หรือใช้ของร่วมกันกับแมวที่เป็นโรคเชื้อรา เช่น ที่นอน, ของเล่น, แปรงหวีขน เป็นต้น การสัมผัสสิ่งแวดล้อม หรืออาศัยอยู่ในบริเวณที่เคยมีน้องแมวที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะได้รับเชื้อมาได้

อาการของโรคเชื้อราในแมว

   แมวที่เป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง จะมีอาการขนร่วงเป็นวงกลม ผิวหนังลอก เป็นสะเก็ดรังแค หรือเกิดรอยแดงรอบๆขอบวงกลมซึ่งเรียกลักษณะเฉพาะนี้ว่า Ringworm แมวส่วนหนึ่งสามารถหายได้เอง โดยอาจจะพบขนร่วงและรังแคเล็กน้อย แต่ในแมวที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันตก ลูกแมว แมวอายุมาก หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง น้องแมวที่เลี้ยงในสุขอนามัยไม่ดีมักจะไม่หายเอง และมักจะเป็นหลายบริเวณ ที่พบได้บ่อยคือ บริเวณใบหู รอบๆหัว หาง และหลัง

การวินิจฉัยโรค

   เมื่อนำน้องแมวที่มีอาการไปพบสัตวแพทย์ คุณหมอจะตรวจเบื้องต้นด้วยการใช้ไฟฉายส่องเชื้อรา (Wood lamp) โดยเมื่อส่องแล้วพบว่ามีการเรืองแสงที่บริเวณโคนของเส้นขน หมายถึงให้ผลบวกกับเชื้อ Microspora canis และนอกจากนั้นคุณหมอจะตรวจหาสปอร์ของเชื้อราจากเส้นขนด้วยกล้องจุลทรรศน์ และสามารถเพาะเชื้อราจากการเก็บเส้นขนและรังแคในบริเวณที่เป็นรอยโรคใหม่ ทั้งนี้ถ้าน้องแมวรับยารักษาหรือมีการอาบน้ำ อาจจะทำให้ตรวจไม่เจอเชื้อ

การรักษา

   การรักษาเชื้อราในน้องแมวที่เป็นไม่มาก เช่นเป็นเพียง 1-2 บริเวณ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้รักษาด้วยการใช้ยาทา สเปรย์พ่นฆ่าเชื้อรา ร่วมกับการฟอกยาหรืออาบน้ำด้วยแชมพูฆ่าเชื้อราสำหรับสัตว์เลี้ยง ส่วนในรายที่เป็นหลายบริเวณ เป็นทั้งตัว หรือมีอาการเรื้อรัง เป็นๆหายๆ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยาทาภายนอก ร่วมกับการรักษาด้วยการกินยาฆ่าเชื้อรา (Itraconazole) ซึ่งจำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากนี้มีผลต่อการทำงานของตับ และน้องแมวมีความไวต่อยานี้เป็นพิเศษ ไม่ควรหาซื้อมาให้น้องแมวกินเอง โดยระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละตัว โดยมากใช้เวลาหลายสัปดาห์ (ประมาณ 4-12สัปดาห์) โดยจะหยุดยาได้ก็ต่อเมื่อผลเพาะเชื้อราเป็นลบ

การป้องกัน

   การป้องกันที่สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อราในแมวได้ คือ การจัดการสุขอนามัยของแมวให้เหมาะสม ทำความสะอาดบริเวณที่น้องแมวอยู่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ นอกจากนั้นควรแยกแมวที่เป้นโรคเชื้อราออกจากแมวที่ไม่มีอาการให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ติดกัน มีการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อรา แต่ยังมีรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ชัดเจน มีรายงานว่าการให้วัคซีนกับแมวที่เป็นเชื้อราทำให้หายเร็วขึ้น

แหล่งที่มา
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23813824/