แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

901
6 พันธุ์หมาน่าเลี้ยง สำหรับคนรักหมาญี่ปุ่น

     ถ้าพูดถึงน้องหมาสายพันธุ์ที่ญี่ปุ่น ก็จะนึกถึงน้องหมาพันธุ์ ชิบะ อินุ  ฮอกไกโดอินุ และ อาคิตะ อินุ  ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นที่นิยมมาก ๆ ในประเทศไทย ด้วยความน่ารักและหน้าตาที่ดูมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  ทำให้ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก ของหลาย ๆ คน ...
     และในประเทศญี่ปุ่นได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์คุ้มครองให้กับ เหล่าน้องหมา6 สายพันธุ์ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงสูญพันธุ์ สำหรับใครที่คิดอยากเลี้ยง พันธุ์หมาญี่ปุ่น แท้ ลองมาทำความรู้จักน้องกันหน่อยดีกว่าว่าจะมีมีสายพันธุ์อะไรบ้าง



1.   ชิบะ อินุ (SHIBA INU)

     เป็นน้องหมาที่เลี้ยงไว้สำหรับล่าสัตว์เล็กในอดีต โดยสัตว์ที่ล่าก็จะเป็นพวกสัตว์เล็กอย่าง นกหรือกระต่าย ตามบริเวณพุ่มไม้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 น้องหมาชิบะเกือบจะสูญพันธุ์เพราะได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่มากับระเบิด แต่ได้มีการเพาะและพัฒนาสายพันธุ์จนสายเลือดนิ่งเป็นปกติเช่นทุกวันนี้  ชิบะอินุเป็นน้องหมาสายพันธุ์แรกที่ได้รับมาตรฐานทางด้านสายพันธุ์ของประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1936



2.   อาคิตะ อินุ (AKITA INU)

     น้องหมาอาคิตะจะถูกเลี้ยงเพื่อเป็นหมาต่อสู้และล่าเนื้อ แต่หลังจากมีกฎหมายห้ามจัดการต่อสู้หมา จำนวนน้องหมาอาคิตะก็มีจำนวนลดลงมาก จนในปีค.ศ.1919 เหล่าคนน้องหมาพันธุ์อาคิตะก็รวมตัวกันผลักดันให้อาคิตะได้ขึ้นบัญชีเป็นสุนัขสงวนสายพันธุ์ประสบผลสำเร็จในปีค.ศ.1931




3.   คิชู อินุ (KISHU INU)

     เริ่มสงสัยแล้วสินะน้องหมาพันธุ์นี้หน้าตาเป็นยังไงเพราะชื่อไม่คุ้นเลย... คิชู เป็นน้องหมาพันธุ์ดั้งเดิมที่มีตำนานเก่าแก่เล่าว่า หมาป่าตัวหนึ่งเจ็บป่วยและนายพรานได้มาช่วยเอาไว้ แล้วหมาป่าก็ตอบแทนบุญคุณด้วยการมอบลูกให้ ต่อมาลูกหมาป่าก็ผสมข้ามสายพันธุ์กับหมาพันธุ์อื่นจนเป็นของคิชูอินุในปัจจุบันนั่นเอง  หมาคิชู มีนิสัยคล้าย ๆ กับน้องหมาบางแก้วบ้านเรานี่ที่ไม่ค่อยเห่า ใจเย็น และชอบโจมตีศัตรู ซื่อสัตย์ รักเจ้าของมาก ๆ พูดง่าย ๆ คือน่ารักแต่ดุนั่นเอง จึงทำให้คิชูอินุ เป็นน้องหมาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้านนั่นเอง เดิมทีน้องหมาคิชูมีขนสีอื่นนอกจากสีขาว แต่ว่าถูกล่าไปจนเกือบหมด จนเกือบสูญพันธุ์ และในที่สุดก็ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1934



4.   ชิโกกุ อินุ (SHIKOKU INU)

     น้องหมาขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดใน ชิโกกุ น้องหมาสายพันธุ์พื้นเมือง อดีตเลี้ยงไว้เพื่อการล่ากวางและหมูป่าในหมู่บ้านบนภูเขา ทำให้ร่างกายของน้องหมาชิโกกุแข็งแรง มีความอดทนสูง ทนต่อสภาพอากาศที่อบอุ่นและชื้นได้ดี ชิโกกุอินุได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



5.   ฮอกไกโดเคน (HOKKAIDO KEN)

     หรือ หมาไอนุ สมัยก่อนเลี้ยงไว้ล่าสัตว์ รวมไปถึงเลี้ยงเอาไว้ค้นหาและช่วยเหลือผู้คน เอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือขนของพวกเขาจะเป็นขนสองชั้นที่หนา ทำให้สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศหนาวได้ดี มีจิตใจที่เข้มแข็ง ใจกล้า ไม่กลัวใคร ทำให้ทุกวันนี้น้องหมาฮอกไกโดเคนได้รับการพัฒนาจนเป็นน้องหมาประจำครอบครัว เลี้ยงเป็นเพื่อนและเฝ้าบ้าน และได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



6.   คาอิเคน (KAI KEN)

     หลายคนเรียกหมาลายเสือคาอิ ถ้านึกไม่ออกก็ค้นได้จากการ์ตูนเรื่อง เจ้าเขี้ยวเงิน ก็คือน้องหมาพันธุ์คาอิเคนนี่แหละ เป็นน้องหมา เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติของสุนัขนักล่าหลายสายพันธุ์ มีนิสัยค่อนข้างดุ มีความเป็นนักสู้ เด็ดเดียว และมีความเป็นนักล่า ลักษณะของน้องหมาสายพันธุ์คาอิเคนคือ ขนที่เป็นลายเสือนั่นเองจึงได้รับการเรียกขานว่าหมาลายเสือ คาอิเคนได้รับการขึ้นบัญชีสัตว์คุ้มครองเมื่อปี ค.ศ.1934

หมา ถือเป็นเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์และเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับมนุษย์ หากถูกรักและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอน้องจะเป็นเพื่อนและคู่หูที่ดีกับคุณมาก สำหรับใครที่ชื่นชอบ ‘พันธุ์หมาญี่ปุ่น’ และอยากเลี้ยง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ


902
6 พันธุ์หมาน่าเลี้ยง สำหรับคนรักหมาญี่ปุ่น

     ถ้าพูดถึงน้องหมาสายพันธุ์ที่ญี่ปุ่น ก็จะนึกถึงน้องหมาพันธุ์ ชิบะ อินุ  ฮอกไกโดอินุ และ อาคิตะ อินุ  ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นที่นิยมมาก ๆ ในประเทศไทย ด้วยความน่ารักและหน้าตาที่ดูมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  ทำให้ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก ของหลาย ๆ คน ...
     และในประเทศญี่ปุ่นได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์คุ้มครองให้กับ เหล่าน้องหมา6 สายพันธุ์ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงสูญพันธุ์ สำหรับใครที่คิดอยากเลี้ยง พันธุ์หมาญี่ปุ่น แท้ ลองมาทำความรู้จักน้องกันหน่อยดีกว่าว่าจะมีมีสายพันธุ์อะไรบ้าง



1.   ชิบะ อินุ (SHIBA INU)

     เป็นน้องหมาที่เลี้ยงไว้สำหรับล่าสัตว์เล็กในอดีต โดยสัตว์ที่ล่าก็จะเป็นพวกสัตว์เล็กอย่าง นกหรือกระต่าย ตามบริเวณพุ่มไม้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 น้องหมาชิบะเกือบจะสูญพันธุ์เพราะได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่มากับระเบิด แต่ได้มีการเพาะและพัฒนาสายพันธุ์จนสายเลือดนิ่งเป็นปกติเช่นทุกวันนี้  ชิบะอินุเป็นน้องหมาสายพันธุ์แรกที่ได้รับมาตรฐานทางด้านสายพันธุ์ของประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1936



2.   อาคิตะ อินุ (AKITA INU)

     น้องหมาอาคิตะจะถูกเลี้ยงเพื่อเป็นหมาต่อสู้และล่าเนื้อ แต่หลังจากมีกฎหมายห้ามจัดการต่อสู้หมา จำนวนน้องหมาอาคิตะก็มีจำนวนลดลงมาก จนในปีค.ศ.1919 เหล่าคนน้องหมาพันธุ์อาคิตะก็รวมตัวกันผลักดันให้อาคิตะได้ขึ้นบัญชีเป็นสุนัขสงวนสายพันธุ์ประสบผลสำเร็จในปีค.ศ.1931




3.   คิชู อินุ (KISHU INU)

     เริ่มสงสัยแล้วสินะน้องหมาพันธุ์นี้หน้าตาเป็นยังไงเพราะชื่อไม่คุ้นเลย... คิชู เป็นน้องหมาพันธุ์ดั้งเดิมที่มีตำนานเก่าแก่เล่าว่า หมาป่าตัวหนึ่งเจ็บป่วยและนายพรานได้มาช่วยเอาไว้ แล้วหมาป่าก็ตอบแทนบุญคุณด้วยการมอบลูกให้ ต่อมาลูกหมาป่าก็ผสมข้ามสายพันธุ์กับหมาพันธุ์อื่นจนเป็นของคิชูอินุในปัจจุบันนั่นเอง  หมาคิชู มีนิสัยคล้าย ๆ กับน้องหมาบางแก้วบ้านเรานี่ที่ไม่ค่อยเห่า ใจเย็น และชอบโจมตีศัตรู ซื่อสัตย์ รักเจ้าของมาก ๆ พูดง่าย ๆ คือน่ารักแต่ดุนั่นเอง จึงทำให้คิชูอินุ เป็นน้องหมาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้านนั่นเอง เดิมทีน้องหมาคิชูมีขนสีอื่นนอกจากสีขาว แต่ว่าถูกล่าไปจนเกือบหมด จนเกือบสูญพันธุ์ และในที่สุดก็ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1934



4.   ชิโกกุ อินุ (SHIKOKU INU)

     น้องหมาขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดใน ชิโกกุ น้องหมาสายพันธุ์พื้นเมือง อดีตเลี้ยงไว้เพื่อการล่ากวางและหมูป่าในหมู่บ้านบนภูเขา ทำให้ร่างกายของน้องหมาชิโกกุแข็งแรง มีความอดทนสูง ทนต่อสภาพอากาศที่อบอุ่นและชื้นได้ดี ชิโกกุอินุได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



5.   ฮอกไกโดเคน (HOKKAIDO KEN)

     หรือ หมาไอนุ สมัยก่อนเลี้ยงไว้ล่าสัตว์ รวมไปถึงเลี้ยงเอาไว้ค้นหาและช่วยเหลือผู้คน เอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือขนของพวกเขาจะเป็นขนสองชั้นที่หนา ทำให้สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศหนาวได้ดี มีจิตใจที่เข้มแข็ง ใจกล้า ไม่กลัวใคร ทำให้ทุกวันนี้น้องหมาฮอกไกโดเคนได้รับการพัฒนาจนเป็นน้องหมาประจำครอบครัว เลี้ยงเป็นเพื่อนและเฝ้าบ้าน และได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



6.   คาอิเคน (KAI KEN)

     หลายคนเรียกหมาลายเสือคาอิ ถ้านึกไม่ออกก็ค้นได้จากการ์ตูนเรื่อง เจ้าเขี้ยวเงิน ก็คือน้องหมาพันธุ์คาอิเคนนี่แหละ เป็นน้องหมา เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติของสุนัขนักล่าหลายสายพันธุ์ มีนิสัยค่อนข้างดุ มีความเป็นนักสู้ เด็ดเดียว และมีความเป็นนักล่า ลักษณะของน้องหมาสายพันธุ์คาอิเคนคือ ขนที่เป็นลายเสือนั่นเองจึงได้รับการเรียกขานว่าหมาลายเสือ คาอิเคนได้รับการขึ้นบัญชีสัตว์คุ้มครองเมื่อปี ค.ศ.1934

หมา ถือเป็นเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์และเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับมนุษย์ หากถูกรักและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอน้องจะเป็นเพื่อนและคู่หูที่ดีกับคุณมาก สำหรับใครที่ชื่นชอบ ‘พันธุ์หมาญี่ปุ่น’ และอยากเลี้ยง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ


903
6 พันธุ์หมาน่าเลี้ยง สำหรับคนรักหมาญี่ปุ่น

     ถ้าพูดถึงน้องหมาสายพันธุ์ที่ญี่ปุ่น ก็จะนึกถึงน้องหมาพันธุ์ ชิบะ อินุ  ฮอกไกโดอินุ และ อาคิตะ อินุ  ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นที่นิยมมาก ๆ ในประเทศไทย ด้วยความน่ารักและหน้าตาที่ดูมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  ทำให้ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก ของหลาย ๆ คน ...
     และในประเทศญี่ปุ่นได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์คุ้มครองให้กับ เหล่าน้องหมา6 สายพันธุ์ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงสูญพันธุ์ สำหรับใครที่คิดอยากเลี้ยง พันธุ์หมาญี่ปุ่น แท้ ลองมาทำความรู้จักน้องกันหน่อยดีกว่าว่าจะมีมีสายพันธุ์อะไรบ้าง



1.   ชิบะ อินุ (SHIBA INU)

     เป็นน้องหมาที่เลี้ยงไว้สำหรับล่าสัตว์เล็กในอดีต โดยสัตว์ที่ล่าก็จะเป็นพวกสัตว์เล็กอย่าง นกหรือกระต่าย ตามบริเวณพุ่มไม้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 น้องหมาชิบะเกือบจะสูญพันธุ์เพราะได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่มากับระเบิด แต่ได้มีการเพาะและพัฒนาสายพันธุ์จนสายเลือดนิ่งเป็นปกติเช่นทุกวันนี้  ชิบะอินุเป็นน้องหมาสายพันธุ์แรกที่ได้รับมาตรฐานทางด้านสายพันธุ์ของประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1936



2.   อาคิตะ อินุ (AKITA INU)

     น้องหมาอาคิตะจะถูกเลี้ยงเพื่อเป็นหมาต่อสู้และล่าเนื้อ แต่หลังจากมีกฎหมายห้ามจัดการต่อสู้หมา จำนวนน้องหมาอาคิตะก็มีจำนวนลดลงมาก จนในปีค.ศ.1919 เหล่าคนน้องหมาพันธุ์อาคิตะก็รวมตัวกันผลักดันให้อาคิตะได้ขึ้นบัญชีเป็นสุนัขสงวนสายพันธุ์ประสบผลสำเร็จในปีค.ศ.1931




3.   คิชู อินุ (KISHU INU)

     เริ่มสงสัยแล้วสินะน้องหมาพันธุ์นี้หน้าตาเป็นยังไงเพราะชื่อไม่คุ้นเลย... คิชู เป็นน้องหมาพันธุ์ดั้งเดิมที่มีตำนานเก่าแก่เล่าว่า หมาป่าตัวหนึ่งเจ็บป่วยและนายพรานได้มาช่วยเอาไว้ แล้วหมาป่าก็ตอบแทนบุญคุณด้วยการมอบลูกให้ ต่อมาลูกหมาป่าก็ผสมข้ามสายพันธุ์กับหมาพันธุ์อื่นจนเป็นของคิชูอินุในปัจจุบันนั่นเอง  หมาคิชู มีนิสัยคล้าย ๆ กับน้องหมาบางแก้วบ้านเรานี่ที่ไม่ค่อยเห่า ใจเย็น และชอบโจมตีศัตรู ซื่อสัตย์ รักเจ้าของมาก ๆ พูดง่าย ๆ คือน่ารักแต่ดุนั่นเอง จึงทำให้คิชูอินุ เป็นน้องหมาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้านนั่นเอง เดิมทีน้องหมาคิชูมีขนสีอื่นนอกจากสีขาว แต่ว่าถูกล่าไปจนเกือบหมด จนเกือบสูญพันธุ์ และในที่สุดก็ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1934



4.   ชิโกกุ อินุ (SHIKOKU INU)

     น้องหมาขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดใน ชิโกกุ น้องหมาสายพันธุ์พื้นเมือง อดีตเลี้ยงไว้เพื่อการล่ากวางและหมูป่าในหมู่บ้านบนภูเขา ทำให้ร่างกายของน้องหมาชิโกกุแข็งแรง มีความอดทนสูง ทนต่อสภาพอากาศที่อบอุ่นและชื้นได้ดี ชิโกกุอินุได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



5.   ฮอกไกโดเคน (HOKKAIDO KEN)

     หรือ หมาไอนุ สมัยก่อนเลี้ยงไว้ล่าสัตว์ รวมไปถึงเลี้ยงเอาไว้ค้นหาและช่วยเหลือผู้คน เอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือขนของพวกเขาจะเป็นขนสองชั้นที่หนา ทำให้สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศหนาวได้ดี มีจิตใจที่เข้มแข็ง ใจกล้า ไม่กลัวใคร ทำให้ทุกวันนี้น้องหมาฮอกไกโดเคนได้รับการพัฒนาจนเป็นน้องหมาประจำครอบครัว เลี้ยงเป็นเพื่อนและเฝ้าบ้าน และได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



6.   คาอิเคน (KAI KEN)

     หลายคนเรียกหมาลายเสือคาอิ ถ้านึกไม่ออกก็ค้นได้จากการ์ตูนเรื่อง เจ้าเขี้ยวเงิน ก็คือน้องหมาพันธุ์คาอิเคนนี่แหละ เป็นน้องหมา เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติของสุนัขนักล่าหลายสายพันธุ์ มีนิสัยค่อนข้างดุ มีความเป็นนักสู้ เด็ดเดียว และมีความเป็นนักล่า ลักษณะของน้องหมาสายพันธุ์คาอิเคนคือ ขนที่เป็นลายเสือนั่นเองจึงได้รับการเรียกขานว่าหมาลายเสือ คาอิเคนได้รับการขึ้นบัญชีสัตว์คุ้มครองเมื่อปี ค.ศ.1934

หมา ถือเป็นเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์และเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับมนุษย์ หากถูกรักและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอน้องจะเป็นเพื่อนและคู่หูที่ดีกับคุณมาก สำหรับใครที่ชื่นชอบ ‘พันธุ์หมาญี่ปุ่น’ และอยากเลี้ยง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ


904
6 พันธุ์หมาน่าเลี้ยง สำหรับคนรักหมาญี่ปุ่น

     ถ้าพูดถึงน้องหมาสายพันธุ์ที่ญี่ปุ่น ก็จะนึกถึงน้องหมาพันธุ์ ชิบะ อินุ  ฮอกไกโดอินุ และ อาคิตะ อินุ  ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นที่นิยมมาก ๆ ในประเทศไทย ด้วยความน่ารักและหน้าตาที่ดูมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  ทำให้ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก ของหลาย ๆ คน ...
     และในประเทศญี่ปุ่นได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์คุ้มครองให้กับ เหล่าน้องหมา6 สายพันธุ์ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงสูญพันธุ์ สำหรับใครที่คิดอยากเลี้ยง พันธุ์หมาญี่ปุ่น แท้ ลองมาทำความรู้จักน้องกันหน่อยดีกว่าว่าจะมีมีสายพันธุ์อะไรบ้าง



1.   ชิบะ อินุ (SHIBA INU)

     เป็นน้องหมาที่เลี้ยงไว้สำหรับล่าสัตว์เล็กในอดีต โดยสัตว์ที่ล่าก็จะเป็นพวกสัตว์เล็กอย่าง นกหรือกระต่าย ตามบริเวณพุ่มไม้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 น้องหมาชิบะเกือบจะสูญพันธุ์เพราะได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่มากับระเบิด แต่ได้มีการเพาะและพัฒนาสายพันธุ์จนสายเลือดนิ่งเป็นปกติเช่นทุกวันนี้  ชิบะอินุเป็นน้องหมาสายพันธุ์แรกที่ได้รับมาตรฐานทางด้านสายพันธุ์ของประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1936



2.   อาคิตะ อินุ (AKITA INU)

     น้องหมาอาคิตะจะถูกเลี้ยงเพื่อเป็นหมาต่อสู้และล่าเนื้อ แต่หลังจากมีกฎหมายห้ามจัดการต่อสู้หมา จำนวนน้องหมาอาคิตะก็มีจำนวนลดลงมาก จนในปีค.ศ.1919 เหล่าคนน้องหมาพันธุ์อาคิตะก็รวมตัวกันผลักดันให้อาคิตะได้ขึ้นบัญชีเป็นสุนัขสงวนสายพันธุ์ประสบผลสำเร็จในปีค.ศ.1931




3.   คิชู อินุ (KISHU INU)

     เริ่มสงสัยแล้วสินะน้องหมาพันธุ์นี้หน้าตาเป็นยังไงเพราะชื่อไม่คุ้นเลย... คิชู เป็นน้องหมาพันธุ์ดั้งเดิมที่มีตำนานเก่าแก่เล่าว่า หมาป่าตัวหนึ่งเจ็บป่วยและนายพรานได้มาช่วยเอาไว้ แล้วหมาป่าก็ตอบแทนบุญคุณด้วยการมอบลูกให้ ต่อมาลูกหมาป่าก็ผสมข้ามสายพันธุ์กับหมาพันธุ์อื่นจนเป็นของคิชูอินุในปัจจุบันนั่นเอง  หมาคิชู มีนิสัยคล้าย ๆ กับน้องหมาบางแก้วบ้านเรานี่ที่ไม่ค่อยเห่า ใจเย็น และชอบโจมตีศัตรู ซื่อสัตย์ รักเจ้าของมาก ๆ พูดง่าย ๆ คือน่ารักแต่ดุนั่นเอง จึงทำให้คิชูอินุ เป็นน้องหมาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้านนั่นเอง เดิมทีน้องหมาคิชูมีขนสีอื่นนอกจากสีขาว แต่ว่าถูกล่าไปจนเกือบหมด จนเกือบสูญพันธุ์ และในที่สุดก็ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1934



4.   ชิโกกุ อินุ (SHIKOKU INU)

     น้องหมาขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดใน ชิโกกุ น้องหมาสายพันธุ์พื้นเมือง อดีตเลี้ยงไว้เพื่อการล่ากวางและหมูป่าในหมู่บ้านบนภูเขา ทำให้ร่างกายของน้องหมาชิโกกุแข็งแรง มีความอดทนสูง ทนต่อสภาพอากาศที่อบอุ่นและชื้นได้ดี ชิโกกุอินุได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



5.   ฮอกไกโดเคน (HOKKAIDO KEN)

     หรือ หมาไอนุ สมัยก่อนเลี้ยงไว้ล่าสัตว์ รวมไปถึงเลี้ยงเอาไว้ค้นหาและช่วยเหลือผู้คน เอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือขนของพวกเขาจะเป็นขนสองชั้นที่หนา ทำให้สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศหนาวได้ดี มีจิตใจที่เข้มแข็ง ใจกล้า ไม่กลัวใคร ทำให้ทุกวันนี้น้องหมาฮอกไกโดเคนได้รับการพัฒนาจนเป็นน้องหมาประจำครอบครัว เลี้ยงเป็นเพื่อนและเฝ้าบ้าน และได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวนในปี ค.ศ.1937



6.   คาอิเคน (KAI KEN)

     หลายคนเรียกหมาลายเสือคาอิ ถ้านึกไม่ออกก็ค้นได้จากการ์ตูนเรื่อง เจ้าเขี้ยวเงิน ก็คือน้องหมาพันธุ์คาอิเคนนี่แหละ เป็นน้องหมา เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติของสุนัขนักล่าหลายสายพันธุ์ มีนิสัยค่อนข้างดุ มีความเป็นนักสู้ เด็ดเดียว และมีความเป็นนักล่า ลักษณะของน้องหมาสายพันธุ์คาอิเคนคือ ขนที่เป็นลายเสือนั่นเองจึงได้รับการเรียกขานว่าหมาลายเสือ คาอิเคนได้รับการขึ้นบัญชีสัตว์คุ้มครองเมื่อปี ค.ศ.1934

หมา ถือเป็นเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์และเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับมนุษย์ หากถูกรักและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอน้องจะเป็นเพื่อนและคู่หูที่ดีกับคุณมาก สำหรับใครที่ชื่นชอบ ‘พันธุ์หมาญี่ปุ่น’ และอยากเลี้ยง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ


905
เคล็ด(ไม่)ลับ กับการอาบน้ำสุนัข

      น้องหมาการดูแลในเรื่องอาบน้ำก็เป็นส่วนหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้  โดยปกติแล้วนั้น ควรที่จะอาบน้ำให้น้องทุก 1-2 สัปดาห์ครั้ง เพราะการอาบน้ำด้วยแชมพูน้องหมาจะมีผลในการชะไขมันที่ร่างกายน้องหมาสร้างขึ้นมาเคลือบผิวหนังและเส้นขน การอาบน้ำบ่อยเกินไปมีผลทำให้ผิวและเส้นขนแห้ง ขาดความเงางาม และอาจทำให้คันได้ แล้วเราควรเลือกแชมพูสำหรับน้องหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก



แชมพูแบบใดจึงจะเหมาะกับผิวของสุนัข

1.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูสระผมของคนมาอาบน้ำให้สุนัข

เพราะค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนังคนกับสุนัขมีค่าไม่เท่ากัน จะทำให้ผิวหนังสุนัขขาดความสมดุล และโครงสร้างผิวหนังเสียหาย ก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้

2.   การเลือกแชมพูที่เหมาะกับสายพันธุ์ของน้องหมา
อย่างในสุนัขพันธุ์ปั๊ก แพ้ง่ายให้เลือกสูตรอ่อนโยนที่มีโอกาสก่อให้เกิดความระคายเคืองน้อย ควรเลือกที่ข้างขวดว่า Hypoallergenic และเป็นแชมพูที่ผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์สูงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนังจะเหมาะสมที่สุด

3.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูที่ผสมยากำจัดเห็บหมัดในลูกสุนัขและสุนัขที่สุขภาพอ่อนแอ
เพราะแชมพูเหล่านี้นั้นอาจเป็นพิษได้กับน้องหมาเด็กหรือน้องหมาที่สุขภาพได้ค่อยดีได้ ส่วนน้องหมาที่มีปัญหากลิ่นตัวจากโรคผิวหนังนั้นให้เลือกแชมพูสูตรที่ลดการแพ้ร่วมกับการใช้แชมพูยาทีสัตวแพทย์เลือกให้จะดีกว่า



•   วิธีการอาบน้ำให้น้องหมาสุดซน

1    เริ่มจากการใช้น้ำเปล่าราดตัวให้เปียกก่อน แล้วเอาแชมพูกับน้ำสะอาดเล็กน้อยผสมกันก่อนราดลงบนน้องหมาไม่ควรเอาแชมพูเข้มข้นราดหลังน้องหมาโดยตรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณนั้นได้

2    ไม่ควรใช้เล็บเกาผิวหนังน้องหมาแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังน้องหมาได้ ควรใช้วิธีนวดคลึงผิวหนังน้องหมาแทนหรืออาจใช้แปรงอาบน้ำที่ที่จากยางนวดเบา ๆ ก็ได้

3   น้ำที่ใช้อาบควรใช้น้ำอุ่น ยกเว้นน้องหมามีปัญหาภูมิแพ้ควรอาบด้วยน้ำเย็นแทน เพราะถ้าอาบน้ำอุ่นจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น น้องหมาก็จะคันมากขึ้นด้วย

4    หลังจากฟอกแชมพูแล้ว ควรล้างน้ำออกโดยใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที เพื่อลดโอกาสที่จะระคายเคืองจากการล้างแชมพูออกไม่หมดและให้ผิวได้รับน้ำเพียงพอ

5   เมื่ออาบน้ำเสร็จ ควรเช็ดตัว หรือเป่าให้แห้งทุกครั้ง สำหรับน้องหมาที่มีปัญหาผิวหนังควรใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดให้แห้งหรือใช้ลมเย็นเป่าเท่านั้น

      นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับการดูแลและทำความสะอาดให้น้องหมาของเรา วันสุดสัปดาห์นี้ถ้าใครยังไม่ได้อาบน้ำให้กับพวกเค้า ลองเปลี่ยนจากที่เคยพาไปร้านลองทำด้วยตัวเองกันดูนะ อย่างน้อยก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้คุณและน้องหมาใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยนะ
           





906
เคล็ด(ไม่)ลับ กับการอาบน้ำสุนัข

      น้องหมาการดูแลในเรื่องอาบน้ำก็เป็นส่วนหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้  โดยปกติแล้วนั้น ควรที่จะอาบน้ำให้น้องทุก 1-2 สัปดาห์ครั้ง เพราะการอาบน้ำด้วยแชมพูน้องหมาจะมีผลในการชะไขมันที่ร่างกายน้องหมาสร้างขึ้นมาเคลือบผิวหนังและเส้นขน การอาบน้ำบ่อยเกินไปมีผลทำให้ผิวและเส้นขนแห้ง ขาดความเงางาม และอาจทำให้คันได้ แล้วเราควรเลือกแชมพูสำหรับน้องหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก



แชมพูแบบใดจึงจะเหมาะกับผิวของสุนัข

1.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูสระผมของคนมาอาบน้ำให้สุนัข

เพราะค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนังคนกับสุนัขมีค่าไม่เท่ากัน จะทำให้ผิวหนังสุนัขขาดความสมดุล และโครงสร้างผิวหนังเสียหาย ก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้

2.   การเลือกแชมพูที่เหมาะกับสายพันธุ์ของน้องหมา
อย่างในสุนัขพันธุ์ปั๊ก แพ้ง่ายให้เลือกสูตรอ่อนโยนที่มีโอกาสก่อให้เกิดความระคายเคืองน้อย ควรเลือกที่ข้างขวดว่า Hypoallergenic และเป็นแชมพูที่ผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์สูงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนังจะเหมาะสมที่สุด

3.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูที่ผสมยากำจัดเห็บหมัดในลูกสุนัขและสุนัขที่สุขภาพอ่อนแอ
เพราะแชมพูเหล่านี้นั้นอาจเป็นพิษได้กับน้องหมาเด็กหรือน้องหมาที่สุขภาพได้ค่อยดีได้ ส่วนน้องหมาที่มีปัญหากลิ่นตัวจากโรคผิวหนังนั้นให้เลือกแชมพูสูตรที่ลดการแพ้ร่วมกับการใช้แชมพูยาทีสัตวแพทย์เลือกให้จะดีกว่า



•   วิธีการอาบน้ำให้น้องหมาสุดซน

1    เริ่มจากการใช้น้ำเปล่าราดตัวให้เปียกก่อน แล้วเอาแชมพูกับน้ำสะอาดเล็กน้อยผสมกันก่อนราดลงบนน้องหมาไม่ควรเอาแชมพูเข้มข้นราดหลังน้องหมาโดยตรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณนั้นได้

2    ไม่ควรใช้เล็บเกาผิวหนังน้องหมาแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังน้องหมาได้ ควรใช้วิธีนวดคลึงผิวหนังน้องหมาแทนหรืออาจใช้แปรงอาบน้ำที่ที่จากยางนวดเบา ๆ ก็ได้

3   น้ำที่ใช้อาบควรใช้น้ำอุ่น ยกเว้นน้องหมามีปัญหาภูมิแพ้ควรอาบด้วยน้ำเย็นแทน เพราะถ้าอาบน้ำอุ่นจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น น้องหมาก็จะคันมากขึ้นด้วย

4    หลังจากฟอกแชมพูแล้ว ควรล้างน้ำออกโดยใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที เพื่อลดโอกาสที่จะระคายเคืองจากการล้างแชมพูออกไม่หมดและให้ผิวได้รับน้ำเพียงพอ

5   เมื่ออาบน้ำเสร็จ ควรเช็ดตัว หรือเป่าให้แห้งทุกครั้ง สำหรับน้องหมาที่มีปัญหาผิวหนังควรใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดให้แห้งหรือใช้ลมเย็นเป่าเท่านั้น

      นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับการดูแลและทำความสะอาดให้น้องหมาของเรา วันสุดสัปดาห์นี้ถ้าใครยังไม่ได้อาบน้ำให้กับพวกเค้า ลองเปลี่ยนจากที่เคยพาไปร้านลองทำด้วยตัวเองกันดูนะ อย่างน้อยก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้คุณและน้องหมาใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยนะ
           





907
เคล็ด(ไม่)ลับ กับการอาบน้ำสุนัข

      น้องหมาการดูแลในเรื่องอาบน้ำก็เป็นส่วนหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้  โดยปกติแล้วนั้น ควรที่จะอาบน้ำให้น้องทุก 1-2 สัปดาห์ครั้ง เพราะการอาบน้ำด้วยแชมพูน้องหมาจะมีผลในการชะไขมันที่ร่างกายน้องหมาสร้างขึ้นมาเคลือบผิวหนังและเส้นขน การอาบน้ำบ่อยเกินไปมีผลทำให้ผิวและเส้นขนแห้ง ขาดความเงางาม และอาจทำให้คันได้ แล้วเราควรเลือกแชมพูสำหรับน้องหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก



แชมพูแบบใดจึงจะเหมาะกับผิวของสุนัข

1.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูสระผมของคนมาอาบน้ำให้สุนัข

เพราะค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนังคนกับสุนัขมีค่าไม่เท่ากัน จะทำให้ผิวหนังสุนัขขาดความสมดุล และโครงสร้างผิวหนังเสียหาย ก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้

2.   การเลือกแชมพูที่เหมาะกับสายพันธุ์ของน้องหมา
อย่างในสุนัขพันธุ์ปั๊ก แพ้ง่ายให้เลือกสูตรอ่อนโยนที่มีโอกาสก่อให้เกิดความระคายเคืองน้อย ควรเลือกที่ข้างขวดว่า Hypoallergenic และเป็นแชมพูที่ผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์สูงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนังจะเหมาะสมที่สุด

3.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูที่ผสมยากำจัดเห็บหมัดในลูกสุนัขและสุนัขที่สุขภาพอ่อนแอ
เพราะแชมพูเหล่านี้นั้นอาจเป็นพิษได้กับน้องหมาเด็กหรือน้องหมาที่สุขภาพได้ค่อยดีได้ ส่วนน้องหมาที่มีปัญหากลิ่นตัวจากโรคผิวหนังนั้นให้เลือกแชมพูสูตรที่ลดการแพ้ร่วมกับการใช้แชมพูยาทีสัตวแพทย์เลือกให้จะดีกว่า



•   วิธีการอาบน้ำให้น้องหมาสุดซน

1    เริ่มจากการใช้น้ำเปล่าราดตัวให้เปียกก่อน แล้วเอาแชมพูกับน้ำสะอาดเล็กน้อยผสมกันก่อนราดลงบนน้องหมาไม่ควรเอาแชมพูเข้มข้นราดหลังน้องหมาโดยตรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณนั้นได้

2    ไม่ควรใช้เล็บเกาผิวหนังน้องหมาแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังน้องหมาได้ ควรใช้วิธีนวดคลึงผิวหนังน้องหมาแทนหรืออาจใช้แปรงอาบน้ำที่ที่จากยางนวดเบา ๆ ก็ได้

3   น้ำที่ใช้อาบควรใช้น้ำอุ่น ยกเว้นน้องหมามีปัญหาภูมิแพ้ควรอาบด้วยน้ำเย็นแทน เพราะถ้าอาบน้ำอุ่นจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น น้องหมาก็จะคันมากขึ้นด้วย

4    หลังจากฟอกแชมพูแล้ว ควรล้างน้ำออกโดยใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที เพื่อลดโอกาสที่จะระคายเคืองจากการล้างแชมพูออกไม่หมดและให้ผิวได้รับน้ำเพียงพอ

5   เมื่ออาบน้ำเสร็จ ควรเช็ดตัว หรือเป่าให้แห้งทุกครั้ง สำหรับน้องหมาที่มีปัญหาผิวหนังควรใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดให้แห้งหรือใช้ลมเย็นเป่าเท่านั้น

      นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับการดูแลและทำความสะอาดให้น้องหมาของเรา วันสุดสัปดาห์นี้ถ้าใครยังไม่ได้อาบน้ำให้กับพวกเค้า ลองเปลี่ยนจากที่เคยพาไปร้านลองทำด้วยตัวเองกันดูนะ อย่างน้อยก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้คุณและน้องหมาใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยนะ
           





908
เคล็ด(ไม่)ลับ กับการอาบน้ำสุนัข

      น้องหมาการดูแลในเรื่องอาบน้ำก็เป็นส่วนหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้  โดยปกติแล้วนั้น ควรที่จะอาบน้ำให้น้องทุก 1-2 สัปดาห์ครั้ง เพราะการอาบน้ำด้วยแชมพูน้องหมาจะมีผลในการชะไขมันที่ร่างกายน้องหมาสร้างขึ้นมาเคลือบผิวหนังและเส้นขน การอาบน้ำบ่อยเกินไปมีผลทำให้ผิวและเส้นขนแห้ง ขาดความเงางาม และอาจทำให้คันได้ แล้วเราควรเลือกแชมพูสำหรับน้องหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก



แชมพูแบบใดจึงจะเหมาะกับผิวของสุนัข

1.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูสระผมของคนมาอาบน้ำให้สุนัข

เพราะค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนังคนกับสุนัขมีค่าไม่เท่ากัน จะทำให้ผิวหนังสุนัขขาดความสมดุล และโครงสร้างผิวหนังเสียหาย ก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้

2.   การเลือกแชมพูที่เหมาะกับสายพันธุ์ของน้องหมา
อย่างในสุนัขพันธุ์ปั๊ก แพ้ง่ายให้เลือกสูตรอ่อนโยนที่มีโอกาสก่อให้เกิดความระคายเคืองน้อย ควรเลือกที่ข้างขวดว่า Hypoallergenic และเป็นแชมพูที่ผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์สูงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนังจะเหมาะสมที่สุด

3.   หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูที่ผสมยากำจัดเห็บหมัดในลูกสุนัขและสุนัขที่สุขภาพอ่อนแอ
เพราะแชมพูเหล่านี้นั้นอาจเป็นพิษได้กับน้องหมาเด็กหรือน้องหมาที่สุขภาพได้ค่อยดีได้ ส่วนน้องหมาที่มีปัญหากลิ่นตัวจากโรคผิวหนังนั้นให้เลือกแชมพูสูตรที่ลดการแพ้ร่วมกับการใช้แชมพูยาทีสัตวแพทย์เลือกให้จะดีกว่า



•   วิธีการอาบน้ำให้น้องหมาสุดซน

1    เริ่มจากการใช้น้ำเปล่าราดตัวให้เปียกก่อน แล้วเอาแชมพูกับน้ำสะอาดเล็กน้อยผสมกันก่อนราดลงบนน้องหมาไม่ควรเอาแชมพูเข้มข้นราดหลังน้องหมาโดยตรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณนั้นได้

2    ไม่ควรใช้เล็บเกาผิวหนังน้องหมาแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังน้องหมาได้ ควรใช้วิธีนวดคลึงผิวหนังน้องหมาแทนหรืออาจใช้แปรงอาบน้ำที่ที่จากยางนวดเบา ๆ ก็ได้

3   น้ำที่ใช้อาบควรใช้น้ำอุ่น ยกเว้นน้องหมามีปัญหาภูมิแพ้ควรอาบด้วยน้ำเย็นแทน เพราะถ้าอาบน้ำอุ่นจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น น้องหมาก็จะคันมากขึ้นด้วย

4    หลังจากฟอกแชมพูแล้ว ควรล้างน้ำออกโดยใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที เพื่อลดโอกาสที่จะระคายเคืองจากการล้างแชมพูออกไม่หมดและให้ผิวได้รับน้ำเพียงพอ

5   เมื่ออาบน้ำเสร็จ ควรเช็ดตัว หรือเป่าให้แห้งทุกครั้ง สำหรับน้องหมาที่มีปัญหาผิวหนังควรใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดให้แห้งหรือใช้ลมเย็นเป่าเท่านั้น

      นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับการดูแลและทำความสะอาดให้น้องหมาของเรา วันสุดสัปดาห์นี้ถ้าใครยังไม่ได้อาบน้ำให้กับพวกเค้า ลองเปลี่ยนจากที่เคยพาไปร้านลองทำด้วยตัวเองกันดูนะ อย่างน้อยก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้คุณและน้องหมาใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยนะ
           





909
ซามอยด์ (Samoyed)  ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ ปรับตัวง่าย

     ซามอยด์ คือ ชื่อของสายพันธุ์สุนัขที่มีลักษณะขนสีขาวฟูฟ่อง ที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรัก ที่มีต้นกำเนิดความน่ารักมาจากการผสมพันธุ์ระหว่างหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกัน ก่อนจะได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนกลายมาเป็นซามอยด์ในที่สุด
ซามอยด์ ในอดีตนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งานในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้อนกวางเรนเดียร์ ลากเลื่อน หรือลากจูงสิ่งของหนัก ๆ เพราะด้วยพละกำลังที่แข็งแรงของซามอยด์ ย่อมทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย
มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 14 ปี เป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ได้ง่าย ที่สำคัญคือเป็นสุนัขที่มีความซื่อสัตย์สูง



ลักษณะทั่วไป

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดกลาง ตัวโตเต็มวัยสุดสูงได้ถึง 22 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65 ปอนด์ เอกลักษณ์เฉพาะ คือ มีขนที่ฟู หนา นุ่ม คล้ายกับขนของหมาป่า แต่จะมีชั้นของขนที่หนากว่า และมีหางที่เป็นปุยพุ่มม้วนอยู่บริเวณด้านหลังส่วนใบหน้านั้นจะมีลักษณะคล้ายกับหมาป่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นพันธุ์ผสมที่พัฒนามาจากหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกันสีขนของซามอยด์ มีทั้งสีขาวที่พบเห็นได้โดยทั่วไปหรือสีครีม รวมไปถึงสีบิสกิต จะไม่มีสีอื่นๆ มาผสม หากขนเป็นสีใดก็จะเป็นสีนั้นตลอดทั้งลำตัวรูปปากที่มีความหยักนิดๆ ทำให้เหมือนว่ากำลังยิ้ม

ลักษณะนิสัยของซามอยด์

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ เป็นมิตร รักครอบครัวมาก ต้องการความรักและการเอาใจใส่จากมนุษย์เป็นพิเศษ เข้ากันได้ดีกับเด็กๆ สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต แต่เนื่องจากเป็นสุนัขใช้งาน จึงอยู่นิ่งไม่นาน ชอบที่จะไล่จับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะสิ่งของ หนู หรือแมว อะไรก็ตามที่ตัวเล็กๆ ชอบวิ่ง และชอบเห่า เพื่อเป็นหนทางในการปลอดปล่อยพลังงาน แทนการทำงานหรือกิจกรรมหนักๆที่



การดูแล


     ควรอาบน้ำให้ ซามอยด์ เดือนละครั้ง ไม่ควรอาบบ่อยจนเกินไป เพราะจะล้างน้ำมันที่ขนและผิวหนังจะแห้งและก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมา ขนมักจะพันกันยุ่งเหยิง ควรแปรงขนเป็นประจำทุกสัปดาห์ และแปรงบ่อยครั้งขึ้นช่วงฤดูผลัดขน

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีไว้ใช้งาน เมื่อนำมาเลี้ยงตามบ้าน จึงต้องการออกกำลังกายทุกวันเป็นประจำ เพื่อเผาผลาญพลังงาน ควรพาเขาไปวิ่งหรือออกกำลังกายในพื้นที่กว้างๆ เช่นสนามหญ้าหรือสวนสาธารณะ
      แต่ซามอยด์ค่อนข้างตื่นได้ง่าย และชอบเห่า จึงไม่ควรพาเขาออกไปอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเพราะถ้าพวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย จะเกิดอาการพาล อารมณ์ไม่ดี วิ่งไปมา หรือเห่า

     เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเลี้ยงจงจำไว้ให้ดี ถ้าคุณรักและดูแล ซามอยด์ มันก็จะรักคุณ และทำทุกอย่างเพื่อคุณในฐานะของเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ตลอดไป



910
ซามอยด์ (Samoyed)  ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ ปรับตัวง่าย

     ซามอยด์ คือ ชื่อของสายพันธุ์สุนัขที่มีลักษณะขนสีขาวฟูฟ่อง ที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรัก ที่มีต้นกำเนิดความน่ารักมาจากการผสมพันธุ์ระหว่างหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกัน ก่อนจะได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนกลายมาเป็นซามอยด์ในที่สุด
ซามอยด์ ในอดีตนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งานในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้อนกวางเรนเดียร์ ลากเลื่อน หรือลากจูงสิ่งของหนัก ๆ เพราะด้วยพละกำลังที่แข็งแรงของซามอยด์ ย่อมทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย
มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 14 ปี เป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ได้ง่าย ที่สำคัญคือเป็นสุนัขที่มีความซื่อสัตย์สูง



ลักษณะทั่วไป

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดกลาง ตัวโตเต็มวัยสุดสูงได้ถึง 22 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65 ปอนด์ เอกลักษณ์เฉพาะ คือ มีขนที่ฟู หนา นุ่ม คล้ายกับขนของหมาป่า แต่จะมีชั้นของขนที่หนากว่า และมีหางที่เป็นปุยพุ่มม้วนอยู่บริเวณด้านหลังส่วนใบหน้านั้นจะมีลักษณะคล้ายกับหมาป่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นพันธุ์ผสมที่พัฒนามาจากหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกันสีขนของซามอยด์ มีทั้งสีขาวที่พบเห็นได้โดยทั่วไปหรือสีครีม รวมไปถึงสีบิสกิต จะไม่มีสีอื่นๆ มาผสม หากขนเป็นสีใดก็จะเป็นสีนั้นตลอดทั้งลำตัวรูปปากที่มีความหยักนิดๆ ทำให้เหมือนว่ากำลังยิ้ม

ลักษณะนิสัยของซามอยด์

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ เป็นมิตร รักครอบครัวมาก ต้องการความรักและการเอาใจใส่จากมนุษย์เป็นพิเศษ เข้ากันได้ดีกับเด็กๆ สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต แต่เนื่องจากเป็นสุนัขใช้งาน จึงอยู่นิ่งไม่นาน ชอบที่จะไล่จับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะสิ่งของ หนู หรือแมว อะไรก็ตามที่ตัวเล็กๆ ชอบวิ่ง และชอบเห่า เพื่อเป็นหนทางในการปลอดปล่อยพลังงาน แทนการทำงานหรือกิจกรรมหนักๆที่



การดูแล


     ควรอาบน้ำให้ ซามอยด์ เดือนละครั้ง ไม่ควรอาบบ่อยจนเกินไป เพราะจะล้างน้ำมันที่ขนและผิวหนังจะแห้งและก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมา ขนมักจะพันกันยุ่งเหยิง ควรแปรงขนเป็นประจำทุกสัปดาห์ และแปรงบ่อยครั้งขึ้นช่วงฤดูผลัดขน

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีไว้ใช้งาน เมื่อนำมาเลี้ยงตามบ้าน จึงต้องการออกกำลังกายทุกวันเป็นประจำ เพื่อเผาผลาญพลังงาน ควรพาเขาไปวิ่งหรือออกกำลังกายในพื้นที่กว้างๆ เช่นสนามหญ้าหรือสวนสาธารณะ
      แต่ซามอยด์ค่อนข้างตื่นได้ง่าย และชอบเห่า จึงไม่ควรพาเขาออกไปอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเพราะถ้าพวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย จะเกิดอาการพาล อารมณ์ไม่ดี วิ่งไปมา หรือเห่า

     เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเลี้ยงจงจำไว้ให้ดี ถ้าคุณรักและดูแล ซามอยด์ มันก็จะรักคุณ และทำทุกอย่างเพื่อคุณในฐานะของเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ตลอดไป



911
ซามอยด์ (Samoyed)  ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ ปรับตัวง่าย

     ซามอยด์ คือ ชื่อของสายพันธุ์สุนัขที่มีลักษณะขนสีขาวฟูฟ่อง ที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรัก ที่มีต้นกำเนิดความน่ารักมาจากการผสมพันธุ์ระหว่างหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกัน ก่อนจะได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนกลายมาเป็นซามอยด์ในที่สุด
ซามอยด์ ในอดีตนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งานในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้อนกวางเรนเดียร์ ลากเลื่อน หรือลากจูงสิ่งของหนัก ๆ เพราะด้วยพละกำลังที่แข็งแรงของซามอยด์ ย่อมทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย
มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 14 ปี เป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ได้ง่าย ที่สำคัญคือเป็นสุนัขที่มีความซื่อสัตย์สูง



ลักษณะทั่วไป

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดกลาง ตัวโตเต็มวัยสุดสูงได้ถึง 22 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65 ปอนด์ เอกลักษณ์เฉพาะ คือ มีขนที่ฟู หนา นุ่ม คล้ายกับขนของหมาป่า แต่จะมีชั้นของขนที่หนากว่า และมีหางที่เป็นปุยพุ่มม้วนอยู่บริเวณด้านหลังส่วนใบหน้านั้นจะมีลักษณะคล้ายกับหมาป่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นพันธุ์ผสมที่พัฒนามาจากหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกันสีขนของซามอยด์ มีทั้งสีขาวที่พบเห็นได้โดยทั่วไปหรือสีครีม รวมไปถึงสีบิสกิต จะไม่มีสีอื่นๆ มาผสม หากขนเป็นสีใดก็จะเป็นสีนั้นตลอดทั้งลำตัวรูปปากที่มีความหยักนิดๆ ทำให้เหมือนว่ากำลังยิ้ม

ลักษณะนิสัยของซามอยด์

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ เป็นมิตร รักครอบครัวมาก ต้องการความรักและการเอาใจใส่จากมนุษย์เป็นพิเศษ เข้ากันได้ดีกับเด็กๆ สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต แต่เนื่องจากเป็นสุนัขใช้งาน จึงอยู่นิ่งไม่นาน ชอบที่จะไล่จับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะสิ่งของ หนู หรือแมว อะไรก็ตามที่ตัวเล็กๆ ชอบวิ่ง และชอบเห่า เพื่อเป็นหนทางในการปลอดปล่อยพลังงาน แทนการทำงานหรือกิจกรรมหนักๆที่



การดูแล


     ควรอาบน้ำให้ ซามอยด์ เดือนละครั้ง ไม่ควรอาบบ่อยจนเกินไป เพราะจะล้างน้ำมันที่ขนและผิวหนังจะแห้งและก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมา ขนมักจะพันกันยุ่งเหยิง ควรแปรงขนเป็นประจำทุกสัปดาห์ และแปรงบ่อยครั้งขึ้นช่วงฤดูผลัดขน

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีไว้ใช้งาน เมื่อนำมาเลี้ยงตามบ้าน จึงต้องการออกกำลังกายทุกวันเป็นประจำ เพื่อเผาผลาญพลังงาน ควรพาเขาไปวิ่งหรือออกกำลังกายในพื้นที่กว้างๆ เช่นสนามหญ้าหรือสวนสาธารณะ
      แต่ซามอยด์ค่อนข้างตื่นได้ง่าย และชอบเห่า จึงไม่ควรพาเขาออกไปอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเพราะถ้าพวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย จะเกิดอาการพาล อารมณ์ไม่ดี วิ่งไปมา หรือเห่า

     เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเลี้ยงจงจำไว้ให้ดี ถ้าคุณรักและดูแล ซามอยด์ มันก็จะรักคุณ และทำทุกอย่างเพื่อคุณในฐานะของเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ตลอดไป



912
ซามอยด์ (Samoyed)  ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ ปรับตัวง่าย

     ซามอยด์ คือ ชื่อของสายพันธุ์สุนัขที่มีลักษณะขนสีขาวฟูฟ่อง ที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรัก ที่มีต้นกำเนิดความน่ารักมาจากการผสมพันธุ์ระหว่างหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกัน ก่อนจะได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนกลายมาเป็นซามอยด์ในที่สุด
ซามอยด์ ในอดีตนั้นถูกเลี้ยงไว้เพื่อการใช้งานในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้อนกวางเรนเดียร์ ลากเลื่อน หรือลากจูงสิ่งของหนัก ๆ เพราะด้วยพละกำลังที่แข็งแรงของซามอยด์ ย่อมทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย
มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 14 ปี เป็นสุนัขที่ดูแลง่าย ปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ได้ง่าย ที่สำคัญคือเป็นสุนัขที่มีความซื่อสัตย์สูง



ลักษณะทั่วไป

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดกลาง ตัวโตเต็มวัยสุดสูงได้ถึง 22 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65 ปอนด์ เอกลักษณ์เฉพาะ คือ มีขนที่ฟู หนา นุ่ม คล้ายกับขนของหมาป่า แต่จะมีชั้นของขนที่หนากว่า และมีหางที่เป็นปุยพุ่มม้วนอยู่บริเวณด้านหลังส่วนใบหน้านั้นจะมีลักษณะคล้ายกับหมาป่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นพันธุ์ผสมที่พัฒนามาจากหมาป่า และสุนัขจิ้งจอกเข้าด้วยกันสีขนของซามอยด์ มีทั้งสีขาวที่พบเห็นได้โดยทั่วไปหรือสีครีม รวมไปถึงสีบิสกิต จะไม่มีสีอื่นๆ มาผสม หากขนเป็นสีใดก็จะเป็นสีนั้นตลอดทั้งลำตัวรูปปากที่มีความหยักนิดๆ ทำให้เหมือนว่ากำลังยิ้ม

ลักษณะนิสัยของซามอยด์

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่ฉลาด อ่อนโยน เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ เป็นมิตร รักครอบครัวมาก ต้องการความรักและการเอาใจใส่จากมนุษย์เป็นพิเศษ เข้ากันได้ดีกับเด็กๆ สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต แต่เนื่องจากเป็นสุนัขใช้งาน จึงอยู่นิ่งไม่นาน ชอบที่จะไล่จับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะสิ่งของ หนู หรือแมว อะไรก็ตามที่ตัวเล็กๆ ชอบวิ่ง และชอบเห่า เพื่อเป็นหนทางในการปลอดปล่อยพลังงาน แทนการทำงานหรือกิจกรรมหนักๆที่



การดูแล


     ควรอาบน้ำให้ ซามอยด์ เดือนละครั้ง ไม่ควรอาบบ่อยจนเกินไป เพราะจะล้างน้ำมันที่ขนและผิวหนังจะแห้งและก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมา ขนมักจะพันกันยุ่งเหยิง ควรแปรงขนเป็นประจำทุกสัปดาห์ และแปรงบ่อยครั้งขึ้นช่วงฤดูผลัดขน

     ซามอยด์ เป็นสุนัขที่มีไว้ใช้งาน เมื่อนำมาเลี้ยงตามบ้าน จึงต้องการออกกำลังกายทุกวันเป็นประจำ เพื่อเผาผลาญพลังงาน ควรพาเขาไปวิ่งหรือออกกำลังกายในพื้นที่กว้างๆ เช่นสนามหญ้าหรือสวนสาธารณะ
      แต่ซามอยด์ค่อนข้างตื่นได้ง่าย และชอบเห่า จึงไม่ควรพาเขาออกไปอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเพราะถ้าพวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย จะเกิดอาการพาล อารมณ์ไม่ดี วิ่งไปมา หรือเห่า

     เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเลี้ยงจงจำไว้ให้ดี ถ้าคุณรักและดูแล ซามอยด์ มันก็จะรักคุณ และทำทุกอย่างเพื่อคุณในฐานะของเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ตลอดไป



913
บูลเทอเรีย (Bull Terrier) น้องหมาหน้ารูปไข่

     เจ้าหมาที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องสะดุดตากับใบหน้าที่ดูเรียวกลมแปลกตา น่ารักน่าเอ็นดู เจ้า บูลเทอเรีย ในสมัยก่อนถูกใช้เป็นสุนัขในสนามต่อสู้

     แต่ปัจจุบันน้องกลายมาเป็นสุนัขโชว์และหนึ่งในสมาชิกที่แสนน่ารักในครอบครัว วันนี้ จะพามาทำความรู้จัก บูลเทอเรีย ถึงนิสัยใจคอเป็นอย่างไร และการเลี้ยงดูน้องอย่างไรให้ถูกวิธี มาดูกัน!



ลักษณะของบูลเทอเรีย

     เป็นสุนัขที่กำยำ มีความสูงที่ประมาณ 56 เซนติเมตร มีน้ำหนักราว ๆ 31 กิโลกรัม เป็นสุนัขที่มีขนแข็ง สั้น เรียบ 
สีขนมีหลายสี เช่น สีขาวล้วน, สีขาวกับสีน้ำตาล, สีน้ำตาลแกมเหลืองอ่อน, สีดำและสีแทน, สีแดง มีลักษณะเด่นที่ใบหน้าคล้ายรูปทรงไข่ ใบหูบางและตั้ง บลู เทอร์เรียร์ มีหางยาวปานกลาง
แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่ ชนิดขนาดมาตรฐาน และขาดมินิเจอร์ (Miniature)  มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 12 ปี

นิสัยและพฤติกรรมทั่วไป

     บูลเทอเรีย มีนิสัยที่น่ารัก เป็นมิตร ชอบเข้าหาผู้คน ขี้เล่นและซุกซน แต่อีกด้านหนึ่งน้องจะเป็นจอมกัดแทะ, เห่าเสียงดัง และไล่กัดหางตัวเอง

     บูลเทอเรีย ยังเป็นนักสู้ที่อ่อนหวานโดยธรรมชาติเป็นนักสู้ที่ใจถึง เป็นสุนัขอารักขาที่กระฉับกระเฉงรักครอบครัวและหวงอาณาเขตโดยสัญชาติญาณ มีนิสัยที่รักเจ้าของมากๆ ไม่เห่าพร่ำเพรื่อ ขณะเดียวกันก็เป็น สุนัข ที่มีจิตใจที่อ่อนหวาน อ่อนโยน แล้วก็เป็นสุนัขที่เข้ากับเด็กได้ดี ตามแบบที่ บลูเทอร์เรีย ได้ฉายาต้นตำรับแต่เดิมว่า "White knight  "

   
 
วิธีการเลี้ยงและดูแลบูลเทอเรีย

     บูลเทอเรีย นั้นมีขนที่สั้น เรียบ ค่อนข้างแข็ง และมันเงา ทำให้ไม่ต้องดูแลอะไรมาก แค่แปรงขนให้อาทิตย์ละครั้งด้วยแปรง หรือจะใช้ถุงมือแปรงขนสุนัขก็ได้ เพราะะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและเส้นขนที่หลุดร่วง
     ถ้าหากไม่ได้ไปกลิ้งเกือกจนมอมแมมจริงๆ  บูลเทอเรีย จอมซน ก็ไม่ต้องการการอาบน้ำบ่อยๆ สามารถใช้แชมพูแบบแห้งหรือใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดฝุ่นออกจากตัวได้

     อย่าทิ้งไว้ที่บ้านเพียงลำพัง เพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็น และตะกละจะแอบกินภายในบ้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะอาจไปกินอาหารของคนที่ไม่เหมาะจนทำให้เสียชีวิตได้จากการมีสิ่งอุดตันลำไส้

     ลักษณะขนที่สั้นแบบนี้แทบจะทำให้น้องอบอุ่นไม่ได้เลย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น น้องจึงสามารถอยู่อาศัยได้ดีในพื้นที่ทีมีสภาพอากาศค่อนข้างอุ่น

     สำหรับการให้อาหาร บูลเทอเรีย วัยโตน้องจะกินอาหารวันละ 2 มื้อ คือ มื้อเช้าและมื้อเย็น ถ้าเป็นอาหารเม็ด ในแต่ละมื้อจะตักให้ 2 ถ้วยตวง และเราสามารถผสม เนื้อสัตว์, ผัก, ไข่, ปลา หรือว่าอาหารสุนัขกระป๋อง ได้ด้วย

     บูลเทอเรียเป็นสุนัขที่เหมาะจะเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กโต ความอดทนและใจกว้างกับเด็กที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่กับเด็กที่น้องไม่รู้จัก อาจจะแสดงความก้าวร้าวใส่ได้ และไม่ควรที่จะให้ บูลเทอเรีย อยู่กับแมวหรือสัตว์ตัวเล็กๆ เพราะอาจกัดหรือทำร้ายได้เพราะคิดว่านั่นคือของเล่นนั่นเอง



914
บูลเทอเรีย (Bull Terrier) น้องหมาหน้ารูปไข่

     เจ้าหมาที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องสะดุดตากับใบหน้าที่ดูเรียวกลมแปลกตา น่ารักน่าเอ็นดู เจ้า บูลเทอเรีย ในสมัยก่อนถูกใช้เป็นสุนัขในสนามต่อสู้

     แต่ปัจจุบันน้องกลายมาเป็นสุนัขโชว์และหนึ่งในสมาชิกที่แสนน่ารักในครอบครัว วันนี้ จะพามาทำความรู้จัก บูลเทอเรีย ถึงนิสัยใจคอเป็นอย่างไร และการเลี้ยงดูน้องอย่างไรให้ถูกวิธี มาดูกัน!



ลักษณะของบูลเทอเรีย

     เป็นสุนัขที่กำยำ มีความสูงที่ประมาณ 56 เซนติเมตร มีน้ำหนักราว ๆ 31 กิโลกรัม เป็นสุนัขที่มีขนแข็ง สั้น เรียบ 
สีขนมีหลายสี เช่น สีขาวล้วน, สีขาวกับสีน้ำตาล, สีน้ำตาลแกมเหลืองอ่อน, สีดำและสีแทน, สีแดง มีลักษณะเด่นที่ใบหน้าคล้ายรูปทรงไข่ ใบหูบางและตั้ง บลู เทอร์เรียร์ มีหางยาวปานกลาง
แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่ ชนิดขนาดมาตรฐาน และขาดมินิเจอร์ (Miniature)  มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 12 ปี

นิสัยและพฤติกรรมทั่วไป

     บูลเทอเรีย มีนิสัยที่น่ารัก เป็นมิตร ชอบเข้าหาผู้คน ขี้เล่นและซุกซน แต่อีกด้านหนึ่งน้องจะเป็นจอมกัดแทะ, เห่าเสียงดัง และไล่กัดหางตัวเอง

     บูลเทอเรีย ยังเป็นนักสู้ที่อ่อนหวานโดยธรรมชาติเป็นนักสู้ที่ใจถึง เป็นสุนัขอารักขาที่กระฉับกระเฉงรักครอบครัวและหวงอาณาเขตโดยสัญชาติญาณ มีนิสัยที่รักเจ้าของมากๆ ไม่เห่าพร่ำเพรื่อ ขณะเดียวกันก็เป็น สุนัข ที่มีจิตใจที่อ่อนหวาน อ่อนโยน แล้วก็เป็นสุนัขที่เข้ากับเด็กได้ดี ตามแบบที่ บลูเทอร์เรีย ได้ฉายาต้นตำรับแต่เดิมว่า "White knight  "

   
 
วิธีการเลี้ยงและดูแลบูลเทอเรีย

     บูลเทอเรีย นั้นมีขนที่สั้น เรียบ ค่อนข้างแข็ง และมันเงา ทำให้ไม่ต้องดูแลอะไรมาก แค่แปรงขนให้อาทิตย์ละครั้งด้วยแปรง หรือจะใช้ถุงมือแปรงขนสุนัขก็ได้ เพราะะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและเส้นขนที่หลุดร่วง
     ถ้าหากไม่ได้ไปกลิ้งเกือกจนมอมแมมจริงๆ  บูลเทอเรีย จอมซน ก็ไม่ต้องการการอาบน้ำบ่อยๆ สามารถใช้แชมพูแบบแห้งหรือใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดฝุ่นออกจากตัวได้

     อย่าทิ้งไว้ที่บ้านเพียงลำพัง เพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็น และตะกละจะแอบกินภายในบ้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะอาจไปกินอาหารของคนที่ไม่เหมาะจนทำให้เสียชีวิตได้จากการมีสิ่งอุดตันลำไส้

     ลักษณะขนที่สั้นแบบนี้แทบจะทำให้น้องอบอุ่นไม่ได้เลย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น น้องจึงสามารถอยู่อาศัยได้ดีในพื้นที่ทีมีสภาพอากาศค่อนข้างอุ่น

     สำหรับการให้อาหาร บูลเทอเรีย วัยโตน้องจะกินอาหารวันละ 2 มื้อ คือ มื้อเช้าและมื้อเย็น ถ้าเป็นอาหารเม็ด ในแต่ละมื้อจะตักให้ 2 ถ้วยตวง และเราสามารถผสม เนื้อสัตว์, ผัก, ไข่, ปลา หรือว่าอาหารสุนัขกระป๋อง ได้ด้วย

     บูลเทอเรียเป็นสุนัขที่เหมาะจะเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กโต ความอดทนและใจกว้างกับเด็กที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่กับเด็กที่น้องไม่รู้จัก อาจจะแสดงความก้าวร้าวใส่ได้ และไม่ควรที่จะให้ บูลเทอเรีย อยู่กับแมวหรือสัตว์ตัวเล็กๆ เพราะอาจกัดหรือทำร้ายได้เพราะคิดว่านั่นคือของเล่นนั่นเอง



915
บูลเทอเรีย (Bull Terrier) น้องหมาหน้ารูปไข่

     เจ้าหมาที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องสะดุดตากับใบหน้าที่ดูเรียวกลมแปลกตา น่ารักน่าเอ็นดู เจ้า บูลเทอเรีย ในสมัยก่อนถูกใช้เป็นสุนัขในสนามต่อสู้

     แต่ปัจจุบันน้องกลายมาเป็นสุนัขโชว์และหนึ่งในสมาชิกที่แสนน่ารักในครอบครัว วันนี้ จะพามาทำความรู้จัก บูลเทอเรีย ถึงนิสัยใจคอเป็นอย่างไร และการเลี้ยงดูน้องอย่างไรให้ถูกวิธี มาดูกัน!



ลักษณะของบูลเทอเรีย

     เป็นสุนัขที่กำยำ มีความสูงที่ประมาณ 56 เซนติเมตร มีน้ำหนักราว ๆ 31 กิโลกรัม เป็นสุนัขที่มีขนแข็ง สั้น เรียบ 
สีขนมีหลายสี เช่น สีขาวล้วน, สีขาวกับสีน้ำตาล, สีน้ำตาลแกมเหลืองอ่อน, สีดำและสีแทน, สีแดง มีลักษณะเด่นที่ใบหน้าคล้ายรูปทรงไข่ ใบหูบางและตั้ง บลู เทอร์เรียร์ มีหางยาวปานกลาง
แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่ ชนิดขนาดมาตรฐาน และขาดมินิเจอร์ (Miniature)  มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 12 ปี

นิสัยและพฤติกรรมทั่วไป

     บูลเทอเรีย มีนิสัยที่น่ารัก เป็นมิตร ชอบเข้าหาผู้คน ขี้เล่นและซุกซน แต่อีกด้านหนึ่งน้องจะเป็นจอมกัดแทะ, เห่าเสียงดัง และไล่กัดหางตัวเอง

     บูลเทอเรีย ยังเป็นนักสู้ที่อ่อนหวานโดยธรรมชาติเป็นนักสู้ที่ใจถึง เป็นสุนัขอารักขาที่กระฉับกระเฉงรักครอบครัวและหวงอาณาเขตโดยสัญชาติญาณ มีนิสัยที่รักเจ้าของมากๆ ไม่เห่าพร่ำเพรื่อ ขณะเดียวกันก็เป็น สุนัข ที่มีจิตใจที่อ่อนหวาน อ่อนโยน แล้วก็เป็นสุนัขที่เข้ากับเด็กได้ดี ตามแบบที่ บลูเทอร์เรีย ได้ฉายาต้นตำรับแต่เดิมว่า "White knight  "

   
 
วิธีการเลี้ยงและดูแลบูลเทอเรีย

     บูลเทอเรีย นั้นมีขนที่สั้น เรียบ ค่อนข้างแข็ง และมันเงา ทำให้ไม่ต้องดูแลอะไรมาก แค่แปรงขนให้อาทิตย์ละครั้งด้วยแปรง หรือจะใช้ถุงมือแปรงขนสุนัขก็ได้ เพราะะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและเส้นขนที่หลุดร่วง
     ถ้าหากไม่ได้ไปกลิ้งเกือกจนมอมแมมจริงๆ  บูลเทอเรีย จอมซน ก็ไม่ต้องการการอาบน้ำบ่อยๆ สามารถใช้แชมพูแบบแห้งหรือใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดฝุ่นออกจากตัวได้

     อย่าทิ้งไว้ที่บ้านเพียงลำพัง เพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็น และตะกละจะแอบกินภายในบ้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะอาจไปกินอาหารของคนที่ไม่เหมาะจนทำให้เสียชีวิตได้จากการมีสิ่งอุดตันลำไส้

     ลักษณะขนที่สั้นแบบนี้แทบจะทำให้น้องอบอุ่นไม่ได้เลย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น น้องจึงสามารถอยู่อาศัยได้ดีในพื้นที่ทีมีสภาพอากาศค่อนข้างอุ่น

     สำหรับการให้อาหาร บูลเทอเรีย วัยโตน้องจะกินอาหารวันละ 2 มื้อ คือ มื้อเช้าและมื้อเย็น ถ้าเป็นอาหารเม็ด ในแต่ละมื้อจะตักให้ 2 ถ้วยตวง และเราสามารถผสม เนื้อสัตว์, ผัก, ไข่, ปลา หรือว่าอาหารสุนัขกระป๋อง ได้ด้วย

     บูลเทอเรียเป็นสุนัขที่เหมาะจะเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กโต ความอดทนและใจกว้างกับเด็กที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่กับเด็กที่น้องไม่รู้จัก อาจจะแสดงความก้าวร้าวใส่ได้ และไม่ควรที่จะให้ บูลเทอเรีย อยู่กับแมวหรือสัตว์ตัวเล็กๆ เพราะอาจกัดหรือทำร้ายได้เพราะคิดว่านั่นคือของเล่นนั่นเอง