แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

8626


เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
          โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้คนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องตายด้วยความทุรนทุราย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบีส์ไวรัส ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน จะอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมานอกร่างกายจะมีชีวิตได้ไม่นาน ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด หรือในสภาพแห้งแล้ง ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟอร์มาลิน , 70 % แอลกอฮอล์ , ไลโซล , กรดหรือด่างอย่างแรง หรือ 10 % ไฮโปคลอไรท์ ( น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์ หรือคลอร็อก ในอัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน )


สัตว์ที่สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
          สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิดโดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า หมู ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ ค้างคาว คน ฯลฯ แต่ในประเทศไทย สัตว์ที่พบว่าเป็น โรคพิษสุนัขบ้า มากที่สุด คือ สุนัข ( 96 % ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้อง -ปฏิบัติการ ) รองลงมา คือ แมว ( 3% ) การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คน โดยการได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์ เข้าทางบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณบาดแผลที่มีอยู่เดิม หรือได้รับเชื้อเข้าทางเยื่อตา เยื่อปาก การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกระจกตา อาจพบว่าติดเชื้อจากการหายใจ แต่น้อยมาก ในสัตว์มักติดโรคโดยถูกสุนัขกัด เช่น วัวที่เลี้ยงปล่อยฝูง หรือสุกรที่เลี้ยงใต้ถุนเรือน คอก หรือเล้าที่ไม่มิดชิด คนถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะแสดงอาการ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนกระทั่งปรากฏอาการ หรือระยะฟักตัวจะกินเวลาตั้งแต่ 7 วัน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะบาดแผลและบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดบริเวณใบหน้าหรือใกล้สมองและบาดแผลฉกรรจ์ ระยะฟักตัวจะเร็ว ถ้าถูกกัดบริเวณขา ระยะฟักตัวนานกว่า เพราะเชื้อจะเดินทางมาถึงสมองโดยเฉลี่ยประมาณ 2 - 6 อาทิตย์
 

อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
           มี 2 แบบ คือ แบบก้าวร้าว ดุร้าย และแบบอัมพาต อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก อาจมีอาการไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอคล้ายเป็นหวัด อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และที่พบบ่อย คือ อาการคัน เสียว หรือชาบริเวณแผลที่ถูกกัด ระยะอาการทางระบบประสาท อาจคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กลัวน้ำ กลัวลม ความรู้สึกไวกว่าปกติ ทุรนทุราย หรือมีอาการซึม เป็นอัมพาต น้ำลายไหลต้องบ้วนทิ้ง กลืนน้ำไม่ได้ ระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกตัว หายใจกระตุก ผู้ป่วยส่วนมากมักจะตายภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ ถ้าเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในสมองมาก ก็จะแสดงอาการแบบคลุ้มคลั่ง ดุร้าย แต่ถ้าเชื้อ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง จะแสดงอาการอัมพาต

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
           แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย แสดงอาการชัดเจนและพบบ่อย และแบบซึมซึ่งแสดงอาการไม่ชัดเจน อาการของโรคมี 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามา คลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่น จะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง ระยะนี้มีอาการ 2 - 3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ในระยะที่แสดงอาการแบบซึมอาจไม่แสดงอาการเช่นนี้ แต่เมื่อถูกรบกวนอาจกัด ต่อมา กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก อาการระยะนี้พบได้ 1 - 7 วัน จึงจะเข้าระยะสุดท้าย ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
 

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในแมว
           ในระยะที่มีอาการชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ ระยะอาการนำ มีอาการหงุดหงิด นิสัยเปลี่ยนไป ชอบหลบซุกในที่มืด ระยะนี้มักสั้น ไม่เกิน 1 วัน ระยะตื่นเต้น แสดงอาการดุร้าย กัด หรือข่วนคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้ กล้ามเนื้อสั่น น้ำลายไหล กลืนลำบาก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 4 วัน ระยะอัมพาต เริ่มเป็นอัมพาตจากขาหลัง แล้วลามมายังลำตัว ขาหน้าและหัว จนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว แล้วถึงแก่ความตาย อาการในแมวมักไม่ชัดเจน อาจเป็นแบบซึม มีระยะตื่นเต้นสั้นมาก หรือไม่แสดงอาการเลย อาจพบว่ากินอาหารและน้ำลำบาก แล้วเป็นอัมพาตลามไปทั่วตัว ตายในเวลา 3 - 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ

 


ทำไม…จึงเรียกโรคพิษสุนัขบ้าว่า โรคกลัวน้ำ
          อาการกลัวน้ำ เป็นอาการที่แปลก พบในโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเป็นอัมพาตและกระตุกเกร็ง แม้ว่าจะหิวน้ำ แต่เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก ในสุนัขจะเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากเกิดอัมพาตกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ใช้ลิ้นตวัดน้ำเข้าปากไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อยมีสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล กลืนน้ำไม่ได้ ในคนเริ่มจาก รู้สึกแน่นตึงในลำคอ กลืนอาหารลำบาก เมื่อกินน้ำจะสำลักออกทางปากทางจมูก เวลาพยายามดื่มน้ำจะเจ็บปวดมาก เนื่องจาก กล้ามเนื้อในลำคอ กระตุกเกร็ง

เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดควรทำอย่างไร
          1. รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
          2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ควรใช้สารละลายโพวีโดนไอโอดีน เช่น เบตาดีน ถ้าไม่มี อาจใช้แอลกอฮอล์ 70 % หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
          3. ไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3 - 4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้
          4. กักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์ดุร้าย กัดคนและสัตว์อื่น หรือไม่สามารถกักสัตว์ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไป ให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
          5. รีบไปพบแพทย์ทันที หลังจากถูกสัตว์กัด เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน อย่ารอจนกระทั่งสัตว์ที่กัดตาย อาจพิจารณาให้การป้องกันบาดทะยัก และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย
          6. พบสัตว์แพทย์ กรมปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวสัตว์ เช่น ชนิดสัตว์ สี เพศ พันธุ์ อายุ สถานที่ถูกกัด เพื่อวางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
          7. เมื่อสัตว์ตาย ตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า
          8. ต้องซักประวัติโดยละเอียดและส่งไปพร้อมซากสัตว์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลผู้สัมผัสโรค
เรื่องน่ารู้
          1. กว่า 90 % ของผู้ที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัด

          2. การช่วยเหลือสุนัขจรจัดโดยการให้อาหาร แต่ไม่นำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก เป็นการเพิ่มจำนวนสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          3. ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการถูกกัดโดยสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          4. ลูกสุนัข ( ทุกอายุ ) มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัข


8627


เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
          โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้คนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องตายด้วยความทุรนทุราย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบีส์ไวรัส ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน จะอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมานอกร่างกายจะมีชีวิตได้ไม่นาน ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด หรือในสภาพแห้งแล้ง ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟอร์มาลิน , 70 % แอลกอฮอล์ , ไลโซล , กรดหรือด่างอย่างแรง หรือ 10 % ไฮโปคลอไรท์ ( น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์ หรือคลอร็อก ในอัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน )


สัตว์ที่สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
          สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิดโดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า หมู ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ ค้างคาว คน ฯลฯ แต่ในประเทศไทย สัตว์ที่พบว่าเป็น โรคพิษสุนัขบ้า มากที่สุด คือ สุนัข ( 96 % ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้อง -ปฏิบัติการ ) รองลงมา คือ แมว ( 3% ) การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คน โดยการได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์ เข้าทางบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณบาดแผลที่มีอยู่เดิม หรือได้รับเชื้อเข้าทางเยื่อตา เยื่อปาก การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกระจกตา อาจพบว่าติดเชื้อจากการหายใจ แต่น้อยมาก ในสัตว์มักติดโรคโดยถูกสุนัขกัด เช่น วัวที่เลี้ยงปล่อยฝูง หรือสุกรที่เลี้ยงใต้ถุนเรือน คอก หรือเล้าที่ไม่มิดชิด คนถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะแสดงอาการ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนกระทั่งปรากฏอาการ หรือระยะฟักตัวจะกินเวลาตั้งแต่ 7 วัน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะบาดแผลและบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดบริเวณใบหน้าหรือใกล้สมองและบาดแผลฉกรรจ์ ระยะฟักตัวจะเร็ว ถ้าถูกกัดบริเวณขา ระยะฟักตัวนานกว่า เพราะเชื้อจะเดินทางมาถึงสมองโดยเฉลี่ยประมาณ 2 - 6 อาทิตย์
 

อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
           มี 2 แบบ คือ แบบก้าวร้าว ดุร้าย และแบบอัมพาต อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก อาจมีอาการไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอคล้ายเป็นหวัด อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และที่พบบ่อย คือ อาการคัน เสียว หรือชาบริเวณแผลที่ถูกกัด ระยะอาการทางระบบประสาท อาจคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กลัวน้ำ กลัวลม ความรู้สึกไวกว่าปกติ ทุรนทุราย หรือมีอาการซึม เป็นอัมพาต น้ำลายไหลต้องบ้วนทิ้ง กลืนน้ำไม่ได้ ระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกตัว หายใจกระตุก ผู้ป่วยส่วนมากมักจะตายภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ ถ้าเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในสมองมาก ก็จะแสดงอาการแบบคลุ้มคลั่ง ดุร้าย แต่ถ้าเชื้อ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง จะแสดงอาการอัมพาต

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
           แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย แสดงอาการชัดเจนและพบบ่อย และแบบซึมซึ่งแสดงอาการไม่ชัดเจน อาการของโรคมี 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามา คลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่น จะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง ระยะนี้มีอาการ 2 - 3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ในระยะที่แสดงอาการแบบซึมอาจไม่แสดงอาการเช่นนี้ แต่เมื่อถูกรบกวนอาจกัด ต่อมา กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก อาการระยะนี้พบได้ 1 - 7 วัน จึงจะเข้าระยะสุดท้าย ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
 

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในแมว
           ในระยะที่มีอาการชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ ระยะอาการนำ มีอาการหงุดหงิด นิสัยเปลี่ยนไป ชอบหลบซุกในที่มืด ระยะนี้มักสั้น ไม่เกิน 1 วัน ระยะตื่นเต้น แสดงอาการดุร้าย กัด หรือข่วนคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้ กล้ามเนื้อสั่น น้ำลายไหล กลืนลำบาก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 4 วัน ระยะอัมพาต เริ่มเป็นอัมพาตจากขาหลัง แล้วลามมายังลำตัว ขาหน้าและหัว จนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว แล้วถึงแก่ความตาย อาการในแมวมักไม่ชัดเจน อาจเป็นแบบซึม มีระยะตื่นเต้นสั้นมาก หรือไม่แสดงอาการเลย อาจพบว่ากินอาหารและน้ำลำบาก แล้วเป็นอัมพาตลามไปทั่วตัว ตายในเวลา 3 - 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ

 


ทำไม…จึงเรียกโรคพิษสุนัขบ้าว่า โรคกลัวน้ำ
          อาการกลัวน้ำ เป็นอาการที่แปลก พบในโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเป็นอัมพาตและกระตุกเกร็ง แม้ว่าจะหิวน้ำ แต่เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก ในสุนัขจะเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากเกิดอัมพาตกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ใช้ลิ้นตวัดน้ำเข้าปากไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อยมีสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล กลืนน้ำไม่ได้ ในคนเริ่มจาก รู้สึกแน่นตึงในลำคอ กลืนอาหารลำบาก เมื่อกินน้ำจะสำลักออกทางปากทางจมูก เวลาพยายามดื่มน้ำจะเจ็บปวดมาก เนื่องจาก กล้ามเนื้อในลำคอ กระตุกเกร็ง

เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดควรทำอย่างไร
          1. รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
          2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ควรใช้สารละลายโพวีโดนไอโอดีน เช่น เบตาดีน ถ้าไม่มี อาจใช้แอลกอฮอล์ 70 % หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
          3. ไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3 - 4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้
          4. กักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์ดุร้าย กัดคนและสัตว์อื่น หรือไม่สามารถกักสัตว์ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไป ให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
          5. รีบไปพบแพทย์ทันที หลังจากถูกสัตว์กัด เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน อย่ารอจนกระทั่งสัตว์ที่กัดตาย อาจพิจารณาให้การป้องกันบาดทะยัก และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย
          6. พบสัตว์แพทย์ กรมปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวสัตว์ เช่น ชนิดสัตว์ สี เพศ พันธุ์ อายุ สถานที่ถูกกัด เพื่อวางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
          7. เมื่อสัตว์ตาย ตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า
          8. ต้องซักประวัติโดยละเอียดและส่งไปพร้อมซากสัตว์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลผู้สัมผัสโรค
เรื่องน่ารู้
          1. กว่า 90 % ของผู้ที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัด

          2. การช่วยเหลือสุนัขจรจัดโดยการให้อาหาร แต่ไม่นำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก เป็นการเพิ่มจำนวนสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          3. ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการถูกกัดโดยสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          4. ลูกสุนัข ( ทุกอายุ ) มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัข


8628


เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
          โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้คนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องตายด้วยความทุรนทุราย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบีส์ไวรัส ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน จะอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมานอกร่างกายจะมีชีวิตได้ไม่นาน ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด หรือในสภาพแห้งแล้ง ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟอร์มาลิน , 70 % แอลกอฮอล์ , ไลโซล , กรดหรือด่างอย่างแรง หรือ 10 % ไฮโปคลอไรท์ ( น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์ หรือคลอร็อก ในอัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน )


สัตว์ที่สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
          สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิดโดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า หมู ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ ค้างคาว คน ฯลฯ แต่ในประเทศไทย สัตว์ที่พบว่าเป็น โรคพิษสุนัขบ้า มากที่สุด คือ สุนัข ( 96 % ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้อง -ปฏิบัติการ ) รองลงมา คือ แมว ( 3% ) การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คน โดยการได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์ เข้าทางบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณบาดแผลที่มีอยู่เดิม หรือได้รับเชื้อเข้าทางเยื่อตา เยื่อปาก การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกระจกตา อาจพบว่าติดเชื้อจากการหายใจ แต่น้อยมาก ในสัตว์มักติดโรคโดยถูกสุนัขกัด เช่น วัวที่เลี้ยงปล่อยฝูง หรือสุกรที่เลี้ยงใต้ถุนเรือน คอก หรือเล้าที่ไม่มิดชิด คนถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะแสดงอาการ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนกระทั่งปรากฏอาการ หรือระยะฟักตัวจะกินเวลาตั้งแต่ 7 วัน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะบาดแผลและบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดบริเวณใบหน้าหรือใกล้สมองและบาดแผลฉกรรจ์ ระยะฟักตัวจะเร็ว ถ้าถูกกัดบริเวณขา ระยะฟักตัวนานกว่า เพราะเชื้อจะเดินทางมาถึงสมองโดยเฉลี่ยประมาณ 2 - 6 อาทิตย์
 

อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
           มี 2 แบบ คือ แบบก้าวร้าว ดุร้าย และแบบอัมพาต อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก อาจมีอาการไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอคล้ายเป็นหวัด อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และที่พบบ่อย คือ อาการคัน เสียว หรือชาบริเวณแผลที่ถูกกัด ระยะอาการทางระบบประสาท อาจคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กลัวน้ำ กลัวลม ความรู้สึกไวกว่าปกติ ทุรนทุราย หรือมีอาการซึม เป็นอัมพาต น้ำลายไหลต้องบ้วนทิ้ง กลืนน้ำไม่ได้ ระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกตัว หายใจกระตุก ผู้ป่วยส่วนมากมักจะตายภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ ถ้าเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในสมองมาก ก็จะแสดงอาการแบบคลุ้มคลั่ง ดุร้าย แต่ถ้าเชื้อ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง จะแสดงอาการอัมพาต

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
           แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย แสดงอาการชัดเจนและพบบ่อย และแบบซึมซึ่งแสดงอาการไม่ชัดเจน อาการของโรคมี 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามา คลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่น จะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง ระยะนี้มีอาการ 2 - 3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ในระยะที่แสดงอาการแบบซึมอาจไม่แสดงอาการเช่นนี้ แต่เมื่อถูกรบกวนอาจกัด ต่อมา กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก อาการระยะนี้พบได้ 1 - 7 วัน จึงจะเข้าระยะสุดท้าย ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
 

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในแมว
           ในระยะที่มีอาการชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ ระยะอาการนำ มีอาการหงุดหงิด นิสัยเปลี่ยนไป ชอบหลบซุกในที่มืด ระยะนี้มักสั้น ไม่เกิน 1 วัน ระยะตื่นเต้น แสดงอาการดุร้าย กัด หรือข่วนคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้ กล้ามเนื้อสั่น น้ำลายไหล กลืนลำบาก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 4 วัน ระยะอัมพาต เริ่มเป็นอัมพาตจากขาหลัง แล้วลามมายังลำตัว ขาหน้าและหัว จนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว แล้วถึงแก่ความตาย อาการในแมวมักไม่ชัดเจน อาจเป็นแบบซึม มีระยะตื่นเต้นสั้นมาก หรือไม่แสดงอาการเลย อาจพบว่ากินอาหารและน้ำลำบาก แล้วเป็นอัมพาตลามไปทั่วตัว ตายในเวลา 3 - 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ

 


ทำไม…จึงเรียกโรคพิษสุนัขบ้าว่า โรคกลัวน้ำ
          อาการกลัวน้ำ เป็นอาการที่แปลก พบในโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเป็นอัมพาตและกระตุกเกร็ง แม้ว่าจะหิวน้ำ แต่เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก ในสุนัขจะเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากเกิดอัมพาตกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ใช้ลิ้นตวัดน้ำเข้าปากไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อยมีสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล กลืนน้ำไม่ได้ ในคนเริ่มจาก รู้สึกแน่นตึงในลำคอ กลืนอาหารลำบาก เมื่อกินน้ำจะสำลักออกทางปากทางจมูก เวลาพยายามดื่มน้ำจะเจ็บปวดมาก เนื่องจาก กล้ามเนื้อในลำคอ กระตุกเกร็ง

เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดควรทำอย่างไร
          1. รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
          2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ควรใช้สารละลายโพวีโดนไอโอดีน เช่น เบตาดีน ถ้าไม่มี อาจใช้แอลกอฮอล์ 70 % หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
          3. ไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3 - 4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้
          4. กักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์ดุร้าย กัดคนและสัตว์อื่น หรือไม่สามารถกักสัตว์ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไป ให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
          5. รีบไปพบแพทย์ทันที หลังจากถูกสัตว์กัด เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน อย่ารอจนกระทั่งสัตว์ที่กัดตาย อาจพิจารณาให้การป้องกันบาดทะยัก และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย
          6. พบสัตว์แพทย์ กรมปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวสัตว์ เช่น ชนิดสัตว์ สี เพศ พันธุ์ อายุ สถานที่ถูกกัด เพื่อวางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
          7. เมื่อสัตว์ตาย ตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า
          8. ต้องซักประวัติโดยละเอียดและส่งไปพร้อมซากสัตว์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลผู้สัมผัสโรค
เรื่องน่ารู้
          1. กว่า 90 % ของผู้ที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัด

          2. การช่วยเหลือสุนัขจรจัดโดยการให้อาหาร แต่ไม่นำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก เป็นการเพิ่มจำนวนสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          3. ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการถูกกัดโดยสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          4. ลูกสุนัข ( ทุกอายุ ) มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัข


8629
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8630
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8631
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8632
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8633
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน


8634
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน


8635
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน


8636
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน


8637
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก

8638
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก

8639
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก

8640
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก