แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

8506


ถ้าพูดถึงน้องหมาตัวอวบตัน หน้าตาตลกชวนหัวเราะ และมีอุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็คงจะนึกถึงน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันใช่ไหมล่ะคะ?  ... ปั๊ก เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มองยังไงๆ ก็ไม่เบื่อ จนทำให้เหล่าคนรักสุนัขตกหลุมรักและนิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เลี้ยงหลายคนมักคิดว่า น้องหมาปั๊กโดยปกติจะต้องเป็นน้องหมาที่อ้วนท้วนถึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู จึงเลี้ยงน้องหมาแบบตามใจปากด้วยอาหารสารพัดชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปั๊กเป็นน้องหมาที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับน้องหมาเพื่อไม่ให้น้องหมามี “ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือเป็นโรคอ้วนค่ะ

     “เทคนิคการเลี้ยงการดูแล” วันนี้ ปังปอนด์เลยจะชวนเพื่อน ๆ  มาเรียนรู้วิธีการดูแลเรื่องอาหารสำหรับน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันโดยเฉพาะ  และเรียนรู้การควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนกันค่ะ ...



โรคอ้วน ... ปัญหาใหญ่ของสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
 
     ด้วยรูปร่างลักษณะที่ อ้วน สั้น ตัน กลม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้องหมาปั๊กถึงมีรายชื่อติดอยู่ในโผ  1ใน 10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ได้ง่ายสายพันธุ์หนึ่ง ... นั่นก็เพราะปั๊กเป็นน้องหมาที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็มักจะกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ กินจุแบบนอนสต็อปนั่นล่ะค่ะ ซึ่งถ้าหากเรามองย้อนกลับไปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้น้องหมาหมาเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการกินของน้องหมา , พันธุกรรม , ช่วงอายุ , เพศ , การทำหมัน , การออกกำลังกาย , โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ 

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้น้องหมาปั๊กอ้วนนั้น ส่วนมากก็มักจะเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ วิธีการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบให้อาหารตามใจปากน้องหมา ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อเห็นน้องหมาส่งสายตาวิงวอนขออาหารสุดโปรดไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกรมควัน ตับย่าง เนื้อไก่ เนื้อหมู ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั่นก็คือ การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพให้น้องหมาปั๊กต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่าง ๆ ในอนาคต และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอ้วนคือ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่งผลให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนโดยพบข้อมูลว่า น้องหมาที่เลี้ยงอยู่ตามอาพาร์ตเม้นท์และคอนโดที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นโรคอ้วนถึง 31% ในขณะที่น้องหมาที่เลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นในสนามหญ้าเป็นโรคอ้วน 23% เท่านั้นค่ะ ...
 


     สำหรับผู้เลี้ยงที่ชอบมอบอาหารของคนให้กับน้องหมา รู้ไหมคะว่านั่นถือเป็นการทำร้ายน้องหมาทางอ้อม เพราะในอาหารของคน ส่วนมากมักจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก และยังถูกปรุงรส หวาน มัน เค็ม ใส่สี กลิ่น สารกันบูด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตับ ไต อวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเมนูสุดโปรดของน้องหมาส่วนมาก เช่น ตับย่าง ที่มีฟอสฟอรัสอยู่มาก เมื่อน้องหมากินบ่อย ๆ ก็จะได้รับสารอาหารชนิดเดิม ๆ เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด ก็จะตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ ร่างกายก็จะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้นั่นเองค่ะ



โภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับปั๊ก

     สำหรับเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับ น้องหมาปั๊ก สายพันธุ์ที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่ายนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องอาหารที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของน้องหมาไม่ให้อ้วนเกินไป โดยดูแลตั้งแต่เริ่มรับน้องหมาปั๊กตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงคือ ควรหัดให้น้องหมากินอาหารเม็ดสำเร็จรูปสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะดีที่สุดเพราะอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสมดุลเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจจะเสริมด้วยวิตามิน น้ำมันปลา กล้วย ที่จะช่วยให้น้องหมามีผิวหนังชุ่มชื้น ขนสวย ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะน้องหมาปั๊กมักจะพบปัญหาผิวหนังและขนร่วงในจำนวนมาก

     รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารของคน โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลที่มีพลังงานสูง เพราะหากน้องหมาได้รับอาหารของคน จำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปแล้วไม่ได้ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน ก็จะทำให้น้องหมาอ้วน ส่งผลต่อข้อและกระดูก และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ  เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงจะส่งผลต่ออายุของน้องหมา รวมถึงอาหารประเภททอดด้วยน้ำมัน  เช่น ลูกชิ้นทอด เนื้อหมูหรือไก่ทอด เพราะจะทำให้ผิวหนังมัน ขนร่วงมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ 5 เทคนิคเลี้ยงน้องหมาให้อายุยืน ... และบทความ ความห่วงใยผิดๆ ที่เจ้าของมักมีต่อสุนัข! )



     ส่วนน้องหมาปั๊กที่เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนแล้ว (อ่านเพิ่มเติม 7 จุดสังเกต เป็นน้องหมาอ้วน ระวัง เสี่ยงโรคร้าย ผู้เลี้ยงก็ควรจำกัดอาหารกับน้องหมาปั๊ก โดยเลือกให้อาหารที่ใช้สำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรับแต่งสูตรสำหรับใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอาหารดังกล่าวจะจำกัดปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) แต่ก็ยังคงมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่เหมาะสมกับน้องหมา โดยควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
       - เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารของน้องหมา สามารถให้น้องหมากินอาหารได้ในปริมาณปกติ เพราะอาหารสูตรดังกล่าวจะลดปริมาณของไขมัน  ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มปริมาณโปรตีน เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน พูดง่าย ๆ ว่า "อิ่มแต่ไม่อ้วน" นั่นเอง
     
       - เป็นอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณกากใย (ไฟเบอร์) มากขึ้น เพื่อให้น้องหมารู้สึกอิ่ม และช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไปในตัว แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าว ข้าวกล้อง ถั่วเขียว ถั่วแดง แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว กล้วยน้ำว้า ผักต้ม ฯลฯ
     
       - เป็นอาหารที่มีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการขาดจากการกำจัดปริมาณอาหาร

     หรือผู้เลี้ยงอาจจะเลือกทำอาหารปรุงสุกสูตรลดน้ำหนักให้น้องหมาเองก็ได้ แต่ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมากันก่อน ซึ่งการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาแต่ละตัวต่อวันนั้น ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

1.น้ำหนักตัว

2.ช่วงอายุ

3.สายพันธุ์และขนาด

     โดยการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมาแต่ละตัว ผู้เลี้ยงสามารถคำนวณตามสูตรที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยคือ  RER (kcal)  = (30×น้ำหนักตัว (กก.)) + 70 หรือใช้ โปรแกรมการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมา แบบง่าย ๆ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของน้องหมา เพียงแค่ผู้เลี้ยงเอาน้ำหนักตัวของน้องหมาไปกรอกลงในช่อง แล้วเลือกเปลี่ยนหน่วยเป็น กิโลกรัม โปรแกรมก็จำคำนวณปริมาณอาหารต่อวันที่พอดีกับออกมาให้เสร็จสรรพเลยค่ะ (อ่านเพิ่มเติม ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ )



     สำหรับเมนูอาหารปรุงสุกง่าย ๆ ที่เหมาะกับน้องหมาปั๊กก็ควรเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยจำพวก ปลา และผักที่มีกากใยสูง เช่น แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว ฯลฯ โดยวันนี้ปังปอนด์ก็มีเมนูตัวอย่าง 1 เมนูง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กับเมนู “ปลาทูนึ่งสารพัดผัก”

ส่วนผสม

ปลาทู 1 ตัว  (55 กิโลแคลอรี่)
แครอท 1/3 หัว ( 10 กิโลแคลอรี่)
ข้าวโพด 30 กรัม ( 17 กิโลแคลอรี่)
มันฝรั่ง ½ หัว (42 กิโลแคลอรี่)
บร็อคโคลี่ 50 กรัม (16.5 กิโลแคลอรี่)

วิธีทำ

     ล้างปลาทูให้สะอาดจากนั้นนำไปนึ่งในหม้อนึ่งปรมาณ 15 นาที หรือจนกว่าปลาทูจะสุกจากนั้นนำปลาทูออกมาพักไว้จนเย็น หั่นผักต่าง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าลูกเต๋า นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที จากนั้นแกะเนื้อปลาทูใส่ถ้วยพร้อมกับนำผักทั้งหมดที่ต้มเสร็จแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความน่ากิน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เจ้าปั๊กตัวแสบจ้า ... สำหรับการปรุงจะเห็นว่าเราจะไม่ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป เพราะรสชาติสำหรับน้องหมาไม่สำคัญเท่ากลิ่น ซึ่งกลิ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การใส่สารปรุงรสจึงไม่มีความจำเป็นเลยล่ะค่ะ (อ่านเพื่มเติมบทความ ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ)
 

โปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก

     สำหรับโปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ให้อาหาร 2 มื้อ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยให้ผู้เลี้ยงวางอาหารทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หากน้องหมาไม่กินก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อให้น้องหมาเรียนรู้การกินอาหารในเวลาที่แน่นอน การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมารู้ตัวว่าถ้าไม่ทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารอีก ...  และไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ทั้งวัน หรือเติมอาหารไว้เต็มชามตลอดเวลา เพราะจะส่งผลให้น้องหมามีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา อยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนจากภาวะที่กรดในกระเพาะหลั่งออกมามากจนระคายเคืองทางเดินอาหาร  หรือกินตลอดเวลาจนเป็นโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นจนอาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้ และยังส่งผลทำให้เกิดการเจริญที่ผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อีกด้วยค่ะ

     หลักสำคัญในการดูแลควบคุมโปรแกรมอาหารเพื่อไม่ให้น้องหมาปั๊กเกิดภาวะน้ำหนักเกินคือ ผู้เลี้ยงต้องมีระเบียบวินัย ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใจแข็งไม่โอนอ่อนต่อสายตาน้องหมาเวลาขออาหารเพราะน้องหมาปั๊กจะหิวอยู่ตลอดเวลา หากให้อาหารแบบตามใจจากเลี้ยงน้องหมาก็จะกลายเป็นได้เลี้ยงน้องหมูไว้ในบ้านแน่นอนค่ะ ยังไงก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ รับรองว่าปัญหาโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาจะหมดไป และไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเป็นกังวลอย่างแน่นอนค่ะ
 


     และถึงแม้ว่าน้องหมาปั๊กจะเป็นน้องหมาที่เรียกได้ว่า กินเก่ง กินจุ แต่ในบางครั้งก็พบว่า น้องหมาปั๊กบางตัวก็มีปัญหาเลือกกิน กินยากไปเสียดื้อ  ๆ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากน้องหมาเบื่อในกลิ่นและรสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการ ค่อย ๆ เปลี่ยนสูตรอาหารที่มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไป โดยไม่ควรเปลี่ยนอาหารในทันที เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารทำให้น้องหมาท้องเสียได้ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารนี้จะใช้วิธีเดียวกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัข ซึ่งเพื่อนๆ ที่มีลูกสุนัขก็สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ วางแผนการให้อาหารลูกสุนัขมาใหม่อย่างถูกวิธี

     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องคอยสังเกตดูอุจจาระของน้องหมาว่า กินอาหารแล้วเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะ กลิ่น สี แย่ลงมั้ย กินอาหารใหม่แล้วถ่ายยากขึ้นหรือถ่ายเหลวไหม กินอาหารแล้วน้องหมากินน้ำมากขึ้นหรือเปล่า และสุดท้ายที่ต้องใช้เวลาในการสังเกตกันสักหน่อยคือ การเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของน้องหมาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อกินอาหารสูตรใหม่ในปริมาณเท่ากับสูตรเก่า เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่าร่างกายน้องหมาสามารถเอาไปใช้ได้ดีแค่ไหนหรือเกิดการสะสมมากกว่าสูตรเก่าหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีเราก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาแต่ละตัวด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยนะคะ



ออกกำลังกายควบคู่การควบคุมอาหาร

     นอกจากเรื่องอาหารที่ผู้เลี้ยงต้องคอยควบคุมให้น้องหมาปั๊กอยู่เสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นพาน้องหมาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงาน แต่ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงก็ควรระมัดระวังในเรื่องโปรแกรมการออกกำลังกายของน้องหมากันด้วยนะคะ เพราะว่า ปั๊ก เป็นจัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้นที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรให้น้องหมาปั๊กออกกำลังกายหนัก ๆ และใช้เวลานาน โดยผู้เลี้ยงควรจัดตารางการออกกำลังกายให้น้องหมาปั๊ก โดยอาจจะขอคำปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อจัดตารางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้อหมาแต่ละตัวจะดีที่สุด

     สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาปั๊กควรเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น พาไปเดินหรือวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะ โดยใช้เพียงแค่ 10- 15 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จากนั้นให้กลับมาออกกำลังกายใหม่ หรืออาจจะสังเกตดูจากอาการหอบของน้องหมาที่จะแสดงออกมาตอนเหนื่อยก็ได้ค่ะ อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นเกมส์ฝึกสมอง โยนลูกบอล ดึงเชือก เพื่อกระตุ้นให้น้องหมาได้ออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ

    เกร็ดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรลืมคือ ผู้เลี้ยงควรให้น้ำน้องหมากินก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัดกันด้วยนะคะ



     น้องหมาปั๊กเป็นน้องหมาที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนโรคอ้วนได้ง่าย ซึ่งเราต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารให้น้องหมา และมีการจัดการโภชนาการอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงผู้เลี้ยงเองต้องมีระเบียบวินัยในการให้อาหารน้องหมา รวมถึงหมั่นพาเขาไปออกกำลังกายและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่น้องหมาแสนรักของเราจะได้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และจะได้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ เลยยังไงล่ะค่ะ ... สำหรับสัปดาห์หน้า เราก็จะยังมีบทความเกี่ยวกับน้องหมาปั๊กกันอยู่ ใครที่น้องหมามีปัญหาเรื่องผิวหนังและขนก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

ที่มา : Dogilike.com

8507


ถ้าพูดถึงน้องหมาตัวอวบตัน หน้าตาตลกชวนหัวเราะ และมีอุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็คงจะนึกถึงน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันใช่ไหมล่ะคะ?  ... ปั๊ก เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มองยังไงๆ ก็ไม่เบื่อ จนทำให้เหล่าคนรักสุนัขตกหลุมรักและนิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เลี้ยงหลายคนมักคิดว่า น้องหมาปั๊กโดยปกติจะต้องเป็นน้องหมาที่อ้วนท้วนถึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู จึงเลี้ยงน้องหมาแบบตามใจปากด้วยอาหารสารพัดชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปั๊กเป็นน้องหมาที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับน้องหมาเพื่อไม่ให้น้องหมามี “ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือเป็นโรคอ้วนค่ะ

     “เทคนิคการเลี้ยงการดูแล” วันนี้ ปังปอนด์เลยจะชวนเพื่อน ๆ  มาเรียนรู้วิธีการดูแลเรื่องอาหารสำหรับน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันโดยเฉพาะ  และเรียนรู้การควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนกันค่ะ ...



โรคอ้วน ... ปัญหาใหญ่ของสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
 
     ด้วยรูปร่างลักษณะที่ อ้วน สั้น ตัน กลม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้องหมาปั๊กถึงมีรายชื่อติดอยู่ในโผ  1ใน 10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ได้ง่ายสายพันธุ์หนึ่ง ... นั่นก็เพราะปั๊กเป็นน้องหมาที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็มักจะกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ กินจุแบบนอนสต็อปนั่นล่ะค่ะ ซึ่งถ้าหากเรามองย้อนกลับไปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้น้องหมาหมาเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการกินของน้องหมา , พันธุกรรม , ช่วงอายุ , เพศ , การทำหมัน , การออกกำลังกาย , โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ 

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้น้องหมาปั๊กอ้วนนั้น ส่วนมากก็มักจะเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ วิธีการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบให้อาหารตามใจปากน้องหมา ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อเห็นน้องหมาส่งสายตาวิงวอนขออาหารสุดโปรดไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกรมควัน ตับย่าง เนื้อไก่ เนื้อหมู ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั่นก็คือ การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพให้น้องหมาปั๊กต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่าง ๆ ในอนาคต และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอ้วนคือ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่งผลให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนโดยพบข้อมูลว่า น้องหมาที่เลี้ยงอยู่ตามอาพาร์ตเม้นท์และคอนโดที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นโรคอ้วนถึง 31% ในขณะที่น้องหมาที่เลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นในสนามหญ้าเป็นโรคอ้วน 23% เท่านั้นค่ะ ...
 


     สำหรับผู้เลี้ยงที่ชอบมอบอาหารของคนให้กับน้องหมา รู้ไหมคะว่านั่นถือเป็นการทำร้ายน้องหมาทางอ้อม เพราะในอาหารของคน ส่วนมากมักจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก และยังถูกปรุงรส หวาน มัน เค็ม ใส่สี กลิ่น สารกันบูด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตับ ไต อวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเมนูสุดโปรดของน้องหมาส่วนมาก เช่น ตับย่าง ที่มีฟอสฟอรัสอยู่มาก เมื่อน้องหมากินบ่อย ๆ ก็จะได้รับสารอาหารชนิดเดิม ๆ เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด ก็จะตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ ร่างกายก็จะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้นั่นเองค่ะ



โภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับปั๊ก

     สำหรับเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับ น้องหมาปั๊ก สายพันธุ์ที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่ายนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องอาหารที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของน้องหมาไม่ให้อ้วนเกินไป โดยดูแลตั้งแต่เริ่มรับน้องหมาปั๊กตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงคือ ควรหัดให้น้องหมากินอาหารเม็ดสำเร็จรูปสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะดีที่สุดเพราะอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสมดุลเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจจะเสริมด้วยวิตามิน น้ำมันปลา กล้วย ที่จะช่วยให้น้องหมามีผิวหนังชุ่มชื้น ขนสวย ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะน้องหมาปั๊กมักจะพบปัญหาผิวหนังและขนร่วงในจำนวนมาก

     รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารของคน โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลที่มีพลังงานสูง เพราะหากน้องหมาได้รับอาหารของคน จำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปแล้วไม่ได้ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน ก็จะทำให้น้องหมาอ้วน ส่งผลต่อข้อและกระดูก และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ  เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงจะส่งผลต่ออายุของน้องหมา รวมถึงอาหารประเภททอดด้วยน้ำมัน  เช่น ลูกชิ้นทอด เนื้อหมูหรือไก่ทอด เพราะจะทำให้ผิวหนังมัน ขนร่วงมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ 5 เทคนิคเลี้ยงน้องหมาให้อายุยืน ... และบทความ ความห่วงใยผิดๆ ที่เจ้าของมักมีต่อสุนัข! )



     ส่วนน้องหมาปั๊กที่เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนแล้ว (อ่านเพิ่มเติม 7 จุดสังเกต เป็นน้องหมาอ้วน ระวัง เสี่ยงโรคร้าย ผู้เลี้ยงก็ควรจำกัดอาหารกับน้องหมาปั๊ก โดยเลือกให้อาหารที่ใช้สำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรับแต่งสูตรสำหรับใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอาหารดังกล่าวจะจำกัดปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) แต่ก็ยังคงมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่เหมาะสมกับน้องหมา โดยควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
       - เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารของน้องหมา สามารถให้น้องหมากินอาหารได้ในปริมาณปกติ เพราะอาหารสูตรดังกล่าวจะลดปริมาณของไขมัน  ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มปริมาณโปรตีน เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน พูดง่าย ๆ ว่า "อิ่มแต่ไม่อ้วน" นั่นเอง
     
       - เป็นอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณกากใย (ไฟเบอร์) มากขึ้น เพื่อให้น้องหมารู้สึกอิ่ม และช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไปในตัว แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าว ข้าวกล้อง ถั่วเขียว ถั่วแดง แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว กล้วยน้ำว้า ผักต้ม ฯลฯ
     
       - เป็นอาหารที่มีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการขาดจากการกำจัดปริมาณอาหาร

     หรือผู้เลี้ยงอาจจะเลือกทำอาหารปรุงสุกสูตรลดน้ำหนักให้น้องหมาเองก็ได้ แต่ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมากันก่อน ซึ่งการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาแต่ละตัวต่อวันนั้น ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

1.น้ำหนักตัว

2.ช่วงอายุ

3.สายพันธุ์และขนาด

     โดยการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมาแต่ละตัว ผู้เลี้ยงสามารถคำนวณตามสูตรที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยคือ  RER (kcal)  = (30×น้ำหนักตัว (กก.)) + 70 หรือใช้ โปรแกรมการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมา แบบง่าย ๆ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของน้องหมา เพียงแค่ผู้เลี้ยงเอาน้ำหนักตัวของน้องหมาไปกรอกลงในช่อง แล้วเลือกเปลี่ยนหน่วยเป็น กิโลกรัม โปรแกรมก็จำคำนวณปริมาณอาหารต่อวันที่พอดีกับออกมาให้เสร็จสรรพเลยค่ะ (อ่านเพิ่มเติม ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ )



     สำหรับเมนูอาหารปรุงสุกง่าย ๆ ที่เหมาะกับน้องหมาปั๊กก็ควรเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยจำพวก ปลา และผักที่มีกากใยสูง เช่น แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว ฯลฯ โดยวันนี้ปังปอนด์ก็มีเมนูตัวอย่าง 1 เมนูง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กับเมนู “ปลาทูนึ่งสารพัดผัก”

ส่วนผสม

ปลาทู 1 ตัว  (55 กิโลแคลอรี่)
แครอท 1/3 หัว ( 10 กิโลแคลอรี่)
ข้าวโพด 30 กรัม ( 17 กิโลแคลอรี่)
มันฝรั่ง ½ หัว (42 กิโลแคลอรี่)
บร็อคโคลี่ 50 กรัม (16.5 กิโลแคลอรี่)

วิธีทำ

     ล้างปลาทูให้สะอาดจากนั้นนำไปนึ่งในหม้อนึ่งปรมาณ 15 นาที หรือจนกว่าปลาทูจะสุกจากนั้นนำปลาทูออกมาพักไว้จนเย็น หั่นผักต่าง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าลูกเต๋า นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที จากนั้นแกะเนื้อปลาทูใส่ถ้วยพร้อมกับนำผักทั้งหมดที่ต้มเสร็จแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความน่ากิน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เจ้าปั๊กตัวแสบจ้า ... สำหรับการปรุงจะเห็นว่าเราจะไม่ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป เพราะรสชาติสำหรับน้องหมาไม่สำคัญเท่ากลิ่น ซึ่งกลิ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การใส่สารปรุงรสจึงไม่มีความจำเป็นเลยล่ะค่ะ (อ่านเพื่มเติมบทความ ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ)
 

โปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก

     สำหรับโปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ให้อาหาร 2 มื้อ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยให้ผู้เลี้ยงวางอาหารทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หากน้องหมาไม่กินก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อให้น้องหมาเรียนรู้การกินอาหารในเวลาที่แน่นอน การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมารู้ตัวว่าถ้าไม่ทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารอีก ...  และไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ทั้งวัน หรือเติมอาหารไว้เต็มชามตลอดเวลา เพราะจะส่งผลให้น้องหมามีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา อยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนจากภาวะที่กรดในกระเพาะหลั่งออกมามากจนระคายเคืองทางเดินอาหาร  หรือกินตลอดเวลาจนเป็นโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นจนอาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้ และยังส่งผลทำให้เกิดการเจริญที่ผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อีกด้วยค่ะ

     หลักสำคัญในการดูแลควบคุมโปรแกรมอาหารเพื่อไม่ให้น้องหมาปั๊กเกิดภาวะน้ำหนักเกินคือ ผู้เลี้ยงต้องมีระเบียบวินัย ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใจแข็งไม่โอนอ่อนต่อสายตาน้องหมาเวลาขออาหารเพราะน้องหมาปั๊กจะหิวอยู่ตลอดเวลา หากให้อาหารแบบตามใจจากเลี้ยงน้องหมาก็จะกลายเป็นได้เลี้ยงน้องหมูไว้ในบ้านแน่นอนค่ะ ยังไงก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ รับรองว่าปัญหาโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาจะหมดไป และไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเป็นกังวลอย่างแน่นอนค่ะ
 


     และถึงแม้ว่าน้องหมาปั๊กจะเป็นน้องหมาที่เรียกได้ว่า กินเก่ง กินจุ แต่ในบางครั้งก็พบว่า น้องหมาปั๊กบางตัวก็มีปัญหาเลือกกิน กินยากไปเสียดื้อ  ๆ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากน้องหมาเบื่อในกลิ่นและรสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการ ค่อย ๆ เปลี่ยนสูตรอาหารที่มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไป โดยไม่ควรเปลี่ยนอาหารในทันที เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารทำให้น้องหมาท้องเสียได้ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารนี้จะใช้วิธีเดียวกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัข ซึ่งเพื่อนๆ ที่มีลูกสุนัขก็สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ วางแผนการให้อาหารลูกสุนัขมาใหม่อย่างถูกวิธี

     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องคอยสังเกตดูอุจจาระของน้องหมาว่า กินอาหารแล้วเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะ กลิ่น สี แย่ลงมั้ย กินอาหารใหม่แล้วถ่ายยากขึ้นหรือถ่ายเหลวไหม กินอาหารแล้วน้องหมากินน้ำมากขึ้นหรือเปล่า และสุดท้ายที่ต้องใช้เวลาในการสังเกตกันสักหน่อยคือ การเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของน้องหมาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อกินอาหารสูตรใหม่ในปริมาณเท่ากับสูตรเก่า เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่าร่างกายน้องหมาสามารถเอาไปใช้ได้ดีแค่ไหนหรือเกิดการสะสมมากกว่าสูตรเก่าหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีเราก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาแต่ละตัวด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยนะคะ



ออกกำลังกายควบคู่การควบคุมอาหาร

     นอกจากเรื่องอาหารที่ผู้เลี้ยงต้องคอยควบคุมให้น้องหมาปั๊กอยู่เสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นพาน้องหมาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงาน แต่ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงก็ควรระมัดระวังในเรื่องโปรแกรมการออกกำลังกายของน้องหมากันด้วยนะคะ เพราะว่า ปั๊ก เป็นจัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้นที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรให้น้องหมาปั๊กออกกำลังกายหนัก ๆ และใช้เวลานาน โดยผู้เลี้ยงควรจัดตารางการออกกำลังกายให้น้องหมาปั๊ก โดยอาจจะขอคำปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อจัดตารางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้อหมาแต่ละตัวจะดีที่สุด

     สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาปั๊กควรเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น พาไปเดินหรือวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะ โดยใช้เพียงแค่ 10- 15 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จากนั้นให้กลับมาออกกำลังกายใหม่ หรืออาจจะสังเกตดูจากอาการหอบของน้องหมาที่จะแสดงออกมาตอนเหนื่อยก็ได้ค่ะ อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นเกมส์ฝึกสมอง โยนลูกบอล ดึงเชือก เพื่อกระตุ้นให้น้องหมาได้ออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ

    เกร็ดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรลืมคือ ผู้เลี้ยงควรให้น้ำน้องหมากินก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัดกันด้วยนะคะ



     น้องหมาปั๊กเป็นน้องหมาที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนโรคอ้วนได้ง่าย ซึ่งเราต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารให้น้องหมา และมีการจัดการโภชนาการอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงผู้เลี้ยงเองต้องมีระเบียบวินัยในการให้อาหารน้องหมา รวมถึงหมั่นพาเขาไปออกกำลังกายและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่น้องหมาแสนรักของเราจะได้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และจะได้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ เลยยังไงล่ะค่ะ ... สำหรับสัปดาห์หน้า เราก็จะยังมีบทความเกี่ยวกับน้องหมาปั๊กกันอยู่ ใครที่น้องหมามีปัญหาเรื่องผิวหนังและขนก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

ที่มา : Dogilike.com

8508


ถ้าพูดถึงน้องหมาตัวอวบตัน หน้าตาตลกชวนหัวเราะ และมีอุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็คงจะนึกถึงน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันใช่ไหมล่ะคะ?  ... ปั๊ก เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มองยังไงๆ ก็ไม่เบื่อ จนทำให้เหล่าคนรักสุนัขตกหลุมรักและนิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เลี้ยงหลายคนมักคิดว่า น้องหมาปั๊กโดยปกติจะต้องเป็นน้องหมาที่อ้วนท้วนถึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู จึงเลี้ยงน้องหมาแบบตามใจปากด้วยอาหารสารพัดชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปั๊กเป็นน้องหมาที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับน้องหมาเพื่อไม่ให้น้องหมามี “ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือเป็นโรคอ้วนค่ะ

     “เทคนิคการเลี้ยงการดูแล” วันนี้ ปังปอนด์เลยจะชวนเพื่อน ๆ  มาเรียนรู้วิธีการดูแลเรื่องอาหารสำหรับน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันโดยเฉพาะ  และเรียนรู้การควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนกันค่ะ ...



โรคอ้วน ... ปัญหาใหญ่ของสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
 
     ด้วยรูปร่างลักษณะที่ อ้วน สั้น ตัน กลม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้องหมาปั๊กถึงมีรายชื่อติดอยู่ในโผ  1ใน 10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ได้ง่ายสายพันธุ์หนึ่ง ... นั่นก็เพราะปั๊กเป็นน้องหมาที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็มักจะกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ กินจุแบบนอนสต็อปนั่นล่ะค่ะ ซึ่งถ้าหากเรามองย้อนกลับไปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้น้องหมาหมาเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการกินของน้องหมา , พันธุกรรม , ช่วงอายุ , เพศ , การทำหมัน , การออกกำลังกาย , โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ 

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้น้องหมาปั๊กอ้วนนั้น ส่วนมากก็มักจะเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ วิธีการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบให้อาหารตามใจปากน้องหมา ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อเห็นน้องหมาส่งสายตาวิงวอนขออาหารสุดโปรดไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกรมควัน ตับย่าง เนื้อไก่ เนื้อหมู ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั่นก็คือ การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพให้น้องหมาปั๊กต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่าง ๆ ในอนาคต และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอ้วนคือ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่งผลให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนโดยพบข้อมูลว่า น้องหมาที่เลี้ยงอยู่ตามอาพาร์ตเม้นท์และคอนโดที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นโรคอ้วนถึง 31% ในขณะที่น้องหมาที่เลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นในสนามหญ้าเป็นโรคอ้วน 23% เท่านั้นค่ะ ...
 


     สำหรับผู้เลี้ยงที่ชอบมอบอาหารของคนให้กับน้องหมา รู้ไหมคะว่านั่นถือเป็นการทำร้ายน้องหมาทางอ้อม เพราะในอาหารของคน ส่วนมากมักจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก และยังถูกปรุงรส หวาน มัน เค็ม ใส่สี กลิ่น สารกันบูด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตับ ไต อวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเมนูสุดโปรดของน้องหมาส่วนมาก เช่น ตับย่าง ที่มีฟอสฟอรัสอยู่มาก เมื่อน้องหมากินบ่อย ๆ ก็จะได้รับสารอาหารชนิดเดิม ๆ เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด ก็จะตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ ร่างกายก็จะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้นั่นเองค่ะ



โภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับปั๊ก

     สำหรับเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับ น้องหมาปั๊ก สายพันธุ์ที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่ายนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องอาหารที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของน้องหมาไม่ให้อ้วนเกินไป โดยดูแลตั้งแต่เริ่มรับน้องหมาปั๊กตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงคือ ควรหัดให้น้องหมากินอาหารเม็ดสำเร็จรูปสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะดีที่สุดเพราะอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสมดุลเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจจะเสริมด้วยวิตามิน น้ำมันปลา กล้วย ที่จะช่วยให้น้องหมามีผิวหนังชุ่มชื้น ขนสวย ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะน้องหมาปั๊กมักจะพบปัญหาผิวหนังและขนร่วงในจำนวนมาก

     รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารของคน โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลที่มีพลังงานสูง เพราะหากน้องหมาได้รับอาหารของคน จำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปแล้วไม่ได้ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน ก็จะทำให้น้องหมาอ้วน ส่งผลต่อข้อและกระดูก และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ  เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงจะส่งผลต่ออายุของน้องหมา รวมถึงอาหารประเภททอดด้วยน้ำมัน  เช่น ลูกชิ้นทอด เนื้อหมูหรือไก่ทอด เพราะจะทำให้ผิวหนังมัน ขนร่วงมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ 5 เทคนิคเลี้ยงน้องหมาให้อายุยืน ... และบทความ ความห่วงใยผิดๆ ที่เจ้าของมักมีต่อสุนัข! )



     ส่วนน้องหมาปั๊กที่เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนแล้ว (อ่านเพิ่มเติม 7 จุดสังเกต เป็นน้องหมาอ้วน ระวัง เสี่ยงโรคร้าย ผู้เลี้ยงก็ควรจำกัดอาหารกับน้องหมาปั๊ก โดยเลือกให้อาหารที่ใช้สำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรับแต่งสูตรสำหรับใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอาหารดังกล่าวจะจำกัดปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) แต่ก็ยังคงมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่เหมาะสมกับน้องหมา โดยควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
       - เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารของน้องหมา สามารถให้น้องหมากินอาหารได้ในปริมาณปกติ เพราะอาหารสูตรดังกล่าวจะลดปริมาณของไขมัน  ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มปริมาณโปรตีน เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน พูดง่าย ๆ ว่า "อิ่มแต่ไม่อ้วน" นั่นเอง
     
       - เป็นอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณกากใย (ไฟเบอร์) มากขึ้น เพื่อให้น้องหมารู้สึกอิ่ม และช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไปในตัว แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าว ข้าวกล้อง ถั่วเขียว ถั่วแดง แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว กล้วยน้ำว้า ผักต้ม ฯลฯ
     
       - เป็นอาหารที่มีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการขาดจากการกำจัดปริมาณอาหาร

     หรือผู้เลี้ยงอาจจะเลือกทำอาหารปรุงสุกสูตรลดน้ำหนักให้น้องหมาเองก็ได้ แต่ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมากันก่อน ซึ่งการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาแต่ละตัวต่อวันนั้น ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

1.น้ำหนักตัว

2.ช่วงอายุ

3.สายพันธุ์และขนาด

     โดยการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมาแต่ละตัว ผู้เลี้ยงสามารถคำนวณตามสูตรที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยคือ  RER (kcal)  = (30×น้ำหนักตัว (กก.)) + 70 หรือใช้ โปรแกรมการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมา แบบง่าย ๆ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของน้องหมา เพียงแค่ผู้เลี้ยงเอาน้ำหนักตัวของน้องหมาไปกรอกลงในช่อง แล้วเลือกเปลี่ยนหน่วยเป็น กิโลกรัม โปรแกรมก็จำคำนวณปริมาณอาหารต่อวันที่พอดีกับออกมาให้เสร็จสรรพเลยค่ะ (อ่านเพิ่มเติม ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ )



     สำหรับเมนูอาหารปรุงสุกง่าย ๆ ที่เหมาะกับน้องหมาปั๊กก็ควรเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยจำพวก ปลา และผักที่มีกากใยสูง เช่น แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว ฯลฯ โดยวันนี้ปังปอนด์ก็มีเมนูตัวอย่าง 1 เมนูง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กับเมนู “ปลาทูนึ่งสารพัดผัก”

ส่วนผสม

ปลาทู 1 ตัว  (55 กิโลแคลอรี่)
แครอท 1/3 หัว ( 10 กิโลแคลอรี่)
ข้าวโพด 30 กรัม ( 17 กิโลแคลอรี่)
มันฝรั่ง ½ หัว (42 กิโลแคลอรี่)
บร็อคโคลี่ 50 กรัม (16.5 กิโลแคลอรี่)

วิธีทำ

     ล้างปลาทูให้สะอาดจากนั้นนำไปนึ่งในหม้อนึ่งปรมาณ 15 นาที หรือจนกว่าปลาทูจะสุกจากนั้นนำปลาทูออกมาพักไว้จนเย็น หั่นผักต่าง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าลูกเต๋า นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที จากนั้นแกะเนื้อปลาทูใส่ถ้วยพร้อมกับนำผักทั้งหมดที่ต้มเสร็จแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความน่ากิน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เจ้าปั๊กตัวแสบจ้า ... สำหรับการปรุงจะเห็นว่าเราจะไม่ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป เพราะรสชาติสำหรับน้องหมาไม่สำคัญเท่ากลิ่น ซึ่งกลิ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การใส่สารปรุงรสจึงไม่มีความจำเป็นเลยล่ะค่ะ (อ่านเพื่มเติมบทความ ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ)
 

โปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก

     สำหรับโปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ให้อาหาร 2 มื้อ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยให้ผู้เลี้ยงวางอาหารทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หากน้องหมาไม่กินก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อให้น้องหมาเรียนรู้การกินอาหารในเวลาที่แน่นอน การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมารู้ตัวว่าถ้าไม่ทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารอีก ...  และไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ทั้งวัน หรือเติมอาหารไว้เต็มชามตลอดเวลา เพราะจะส่งผลให้น้องหมามีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา อยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนจากภาวะที่กรดในกระเพาะหลั่งออกมามากจนระคายเคืองทางเดินอาหาร  หรือกินตลอดเวลาจนเป็นโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นจนอาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้ และยังส่งผลทำให้เกิดการเจริญที่ผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อีกด้วยค่ะ

     หลักสำคัญในการดูแลควบคุมโปรแกรมอาหารเพื่อไม่ให้น้องหมาปั๊กเกิดภาวะน้ำหนักเกินคือ ผู้เลี้ยงต้องมีระเบียบวินัย ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใจแข็งไม่โอนอ่อนต่อสายตาน้องหมาเวลาขออาหารเพราะน้องหมาปั๊กจะหิวอยู่ตลอดเวลา หากให้อาหารแบบตามใจจากเลี้ยงน้องหมาก็จะกลายเป็นได้เลี้ยงน้องหมูไว้ในบ้านแน่นอนค่ะ ยังไงก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ รับรองว่าปัญหาโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาจะหมดไป และไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเป็นกังวลอย่างแน่นอนค่ะ
 


     และถึงแม้ว่าน้องหมาปั๊กจะเป็นน้องหมาที่เรียกได้ว่า กินเก่ง กินจุ แต่ในบางครั้งก็พบว่า น้องหมาปั๊กบางตัวก็มีปัญหาเลือกกิน กินยากไปเสียดื้อ  ๆ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากน้องหมาเบื่อในกลิ่นและรสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการ ค่อย ๆ เปลี่ยนสูตรอาหารที่มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไป โดยไม่ควรเปลี่ยนอาหารในทันที เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารทำให้น้องหมาท้องเสียได้ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารนี้จะใช้วิธีเดียวกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัข ซึ่งเพื่อนๆ ที่มีลูกสุนัขก็สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ วางแผนการให้อาหารลูกสุนัขมาใหม่อย่างถูกวิธี

     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องคอยสังเกตดูอุจจาระของน้องหมาว่า กินอาหารแล้วเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะ กลิ่น สี แย่ลงมั้ย กินอาหารใหม่แล้วถ่ายยากขึ้นหรือถ่ายเหลวไหม กินอาหารแล้วน้องหมากินน้ำมากขึ้นหรือเปล่า และสุดท้ายที่ต้องใช้เวลาในการสังเกตกันสักหน่อยคือ การเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของน้องหมาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อกินอาหารสูตรใหม่ในปริมาณเท่ากับสูตรเก่า เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่าร่างกายน้องหมาสามารถเอาไปใช้ได้ดีแค่ไหนหรือเกิดการสะสมมากกว่าสูตรเก่าหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีเราก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาแต่ละตัวด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยนะคะ



ออกกำลังกายควบคู่การควบคุมอาหาร

     นอกจากเรื่องอาหารที่ผู้เลี้ยงต้องคอยควบคุมให้น้องหมาปั๊กอยู่เสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นพาน้องหมาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงาน แต่ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงก็ควรระมัดระวังในเรื่องโปรแกรมการออกกำลังกายของน้องหมากันด้วยนะคะ เพราะว่า ปั๊ก เป็นจัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้นที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรให้น้องหมาปั๊กออกกำลังกายหนัก ๆ และใช้เวลานาน โดยผู้เลี้ยงควรจัดตารางการออกกำลังกายให้น้องหมาปั๊ก โดยอาจจะขอคำปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อจัดตารางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้อหมาแต่ละตัวจะดีที่สุด

     สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาปั๊กควรเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น พาไปเดินหรือวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะ โดยใช้เพียงแค่ 10- 15 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จากนั้นให้กลับมาออกกำลังกายใหม่ หรืออาจจะสังเกตดูจากอาการหอบของน้องหมาที่จะแสดงออกมาตอนเหนื่อยก็ได้ค่ะ อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นเกมส์ฝึกสมอง โยนลูกบอล ดึงเชือก เพื่อกระตุ้นให้น้องหมาได้ออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ

    เกร็ดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรลืมคือ ผู้เลี้ยงควรให้น้ำน้องหมากินก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัดกันด้วยนะคะ



     น้องหมาปั๊กเป็นน้องหมาที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนโรคอ้วนได้ง่าย ซึ่งเราต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารให้น้องหมา และมีการจัดการโภชนาการอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงผู้เลี้ยงเองต้องมีระเบียบวินัยในการให้อาหารน้องหมา รวมถึงหมั่นพาเขาไปออกกำลังกายและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่น้องหมาแสนรักของเราจะได้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และจะได้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ เลยยังไงล่ะค่ะ ... สำหรับสัปดาห์หน้า เราก็จะยังมีบทความเกี่ยวกับน้องหมาปั๊กกันอยู่ ใครที่น้องหมามีปัญหาเรื่องผิวหนังและขนก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

ที่มา : Dogilike.com

8509


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8510


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8511


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8512


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8513
อัพเดตข่าวหมา / 10 สุนัขไซส์ใหญ่
« เมื่อ: 19 พ.ย. 56, 23:50:58น. »
       หากไม่นับเหล่าสุนัขที่อัดโปรตีนจน Over Size แล้ว นี่คือสายพันธุ์มาตรฐานของเจ้าตูบที่ถูกออกแบบให้เกิดมาเป็นเพื่อนซี้สี่ขาร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่รับรองว่าถ้าคุณต้องคิดแล้วคิดอีกถ้ากำลังจะเดินผ่านสุนัขแปลกหน้า 10 สายพันธุ์ต่อไปนี้
 


Caucasian Shepherd
ถึงจะมีความสูงที่ระดับหัวไหล่ประมาณ 70 เซนฯ แต่รูปร่างของ Caucasian Shepherd กลับคล่องแคล่วและหนักประมาณ 45 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนที่เห็นใหญ่ๆ คือขนหนาของมันซะมากกว่า แต่นั่นก็เพียงพอที่จะขู่คนแปลกหน้าและสัตว์ป่านักล่าได้เป็นอย่างดีแล้ว



Kuvasz
อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดจากทิเบต และแพร่หลายในฮังการี Kuvasz จัดเป็นสุนัขที่ขนาดใหญ่และสามารถโตได้สูงถึง 76 เซนติเมตรและน้ำหนักกว่า 68 กิโลกรัม Kuvasz ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากขนสีขาวหนา และขนาดที่ใหญ่โต ซึ่งมีประโยชน์มากในการล่าสัตว์และรักษาความปลอดภัย



English Mastiff
เป็นยักษ์ใหญ่ใจดีอีกตัวที่มาพร้อมส่วนสูง 75 เซนฯ และหนักได้ถึง 127 กิโลกรัม English Mastiff คือสุนัขที่ใหญ่ตามธรรมชาติและถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนของมนุษย์และพี่เลี้ยงเด็กขนานแท้



Irish Wolfhound
หนึ่งในสุนัขล่าสัตว์ร่างยักษ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเกมการล่าโดยเฉพาะ และไม่ว่าหมูป่าหรือกวางตัวนั้นจะวิ่งเร็วแค่ไหน หรือได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่ พวกมันก็ไม่มีทางรอดพ้นคมเขี้ยวและกำลังขาของ Irish Wolfhound ไปได้ แต่ด้วยขนาดที่สูงได้ถึง 78 เซนฯ ที่ระดับหัวไหล่ และหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม นี่เป็นสุนัขที่ต้องการการดูแลในเรื่องอาหาร สถานที่ และการออกกำลังกายเป็นอย่างดี



St. Bernard
คงไม่มีใครไม่รู้จักสุนัขนักบุญร่างใหญ่ตัวนี้เป็นแน่ เพราะนอกจากจะโด่งดังบนแผ่นฟิล์มแล้ว St. Bernard ยังมีวีรกรรมการช่วยเหลือมนุษย์นับครั้งไม่ถ้วน และร่างสีขาวสลับน้ำตาลขนาดมหึมาที่สูงกว่า 90 เซนฯ ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นนักบุญแห่งภูเขาน้ำแข็งมาจนถึงทุกวันนี้



Newfoundland
หาก St. Bernard คือนักบุญแห่งทุ่งน้ำแข็ง Newfoundland ก็คงเป็นหน่วยกู้ภัยทางน้ำที่วางใจได้ และด้วยส่วนสูงถึง 90 เซนฯและหนักกว่า 80 กิโลกรัม แถมยังมาพร้อมขนหนาสองชั้น Newfoundland สามารถกระโจนลงสู่ผิวน้ำจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อช่วยมนุษย์ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าสภาพอากาศจะโหดร้ายเพียงใด



Leonberger
นี่คือฝูงสิงโตแห่งเยอรมัน ที่นอกจากจะมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมร่วมกับมนุษย์ได้อย่างวิเศษแล้ว ขนาดที่สูงกว่า 80 เซนฯ ของ Leonberger ยังเหมาะสำหรับการเป็นสุนัขทหารที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และสามารถทำภารกิจค้นหาได้อย่างวิเศษ



French Mastiff
หนึ่งในสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก และมีขนาดใกล้เคียงกับ English Mastiff แต่ด้วยพละกำลังมหาศาล แถมมีนิสัยตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ French Mastiff ถูกนำไปใช้ในเกมกีฬาต่างๆ มากมาย



Anatolian Shepherd
หนึ่งในสุนัขที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก และมีความสามารถหลากหลายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการต้อนฝูงปศุสัตว์ในที่โล่ง และเป็นสุนัขอารักขาระดับโลกที่สามารถสูงได้ถึง 78 เซนฯ และหนักกว่า 68 กิโลกรัม Anatolian Shepherd คือสุนัขที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดหนักแน่หากจะเล่นงานคุณ



Great Dane
ฉายา King of Dog ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะนี่คือสุนัขที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก และด้วยส่วนสูงจากหัวไหล่กว่า 1 เมตร และสามารถทำงานได้หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นเกมการล่า เป็นสุนัขอารักขา หรือแม้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน Great Dane ก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่ต้องการการดูแลจากเจ้าของมากเช่นกัน

ที่มา : SpokeDark.TV

8514
อัพเดตข่าวหมา / 10 สุนัขไซส์ใหญ่
« เมื่อ: 19 พ.ย. 56, 23:50:58น. »
       หากไม่นับเหล่าสุนัขที่อัดโปรตีนจน Over Size แล้ว นี่คือสายพันธุ์มาตรฐานของเจ้าตูบที่ถูกออกแบบให้เกิดมาเป็นเพื่อนซี้สี่ขาร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่รับรองว่าถ้าคุณต้องคิดแล้วคิดอีกถ้ากำลังจะเดินผ่านสุนัขแปลกหน้า 10 สายพันธุ์ต่อไปนี้
 


Caucasian Shepherd
ถึงจะมีความสูงที่ระดับหัวไหล่ประมาณ 70 เซนฯ แต่รูปร่างของ Caucasian Shepherd กลับคล่องแคล่วและหนักประมาณ 45 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนที่เห็นใหญ่ๆ คือขนหนาของมันซะมากกว่า แต่นั่นก็เพียงพอที่จะขู่คนแปลกหน้าและสัตว์ป่านักล่าได้เป็นอย่างดีแล้ว



Kuvasz
อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดจากทิเบต และแพร่หลายในฮังการี Kuvasz จัดเป็นสุนัขที่ขนาดใหญ่และสามารถโตได้สูงถึง 76 เซนติเมตรและน้ำหนักกว่า 68 กิโลกรัม Kuvasz ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากขนสีขาวหนา และขนาดที่ใหญ่โต ซึ่งมีประโยชน์มากในการล่าสัตว์และรักษาความปลอดภัย



English Mastiff
เป็นยักษ์ใหญ่ใจดีอีกตัวที่มาพร้อมส่วนสูง 75 เซนฯ และหนักได้ถึง 127 กิโลกรัม English Mastiff คือสุนัขที่ใหญ่ตามธรรมชาติและถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนของมนุษย์และพี่เลี้ยงเด็กขนานแท้



Irish Wolfhound
หนึ่งในสุนัขล่าสัตว์ร่างยักษ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเกมการล่าโดยเฉพาะ และไม่ว่าหมูป่าหรือกวางตัวนั้นจะวิ่งเร็วแค่ไหน หรือได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่ พวกมันก็ไม่มีทางรอดพ้นคมเขี้ยวและกำลังขาของ Irish Wolfhound ไปได้ แต่ด้วยขนาดที่สูงได้ถึง 78 เซนฯ ที่ระดับหัวไหล่ และหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม นี่เป็นสุนัขที่ต้องการการดูแลในเรื่องอาหาร สถานที่ และการออกกำลังกายเป็นอย่างดี



St. Bernard
คงไม่มีใครไม่รู้จักสุนัขนักบุญร่างใหญ่ตัวนี้เป็นแน่ เพราะนอกจากจะโด่งดังบนแผ่นฟิล์มแล้ว St. Bernard ยังมีวีรกรรมการช่วยเหลือมนุษย์นับครั้งไม่ถ้วน และร่างสีขาวสลับน้ำตาลขนาดมหึมาที่สูงกว่า 90 เซนฯ ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นนักบุญแห่งภูเขาน้ำแข็งมาจนถึงทุกวันนี้



Newfoundland
หาก St. Bernard คือนักบุญแห่งทุ่งน้ำแข็ง Newfoundland ก็คงเป็นหน่วยกู้ภัยทางน้ำที่วางใจได้ และด้วยส่วนสูงถึง 90 เซนฯและหนักกว่า 80 กิโลกรัม แถมยังมาพร้อมขนหนาสองชั้น Newfoundland สามารถกระโจนลงสู่ผิวน้ำจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อช่วยมนุษย์ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าสภาพอากาศจะโหดร้ายเพียงใด



Leonberger
นี่คือฝูงสิงโตแห่งเยอรมัน ที่นอกจากจะมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมร่วมกับมนุษย์ได้อย่างวิเศษแล้ว ขนาดที่สูงกว่า 80 เซนฯ ของ Leonberger ยังเหมาะสำหรับการเป็นสุนัขทหารที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และสามารถทำภารกิจค้นหาได้อย่างวิเศษ



French Mastiff
หนึ่งในสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก และมีขนาดใกล้เคียงกับ English Mastiff แต่ด้วยพละกำลังมหาศาล แถมมีนิสัยตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ French Mastiff ถูกนำไปใช้ในเกมกีฬาต่างๆ มากมาย



Anatolian Shepherd
หนึ่งในสุนัขที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก และมีความสามารถหลากหลายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการต้อนฝูงปศุสัตว์ในที่โล่ง และเป็นสุนัขอารักขาระดับโลกที่สามารถสูงได้ถึง 78 เซนฯ และหนักกว่า 68 กิโลกรัม Anatolian Shepherd คือสุนัขที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดหนักแน่หากจะเล่นงานคุณ



Great Dane
ฉายา King of Dog ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะนี่คือสุนัขที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก และด้วยส่วนสูงจากหัวไหล่กว่า 1 เมตร และสามารถทำงานได้หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นเกมการล่า เป็นสุนัขอารักขา หรือแม้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน Great Dane ก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่ต้องการการดูแลจากเจ้าของมากเช่นกัน

ที่มา : SpokeDark.TV

8515
อัพเดตข่าวหมา / 10 สุนัขไซส์ใหญ่
« เมื่อ: 19 พ.ย. 56, 23:50:58น. »
       หากไม่นับเหล่าสุนัขที่อัดโปรตีนจน Over Size แล้ว นี่คือสายพันธุ์มาตรฐานของเจ้าตูบที่ถูกออกแบบให้เกิดมาเป็นเพื่อนซี้สี่ขาร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่รับรองว่าถ้าคุณต้องคิดแล้วคิดอีกถ้ากำลังจะเดินผ่านสุนัขแปลกหน้า 10 สายพันธุ์ต่อไปนี้
 


Caucasian Shepherd
ถึงจะมีความสูงที่ระดับหัวไหล่ประมาณ 70 เซนฯ แต่รูปร่างของ Caucasian Shepherd กลับคล่องแคล่วและหนักประมาณ 45 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนที่เห็นใหญ่ๆ คือขนหนาของมันซะมากกว่า แต่นั่นก็เพียงพอที่จะขู่คนแปลกหน้าและสัตว์ป่านักล่าได้เป็นอย่างดีแล้ว



Kuvasz
อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดจากทิเบต และแพร่หลายในฮังการี Kuvasz จัดเป็นสุนัขที่ขนาดใหญ่และสามารถโตได้สูงถึง 76 เซนติเมตรและน้ำหนักกว่า 68 กิโลกรัม Kuvasz ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากขนสีขาวหนา และขนาดที่ใหญ่โต ซึ่งมีประโยชน์มากในการล่าสัตว์และรักษาความปลอดภัย



English Mastiff
เป็นยักษ์ใหญ่ใจดีอีกตัวที่มาพร้อมส่วนสูง 75 เซนฯ และหนักได้ถึง 127 กิโลกรัม English Mastiff คือสุนัขที่ใหญ่ตามธรรมชาติและถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนของมนุษย์และพี่เลี้ยงเด็กขนานแท้



Irish Wolfhound
หนึ่งในสุนัขล่าสัตว์ร่างยักษ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเกมการล่าโดยเฉพาะ และไม่ว่าหมูป่าหรือกวางตัวนั้นจะวิ่งเร็วแค่ไหน หรือได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่ พวกมันก็ไม่มีทางรอดพ้นคมเขี้ยวและกำลังขาของ Irish Wolfhound ไปได้ แต่ด้วยขนาดที่สูงได้ถึง 78 เซนฯ ที่ระดับหัวไหล่ และหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม นี่เป็นสุนัขที่ต้องการการดูแลในเรื่องอาหาร สถานที่ และการออกกำลังกายเป็นอย่างดี



St. Bernard
คงไม่มีใครไม่รู้จักสุนัขนักบุญร่างใหญ่ตัวนี้เป็นแน่ เพราะนอกจากจะโด่งดังบนแผ่นฟิล์มแล้ว St. Bernard ยังมีวีรกรรมการช่วยเหลือมนุษย์นับครั้งไม่ถ้วน และร่างสีขาวสลับน้ำตาลขนาดมหึมาที่สูงกว่า 90 เซนฯ ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นนักบุญแห่งภูเขาน้ำแข็งมาจนถึงทุกวันนี้



Newfoundland
หาก St. Bernard คือนักบุญแห่งทุ่งน้ำแข็ง Newfoundland ก็คงเป็นหน่วยกู้ภัยทางน้ำที่วางใจได้ และด้วยส่วนสูงถึง 90 เซนฯและหนักกว่า 80 กิโลกรัม แถมยังมาพร้อมขนหนาสองชั้น Newfoundland สามารถกระโจนลงสู่ผิวน้ำจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อช่วยมนุษย์ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าสภาพอากาศจะโหดร้ายเพียงใด



Leonberger
นี่คือฝูงสิงโตแห่งเยอรมัน ที่นอกจากจะมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมร่วมกับมนุษย์ได้อย่างวิเศษแล้ว ขนาดที่สูงกว่า 80 เซนฯ ของ Leonberger ยังเหมาะสำหรับการเป็นสุนัขทหารที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และสามารถทำภารกิจค้นหาได้อย่างวิเศษ



French Mastiff
หนึ่งในสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก และมีขนาดใกล้เคียงกับ English Mastiff แต่ด้วยพละกำลังมหาศาล แถมมีนิสัยตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ French Mastiff ถูกนำไปใช้ในเกมกีฬาต่างๆ มากมาย



Anatolian Shepherd
หนึ่งในสุนัขที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก และมีความสามารถหลากหลายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการต้อนฝูงปศุสัตว์ในที่โล่ง และเป็นสุนัขอารักขาระดับโลกที่สามารถสูงได้ถึง 78 เซนฯ และหนักกว่า 68 กิโลกรัม Anatolian Shepherd คือสุนัขที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดหนักแน่หากจะเล่นงานคุณ



Great Dane
ฉายา King of Dog ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะนี่คือสุนัขที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก และด้วยส่วนสูงจากหัวไหล่กว่า 1 เมตร และสามารถทำงานได้หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นเกมการล่า เป็นสุนัขอารักขา หรือแม้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน Great Dane ก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่ต้องการการดูแลจากเจ้าของมากเช่นกัน

ที่มา : SpokeDark.TV

8516
อัพเดตข่าวหมา / 10 สุนัขไซส์ใหญ่
« เมื่อ: 19 พ.ย. 56, 23:50:58น. »
       หากไม่นับเหล่าสุนัขที่อัดโปรตีนจน Over Size แล้ว นี่คือสายพันธุ์มาตรฐานของเจ้าตูบที่ถูกออกแบบให้เกิดมาเป็นเพื่อนซี้สี่ขาร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่รับรองว่าถ้าคุณต้องคิดแล้วคิดอีกถ้ากำลังจะเดินผ่านสุนัขแปลกหน้า 10 สายพันธุ์ต่อไปนี้
 


Caucasian Shepherd
ถึงจะมีความสูงที่ระดับหัวไหล่ประมาณ 70 เซนฯ แต่รูปร่างของ Caucasian Shepherd กลับคล่องแคล่วและหนักประมาณ 45 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนที่เห็นใหญ่ๆ คือขนหนาของมันซะมากกว่า แต่นั่นก็เพียงพอที่จะขู่คนแปลกหน้าและสัตว์ป่านักล่าได้เป็นอย่างดีแล้ว



Kuvasz
อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดจากทิเบต และแพร่หลายในฮังการี Kuvasz จัดเป็นสุนัขที่ขนาดใหญ่และสามารถโตได้สูงถึง 76 เซนติเมตรและน้ำหนักกว่า 68 กิโลกรัม Kuvasz ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากขนสีขาวหนา และขนาดที่ใหญ่โต ซึ่งมีประโยชน์มากในการล่าสัตว์และรักษาความปลอดภัย



English Mastiff
เป็นยักษ์ใหญ่ใจดีอีกตัวที่มาพร้อมส่วนสูง 75 เซนฯ และหนักได้ถึง 127 กิโลกรัม English Mastiff คือสุนัขที่ใหญ่ตามธรรมชาติและถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนของมนุษย์และพี่เลี้ยงเด็กขนานแท้



Irish Wolfhound
หนึ่งในสุนัขล่าสัตว์ร่างยักษ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเกมการล่าโดยเฉพาะ และไม่ว่าหมูป่าหรือกวางตัวนั้นจะวิ่งเร็วแค่ไหน หรือได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่ พวกมันก็ไม่มีทางรอดพ้นคมเขี้ยวและกำลังขาของ Irish Wolfhound ไปได้ แต่ด้วยขนาดที่สูงได้ถึง 78 เซนฯ ที่ระดับหัวไหล่ และหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม นี่เป็นสุนัขที่ต้องการการดูแลในเรื่องอาหาร สถานที่ และการออกกำลังกายเป็นอย่างดี



St. Bernard
คงไม่มีใครไม่รู้จักสุนัขนักบุญร่างใหญ่ตัวนี้เป็นแน่ เพราะนอกจากจะโด่งดังบนแผ่นฟิล์มแล้ว St. Bernard ยังมีวีรกรรมการช่วยเหลือมนุษย์นับครั้งไม่ถ้วน และร่างสีขาวสลับน้ำตาลขนาดมหึมาที่สูงกว่า 90 เซนฯ ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นนักบุญแห่งภูเขาน้ำแข็งมาจนถึงทุกวันนี้



Newfoundland
หาก St. Bernard คือนักบุญแห่งทุ่งน้ำแข็ง Newfoundland ก็คงเป็นหน่วยกู้ภัยทางน้ำที่วางใจได้ และด้วยส่วนสูงถึง 90 เซนฯและหนักกว่า 80 กิโลกรัม แถมยังมาพร้อมขนหนาสองชั้น Newfoundland สามารถกระโจนลงสู่ผิวน้ำจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อช่วยมนุษย์ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าสภาพอากาศจะโหดร้ายเพียงใด



Leonberger
นี่คือฝูงสิงโตแห่งเยอรมัน ที่นอกจากจะมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมร่วมกับมนุษย์ได้อย่างวิเศษแล้ว ขนาดที่สูงกว่า 80 เซนฯ ของ Leonberger ยังเหมาะสำหรับการเป็นสุนัขทหารที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และสามารถทำภารกิจค้นหาได้อย่างวิเศษ



French Mastiff
หนึ่งในสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก และมีขนาดใกล้เคียงกับ English Mastiff แต่ด้วยพละกำลังมหาศาล แถมมีนิสัยตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ French Mastiff ถูกนำไปใช้ในเกมกีฬาต่างๆ มากมาย



Anatolian Shepherd
หนึ่งในสุนัขที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก และมีความสามารถหลากหลายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการต้อนฝูงปศุสัตว์ในที่โล่ง และเป็นสุนัขอารักขาระดับโลกที่สามารถสูงได้ถึง 78 เซนฯ และหนักกว่า 68 กิโลกรัม Anatolian Shepherd คือสุนัขที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดหนักแน่หากจะเล่นงานคุณ



Great Dane
ฉายา King of Dog ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะนี่คือสุนัขที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก และด้วยส่วนสูงจากหัวไหล่กว่า 1 เมตร และสามารถทำงานได้หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นเกมการล่า เป็นสุนัขอารักขา หรือแม้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน Great Dane ก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่ต้องการการดูแลจากเจ้าของมากเช่นกัน

ที่มา : SpokeDark.TV

8517

Dachshund
หลายคนหลงใหลในความเตี้ยของสุนัขดัชชุน หนึ่งในสุนัขที่ถูกออกแบบมาให้ไล่จับและขับไล่สัตว์รบกวนขนาดเล็กที่เข้ามาวุ่นวายในบ้านและโรงนา จึงมีขาที่สั้นเป็นพิเศษ แต่นั่นยังไม่สั้นพอสำหรับคนเลี้ยงสุนัขยุคใหม่ที่อยากได้สัตว์ตัวเตี้ยๆ แทบติดดิน และทำให้ดัชชุนถูกเพาะพันธุ์จนขาสั้นมาก ซึ่งลักษณะที่ผิดรูปอย่างร้ายแรงและส่งผลเสียต่อสรีระของสุนัขอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนขาที่สั้นมาก แต่ต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของสุนัข


German Shepherd
จากสุนัขทหารที่ถูกใช้ในการสงครามและงานปศุสัตว์ ถูกมนุษย์นำมาพัฒนาสายพันธุ์ให้มีรูปร่างสง่างามในแบบที่มนุษย์ต้องการ จนทำให้สรีระของสุนัขทหารที่มีความคล่องตัวสูงและแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อในอดีต กลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องกระดูกขาหลังอย่างร้ายแรง และไม่สามารถเดินโดยมีกระดูกสันหลังอยู่ในแนวระนาบกับพื้นได้ แต่ต้องเดินโดยมีลักษณะเหมือนย่อตัวเป็นกบตลอดเวลา และยืนโพสท่าได้อย่างสวยงามตามที่มนุษย์เราต้องการ



Bullterrier
เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น แต่ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือลักษณะด้อยของสายพันธุ์นี้ในอดีต แต่ด้วยเหตุผลบางประการเกี่ยวกับแฟชั่นการเลี้ยงสุนัข ทำให้นักเพาะพันธุ์ส่วนหนึ่งหันมาสร้างใบหน้าที่โค้งงอของ Bullterrier ให้มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจโดยไม่จำเป็น


Bulldog
ประวัติโดยย่อของ Bulldog ตามที่เราทราบๆ กันมาคือเป็นสุนัขที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้แข่งในกีฬาสู้วัว (Bull) ทำให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าอกที่กว้าง และโครงสร้างที่แข็งแรงชนิดที่แม้จะโดนขวิดก็ไม่มีทางล้มง่ายๆ แต่หลังจากกีฬานี้หายไป Bulldog ที่มีสรีระผอมเพรียวหายจากสารบบไปด้วย เหลือไว้แต่สุนัขตัวเตี้ยล้ำ และกรามไม่เข้ารูป ที่หลายต่อหลายคนมองว่ามันน่ารักมาก แต่ด้วยรูปร่างใหม่นี้ ทำให้ Bulldog เป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยปัญหาทั้งระบบหายใจที่ผิดปกติจากสุนัขพันธุ์อื่นและไม่เหมาะกับร่างกายใหญ่โตของมัน ทั้งสรีระที่ไม่อำนวยต่อการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ และเป็นไปไม่ได้เลยที่สุนัขพันธุ์นี้ให้กำเนิดลูกโดยไม่ผ่านมีดหมอ


Basset Hound
หลายคนคงข้องใจในผิวหนังอันหย่อนยานและหน้าตาอันเซื่องซึมของ Basset Hound อดีตสุนัขนักล่าและนักดมกลิ่นที่หาตัวจับยาก ที่ดูยังไงก็เป็นสภาพที่ขัดแย้งพอสมควรซึ่งจริงๆ ก็ควรเป็นเช่นนั้นครับ เพราะสุนัข Basset Hound ถูกคัดสายพันธุ์ใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองเลยสักนิด เรียกว่าจากสุนัขขนสั้น ตัวเตี้ย และปราดเปรียวอย่างหาตัวจับยาก กลายเป็นก้อนเนื้อย้วยๆ ที่ไม่อยากแม้แต่จะลุกเดินไปไหน แถมยังประสบปัญหาเรื่องไขข้อเพราะน้ำหนักที่ไม่เข้ากับขนาดขา


Pug
คงไม่มีใครอยากให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าตาเหมือนบรรพบุรุษในอดีตเป็นแน่ เพราะแทบไม่มีความน่ารักของ Pug ในปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย แต่ความน่ารักนั้นก็ต้องแลกกับปัญหาสุขภาพที่สุนัขพันธุ์นี้ในอดีตไม่เคยสัมผัสมาก่อน เช่น ระบบหายใจที่บกพร่อง ลูกตาที่ไม่เข้าเบ้า กระดูกหางที่คดงอ และมีปัญหาในการคลอดลูก ที่แม้จะไม่หนักหนาเท่า Bulldog แต่ด้วยหัวที่โตไม่แพ้กัน ก็ทำให้การคลอดยากขึ้นตามไปด้วย

ที่มา : SpokeDark.TV


8518

Dachshund
หลายคนหลงใหลในความเตี้ยของสุนัขดัชชุน หนึ่งในสุนัขที่ถูกออกแบบมาให้ไล่จับและขับไล่สัตว์รบกวนขนาดเล็กที่เข้ามาวุ่นวายในบ้านและโรงนา จึงมีขาที่สั้นเป็นพิเศษ แต่นั่นยังไม่สั้นพอสำหรับคนเลี้ยงสุนัขยุคใหม่ที่อยากได้สัตว์ตัวเตี้ยๆ แทบติดดิน และทำให้ดัชชุนถูกเพาะพันธุ์จนขาสั้นมาก ซึ่งลักษณะที่ผิดรูปอย่างร้ายแรงและส่งผลเสียต่อสรีระของสุนัขอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนขาที่สั้นมาก แต่ต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของสุนัข


German Shepherd
จากสุนัขทหารที่ถูกใช้ในการสงครามและงานปศุสัตว์ ถูกมนุษย์นำมาพัฒนาสายพันธุ์ให้มีรูปร่างสง่างามในแบบที่มนุษย์ต้องการ จนทำให้สรีระของสุนัขทหารที่มีความคล่องตัวสูงและแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อในอดีต กลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องกระดูกขาหลังอย่างร้ายแรง และไม่สามารถเดินโดยมีกระดูกสันหลังอยู่ในแนวระนาบกับพื้นได้ แต่ต้องเดินโดยมีลักษณะเหมือนย่อตัวเป็นกบตลอดเวลา และยืนโพสท่าได้อย่างสวยงามตามที่มนุษย์เราต้องการ



Bullterrier
เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น แต่ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือลักษณะด้อยของสายพันธุ์นี้ในอดีต แต่ด้วยเหตุผลบางประการเกี่ยวกับแฟชั่นการเลี้ยงสุนัข ทำให้นักเพาะพันธุ์ส่วนหนึ่งหันมาสร้างใบหน้าที่โค้งงอของ Bullterrier ให้มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจโดยไม่จำเป็น


Bulldog
ประวัติโดยย่อของ Bulldog ตามที่เราทราบๆ กันมาคือเป็นสุนัขที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้แข่งในกีฬาสู้วัว (Bull) ทำให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าอกที่กว้าง และโครงสร้างที่แข็งแรงชนิดที่แม้จะโดนขวิดก็ไม่มีทางล้มง่ายๆ แต่หลังจากกีฬานี้หายไป Bulldog ที่มีสรีระผอมเพรียวหายจากสารบบไปด้วย เหลือไว้แต่สุนัขตัวเตี้ยล้ำ และกรามไม่เข้ารูป ที่หลายต่อหลายคนมองว่ามันน่ารักมาก แต่ด้วยรูปร่างใหม่นี้ ทำให้ Bulldog เป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยปัญหาทั้งระบบหายใจที่ผิดปกติจากสุนัขพันธุ์อื่นและไม่เหมาะกับร่างกายใหญ่โตของมัน ทั้งสรีระที่ไม่อำนวยต่อการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ และเป็นไปไม่ได้เลยที่สุนัขพันธุ์นี้ให้กำเนิดลูกโดยไม่ผ่านมีดหมอ


Basset Hound
หลายคนคงข้องใจในผิวหนังอันหย่อนยานและหน้าตาอันเซื่องซึมของ Basset Hound อดีตสุนัขนักล่าและนักดมกลิ่นที่หาตัวจับยาก ที่ดูยังไงก็เป็นสภาพที่ขัดแย้งพอสมควรซึ่งจริงๆ ก็ควรเป็นเช่นนั้นครับ เพราะสุนัข Basset Hound ถูกคัดสายพันธุ์ใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองเลยสักนิด เรียกว่าจากสุนัขขนสั้น ตัวเตี้ย และปราดเปรียวอย่างหาตัวจับยาก กลายเป็นก้อนเนื้อย้วยๆ ที่ไม่อยากแม้แต่จะลุกเดินไปไหน แถมยังประสบปัญหาเรื่องไขข้อเพราะน้ำหนักที่ไม่เข้ากับขนาดขา


Pug
คงไม่มีใครอยากให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าตาเหมือนบรรพบุรุษในอดีตเป็นแน่ เพราะแทบไม่มีความน่ารักของ Pug ในปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย แต่ความน่ารักนั้นก็ต้องแลกกับปัญหาสุขภาพที่สุนัขพันธุ์นี้ในอดีตไม่เคยสัมผัสมาก่อน เช่น ระบบหายใจที่บกพร่อง ลูกตาที่ไม่เข้าเบ้า กระดูกหางที่คดงอ และมีปัญหาในการคลอดลูก ที่แม้จะไม่หนักหนาเท่า Bulldog แต่ด้วยหัวที่โตไม่แพ้กัน ก็ทำให้การคลอดยากขึ้นตามไปด้วย

ที่มา : SpokeDark.TV


8519

Dachshund
หลายคนหลงใหลในความเตี้ยของสุนัขดัชชุน หนึ่งในสุนัขที่ถูกออกแบบมาให้ไล่จับและขับไล่สัตว์รบกวนขนาดเล็กที่เข้ามาวุ่นวายในบ้านและโรงนา จึงมีขาที่สั้นเป็นพิเศษ แต่นั่นยังไม่สั้นพอสำหรับคนเลี้ยงสุนัขยุคใหม่ที่อยากได้สัตว์ตัวเตี้ยๆ แทบติดดิน และทำให้ดัชชุนถูกเพาะพันธุ์จนขาสั้นมาก ซึ่งลักษณะที่ผิดรูปอย่างร้ายแรงและส่งผลเสียต่อสรีระของสุนัขอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนขาที่สั้นมาก แต่ต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของสุนัข


German Shepherd
จากสุนัขทหารที่ถูกใช้ในการสงครามและงานปศุสัตว์ ถูกมนุษย์นำมาพัฒนาสายพันธุ์ให้มีรูปร่างสง่างามในแบบที่มนุษย์ต้องการ จนทำให้สรีระของสุนัขทหารที่มีความคล่องตัวสูงและแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อในอดีต กลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องกระดูกขาหลังอย่างร้ายแรง และไม่สามารถเดินโดยมีกระดูกสันหลังอยู่ในแนวระนาบกับพื้นได้ แต่ต้องเดินโดยมีลักษณะเหมือนย่อตัวเป็นกบตลอดเวลา และยืนโพสท่าได้อย่างสวยงามตามที่มนุษย์เราต้องการ



Bullterrier
เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น แต่ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือลักษณะด้อยของสายพันธุ์นี้ในอดีต แต่ด้วยเหตุผลบางประการเกี่ยวกับแฟชั่นการเลี้ยงสุนัข ทำให้นักเพาะพันธุ์ส่วนหนึ่งหันมาสร้างใบหน้าที่โค้งงอของ Bullterrier ให้มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจโดยไม่จำเป็น


Bulldog
ประวัติโดยย่อของ Bulldog ตามที่เราทราบๆ กันมาคือเป็นสุนัขที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้แข่งในกีฬาสู้วัว (Bull) ทำให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าอกที่กว้าง และโครงสร้างที่แข็งแรงชนิดที่แม้จะโดนขวิดก็ไม่มีทางล้มง่ายๆ แต่หลังจากกีฬานี้หายไป Bulldog ที่มีสรีระผอมเพรียวหายจากสารบบไปด้วย เหลือไว้แต่สุนัขตัวเตี้ยล้ำ และกรามไม่เข้ารูป ที่หลายต่อหลายคนมองว่ามันน่ารักมาก แต่ด้วยรูปร่างใหม่นี้ ทำให้ Bulldog เป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยปัญหาทั้งระบบหายใจที่ผิดปกติจากสุนัขพันธุ์อื่นและไม่เหมาะกับร่างกายใหญ่โตของมัน ทั้งสรีระที่ไม่อำนวยต่อการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ และเป็นไปไม่ได้เลยที่สุนัขพันธุ์นี้ให้กำเนิดลูกโดยไม่ผ่านมีดหมอ


Basset Hound
หลายคนคงข้องใจในผิวหนังอันหย่อนยานและหน้าตาอันเซื่องซึมของ Basset Hound อดีตสุนัขนักล่าและนักดมกลิ่นที่หาตัวจับยาก ที่ดูยังไงก็เป็นสภาพที่ขัดแย้งพอสมควรซึ่งจริงๆ ก็ควรเป็นเช่นนั้นครับ เพราะสุนัข Basset Hound ถูกคัดสายพันธุ์ใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองเลยสักนิด เรียกว่าจากสุนัขขนสั้น ตัวเตี้ย และปราดเปรียวอย่างหาตัวจับยาก กลายเป็นก้อนเนื้อย้วยๆ ที่ไม่อยากแม้แต่จะลุกเดินไปไหน แถมยังประสบปัญหาเรื่องไขข้อเพราะน้ำหนักที่ไม่เข้ากับขนาดขา


Pug
คงไม่มีใครอยากให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าตาเหมือนบรรพบุรุษในอดีตเป็นแน่ เพราะแทบไม่มีความน่ารักของ Pug ในปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย แต่ความน่ารักนั้นก็ต้องแลกกับปัญหาสุขภาพที่สุนัขพันธุ์นี้ในอดีตไม่เคยสัมผัสมาก่อน เช่น ระบบหายใจที่บกพร่อง ลูกตาที่ไม่เข้าเบ้า กระดูกหางที่คดงอ และมีปัญหาในการคลอดลูก ที่แม้จะไม่หนักหนาเท่า Bulldog แต่ด้วยหัวที่โตไม่แพ้กัน ก็ทำให้การคลอดยากขึ้นตามไปด้วย

ที่มา : SpokeDark.TV


8520

Dachshund
หลายคนหลงใหลในความเตี้ยของสุนัขดัชชุน หนึ่งในสุนัขที่ถูกออกแบบมาให้ไล่จับและขับไล่สัตว์รบกวนขนาดเล็กที่เข้ามาวุ่นวายในบ้านและโรงนา จึงมีขาที่สั้นเป็นพิเศษ แต่นั่นยังไม่สั้นพอสำหรับคนเลี้ยงสุนัขยุคใหม่ที่อยากได้สัตว์ตัวเตี้ยๆ แทบติดดิน และทำให้ดัชชุนถูกเพาะพันธุ์จนขาสั้นมาก ซึ่งลักษณะที่ผิดรูปอย่างร้ายแรงและส่งผลเสียต่อสรีระของสุนัขอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนขาที่สั้นมาก แต่ต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของสุนัข


German Shepherd
จากสุนัขทหารที่ถูกใช้ในการสงครามและงานปศุสัตว์ ถูกมนุษย์นำมาพัฒนาสายพันธุ์ให้มีรูปร่างสง่างามในแบบที่มนุษย์ต้องการ จนทำให้สรีระของสุนัขทหารที่มีความคล่องตัวสูงและแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อในอดีต กลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องกระดูกขาหลังอย่างร้ายแรง และไม่สามารถเดินโดยมีกระดูกสันหลังอยู่ในแนวระนาบกับพื้นได้ แต่ต้องเดินโดยมีลักษณะเหมือนย่อตัวเป็นกบตลอดเวลา และยืนโพสท่าได้อย่างสวยงามตามที่มนุษย์เราต้องการ



Bullterrier
เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น แต่ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือลักษณะด้อยของสายพันธุ์นี้ในอดีต แต่ด้วยเหตุผลบางประการเกี่ยวกับแฟชั่นการเลี้ยงสุนัข ทำให้นักเพาะพันธุ์ส่วนหนึ่งหันมาสร้างใบหน้าที่โค้งงอของ Bullterrier ให้มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสุนัขที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจโดยไม่จำเป็น


Bulldog
ประวัติโดยย่อของ Bulldog ตามที่เราทราบๆ กันมาคือเป็นสุนัขที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้แข่งในกีฬาสู้วัว (Bull) ทำให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าอกที่กว้าง และโครงสร้างที่แข็งแรงชนิดที่แม้จะโดนขวิดก็ไม่มีทางล้มง่ายๆ แต่หลังจากกีฬานี้หายไป Bulldog ที่มีสรีระผอมเพรียวหายจากสารบบไปด้วย เหลือไว้แต่สุนัขตัวเตี้ยล้ำ และกรามไม่เข้ารูป ที่หลายต่อหลายคนมองว่ามันน่ารักมาก แต่ด้วยรูปร่างใหม่นี้ ทำให้ Bulldog เป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยปัญหาทั้งระบบหายใจที่ผิดปกติจากสุนัขพันธุ์อื่นและไม่เหมาะกับร่างกายใหญ่โตของมัน ทั้งสรีระที่ไม่อำนวยต่อการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ และเป็นไปไม่ได้เลยที่สุนัขพันธุ์นี้ให้กำเนิดลูกโดยไม่ผ่านมีดหมอ


Basset Hound
หลายคนคงข้องใจในผิวหนังอันหย่อนยานและหน้าตาอันเซื่องซึมของ Basset Hound อดีตสุนัขนักล่าและนักดมกลิ่นที่หาตัวจับยาก ที่ดูยังไงก็เป็นสภาพที่ขัดแย้งพอสมควรซึ่งจริงๆ ก็ควรเป็นเช่นนั้นครับ เพราะสุนัข Basset Hound ถูกคัดสายพันธุ์ใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองเลยสักนิด เรียกว่าจากสุนัขขนสั้น ตัวเตี้ย และปราดเปรียวอย่างหาตัวจับยาก กลายเป็นก้อนเนื้อย้วยๆ ที่ไม่อยากแม้แต่จะลุกเดินไปไหน แถมยังประสบปัญหาเรื่องไขข้อเพราะน้ำหนักที่ไม่เข้ากับขนาดขา


Pug
คงไม่มีใครอยากให้สุนัขพันธุ์นี้มีหน้าตาเหมือนบรรพบุรุษในอดีตเป็นแน่ เพราะแทบไม่มีความน่ารักของ Pug ในปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย แต่ความน่ารักนั้นก็ต้องแลกกับปัญหาสุขภาพที่สุนัขพันธุ์นี้ในอดีตไม่เคยสัมผัสมาก่อน เช่น ระบบหายใจที่บกพร่อง ลูกตาที่ไม่เข้าเบ้า กระดูกหางที่คดงอ และมีปัญหาในการคลอดลูก ที่แม้จะไม่หนักหนาเท่า Bulldog แต่ด้วยหัวที่โตไม่แพ้กัน ก็ทำให้การคลอดยากขึ้นตามไปด้วย

ที่มา : SpokeDark.TV