แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

6185
เราจะทำอย่างไรถ้าน้องหมาของเรามีอาการแพ้ ?



     เจ้าของมักจะสังเกตอาการของสุนัข ว่าเค้าเกิดอาการแพ้จาก การมีน้ำตาไหล อาการคันแดง โรคภูมิแพ้บางโรคเป็นเฉพาะบางฤดูกาล เช่น โรคตาแดง แต่ส่วนมากในสุนัขที่เกิดการแพ้จะเป็นเรื่องของผิวหนัง จากผลการสำรวจข้อมูลในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา

     อาการคันที่ผิวหนัง พบบ่อยที่สุดในหวดเรื่องโรคภูมิแพ้ในสุนัข ยังรวมไปถึงที่หู ทั้งหูและผิวหนังอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ที่พัฒนาตัวเองทำให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้จะทำให้เกิดทั้งผื่นคัน สะเก็ด อย่างที่ร้ายแรงก็จะเป็นสีแดง ขนร่วง และมีกลิ่นเหม็น ไม่ใช่เพียงแค่ผิวหนังที่ลำตัวเท่านั้น อาจรวมไปถึง รักแร้ ขาหนีบ โคนหาง บรืเวณเท้า และปากของสุนัขก็ได้ที่สามารถเกิดอาการแพ้

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคภูมิแพ้ในสุนัข
     อาการแพ้ส่วนมาก เกิดจากการแพ้โปรตีนหรือที่เรียกอีกอย่างว่าสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งมีปริมาณมาก ที่ผลิตโดยเห็บ หมัด ทำให้สุนัขเกิดการแพ้ คุณอาจจะเถียงว่าสุนัขของคุณไม่มีเห็บ หมัด แต่มันก็มีบางกรณีที่สุนัขที่มีหมัดแทบจะไม่เคยมีอาการแพ้ สุนัขที่แพ้อาจจะไม่เคยมีหมัด อันนี้ก็เป็นความขัดแย้งอย่างหนึ่ง และอีกหนึ่งประการคือ ตัวของเห็บเองไม่ได้เป็นตัวก่ออาการแพ้ แต่เกิดโปรตีนต่างๆในน้ำลายของเห็บ จากการที่เก็บกัดสุนัขของเรา สุนัขที่แพ้คือ สุนัขที่มีแนวโน้มไม่สามารถทนการกัดของเห็บได้ ทำให้พวกเค้าอ่อนเพลีย

     สาเหตุการแพ้อื่น ๆ ของสุนัข เป็นเรื่องของโปรตีนในอาหาร (เนื้อวัวเป็นตัวก่อสารภูมิแพ้มากที่สุด) และสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม เช่น อุจจาระ แมลงสาป ไรฝุ่น

วิธีการจัดการกับอาการแพ้สุนัข
     การจะหาซื้อยาตามเคาน์เตอร์เพื่อแก้อาหารแพ้ของสุนัข ก็พอจะมี แต่ยายังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก ทางที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงต่อสารก่อภูมิแพ้ ตัวการที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เห็บ หมัด ต่อไปก็เป็นเรื่องของอาหารที่ต้องระวัง ควรจะเข้มวงดเรื่องส่วนผสมและขั้นตอนการปรุงสุกของอาหาร หรือไม่ก็ปรึกษาสัตวแพทย์สำหรับเลือกอาหารสำเร็จรูปที่เหมาะสมให้กับสุนัข และเรื่องของการทำความสะอาดผิว สุขอนามัยต่างๆ ควรจะเสริมด้วยอาหารที่มี โอเมก้า3 กรดไขมัน น้ำมันตับปลา จะช่วยให้ผิวขิงสุนัขมีภูมิต้านสารก่อภูมิแพ้ได้

หากการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ยังไม่เพียงพอ
     สุนัขบางตัวยังคงประสบปัญหาเรื่องการแพ้ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่างๆแล้วก็ตาม อาจจะต้องเข้ารับการรักษาเฉาะบุคคล เช่น การใช้ประโยชน์จากข้าวโอ๊ต (แชมพูบางชนิดมีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต) เรื่องของการฉีด  Hyposensitization ในขั้นตอนการรักษา ในขั้นตอนการรักษาอาจมีทั้งยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อราที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงแก่สุนัข อย่างไรก็ตามควรให้สุนนัขอยุ่ในความดูแลของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด


6186
เราจะทำอย่างไรถ้าน้องหมาของเรามีอาการแพ้ ?



     เจ้าของมักจะสังเกตอาการของสุนัข ว่าเค้าเกิดอาการแพ้จาก การมีน้ำตาไหล อาการคันแดง โรคภูมิแพ้บางโรคเป็นเฉพาะบางฤดูกาล เช่น โรคตาแดง แต่ส่วนมากในสุนัขที่เกิดการแพ้จะเป็นเรื่องของผิวหนัง จากผลการสำรวจข้อมูลในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา

     อาการคันที่ผิวหนัง พบบ่อยที่สุดในหวดเรื่องโรคภูมิแพ้ในสุนัข ยังรวมไปถึงที่หู ทั้งหูและผิวหนังอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ที่พัฒนาตัวเองทำให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้จะทำให้เกิดทั้งผื่นคัน สะเก็ด อย่างที่ร้ายแรงก็จะเป็นสีแดง ขนร่วง และมีกลิ่นเหม็น ไม่ใช่เพียงแค่ผิวหนังที่ลำตัวเท่านั้น อาจรวมไปถึง รักแร้ ขาหนีบ โคนหาง บรืเวณเท้า และปากของสุนัขก็ได้ที่สามารถเกิดอาการแพ้

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคภูมิแพ้ในสุนัข
     อาการแพ้ส่วนมาก เกิดจากการแพ้โปรตีนหรือที่เรียกอีกอย่างว่าสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งมีปริมาณมาก ที่ผลิตโดยเห็บ หมัด ทำให้สุนัขเกิดการแพ้ คุณอาจจะเถียงว่าสุนัขของคุณไม่มีเห็บ หมัด แต่มันก็มีบางกรณีที่สุนัขที่มีหมัดแทบจะไม่เคยมีอาการแพ้ สุนัขที่แพ้อาจจะไม่เคยมีหมัด อันนี้ก็เป็นความขัดแย้งอย่างหนึ่ง และอีกหนึ่งประการคือ ตัวของเห็บเองไม่ได้เป็นตัวก่ออาการแพ้ แต่เกิดโปรตีนต่างๆในน้ำลายของเห็บ จากการที่เก็บกัดสุนัขของเรา สุนัขที่แพ้คือ สุนัขที่มีแนวโน้มไม่สามารถทนการกัดของเห็บได้ ทำให้พวกเค้าอ่อนเพลีย

     สาเหตุการแพ้อื่น ๆ ของสุนัข เป็นเรื่องของโปรตีนในอาหาร (เนื้อวัวเป็นตัวก่อสารภูมิแพ้มากที่สุด) และสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม เช่น อุจจาระ แมลงสาป ไรฝุ่น

วิธีการจัดการกับอาการแพ้สุนัข
     การจะหาซื้อยาตามเคาน์เตอร์เพื่อแก้อาหารแพ้ของสุนัข ก็พอจะมี แต่ยายังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก ทางที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงต่อสารก่อภูมิแพ้ ตัวการที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เห็บ หมัด ต่อไปก็เป็นเรื่องของอาหารที่ต้องระวัง ควรจะเข้มวงดเรื่องส่วนผสมและขั้นตอนการปรุงสุกของอาหาร หรือไม่ก็ปรึกษาสัตวแพทย์สำหรับเลือกอาหารสำเร็จรูปที่เหมาะสมให้กับสุนัข และเรื่องของการทำความสะอาดผิว สุขอนามัยต่างๆ ควรจะเสริมด้วยอาหารที่มี โอเมก้า3 กรดไขมัน น้ำมันตับปลา จะช่วยให้ผิวขิงสุนัขมีภูมิต้านสารก่อภูมิแพ้ได้

หากการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ยังไม่เพียงพอ
     สุนัขบางตัวยังคงประสบปัญหาเรื่องการแพ้ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่างๆแล้วก็ตาม อาจจะต้องเข้ารับการรักษาเฉาะบุคคล เช่น การใช้ประโยชน์จากข้าวโอ๊ต (แชมพูบางชนิดมีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต) เรื่องของการฉีด  Hyposensitization ในขั้นตอนการรักษา ในขั้นตอนการรักษาอาจมีทั้งยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อราที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงแก่สุนัข อย่างไรก็ตามควรให้สุนนัขอยุ่ในความดูแลของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด


6187
เราจะทำอย่างไรถ้าน้องหมาของเรามีอาการแพ้ ?



     เจ้าของมักจะสังเกตอาการของสุนัข ว่าเค้าเกิดอาการแพ้จาก การมีน้ำตาไหล อาการคันแดง โรคภูมิแพ้บางโรคเป็นเฉพาะบางฤดูกาล เช่น โรคตาแดง แต่ส่วนมากในสุนัขที่เกิดการแพ้จะเป็นเรื่องของผิวหนัง จากผลการสำรวจข้อมูลในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา

     อาการคันที่ผิวหนัง พบบ่อยที่สุดในหวดเรื่องโรคภูมิแพ้ในสุนัข ยังรวมไปถึงที่หู ทั้งหูและผิวหนังอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ที่พัฒนาตัวเองทำให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้จะทำให้เกิดทั้งผื่นคัน สะเก็ด อย่างที่ร้ายแรงก็จะเป็นสีแดง ขนร่วง และมีกลิ่นเหม็น ไม่ใช่เพียงแค่ผิวหนังที่ลำตัวเท่านั้น อาจรวมไปถึง รักแร้ ขาหนีบ โคนหาง บรืเวณเท้า และปากของสุนัขก็ได้ที่สามารถเกิดอาการแพ้

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคภูมิแพ้ในสุนัข
     อาการแพ้ส่วนมาก เกิดจากการแพ้โปรตีนหรือที่เรียกอีกอย่างว่าสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งมีปริมาณมาก ที่ผลิตโดยเห็บ หมัด ทำให้สุนัขเกิดการแพ้ คุณอาจจะเถียงว่าสุนัขของคุณไม่มีเห็บ หมัด แต่มันก็มีบางกรณีที่สุนัขที่มีหมัดแทบจะไม่เคยมีอาการแพ้ สุนัขที่แพ้อาจจะไม่เคยมีหมัด อันนี้ก็เป็นความขัดแย้งอย่างหนึ่ง และอีกหนึ่งประการคือ ตัวของเห็บเองไม่ได้เป็นตัวก่ออาการแพ้ แต่เกิดโปรตีนต่างๆในน้ำลายของเห็บ จากการที่เก็บกัดสุนัขของเรา สุนัขที่แพ้คือ สุนัขที่มีแนวโน้มไม่สามารถทนการกัดของเห็บได้ ทำให้พวกเค้าอ่อนเพลีย

     สาเหตุการแพ้อื่น ๆ ของสุนัข เป็นเรื่องของโปรตีนในอาหาร (เนื้อวัวเป็นตัวก่อสารภูมิแพ้มากที่สุด) และสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม เช่น อุจจาระ แมลงสาป ไรฝุ่น

วิธีการจัดการกับอาการแพ้สุนัข
     การจะหาซื้อยาตามเคาน์เตอร์เพื่อแก้อาหารแพ้ของสุนัข ก็พอจะมี แต่ยายังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก ทางที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงต่อสารก่อภูมิแพ้ ตัวการที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เห็บ หมัด ต่อไปก็เป็นเรื่องของอาหารที่ต้องระวัง ควรจะเข้มวงดเรื่องส่วนผสมและขั้นตอนการปรุงสุกของอาหาร หรือไม่ก็ปรึกษาสัตวแพทย์สำหรับเลือกอาหารสำเร็จรูปที่เหมาะสมให้กับสุนัข และเรื่องของการทำความสะอาดผิว สุขอนามัยต่างๆ ควรจะเสริมด้วยอาหารที่มี โอเมก้า3 กรดไขมัน น้ำมันตับปลา จะช่วยให้ผิวขิงสุนัขมีภูมิต้านสารก่อภูมิแพ้ได้

หากการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ยังไม่เพียงพอ
     สุนัขบางตัวยังคงประสบปัญหาเรื่องการแพ้ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่างๆแล้วก็ตาม อาจจะต้องเข้ารับการรักษาเฉาะบุคคล เช่น การใช้ประโยชน์จากข้าวโอ๊ต (แชมพูบางชนิดมีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต) เรื่องของการฉีด  Hyposensitization ในขั้นตอนการรักษา ในขั้นตอนการรักษาอาจมีทั้งยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อราที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงแก่สุนัข อย่างไรก็ตามควรให้สุนนัขอยุ่ในความดูแลของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด


6188
เราจะทำอย่างไรถ้าน้องหมาของเรามีอาการแพ้ ?



     เจ้าของมักจะสังเกตอาการของสุนัข ว่าเค้าเกิดอาการแพ้จาก การมีน้ำตาไหล อาการคันแดง โรคภูมิแพ้บางโรคเป็นเฉพาะบางฤดูกาล เช่น โรคตาแดง แต่ส่วนมากในสุนัขที่เกิดการแพ้จะเป็นเรื่องของผิวหนัง จากผลการสำรวจข้อมูลในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา

     อาการคันที่ผิวหนัง พบบ่อยที่สุดในหวดเรื่องโรคภูมิแพ้ในสุนัข ยังรวมไปถึงที่หู ทั้งหูและผิวหนังอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ที่พัฒนาตัวเองทำให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้จะทำให้เกิดทั้งผื่นคัน สะเก็ด อย่างที่ร้ายแรงก็จะเป็นสีแดง ขนร่วง และมีกลิ่นเหม็น ไม่ใช่เพียงแค่ผิวหนังที่ลำตัวเท่านั้น อาจรวมไปถึง รักแร้ ขาหนีบ โคนหาง บรืเวณเท้า และปากของสุนัขก็ได้ที่สามารถเกิดอาการแพ้

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคภูมิแพ้ในสุนัข
     อาการแพ้ส่วนมาก เกิดจากการแพ้โปรตีนหรือที่เรียกอีกอย่างว่าสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งมีปริมาณมาก ที่ผลิตโดยเห็บ หมัด ทำให้สุนัขเกิดการแพ้ คุณอาจจะเถียงว่าสุนัขของคุณไม่มีเห็บ หมัด แต่มันก็มีบางกรณีที่สุนัขที่มีหมัดแทบจะไม่เคยมีอาการแพ้ สุนัขที่แพ้อาจจะไม่เคยมีหมัด อันนี้ก็เป็นความขัดแย้งอย่างหนึ่ง และอีกหนึ่งประการคือ ตัวของเห็บเองไม่ได้เป็นตัวก่ออาการแพ้ แต่เกิดโปรตีนต่างๆในน้ำลายของเห็บ จากการที่เก็บกัดสุนัขของเรา สุนัขที่แพ้คือ สุนัขที่มีแนวโน้มไม่สามารถทนการกัดของเห็บได้ ทำให้พวกเค้าอ่อนเพลีย

     สาเหตุการแพ้อื่น ๆ ของสุนัข เป็นเรื่องของโปรตีนในอาหาร (เนื้อวัวเป็นตัวก่อสารภูมิแพ้มากที่สุด) และสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม เช่น อุจจาระ แมลงสาป ไรฝุ่น

วิธีการจัดการกับอาการแพ้สุนัข
     การจะหาซื้อยาตามเคาน์เตอร์เพื่อแก้อาหารแพ้ของสุนัข ก็พอจะมี แต่ยายังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก ทางที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงต่อสารก่อภูมิแพ้ ตัวการที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เห็บ หมัด ต่อไปก็เป็นเรื่องของอาหารที่ต้องระวัง ควรจะเข้มวงดเรื่องส่วนผสมและขั้นตอนการปรุงสุกของอาหาร หรือไม่ก็ปรึกษาสัตวแพทย์สำหรับเลือกอาหารสำเร็จรูปที่เหมาะสมให้กับสุนัข และเรื่องของการทำความสะอาดผิว สุขอนามัยต่างๆ ควรจะเสริมด้วยอาหารที่มี โอเมก้า3 กรดไขมัน น้ำมันตับปลา จะช่วยให้ผิวขิงสุนัขมีภูมิต้านสารก่อภูมิแพ้ได้

หากการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ยังไม่เพียงพอ
     สุนัขบางตัวยังคงประสบปัญหาเรื่องการแพ้ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่างๆแล้วก็ตาม อาจจะต้องเข้ารับการรักษาเฉาะบุคคล เช่น การใช้ประโยชน์จากข้าวโอ๊ต (แชมพูบางชนิดมีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต) เรื่องของการฉีด  Hyposensitization ในขั้นตอนการรักษา ในขั้นตอนการรักษาอาจมีทั้งยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อราที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงแก่สุนัข อย่างไรก็ตามควรให้สุนนัขอยุ่ในความดูแลของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด


6189
ความแตกต่างระหว่างสุนัขเผือกและสุนัขสีขาว



     เผือกหายากในสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งสุนัข  อีกทั้งหลายคนสับสนเป็นอย่างมากกบสัตว์ที่เป็นสีขาวหรือเป็นสัตว์เผือกกันแน่ เผือกที่แท้จริงเป็นภาวะทางพันธุกรรมในสีที่ขนตาและผิวอย่างสมบูรณ์  ข้อแตกต่างอีกข้อที่สำคัญ คือ สุนัขเผือกที่เป็นสีขาวหมด เนื่องจาก “ภาวะไม่มีเม็ดสี”

     สุนัขสีขาวจะมีลักษณะตามพันธุกรรม โดยส่วนมากจะเป็นเม็ดสีขาวแต่ก็อาจจะมีเม็ดสีอื่นๆผสมอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเผือก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดทั้งเมลานินและเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสีขึ้นมาทำให้เป็น “สีเผือก” ยังมีบางตัวที่เป็นเผือกแค่บางส่วน และเป็นเผือกทั้งหมด เรามาสำรวจลักษณะแต่ละประเภทกันค่ะ

วิธีที่คุณสามารถบอกได้ว่าสุนัขเป็นเผือก (โดยไม่ต้องทำการทดสอบทางพันธุกรรม)
1.   ตรวจดูดวงตา สุนัขเผือกดวงตาจะสีออกไปทางสีแดง สีชมพูทั้งตา
2.   ตรวจดูที่จมูก จะออกเป็นสีชมพู
3.   ผิวหนังที่ว่าเป็นสีชมพูมาจากการไหลเวียนของเลือดที่กระจายไปทั้งดู ทำให้ดูเหมือนผิวสีชมพู

     สีชมพูของตา จมูกและผิวหนังของสุนัขเผือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบตาและปาก จะปรากฏเป็นสีขาวซีดมาก ตาของสุนัขเผือกอาจจะยังคงมีบางสีเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สีนั้นก็จะซีดหรือโปร่งแสงในธรรมชาติ ความเผือกจากการขาดเมลานินและเม็ดสีในผิวหนังของสุนัขเผือก ทำให้พวกเค้ามีความเสี่ยงสูงจากการถูกแดดเผาได้ง่าย
เผือกบางส่วนในสุนัข

     สุนัขบางตัวอาจจะเป็นสุนัขเผือกจริง แต่ยังคงมีสีบางอย่างที่จะเห็นได้ชัดมากที่สุดในจมูกหรือกระเพาะอาหาร เราสามารถเรียกสุนัขเผือกบางส่วนนี้ว่าเป็น สุนัขเผือก  แต่เนื่องจากร่างกายสามารถผลิตเมลานินได้บางส่วน จึงมีสีอื่นแซมมา
ความไวต่อแสงของสุนัขเผือก

     เมลานินนอกจากจะทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีที่ใช้ในร่างกาย  ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยในการประมวลผลและกรองแสง สำหรับสุนัขเผือกที่แท้จริง ซึ่งมีเมลานินน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เมื่อเจอแสงอาทิตย์โดยตรง ทำให้เกิดอาการปวดตา หากคุณมีสุนัขเผือกควรระมัดระวังเรื่องแสงแดดให้แก่เค้า เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญสียการมองเห็น ยังรวมไปถึงการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง


6190
ความแตกต่างระหว่างสุนัขเผือกและสุนัขสีขาว



     เผือกหายากในสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งสุนัข  อีกทั้งหลายคนสับสนเป็นอย่างมากกบสัตว์ที่เป็นสีขาวหรือเป็นสัตว์เผือกกันแน่ เผือกที่แท้จริงเป็นภาวะทางพันธุกรรมในสีที่ขนตาและผิวอย่างสมบูรณ์  ข้อแตกต่างอีกข้อที่สำคัญ คือ สุนัขเผือกที่เป็นสีขาวหมด เนื่องจาก “ภาวะไม่มีเม็ดสี”

     สุนัขสีขาวจะมีลักษณะตามพันธุกรรม โดยส่วนมากจะเป็นเม็ดสีขาวแต่ก็อาจจะมีเม็ดสีอื่นๆผสมอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเผือก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดทั้งเมลานินและเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสีขึ้นมาทำให้เป็น “สีเผือก” ยังมีบางตัวที่เป็นเผือกแค่บางส่วน และเป็นเผือกทั้งหมด เรามาสำรวจลักษณะแต่ละประเภทกันค่ะ

วิธีที่คุณสามารถบอกได้ว่าสุนัขเป็นเผือก (โดยไม่ต้องทำการทดสอบทางพันธุกรรม)
1.   ตรวจดูดวงตา สุนัขเผือกดวงตาจะสีออกไปทางสีแดง สีชมพูทั้งตา
2.   ตรวจดูที่จมูก จะออกเป็นสีชมพู
3.   ผิวหนังที่ว่าเป็นสีชมพูมาจากการไหลเวียนของเลือดที่กระจายไปทั้งดู ทำให้ดูเหมือนผิวสีชมพู

     สีชมพูของตา จมูกและผิวหนังของสุนัขเผือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบตาและปาก จะปรากฏเป็นสีขาวซีดมาก ตาของสุนัขเผือกอาจจะยังคงมีบางสีเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สีนั้นก็จะซีดหรือโปร่งแสงในธรรมชาติ ความเผือกจากการขาดเมลานินและเม็ดสีในผิวหนังของสุนัขเผือก ทำให้พวกเค้ามีความเสี่ยงสูงจากการถูกแดดเผาได้ง่าย
เผือกบางส่วนในสุนัข

     สุนัขบางตัวอาจจะเป็นสุนัขเผือกจริง แต่ยังคงมีสีบางอย่างที่จะเห็นได้ชัดมากที่สุดในจมูกหรือกระเพาะอาหาร เราสามารถเรียกสุนัขเผือกบางส่วนนี้ว่าเป็น สุนัขเผือก  แต่เนื่องจากร่างกายสามารถผลิตเมลานินได้บางส่วน จึงมีสีอื่นแซมมา
ความไวต่อแสงของสุนัขเผือก

     เมลานินนอกจากจะทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีที่ใช้ในร่างกาย  ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยในการประมวลผลและกรองแสง สำหรับสุนัขเผือกที่แท้จริง ซึ่งมีเมลานินน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เมื่อเจอแสงอาทิตย์โดยตรง ทำให้เกิดอาการปวดตา หากคุณมีสุนัขเผือกควรระมัดระวังเรื่องแสงแดดให้แก่เค้า เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญสียการมองเห็น ยังรวมไปถึงการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง


6191
ความแตกต่างระหว่างสุนัขเผือกและสุนัขสีขาว



     เผือกหายากในสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งสุนัข  อีกทั้งหลายคนสับสนเป็นอย่างมากกบสัตว์ที่เป็นสีขาวหรือเป็นสัตว์เผือกกันแน่ เผือกที่แท้จริงเป็นภาวะทางพันธุกรรมในสีที่ขนตาและผิวอย่างสมบูรณ์  ข้อแตกต่างอีกข้อที่สำคัญ คือ สุนัขเผือกที่เป็นสีขาวหมด เนื่องจาก “ภาวะไม่มีเม็ดสี”

     สุนัขสีขาวจะมีลักษณะตามพันธุกรรม โดยส่วนมากจะเป็นเม็ดสีขาวแต่ก็อาจจะมีเม็ดสีอื่นๆผสมอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเผือก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดทั้งเมลานินและเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสีขึ้นมาทำให้เป็น “สีเผือก” ยังมีบางตัวที่เป็นเผือกแค่บางส่วน และเป็นเผือกทั้งหมด เรามาสำรวจลักษณะแต่ละประเภทกันค่ะ

วิธีที่คุณสามารถบอกได้ว่าสุนัขเป็นเผือก (โดยไม่ต้องทำการทดสอบทางพันธุกรรม)
1.   ตรวจดูดวงตา สุนัขเผือกดวงตาจะสีออกไปทางสีแดง สีชมพูทั้งตา
2.   ตรวจดูที่จมูก จะออกเป็นสีชมพู
3.   ผิวหนังที่ว่าเป็นสีชมพูมาจากการไหลเวียนของเลือดที่กระจายไปทั้งดู ทำให้ดูเหมือนผิวสีชมพู

     สีชมพูของตา จมูกและผิวหนังของสุนัขเผือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบตาและปาก จะปรากฏเป็นสีขาวซีดมาก ตาของสุนัขเผือกอาจจะยังคงมีบางสีเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สีนั้นก็จะซีดหรือโปร่งแสงในธรรมชาติ ความเผือกจากการขาดเมลานินและเม็ดสีในผิวหนังของสุนัขเผือก ทำให้พวกเค้ามีความเสี่ยงสูงจากการถูกแดดเผาได้ง่าย
เผือกบางส่วนในสุนัข

     สุนัขบางตัวอาจจะเป็นสุนัขเผือกจริง แต่ยังคงมีสีบางอย่างที่จะเห็นได้ชัดมากที่สุดในจมูกหรือกระเพาะอาหาร เราสามารถเรียกสุนัขเผือกบางส่วนนี้ว่าเป็น สุนัขเผือก  แต่เนื่องจากร่างกายสามารถผลิตเมลานินได้บางส่วน จึงมีสีอื่นแซมมา
ความไวต่อแสงของสุนัขเผือก

     เมลานินนอกจากจะทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีที่ใช้ในร่างกาย  ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยในการประมวลผลและกรองแสง สำหรับสุนัขเผือกที่แท้จริง ซึ่งมีเมลานินน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เมื่อเจอแสงอาทิตย์โดยตรง ทำให้เกิดอาการปวดตา หากคุณมีสุนัขเผือกควรระมัดระวังเรื่องแสงแดดให้แก่เค้า เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญสียการมองเห็น ยังรวมไปถึงการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง


6192
ความแตกต่างระหว่างสุนัขเผือกและสุนัขสีขาว



     เผือกหายากในสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งสุนัข  อีกทั้งหลายคนสับสนเป็นอย่างมากกบสัตว์ที่เป็นสีขาวหรือเป็นสัตว์เผือกกันแน่ เผือกที่แท้จริงเป็นภาวะทางพันธุกรรมในสีที่ขนตาและผิวอย่างสมบูรณ์  ข้อแตกต่างอีกข้อที่สำคัญ คือ สุนัขเผือกที่เป็นสีขาวหมด เนื่องจาก “ภาวะไม่มีเม็ดสี”

     สุนัขสีขาวจะมีลักษณะตามพันธุกรรม โดยส่วนมากจะเป็นเม็ดสีขาวแต่ก็อาจจะมีเม็ดสีอื่นๆผสมอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเผือก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดทั้งเมลานินและเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสีขึ้นมาทำให้เป็น “สีเผือก” ยังมีบางตัวที่เป็นเผือกแค่บางส่วน และเป็นเผือกทั้งหมด เรามาสำรวจลักษณะแต่ละประเภทกันค่ะ

วิธีที่คุณสามารถบอกได้ว่าสุนัขเป็นเผือก (โดยไม่ต้องทำการทดสอบทางพันธุกรรม)
1.   ตรวจดูดวงตา สุนัขเผือกดวงตาจะสีออกไปทางสีแดง สีชมพูทั้งตา
2.   ตรวจดูที่จมูก จะออกเป็นสีชมพู
3.   ผิวหนังที่ว่าเป็นสีชมพูมาจากการไหลเวียนของเลือดที่กระจายไปทั้งดู ทำให้ดูเหมือนผิวสีชมพู

     สีชมพูของตา จมูกและผิวหนังของสุนัขเผือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบตาและปาก จะปรากฏเป็นสีขาวซีดมาก ตาของสุนัขเผือกอาจจะยังคงมีบางสีเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สีนั้นก็จะซีดหรือโปร่งแสงในธรรมชาติ ความเผือกจากการขาดเมลานินและเม็ดสีในผิวหนังของสุนัขเผือก ทำให้พวกเค้ามีความเสี่ยงสูงจากการถูกแดดเผาได้ง่าย
เผือกบางส่วนในสุนัข

     สุนัขบางตัวอาจจะเป็นสุนัขเผือกจริง แต่ยังคงมีสีบางอย่างที่จะเห็นได้ชัดมากที่สุดในจมูกหรือกระเพาะอาหาร เราสามารถเรียกสุนัขเผือกบางส่วนนี้ว่าเป็น สุนัขเผือก  แต่เนื่องจากร่างกายสามารถผลิตเมลานินได้บางส่วน จึงมีสีอื่นแซมมา
ความไวต่อแสงของสุนัขเผือก

     เมลานินนอกจากจะทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีที่ใช้ในร่างกาย  ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยในการประมวลผลและกรองแสง สำหรับสุนัขเผือกที่แท้จริง ซึ่งมีเมลานินน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เมื่อเจอแสงอาทิตย์โดยตรง ทำให้เกิดอาการปวดตา หากคุณมีสุนัขเผือกควรระมัดระวังเรื่องแสงแดดให้แก่เค้า เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญสียการมองเห็น ยังรวมไปถึงการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง


6193
ช็อคสุนัขกินถุงเท้า “กินเข้าไปไม่เยอะ แค่ 44 ข้าง”

     สุนัขพันธุ์เกรทเดน อายุ 3 ปี เกิดอาการทรมานเหมือนจะอยากขย่อนอะไรสักอย่างในท้องอยู่ตลอดเวลา เจ้าของจึงนำส่งโณงพยาบาลสัตว์ฉุกเฉินแห่งหนึ่ง ในมืองมืองปอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ซึ่งเบื้องต้นสัตวแพทย์ตั้งข้อสงสัยว่าสาเหตุมาจากสิ่งที่สุนัขกินเข้าไปแน่นอน


ภาพเอ็กซเรย์ที่ในท้องเต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอมจำนวนมาก

     ชอว์นา ฮาร์ช โฆษกโณงพยาบาลสัตว์ฉุกเฉินโดฟลูอิสกล่าวว่า “กรณีนี้น่าจะเป็นกรณีที่แปลกที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลทีเดียว” เมื่อนำเจ้าน้องหมาไปเอ็กซเรย์ทุกคนต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าภายในท้องมีสิ่งแปลกปลอมจำนวนมาก โดยสัตวแพทย์ ดร.แอชลีย์ มากี้ ได้ทำการผ่าตัดให้กับเจ้าน้องหมาใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดจึงทราบว่าสิ่งแปลกปลอมที่ว่า คือ “ถุงเท้าจำนวน 44 ข้าง”  หลังจากผ่าตัดหนึ่งวันน้องหมาได้รับอนุญาตให้กลับไปพักที่บ้านได้ เจ้าของน้องหมาไม่พร้อมให้ความเห็นใดๆ เพียงแค่ยืนยันว่าน้องหมายังมีชีวิตอยู่


ภาพถุงเท้าทั้งหมดที่ถูกนำมาวางบนตะแกรง มันดูเหมือนกับบาร์บีคิวที่กำลังถูกย่างอยู่บนเตามากๆ

     สิ่งที่น่าตกใจกับเหตุการนี้น่าจะเป็นจำนวนชิ้นของสิ่งที่กินเข้าไป แต่นี่ไม่ใช่รายแรกของสัตว์กับการกินสิ่งของที่ไม่ใช่อาหารเข้าไป ก่อนหน้าที่ ดร.แอชลีย์ เคยผ่าตัดเอาขวดกาวออกจากท้องสุนัข และยังมีนิตรสารสัตว์เลี้ยง “Veterinary Practice News” ได้ให้เข้าส่งชิงรางวัลในหัวข้อ “They Ate What?? พวกมันกินอะไร” โดยผู้ชนะเลิศคือ ภาพเอ็กซเรย์ของกบที่ในน้องเต็มไปด้วยก้อนหินที่มใช้ประดับตู้เลี้ยงกบก้อนเล็กๆมากกว่า 30 ก้อนเข้าไป



6194
ช็อคสุนัขกินถุงเท้า “กินเข้าไปไม่เยอะ แค่ 44 ข้าง”

     สุนัขพันธุ์เกรทเดน อายุ 3 ปี เกิดอาการทรมานเหมือนจะอยากขย่อนอะไรสักอย่างในท้องอยู่ตลอดเวลา เจ้าของจึงนำส่งโณงพยาบาลสัตว์ฉุกเฉินแห่งหนึ่ง ในมืองมืองปอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ซึ่งเบื้องต้นสัตวแพทย์ตั้งข้อสงสัยว่าสาเหตุมาจากสิ่งที่สุนัขกินเข้าไปแน่นอน


ภาพเอ็กซเรย์ที่ในท้องเต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอมจำนวนมาก

     ชอว์นา ฮาร์ช โฆษกโณงพยาบาลสัตว์ฉุกเฉินโดฟลูอิสกล่าวว่า “กรณีนี้น่าจะเป็นกรณีที่แปลกที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลทีเดียว” เมื่อนำเจ้าน้องหมาไปเอ็กซเรย์ทุกคนต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าภายในท้องมีสิ่งแปลกปลอมจำนวนมาก โดยสัตวแพทย์ ดร.แอชลีย์ มากี้ ได้ทำการผ่าตัดให้กับเจ้าน้องหมาใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดจึงทราบว่าสิ่งแปลกปลอมที่ว่า คือ “ถุงเท้าจำนวน 44 ข้าง”  หลังจากผ่าตัดหนึ่งวันน้องหมาได้รับอนุญาตให้กลับไปพักที่บ้านได้ เจ้าของน้องหมาไม่พร้อมให้ความเห็นใดๆ เพียงแค่ยืนยันว่าน้องหมายังมีชีวิตอยู่


ภาพถุงเท้าทั้งหมดที่ถูกนำมาวางบนตะแกรง มันดูเหมือนกับบาร์บีคิวที่กำลังถูกย่างอยู่บนเตามากๆ

     สิ่งที่น่าตกใจกับเหตุการนี้น่าจะเป็นจำนวนชิ้นของสิ่งที่กินเข้าไป แต่นี่ไม่ใช่รายแรกของสัตว์กับการกินสิ่งของที่ไม่ใช่อาหารเข้าไป ก่อนหน้าที่ ดร.แอชลีย์ เคยผ่าตัดเอาขวดกาวออกจากท้องสุนัข และยังมีนิตรสารสัตว์เลี้ยง “Veterinary Practice News” ได้ให้เข้าส่งชิงรางวัลในหัวข้อ “They Ate What?? พวกมันกินอะไร” โดยผู้ชนะเลิศคือ ภาพเอ็กซเรย์ของกบที่ในน้องเต็มไปด้วยก้อนหินที่มใช้ประดับตู้เลี้ยงกบก้อนเล็กๆมากกว่า 30 ก้อนเข้าไป



6195
ช็อคสุนัขกินถุงเท้า “กินเข้าไปไม่เยอะ แค่ 44 ข้าง”

     สุนัขพันธุ์เกรทเดน อายุ 3 ปี เกิดอาการทรมานเหมือนจะอยากขย่อนอะไรสักอย่างในท้องอยู่ตลอดเวลา เจ้าของจึงนำส่งโณงพยาบาลสัตว์ฉุกเฉินแห่งหนึ่ง ในมืองมืองปอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ซึ่งเบื้องต้นสัตวแพทย์ตั้งข้อสงสัยว่าสาเหตุมาจากสิ่งที่สุนัขกินเข้าไปแน่นอน


ภาพเอ็กซเรย์ที่ในท้องเต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอมจำนวนมาก

     ชอว์นา ฮาร์ช โฆษกโณงพยาบาลสัตว์ฉุกเฉินโดฟลูอิสกล่าวว่า “กรณีนี้น่าจะเป็นกรณีที่แปลกที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลทีเดียว” เมื่อนำเจ้าน้องหมาไปเอ็กซเรย์ทุกคนต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าภายในท้องมีสิ่งแปลกปลอมจำนวนมาก โดยสัตวแพทย์ ดร.แอชลีย์ มากี้ ได้ทำการผ่าตัดให้กับเจ้าน้องหมาใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดจึงทราบว่าสิ่งแปลกปลอมที่ว่า คือ “ถุงเท้าจำนวน 44 ข้าง”  หลังจากผ่าตัดหนึ่งวันน้องหมาได้รับอนุญาตให้กลับไปพักที่บ้านได้ เจ้าของน้องหมาไม่พร้อมให้ความเห็นใดๆ เพียงแค่ยืนยันว่าน้องหมายังมีชีวิตอยู่


ภาพถุงเท้าทั้งหมดที่ถูกนำมาวางบนตะแกรง มันดูเหมือนกับบาร์บีคิวที่กำลังถูกย่างอยู่บนเตามากๆ

     สิ่งที่น่าตกใจกับเหตุการนี้น่าจะเป็นจำนวนชิ้นของสิ่งที่กินเข้าไป แต่นี่ไม่ใช่รายแรกของสัตว์กับการกินสิ่งของที่ไม่ใช่อาหารเข้าไป ก่อนหน้าที่ ดร.แอชลีย์ เคยผ่าตัดเอาขวดกาวออกจากท้องสุนัข และยังมีนิตรสารสัตว์เลี้ยง “Veterinary Practice News” ได้ให้เข้าส่งชิงรางวัลในหัวข้อ “They Ate What?? พวกมันกินอะไร” โดยผู้ชนะเลิศคือ ภาพเอ็กซเรย์ของกบที่ในน้องเต็มไปด้วยก้อนหินที่มใช้ประดับตู้เลี้ยงกบก้อนเล็กๆมากกว่า 30 ก้อนเข้าไป