ในช่วงที่ผ่านมาเราคงได้เห็นโฆษณาที่เกี่ยวกับสุนัข “โรคอ้วนระบาด” สุนัขก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที กับรอบเอวที่หายไป โรคภัยที่จะตามมา เช่นเดียวกับมนุษย์ 
   ในทางการแพทย์จะใช้วธีการทางวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณในการกำหนดโรคอ้วน คือ ดัชนีมวลน้ำหนักตัว ผลสำรวจบอกว่า มีแนวโน้มการเพิ่มของอัตราโรคอ้วนของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 500 ของทั้งหมด

   การตรวจวัดโรคอ้วนในสุนัขเป็นการประเมินแบบรายบุคคล จะประเมินโดยสัตวแพทย์ที่ผ่านการอบรมการประเมินสถานะน้ำหนักของสุนัข การใช้คะแนนสภาพร่างกาย เรียกว่า BCS จะเป็นลักษณะแผนภูมิซึ่งยากที่เจ้าของจะอ่าน เพื่อตีความหมายแทนสัตวแพทย์ได้ ในการวัดมีสองรูปแบบ แบบแรกคือ สเกลห้าระดับ หนึ่งคือสุนัขผอมแห้ง สามคือสมบูรณ์ และห้าคือสุนัขอ้วนอย่างชัดเจน แบบที่สองคือ สเกลเก้าระดับ ห้าคือสมบูรณ์ เก้าคือสุนัขอ้วนอย่างชัดเจน สัตวแพทย์จะให้คะแนนสภาพร่างกายของสุนัขและประเมินสถานะของโรคอ้วน

   จากน้ำหนักที่เกินบ่งบอกว่าอาจะเป็นโรคอ้วน จริงๆแล้วมันยังเป็นเหตุส่งผลต่อโรคภัยอื่นๆที่ตามมาอีกมากมาย น้ำหนักที่มากเกินไปเริ่มจะส่งผลอย่างแรกเลยกับซี่โรง กระดูกสันหลังและสะโพก หากจะสังเกตง่ายๆคือ หา “เอว” ไม่เจอ หรือท้องเค้าอ้วนบวมจนจะติดพื้น ส่งผลให้การเดิน การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างลำบาก ไม่สะดวก ความอ้วนยังส่งผลต่อการเจริญเติบโต และปัญหาอีกมากมาย เช่น หัวใจล้มเหลว หลอดลมอักเสบ หลอดลมกล่องเสียงเป็นอัมพาต ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
   จากความด้วนที่ทำให้แม้แต่การเดินยังลำบาก ความสุขในการเพลิดเพลินวิ่งเล่นก็คงจะหมดไป การออกกำลังเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงก็คงจะเหนื่อยเกินไป สิ่งที่ทำได้เมื่อเกิดภาวะโรคอ้วนแล้วนั้น เจ้าของต้องเคร่งครัดเรื่องอาหาร เรื่องการออกกำลังกาย อาหารควรจะมีแคลอรี่น้อย ควบคุมให้เช่นกับคนที่เมื่อเวลาต้องการลดน้ำหนัก แต่ละอาหารที่ให้กินต้องคำนวณปริมาณแคลอรี่เพื่อความเหมาะสม ต้องเริ่มให้ออกกำลังกายจากทีละน้อยๆ ไปจนถึงเวลายาวนานขึ้น หรืออาจจะเป็นแค่การเดินเล่น โดยเจ้าของจูงสายจูงเค้า เดินในระยะทางที่น้อยแล้วค่อยเพิ่มไปเรื่อยๆ จะช่วยให้เค้าได้เผาผลาญไขมันส่วนเกิน ได้กำลังขา ออกกำลังแต่ละส่วนของร่างกาย และระบบการหายใจที่ดี ลดภาวะโรคแทรกซ้อนต่างๆได้

   สายพันธุ์ที่ยังไงก็ต้องอ้วน คงไม่พ้น ปั๊ก เฟรนบลูด๊อกซ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องต้องปล่อยปละละเลยเค้านะค่ะ ถ้าอยากให้เค้าอยู่กับเราไปนาน ๆ ๆสุขภาพดีอยู่ตลอด เราต้องใส่ใจเค้าตั้งแต่วันนี้ค่ะ

   ในช่วงที่ผ่านมาเราคงได้เห็นโฆษณาที่เกี่ยวกับสุนัข “โรคอ้วนระบาด” สุนัขก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที กับรอบเอวที่หายไป โรคภัยที่จะตามมา เช่นเดียวกับมนุษย์ 
   ในทางการแพทย์จะใช้วธีการทางวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณในการกำหนดโรคอ้วน คือ ดัชนีมวลน้ำหนักตัว ผลสำรวจบอกว่า มีแนวโน้มการเพิ่มของอัตราโรคอ้วนของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 500 ของทั้งหมด

   การตรวจวัดโรคอ้วนในสุนัขเป็นการประเมินแบบรายบุคคล จะประเมินโดยสัตวแพทย์ที่ผ่านการอบรมการประเมินสถานะน้ำหนักของสุนัข การใช้คะแนนสภาพร่างกาย เรียกว่า BCS จะเป็นลักษณะแผนภูมิซึ่งยากที่เจ้าของจะอ่าน เพื่อตีความหมายแทนสัตวแพทย์ได้ ในการวัดมีสองรูปแบบ แบบแรกคือ สเกลห้าระดับ หนึ่งคือสุนัขผอมแห้ง สามคือสมบูรณ์ และห้าคือสุนัขอ้วนอย่างชัดเจน แบบที่สองคือ สเกลเก้าระดับ ห้าคือสมบูรณ์ เก้าคือสุนัขอ้วนอย่างชัดเจน สัตวแพทย์จะให้คะแนนสภาพร่างกายของสุนัขและประเมินสถานะของโรคอ้วน

   จากน้ำหนักที่เกินบ่งบอกว่าอาจะเป็นโรคอ้วน จริงๆแล้วมันยังเป็นเหตุส่งผลต่อโรคภัยอื่นๆที่ตามมาอีกมากมาย น้ำหนักที่มากเกินไปเริ่มจะส่งผลอย่างแรกเลยกับซี่โรง กระดูกสันหลังและสะโพก หากจะสังเกตง่ายๆคือ หา “เอว” ไม่เจอ หรือท้องเค้าอ้วนบวมจนจะติดพื้น ส่งผลให้การเดิน การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างลำบาก ไม่สะดวก ความอ้วนยังส่งผลต่อการเจริญเติบโต และปัญหาอีกมากมาย เช่น หัวใจล้มเหลว หลอดลมอักเสบ หลอดลมกล่องเสียงเป็นอัมพาต ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
   จากความด้วนที่ทำให้แม้แต่การเดินยังลำบาก ความสุขในการเพลิดเพลินวิ่งเล่นก็คงจะหมดไป การออกกำลังเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงก็คงจะเหนื่อยเกินไป สิ่งที่ทำได้เมื่อเกิดภาวะโรคอ้วนแล้วนั้น เจ้าของต้องเคร่งครัดเรื่องอาหาร เรื่องการออกกำลังกาย อาหารควรจะมีแคลอรี่น้อย ควบคุมให้เช่นกับคนที่เมื่อเวลาต้องการลดน้ำหนัก แต่ละอาหารที่ให้กินต้องคำนวณปริมาณแคลอรี่เพื่อความเหมาะสม ต้องเริ่มให้ออกกำลังกายจากทีละน้อยๆ ไปจนถึงเวลายาวนานขึ้น หรืออาจจะเป็นแค่การเดินเล่น โดยเจ้าของจูงสายจูงเค้า เดินในระยะทางที่น้อยแล้วค่อยเพิ่มไปเรื่อยๆ จะช่วยให้เค้าได้เผาผลาญไขมันส่วนเกิน ได้กำลังขา ออกกำลังแต่ละส่วนของร่างกาย และระบบการหายใจที่ดี ลดภาวะโรคแทรกซ้อนต่างๆได้

   สายพันธุ์ที่ยังไงก็ต้องอ้วน คงไม่พ้น ปั๊ก เฟรนบลูด๊อกซ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องต้องปล่อยปละละเลยเค้านะค่ะ ถ้าอยากให้เค้าอยู่กับเราไปนาน ๆ ๆสุขภาพดีอยู่ตลอด เราต้องใส่ใจเค้าตั้งแต่วันนี้ค่ะ

     เจ้าหมาน้อยได้รับการอบรมเป็นเวลา 15 นาที หลังจากที่เขาจะสังเกตเห็นภาพวาดขนาดยักษ์ของสุนัขที่แขวนอยู่บนผนัง รูปตาของสุนัขที่ดวงตาของเขากว้าง โต ซึ่งหมาน้อยส่งเสียเห่า คำราม ขู่ฟ่อใส่เจ้าของ โดยที่เจ้าของดีดนิ้วของเธอเพื่อให้เขาสงบนั่งลงและเลียริมฝีปากของเขา เขาไม่คำรามอีกครั้ง แต่ก็ยังคงจ้องมองที่ภาพสุนัขตัวนั้น

     สุนัขคำรามมีหลากหลายเหตุผล เมื่อเกิดความกลัวความไม่มั่นคงนี่เป็นพฤติกรรมก้าวร้าวที่ปกปิดความกลัวของเขา ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลว่าการคำรามจะไม่ซ้ำกันในแต่ละเสียงและแต่ละความรู้สึกของพวกเขา นอกเหนือจากการเล่นคำรามทำหน้าที่เป็นคำเตือนมีสิ่งที่ไม่ดีในโลกของพวกเขา ควรต้องนำบางสิ่งบางอย่างออกไปและทำให้สุนัขของเรารู้สึกปลอดภัย

     ธรรมชาติของมนุษย์จะรู้สึกในทางลบกับเสียงคำรามของสุนัข การคำรามเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และเป็นเหตุนำให้สุนัขกัดต่อไป อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะปราบปรามการและแก้ไขการคำรามของสุนัข ต่อไปเป็น 4 สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการคำรามของสุนัขของคุณ คือ



1. คำรามทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือน มันจะไว้บ่งบอกคุณว่าสุนัขของคุณมีความสุขหรือไม่สบายใจอะไรอย่างไร  เปรียบเสมือนเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้า

2. ลงโทษสุนัขคำรามแต่เนิ่น ๆ หากเจ้าของทำการลงโทษหรือตักเตือนการคำรามของเจ้าหมาน้อย เริ่มต้นคือกำจัดอารมณ์เสียของเค้าไปก่อน จะลดการคำรามลงได้ แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องพิจารณาเหตุผลที่สุนัขคำรามให้เพียงพอที่จะลงโทษเค้า เพราะไม่งั้นเค้าจะเรียนรู้ที่ไม่คำราม ที่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือน ต่อไปสุนัขของคุณจะกัดโดยไม่มีการเตือนเลย



3. สุนัขทั้งหมดเตือน หากสุนัขของคุณไม่ได้เตือนก่อนที่เขาจะกัดอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะคุณกำลังขาดหายไปสัญญาณผู้นำของเขาหรือเพราะเขาไม่รู้สึกปลอดภัยแล้วแสดงการคำรามออกมา มันจะเป็นการเสี่ยงมากต่อคนรอบข้าง

4. สุนัขเชื่อว่าเขามีเหตุผลที่ถูกต้องที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากการคำรามเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์หวาดกลัว ไม่ปลอดภัย อย่างเช่นเห็นภาพสุนัขยักษ์แช่แข็ง ซึ่งนิ่งมากและมองมาที่เค้า ทำให้เค้ามั่นใจว่านี่คิพฤติกรรมที่ควรจะทำ

     เจ้าหมาน้อยได้รับการอบรมเป็นเวลา 15 นาที หลังจากที่เขาจะสังเกตเห็นภาพวาดขนาดยักษ์ของสุนัขที่แขวนอยู่บนผนัง รูปตาของสุนัขที่ดวงตาของเขากว้าง โต ซึ่งหมาน้อยส่งเสียเห่า คำราม ขู่ฟ่อใส่เจ้าของ โดยที่เจ้าของดีดนิ้วของเธอเพื่อให้เขาสงบนั่งลงและเลียริมฝีปากของเขา เขาไม่คำรามอีกครั้ง แต่ก็ยังคงจ้องมองที่ภาพสุนัขตัวนั้น

     สุนัขคำรามมีหลากหลายเหตุผล เมื่อเกิดความกลัวความไม่มั่นคงนี่เป็นพฤติกรรมก้าวร้าวที่ปกปิดความกลัวของเขา ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลว่าการคำรามจะไม่ซ้ำกันในแต่ละเสียงและแต่ละความรู้สึกของพวกเขา นอกเหนือจากการเล่นคำรามทำหน้าที่เป็นคำเตือนมีสิ่งที่ไม่ดีในโลกของพวกเขา ควรต้องนำบางสิ่งบางอย่างออกไปและทำให้สุนัขของเรารู้สึกปลอดภัย

     ธรรมชาติของมนุษย์จะรู้สึกในทางลบกับเสียงคำรามของสุนัข การคำรามเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และเป็นเหตุนำให้สุนัขกัดต่อไป อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะปราบปรามการและแก้ไขการคำรามของสุนัข ต่อไปเป็น 4 สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการคำรามของสุนัขของคุณ คือ



1. คำรามทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือน มันจะไว้บ่งบอกคุณว่าสุนัขของคุณมีความสุขหรือไม่สบายใจอะไรอย่างไร  เปรียบเสมือนเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้า

2. ลงโทษสุนัขคำรามแต่เนิ่น ๆ หากเจ้าของทำการลงโทษหรือตักเตือนการคำรามของเจ้าหมาน้อย เริ่มต้นคือกำจัดอารมณ์เสียของเค้าไปก่อน จะลดการคำรามลงได้ แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องพิจารณาเหตุผลที่สุนัขคำรามให้เพียงพอที่จะลงโทษเค้า เพราะไม่งั้นเค้าจะเรียนรู้ที่ไม่คำราม ที่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือน ต่อไปสุนัขของคุณจะกัดโดยไม่มีการเตือนเลย



3. สุนัขทั้งหมดเตือน หากสุนัขของคุณไม่ได้เตือนก่อนที่เขาจะกัดอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะคุณกำลังขาดหายไปสัญญาณผู้นำของเขาหรือเพราะเขาไม่รู้สึกปลอดภัยแล้วแสดงการคำรามออกมา มันจะเป็นการเสี่ยงมากต่อคนรอบข้าง

4. สุนัขเชื่อว่าเขามีเหตุผลที่ถูกต้องที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากการคำรามเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์หวาดกลัว ไม่ปลอดภัย อย่างเช่นเห็นภาพสุนัขยักษ์แช่แข็ง ซึ่งนิ่งมากและมองมาที่เค้า ทำให้เค้ามั่นใจว่านี่คิพฤติกรรมที่ควรจะทำ

                  เริ่มแรกของการเลี้ยงสุนัขในครอบครัว ก็อาจจะมีเพียงแค่เค้าและเรา แต่หากต่อไปเรามีทารก มีลูก จากเวลาทั้งหมดที่เราทุ่มเทให้กับน้องหมา ก็อาจจะลดลง อย่างไรก็ตามเราก็ยังรักทั้งสองเหมือนเดิม แต่จะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้โดยที่เค้าไม่รู้สึกว่าโดยปล่อยปละละเลย พฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะเป็นสัญญาณบงบอกเราอย่างดีว่าเค้าเริ่มรู้สึกน้อยใจ เอาแต่ใจ และโหยหาความรักเช่นเดิม อย่างไรก็ตามสิ่งที่เค้าคิดคงไม่ผิดแต่เราก็ต้องปรับ ต้องช่วยกันฝึกเค้าให้เค้าอยู่ร่วมกับลูกน้อยของเราได้ จะได้ไม่มีปัญหาสุนัขทำร้ายลูกของเรา สุดท้ายเราก็คงเลือกที่จะปล่อยสุนัขให้จากไปแทน แต่แบบนั้นคงไม่มีใครอยากให้เกิด มาดูกันนะค่ะ ว่าพฤติกรรมแบบนี้น้องหมาที่บ้านเริ่มจะเป็นกันบ้างมั้ย
      1. ไม่ให้สุนัขของคุณนอนหลับอยู่บนเตียงกับคุณได้อย่างไร? จากปกติที่เค้าจะต้องมานอนตลุกคลีร่วมเตียงกับเรา ก็ต้องปล่อยให้เค้านอนในที่นอนของเค้า ค่อย ๆ สอนให้เค้าชิน แรกๆเค้าจจะมาวนเวียนรอบ ๆ เตียงของเรา อย่างไรก็ตามฝึกให้เค้าแยกนอนจากเราก่อนที่ลูกน้อยจะคลอดแล้วกันนะค่ะ
      2. ฝึกหัดให้เค้าปรับตัว ทุกครั้งที่เราขยับตัวจะออกไปข้างนอก สุนัขจะมีปฏิกิริยาตอบสนองออย่างไว ที่จะออกไปด้วยตามปกติ จึงควรจะเริ่มปรับตัว พาเค้าไปเดินด้วยในแบบที่เราก็เข็นรถสำหรับทารกไปด้วย อาจจะใส่ตุ๊กตาไว้ภายใน ให้เหมือนว่ามีทารกอยู่ในรถเข็น ค่อยๆฝึกให้สุนัขชิน
      3. สุนัขมีพฤติกรรมหวงอาหารหรือของเล่น? เค้าจะมีอาการโกรธหากเรานำอาหารออกจากปากของเค้า หรือเวลาเราซื้อของเข้ามาที่บ้านแล้วเค้าวิ่งมากระโจนถุงขนม หรือหวงของเล่นไม่ให้เราเข้าใกล้
      4. เค้าทำตามคำสั่งแค่เวลาที่เค้าต้องการ เช่น เราบอกให้เค้ามาหา ให้นั่ง ให้หยุดซน ซึ่งปกติจะไม่ได้เป็นแบบนี้
      5. สุนัขของคุณมักจะได้รับการยกเว้นพิเศษเสมอ อย่างเช่น เวลาเค้าทำอะไรผิด แต่เราก็ยังกลั้นใจลงโทษเค้าไม่ได้ แต่หากพอมีทารกอยู่ในบ้าน เวลาเค้าทำผิด เราดุว่า ลงโทษเค้า อาจจะทำให้เค้าเกิดความเครียด ความกังวลได้

                  เริ่มแรกของการเลี้ยงสุนัขในครอบครัว ก็อาจจะมีเพียงแค่เค้าและเรา แต่หากต่อไปเรามีทารก มีลูก จากเวลาทั้งหมดที่เราทุ่มเทให้กับน้องหมา ก็อาจจะลดลง อย่างไรก็ตามเราก็ยังรักทั้งสองเหมือนเดิม แต่จะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้โดยที่เค้าไม่รู้สึกว่าโดยปล่อยปละละเลย พฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะเป็นสัญญาณบงบอกเราอย่างดีว่าเค้าเริ่มรู้สึกน้อยใจ เอาแต่ใจ และโหยหาความรักเช่นเดิม อย่างไรก็ตามสิ่งที่เค้าคิดคงไม่ผิดแต่เราก็ต้องปรับ ต้องช่วยกันฝึกเค้าให้เค้าอยู่ร่วมกับลูกน้อยของเราได้ จะได้ไม่มีปัญหาสุนัขทำร้ายลูกของเรา สุดท้ายเราก็คงเลือกที่จะปล่อยสุนัขให้จากไปแทน แต่แบบนั้นคงไม่มีใครอยากให้เกิด มาดูกันนะค่ะ ว่าพฤติกรรมแบบนี้น้องหมาที่บ้านเริ่มจะเป็นกันบ้างมั้ย
      1. ไม่ให้สุนัขของคุณนอนหลับอยู่บนเตียงกับคุณได้อย่างไร? จากปกติที่เค้าจะต้องมานอนตลุกคลีร่วมเตียงกับเรา ก็ต้องปล่อยให้เค้านอนในที่นอนของเค้า ค่อย ๆ สอนให้เค้าชิน แรกๆเค้าจจะมาวนเวียนรอบ ๆ เตียงของเรา อย่างไรก็ตามฝึกให้เค้าแยกนอนจากเราก่อนที่ลูกน้อยจะคลอดแล้วกันนะค่ะ
      2. ฝึกหัดให้เค้าปรับตัว ทุกครั้งที่เราขยับตัวจะออกไปข้างนอก สุนัขจะมีปฏิกิริยาตอบสนองออย่างไว ที่จะออกไปด้วยตามปกติ จึงควรจะเริ่มปรับตัว พาเค้าไปเดินด้วยในแบบที่เราก็เข็นรถสำหรับทารกไปด้วย อาจจะใส่ตุ๊กตาไว้ภายใน ให้เหมือนว่ามีทารกอยู่ในรถเข็น ค่อยๆฝึกให้สุนัขชิน
      3. สุนัขมีพฤติกรรมหวงอาหารหรือของเล่น? เค้าจะมีอาการโกรธหากเรานำอาหารออกจากปากของเค้า หรือเวลาเราซื้อของเข้ามาที่บ้านแล้วเค้าวิ่งมากระโจนถุงขนม หรือหวงของเล่นไม่ให้เราเข้าใกล้
      4. เค้าทำตามคำสั่งแค่เวลาที่เค้าต้องการ เช่น เราบอกให้เค้ามาหา ให้นั่ง ให้หยุดซน ซึ่งปกติจะไม่ได้เป็นแบบนี้
      5. สุนัขของคุณมักจะได้รับการยกเว้นพิเศษเสมอ อย่างเช่น เวลาเค้าทำอะไรผิด แต่เราก็ยังกลั้นใจลงโทษเค้าไม่ได้ แต่หากพอมีทารกอยู่ในบ้าน เวลาเค้าทำผิด เราดุว่า ลงโทษเค้า อาจจะทำให้เค้าเกิดความเครียด ความกังวลได้

                  คุณลองนึกดูซิค่ะ มีโรคอะไรที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้สุนัขที่นิสัยเงียบสงบกลายเป็นสัตว์ดุร้าย นึกออกมั้ยค่ะ โรคพิษสุนัขบ้าไงค่ะ เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบาดในทั้งมนุษย์และสัตว์อย่างน้อยสี่พันปีมาแล้ว
                  ในปี 2007 ศูนย์ควบคุมโรคและพันธมิตร เพื่อการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า เริ่มที่จะร่วมกันสนับสนุนให้มีวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก โดยเลือกเป็นวันที่ 28 กันยายน เป็นวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก เพื่เป็นเกียรติแก่การจากไปของ นักเคมีชาวฝรั่งเศส “หลุยส์ ปาสเตอร์” ผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า ที่เป็นประโยน์อย่างมากแก่สาธารณชน
โรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร?
                  โรคพิษสุนัขบ้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและอันตราย  แต่ยังโชคดีอย่างหนึ่งที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน แม้ว่าจะมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันจำนวนมากติดเชื้อไวรัสนี้ มีสองรูปแบบที่สำคัญสุนัขจะก้าวร้าวมากและแบบที่เป็นอัมพาต โรคพิษสุนัขบ้ารุนแรงที่พบบ่อยที่เป็นอันตราย จะมีพฤติกรรมก้าวร้าวและบางทีบางน้ำลายฟูมปาก โรคพิษสุนัขบ้าที่เป็นอัมพาตทำให้สูญเสีย สุนัขไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อาจจะนอนแน่นิ่งหรือบางส่วนขยับไม่ได้  บางกรณีของโรคพิษสุนัขบ้าสุนัขสามารถเริ่มต้นอาจเริ่มต้นจากก้าวร้าว และเริ่มเป็นอัมพาตจนตายในที่สุด
วิธีการที่สุนัขได้รับโรคพิษสุนัขบ้า?
                 ส่วนใหญ่เชื้อไวรัสติดต่อจากพาหะที่มีเชื้อ ถ้าจากสุนัขถึงสุนัขก็จะเป็นด้วยการกัด โดยเชื้อจะถูกส่งผ่านทางน้ำลายของตัวพาหะ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ในบางครั้งไม่ได้กัด แต่ได้รับน้ำลายผ่านทางบาดแผล หรือ เข้าสู่กระแสเลือด ก็สามารถติดโรคได้เช่นกัน ในทวีปอเมิริกาเหนือ พาหะส่วนมากจะเป็นสัตว์ป่าที่ติดเชื่อ คือ ค้างคาว จิ้งจอก แรคคูน และสกั๊งค์
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายโรคพิษสุนัขบ้าจะรวบรวมและการลอกเลียนแบบเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อของสุนัข ก่อนที่จะเดินทางในระบบประสาทเข้าสู่สมอง ในช่วงระยะเวลาฟักตัวโรคพิษสุนัขบ้าไวรัสจะเริ่มทำให้สมองบวม นี่เป็นสาเหตุที่สุนัขโหดร้ายและก้าวร้าวหรือระบบการทำงานของสุนัขจะกลายเป็นอาการหน่วงและวุ่นวาย จากช่วงเวลาของการติดเชื้อที่เต็มรูปแบบจะใช้เวลาโดยเฉลี่ยระหว่าง 1-3 เดือน เวลาแตกต่างกันไป แต่ขึ้นอยู่กับขนาดของสุนัขและระยะเวลาในการเดินทางของไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าจากจุดของการติดเชื้อไปยังสมอง
 
อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
                 อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการตอบสนองของสุนัขแต่ละตัวกับเชื้อที่จะรวบรวมความแข็งแรงและใช้เวลาการควบคุมของสมองของสุนัข เมื่อมีอาการโรคพิษสุนัขบ้าปรากฏพวกเขาจะแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง จากสุนัขที่ตามปกติอ่อนโยนและเป็นมิตรก็จะกลายเป็นเครียดไม่ไว้ใจและก้าวร้าว บางครั้งไม่ตอบสนองหรือดูเหมือนสับสน และอาจจะเป็นอัมพาต
               อาการทางกายก็จะแสดงให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นความโกรธหรืออัมพาต และมาพร้อมกับความเกลียดชังกับน้ำและปัญหาในการกลืน หรืออาจจะมีไข้ หากสุนัขของคุณมีอาการดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ก็ควรจะไปพบสัตว์แพทย์ทันที
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจำเป็น?
               เมื่อสุนัขที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าเป็นเรื่องยากมากที่จะรักษา เริ่มต้นของการเลี้ยงคือต้องให้สุนัขได้รับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าเสียก่อน แต่หากติดเชื้อแล้วก็จะต้องรับการรักษาต่อไป ในบางกรณีอาจมีผลข้างเคียง "ปัญหาร้ายแรงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหาได้ยากมาก" ซึ่งในร้อยละ 75 ของกรณีผลข้างเคียงหลัก คือ อาการคันชั่วคราว
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคสัตว์สู่คน ซึ่งหมายความว่า ไม่เพียง มันสามารถแพร่กระจายระหว่างสุนัข แต่ยังแพร่ระหว่างสุนัขและสัตว์อื่น ๆ รวมทั้งมนุษย์ได้อีกด้วย ความรุนแรงและพลังของโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเหตุผลหลักว่า ทำไมการเดินทางระหว่างประเทศสำหรับสุนัขเป็นเรื่องยาก บางประเทศมีการออกกฎหมายกักกันที่เข้มงวดเพื่อป้องกันพื้นที่และบุคคลในประเทศ

                  คุณลองนึกดูซิค่ะ มีโรคอะไรที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้สุนัขที่นิสัยเงียบสงบกลายเป็นสัตว์ดุร้าย นึกออกมั้ยค่ะ โรคพิษสุนัขบ้าไงค่ะ เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบาดในทั้งมนุษย์และสัตว์อย่างน้อยสี่พันปีมาแล้ว
                  ในปี 2007 ศูนย์ควบคุมโรคและพันธมิตร เพื่อการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า เริ่มที่จะร่วมกันสนับสนุนให้มีวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก โดยเลือกเป็นวันที่ 28 กันยายน เป็นวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก เพื่เป็นเกียรติแก่การจากไปของ นักเคมีชาวฝรั่งเศส “หลุยส์ ปาสเตอร์” ผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า ที่เป็นประโยน์อย่างมากแก่สาธารณชน
โรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร?
                  โรคพิษสุนัขบ้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและอันตราย  แต่ยังโชคดีอย่างหนึ่งที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน แม้ว่าจะมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันจำนวนมากติดเชื้อไวรัสนี้ มีสองรูปแบบที่สำคัญสุนัขจะก้าวร้าวมากและแบบที่เป็นอัมพาต โรคพิษสุนัขบ้ารุนแรงที่พบบ่อยที่เป็นอันตราย จะมีพฤติกรรมก้าวร้าวและบางทีบางน้ำลายฟูมปาก โรคพิษสุนัขบ้าที่เป็นอัมพาตทำให้สูญเสีย สุนัขไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อาจจะนอนแน่นิ่งหรือบางส่วนขยับไม่ได้  บางกรณีของโรคพิษสุนัขบ้าสุนัขสามารถเริ่มต้นอาจเริ่มต้นจากก้าวร้าว และเริ่มเป็นอัมพาตจนตายในที่สุด
วิธีการที่สุนัขได้รับโรคพิษสุนัขบ้า?
                 ส่วนใหญ่เชื้อไวรัสติดต่อจากพาหะที่มีเชื้อ ถ้าจากสุนัขถึงสุนัขก็จะเป็นด้วยการกัด โดยเชื้อจะถูกส่งผ่านทางน้ำลายของตัวพาหะ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ในบางครั้งไม่ได้กัด แต่ได้รับน้ำลายผ่านทางบาดแผล หรือ เข้าสู่กระแสเลือด ก็สามารถติดโรคได้เช่นกัน ในทวีปอเมิริกาเหนือ พาหะส่วนมากจะเป็นสัตว์ป่าที่ติดเชื่อ คือ ค้างคาว จิ้งจอก แรคคูน และสกั๊งค์
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายโรคพิษสุนัขบ้าจะรวบรวมและการลอกเลียนแบบเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อของสุนัข ก่อนที่จะเดินทางในระบบประสาทเข้าสู่สมอง ในช่วงระยะเวลาฟักตัวโรคพิษสุนัขบ้าไวรัสจะเริ่มทำให้สมองบวม นี่เป็นสาเหตุที่สุนัขโหดร้ายและก้าวร้าวหรือระบบการทำงานของสุนัขจะกลายเป็นอาการหน่วงและวุ่นวาย จากช่วงเวลาของการติดเชื้อที่เต็มรูปแบบจะใช้เวลาโดยเฉลี่ยระหว่าง 1-3 เดือน เวลาแตกต่างกันไป แต่ขึ้นอยู่กับขนาดของสุนัขและระยะเวลาในการเดินทางของไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าจากจุดของการติดเชื้อไปยังสมอง
 
อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
                 อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการตอบสนองของสุนัขแต่ละตัวกับเชื้อที่จะรวบรวมความแข็งแรงและใช้เวลาการควบคุมของสมองของสุนัข เมื่อมีอาการโรคพิษสุนัขบ้าปรากฏพวกเขาจะแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง จากสุนัขที่ตามปกติอ่อนโยนและเป็นมิตรก็จะกลายเป็นเครียดไม่ไว้ใจและก้าวร้าว บางครั้งไม่ตอบสนองหรือดูเหมือนสับสน และอาจจะเป็นอัมพาต
               อาการทางกายก็จะแสดงให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นความโกรธหรืออัมพาต และมาพร้อมกับความเกลียดชังกับน้ำและปัญหาในการกลืน หรืออาจจะมีไข้ หากสุนัขของคุณมีอาการดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ก็ควรจะไปพบสัตว์แพทย์ทันที
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจำเป็น?
               เมื่อสุนัขที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าเป็นเรื่องยากมากที่จะรักษา เริ่มต้นของการเลี้ยงคือต้องให้สุนัขได้รับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าเสียก่อน แต่หากติดเชื้อแล้วก็จะต้องรับการรักษาต่อไป ในบางกรณีอาจมีผลข้างเคียง "ปัญหาร้ายแรงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหาได้ยากมาก" ซึ่งในร้อยละ 75 ของกรณีผลข้างเคียงหลัก คือ อาการคันชั่วคราว
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคสัตว์สู่คน ซึ่งหมายความว่า ไม่เพียง มันสามารถแพร่กระจายระหว่างสุนัข แต่ยังแพร่ระหว่างสุนัขและสัตว์อื่น ๆ รวมทั้งมนุษย์ได้อีกด้วย ความรุนแรงและพลังของโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเหตุผลหลักว่า ทำไมการเดินทางระหว่างประเทศสำหรับสุนัขเป็นเรื่องยาก บางประเทศมีการออกกฎหมายกักกันที่เข้มงวดเพื่อป้องกันพื้นที่และบุคคลในประเทศ