แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

4441
มารู้จักชิบะ อินุ (Shiba Inu) : หมาหน้าแป้นจากแดนอาทิตย์อุทัย




     ชิบะอินุเป็นหมาขนหนาขนาดกะทัดรัด บางคนก็บอกว่ามันคือหมาพันธุ์อากิตะแบบย่อส่วน มันมีใบหน้าเรียว ดวงตาเล็กๆ สีเข้ม จมูกสีเข้ม ฟันเรียงตัวเป็นแนวกรรไกร และหูทรงสามเหลี่ยมเล็กๆ ที่ตั้งตรงอีก 1 คู่ หางของชิบะอินุเหมือนกับหมาของญี่ปุ่นอีกพันธุ์หนึ่งซึ่งก็คือ สปิตช์ หางของมันฟูยาวและม้วนเป็นวงกลมกลับมาอยู่บนหลังของมัน หรือบางครั้งก็ทอดเป็นเส้นโค้งที่นุ่มสลวย ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของชิบะอินุคือแต้มสีขาวหรือสีครีมที่บริเวณแก้ม ลำคอ ท้อง หน้าอก และข้างจมูก แต่บางตัวก็มีรอยแต้มเหล่านี้ถึงแค่ส่วนขาและปลายหาง

     อายุขัยโดยเฉลี่ยของชิบะอินุจะอยู่ที่ระหว่าง 12-15 ปี มันเป็นหมาที่มีระดับพลังงานปานกลางเหมือนกับขนาดตัวของมัน มีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องของที่อยู่อาศัย และสามารถอยู่ในพื้นที่จำกัดได้โดยไม่มีปัญหา สีขนของชิบะอินุมีทั้งสีแดง แดงแซมดำ และสีดำกับรอยแต้มสีเข้ม



กว่าจะเป็นชิบะอินุ

     ชิบะอินุเป็นหมาพันธุ์เอเชียที่โดดเด่นมากพันธุ์หนึ่ง พวกมันถูกพาจากประเทศจีนมายังญี่ปุ่นเมื่อราว 2,000 ปีก่อน และเป็นหมา 1 ใน 6 สายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเชาเชากับหมาท้องถิ่นของคิวชู มีรายงานว่าชื่อของมันตั้งตามสีแดงของใบไม้พุ่มในพื้นที่ที่มันออกล่า ซึ่งมีสีเหมือนกับสีขนของมัน ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า “ชิบะ” ในภาษาญี่ปุ่นมี 2 ความหมายด้วยกันก็คือ “เล็ก” และ “ป่าไม้พุ่ม” ในขณะที่ “อินุ” หมายถึงหมา
แต่เดิม ชิบะอินุได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อล่านกหรือสัตว์ป่าขนาดเล็ก แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ พวกมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในฐานะของหมาในฝันสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อน นอกจากความสามารถด้านการล่าสัตว์และการสะกดรอยแล้ว ชิบะอินุยังสามารถทำตามคำสั่งต่างๆ ได้อีกมากมายเมื่อได้รับการฝึก



นิสัยของชิบะอินุ

     ชิบะอินุเทียบได้กับหมาตัวใหญ่ที่ติดอยู่ในร่างขนาดเล็กกะทัดรัด เนื่องจากมันเป็นหมาที่กล้าหาญและท้าทายทุกอย่าง และชอบการผจญภัยอีกด้วย มันปกป้องพื้นที่ของมันและเป็นหมาเฝ้าบ้านที่ดี แต่ถึงอย่างนั้น ชิบะอินุก็เป็นสายพันธุ์ที่น่ารักและอ่อนโยน ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนเด็กเล็กๆ พวกมันค่อนข้างสงวนท่าทีในช่วงแรก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า นอกจากนี้ เจ้าของไม่ควรทิ้งชิบะอินุไว้กับสัตว์เล็กๆ เนื่องจากมันอาจเข้าจู่โจมได้ 



การออกกำลังกาย

     ชิบะอินุต้องการการออกกำลังกายในระดับปานกลาง เช่น การเดินเล่นวันละ 20-30 นาทีดีต่อสุขภาพของมัน พวกมันเป็นสายพันธุ์ที่มีความตื่นตัวสูง แต่ก็ไม่ค่อยเรียกร้องอะไรนัก และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการออกกำลังกายได้ทุกแบบ

ที่อยู่อาศัยและการดูแลรักษา

     ด้วยขนาดตัวของมัน ชิบะอินุสามารถอยู่ในพื้นที่แคบๆได้ หากได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้นถ้ามีสวนเล็กๆ หรือสวนขนาดปานกลางให้มัน มันก็จะชอบมาก ควรให้ชิบะอินุอาศัยอยู่กับเจ้าของ เนื่องจากมันจะนับตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ขนของชิบะอินุเหมาะกับทุกสภาพอากาศทั้งร้อนและหนาว อีกทั้งยังหนาและแน่นมาก จึงทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง

ปัญหาด้านสุขภาพ

     แม้ว่าชิบะอินุจะเป็นสายพันธุ์ที่สุขภาพค่อนข้างดีและมีโรคทางพันธุกรรมน้อย แต่ก็มีโอกาสเป็นโรคสะโพกเลื่อนหรือเข่าหลุดได้เช่นกัน



4442
มารู้จักชิบะ อินุ (Shiba Inu) : หมาหน้าแป้นจากแดนอาทิตย์อุทัย




     ชิบะอินุเป็นหมาขนหนาขนาดกะทัดรัด บางคนก็บอกว่ามันคือหมาพันธุ์อากิตะแบบย่อส่วน มันมีใบหน้าเรียว ดวงตาเล็กๆ สีเข้ม จมูกสีเข้ม ฟันเรียงตัวเป็นแนวกรรไกร และหูทรงสามเหลี่ยมเล็กๆ ที่ตั้งตรงอีก 1 คู่ หางของชิบะอินุเหมือนกับหมาของญี่ปุ่นอีกพันธุ์หนึ่งซึ่งก็คือ สปิตช์ หางของมันฟูยาวและม้วนเป็นวงกลมกลับมาอยู่บนหลังของมัน หรือบางครั้งก็ทอดเป็นเส้นโค้งที่นุ่มสลวย ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของชิบะอินุคือแต้มสีขาวหรือสีครีมที่บริเวณแก้ม ลำคอ ท้อง หน้าอก และข้างจมูก แต่บางตัวก็มีรอยแต้มเหล่านี้ถึงแค่ส่วนขาและปลายหาง

     อายุขัยโดยเฉลี่ยของชิบะอินุจะอยู่ที่ระหว่าง 12-15 ปี มันเป็นหมาที่มีระดับพลังงานปานกลางเหมือนกับขนาดตัวของมัน มีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องของที่อยู่อาศัย และสามารถอยู่ในพื้นที่จำกัดได้โดยไม่มีปัญหา สีขนของชิบะอินุมีทั้งสีแดง แดงแซมดำ และสีดำกับรอยแต้มสีเข้ม



กว่าจะเป็นชิบะอินุ

     ชิบะอินุเป็นหมาพันธุ์เอเชียที่โดดเด่นมากพันธุ์หนึ่ง พวกมันถูกพาจากประเทศจีนมายังญี่ปุ่นเมื่อราว 2,000 ปีก่อน และเป็นหมา 1 ใน 6 สายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเชาเชากับหมาท้องถิ่นของคิวชู มีรายงานว่าชื่อของมันตั้งตามสีแดงของใบไม้พุ่มในพื้นที่ที่มันออกล่า ซึ่งมีสีเหมือนกับสีขนของมัน ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า “ชิบะ” ในภาษาญี่ปุ่นมี 2 ความหมายด้วยกันก็คือ “เล็ก” และ “ป่าไม้พุ่ม” ในขณะที่ “อินุ” หมายถึงหมา
แต่เดิม ชิบะอินุได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อล่านกหรือสัตว์ป่าขนาดเล็ก แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ พวกมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในฐานะของหมาในฝันสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อน นอกจากความสามารถด้านการล่าสัตว์และการสะกดรอยแล้ว ชิบะอินุยังสามารถทำตามคำสั่งต่างๆ ได้อีกมากมายเมื่อได้รับการฝึก



นิสัยของชิบะอินุ

     ชิบะอินุเทียบได้กับหมาตัวใหญ่ที่ติดอยู่ในร่างขนาดเล็กกะทัดรัด เนื่องจากมันเป็นหมาที่กล้าหาญและท้าทายทุกอย่าง และชอบการผจญภัยอีกด้วย มันปกป้องพื้นที่ของมันและเป็นหมาเฝ้าบ้านที่ดี แต่ถึงอย่างนั้น ชิบะอินุก็เป็นสายพันธุ์ที่น่ารักและอ่อนโยน ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนเด็กเล็กๆ พวกมันค่อนข้างสงวนท่าทีในช่วงแรก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า นอกจากนี้ เจ้าของไม่ควรทิ้งชิบะอินุไว้กับสัตว์เล็กๆ เนื่องจากมันอาจเข้าจู่โจมได้ 



การออกกำลังกาย

     ชิบะอินุต้องการการออกกำลังกายในระดับปานกลาง เช่น การเดินเล่นวันละ 20-30 นาทีดีต่อสุขภาพของมัน พวกมันเป็นสายพันธุ์ที่มีความตื่นตัวสูง แต่ก็ไม่ค่อยเรียกร้องอะไรนัก และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการออกกำลังกายได้ทุกแบบ

ที่อยู่อาศัยและการดูแลรักษา

     ด้วยขนาดตัวของมัน ชิบะอินุสามารถอยู่ในพื้นที่แคบๆได้ หากได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้นถ้ามีสวนเล็กๆ หรือสวนขนาดปานกลางให้มัน มันก็จะชอบมาก ควรให้ชิบะอินุอาศัยอยู่กับเจ้าของ เนื่องจากมันจะนับตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ขนของชิบะอินุเหมาะกับทุกสภาพอากาศทั้งร้อนและหนาว อีกทั้งยังหนาและแน่นมาก จึงทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง

ปัญหาด้านสุขภาพ

     แม้ว่าชิบะอินุจะเป็นสายพันธุ์ที่สุขภาพค่อนข้างดีและมีโรคทางพันธุกรรมน้อย แต่ก็มีโอกาสเป็นโรคสะโพกเลื่อนหรือเข่าหลุดได้เช่นกัน



4443
มารู้จักชิบะ อินุ (Shiba Inu) : หมาหน้าแป้นจากแดนอาทิตย์อุทัย




     ชิบะอินุเป็นหมาขนหนาขนาดกะทัดรัด บางคนก็บอกว่ามันคือหมาพันธุ์อากิตะแบบย่อส่วน มันมีใบหน้าเรียว ดวงตาเล็กๆ สีเข้ม จมูกสีเข้ม ฟันเรียงตัวเป็นแนวกรรไกร และหูทรงสามเหลี่ยมเล็กๆ ที่ตั้งตรงอีก 1 คู่ หางของชิบะอินุเหมือนกับหมาของญี่ปุ่นอีกพันธุ์หนึ่งซึ่งก็คือ สปิตช์ หางของมันฟูยาวและม้วนเป็นวงกลมกลับมาอยู่บนหลังของมัน หรือบางครั้งก็ทอดเป็นเส้นโค้งที่นุ่มสลวย ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของชิบะอินุคือแต้มสีขาวหรือสีครีมที่บริเวณแก้ม ลำคอ ท้อง หน้าอก และข้างจมูก แต่บางตัวก็มีรอยแต้มเหล่านี้ถึงแค่ส่วนขาและปลายหาง

     อายุขัยโดยเฉลี่ยของชิบะอินุจะอยู่ที่ระหว่าง 12-15 ปี มันเป็นหมาที่มีระดับพลังงานปานกลางเหมือนกับขนาดตัวของมัน มีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องของที่อยู่อาศัย และสามารถอยู่ในพื้นที่จำกัดได้โดยไม่มีปัญหา สีขนของชิบะอินุมีทั้งสีแดง แดงแซมดำ และสีดำกับรอยแต้มสีเข้ม



กว่าจะเป็นชิบะอินุ

     ชิบะอินุเป็นหมาพันธุ์เอเชียที่โดดเด่นมากพันธุ์หนึ่ง พวกมันถูกพาจากประเทศจีนมายังญี่ปุ่นเมื่อราว 2,000 ปีก่อน และเป็นหมา 1 ใน 6 สายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเชาเชากับหมาท้องถิ่นของคิวชู มีรายงานว่าชื่อของมันตั้งตามสีแดงของใบไม้พุ่มในพื้นที่ที่มันออกล่า ซึ่งมีสีเหมือนกับสีขนของมัน ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า “ชิบะ” ในภาษาญี่ปุ่นมี 2 ความหมายด้วยกันก็คือ “เล็ก” และ “ป่าไม้พุ่ม” ในขณะที่ “อินุ” หมายถึงหมา
แต่เดิม ชิบะอินุได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อล่านกหรือสัตว์ป่าขนาดเล็ก แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ พวกมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในฐานะของหมาในฝันสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อน นอกจากความสามารถด้านการล่าสัตว์และการสะกดรอยแล้ว ชิบะอินุยังสามารถทำตามคำสั่งต่างๆ ได้อีกมากมายเมื่อได้รับการฝึก



นิสัยของชิบะอินุ

     ชิบะอินุเทียบได้กับหมาตัวใหญ่ที่ติดอยู่ในร่างขนาดเล็กกะทัดรัด เนื่องจากมันเป็นหมาที่กล้าหาญและท้าทายทุกอย่าง และชอบการผจญภัยอีกด้วย มันปกป้องพื้นที่ของมันและเป็นหมาเฝ้าบ้านที่ดี แต่ถึงอย่างนั้น ชิบะอินุก็เป็นสายพันธุ์ที่น่ารักและอ่อนโยน ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนเด็กเล็กๆ พวกมันค่อนข้างสงวนท่าทีในช่วงแรก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า นอกจากนี้ เจ้าของไม่ควรทิ้งชิบะอินุไว้กับสัตว์เล็กๆ เนื่องจากมันอาจเข้าจู่โจมได้ 



การออกกำลังกาย

     ชิบะอินุต้องการการออกกำลังกายในระดับปานกลาง เช่น การเดินเล่นวันละ 20-30 นาทีดีต่อสุขภาพของมัน พวกมันเป็นสายพันธุ์ที่มีความตื่นตัวสูง แต่ก็ไม่ค่อยเรียกร้องอะไรนัก และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการออกกำลังกายได้ทุกแบบ

ที่อยู่อาศัยและการดูแลรักษา

     ด้วยขนาดตัวของมัน ชิบะอินุสามารถอยู่ในพื้นที่แคบๆได้ หากได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้นถ้ามีสวนเล็กๆ หรือสวนขนาดปานกลางให้มัน มันก็จะชอบมาก ควรให้ชิบะอินุอาศัยอยู่กับเจ้าของ เนื่องจากมันจะนับตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ขนของชิบะอินุเหมาะกับทุกสภาพอากาศทั้งร้อนและหนาว อีกทั้งยังหนาและแน่นมาก จึงทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง

ปัญหาด้านสุขภาพ

     แม้ว่าชิบะอินุจะเป็นสายพันธุ์ที่สุขภาพค่อนข้างดีและมีโรคทางพันธุกรรมน้อย แต่ก็มีโอกาสเป็นโรคสะโพกเลื่อนหรือเข่าหลุดได้เช่นกัน



4444
มารู้จักชิบะ อินุ (Shiba Inu) : หมาหน้าแป้นจากแดนอาทิตย์อุทัย




     ชิบะอินุเป็นหมาขนหนาขนาดกะทัดรัด บางคนก็บอกว่ามันคือหมาพันธุ์อากิตะแบบย่อส่วน มันมีใบหน้าเรียว ดวงตาเล็กๆ สีเข้ม จมูกสีเข้ม ฟันเรียงตัวเป็นแนวกรรไกร และหูทรงสามเหลี่ยมเล็กๆ ที่ตั้งตรงอีก 1 คู่ หางของชิบะอินุเหมือนกับหมาของญี่ปุ่นอีกพันธุ์หนึ่งซึ่งก็คือ สปิตช์ หางของมันฟูยาวและม้วนเป็นวงกลมกลับมาอยู่บนหลังของมัน หรือบางครั้งก็ทอดเป็นเส้นโค้งที่นุ่มสลวย ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของชิบะอินุคือแต้มสีขาวหรือสีครีมที่บริเวณแก้ม ลำคอ ท้อง หน้าอก และข้างจมูก แต่บางตัวก็มีรอยแต้มเหล่านี้ถึงแค่ส่วนขาและปลายหาง

     อายุขัยโดยเฉลี่ยของชิบะอินุจะอยู่ที่ระหว่าง 12-15 ปี มันเป็นหมาที่มีระดับพลังงานปานกลางเหมือนกับขนาดตัวของมัน มีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องของที่อยู่อาศัย และสามารถอยู่ในพื้นที่จำกัดได้โดยไม่มีปัญหา สีขนของชิบะอินุมีทั้งสีแดง แดงแซมดำ และสีดำกับรอยแต้มสีเข้ม



กว่าจะเป็นชิบะอินุ

     ชิบะอินุเป็นหมาพันธุ์เอเชียที่โดดเด่นมากพันธุ์หนึ่ง พวกมันถูกพาจากประเทศจีนมายังญี่ปุ่นเมื่อราว 2,000 ปีก่อน และเป็นหมา 1 ใน 6 สายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเชาเชากับหมาท้องถิ่นของคิวชู มีรายงานว่าชื่อของมันตั้งตามสีแดงของใบไม้พุ่มในพื้นที่ที่มันออกล่า ซึ่งมีสีเหมือนกับสีขนของมัน ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า “ชิบะ” ในภาษาญี่ปุ่นมี 2 ความหมายด้วยกันก็คือ “เล็ก” และ “ป่าไม้พุ่ม” ในขณะที่ “อินุ” หมายถึงหมา
แต่เดิม ชิบะอินุได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อล่านกหรือสัตว์ป่าขนาดเล็ก แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ พวกมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในฐานะของหมาในฝันสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อน นอกจากความสามารถด้านการล่าสัตว์และการสะกดรอยแล้ว ชิบะอินุยังสามารถทำตามคำสั่งต่างๆ ได้อีกมากมายเมื่อได้รับการฝึก



นิสัยของชิบะอินุ

     ชิบะอินุเทียบได้กับหมาตัวใหญ่ที่ติดอยู่ในร่างขนาดเล็กกะทัดรัด เนื่องจากมันเป็นหมาที่กล้าหาญและท้าทายทุกอย่าง และชอบการผจญภัยอีกด้วย มันปกป้องพื้นที่ของมันและเป็นหมาเฝ้าบ้านที่ดี แต่ถึงอย่างนั้น ชิบะอินุก็เป็นสายพันธุ์ที่น่ารักและอ่อนโยน ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนเด็กเล็กๆ พวกมันค่อนข้างสงวนท่าทีในช่วงแรก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า นอกจากนี้ เจ้าของไม่ควรทิ้งชิบะอินุไว้กับสัตว์เล็กๆ เนื่องจากมันอาจเข้าจู่โจมได้ 



การออกกำลังกาย

     ชิบะอินุต้องการการออกกำลังกายในระดับปานกลาง เช่น การเดินเล่นวันละ 20-30 นาทีดีต่อสุขภาพของมัน พวกมันเป็นสายพันธุ์ที่มีความตื่นตัวสูง แต่ก็ไม่ค่อยเรียกร้องอะไรนัก และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการออกกำลังกายได้ทุกแบบ

ที่อยู่อาศัยและการดูแลรักษา

     ด้วยขนาดตัวของมัน ชิบะอินุสามารถอยู่ในพื้นที่แคบๆได้ หากได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้นถ้ามีสวนเล็กๆ หรือสวนขนาดปานกลางให้มัน มันก็จะชอบมาก ควรให้ชิบะอินุอาศัยอยู่กับเจ้าของ เนื่องจากมันจะนับตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ขนของชิบะอินุเหมาะกับทุกสภาพอากาศทั้งร้อนและหนาว อีกทั้งยังหนาและแน่นมาก จึงทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง

ปัญหาด้านสุขภาพ

     แม้ว่าชิบะอินุจะเป็นสายพันธุ์ที่สุขภาพค่อนข้างดีและมีโรคทางพันธุกรรมน้อย แต่ก็มีโอกาสเป็นโรคสะโพกเลื่อนหรือเข่าหลุดได้เช่นกัน



4445
5 สัญญาณโรคเหงือกในหมา

     มีแบคทีเรียมากมายอาศัยอยู่บนร่างกายของคนเรา และบนร่ายกายของหมาเราด้วย เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ไปสะสมอยู่ที่เหงือกหมาในรูปแบบของคราบฟัน พวกมันก็สามารถทำให้เหงือกของหมามีปัญหาได้ ซึ่งปัญหาในช่องปากเหล่านี้ จะพบได้มากที่สุดในหมาที่โตเต็มที่แล้ว

     คนเลี้ยงหมาหลายคนเชื่อว่า คราบหินปูนสีน้ำตาลเคลือบอยู่บนฟันของหมา คือสาเหตุของการเกิดโรคเหงือก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นคราบแบคทีเรียต่างหากที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือก แต่คราบหินปูนก็ทำให้สามารถรู้ได้เช่นกันว่า แบคทีเรียจะไปซ่อนตัวเกาะกลุ่มกันที่ไหน



สัญญาณของโรคเหงือกในหมา

•   เหงือกอักเสบ อาการของเหงือกอักเสบ จะเริ่มแสดงอาการผ่านทางเหงือกที่บวมแดง
•   ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ก่อนจะเห็นว่าเหงือกของหมาบวมแดงจากโรคเหงือกอักเสบ เจ้าของหมาหลายคนมักจะรู้ก่อน และแทบจะในทันที ว่าลมหายใจของหมาของตัวเองมีกลิ่นเหม็น หลายคนคิดว่าการที่หมามีกลิ่นปากเป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของกลิ่นปากในหมา คือโรคภายในช่องปาก
•   เหงือกร่น การที่เหงือกร่นออกจากฟันคือสัญญาณหนึ่งของโรคเหงือก ในกรณีที่โรคเริ่มมีอาการที่รุนแรงขึ้น เนื้อเยื่อเหงือกจะถดถอย ทำให้สามารถมองเห็นรากฟันได้
•   เลือดออก หากเหงือกของหมาคุณมีเลือดออกขณะที่มันกินอาหาร ขณะที่คุณดูในปากของมัน หรือแปรงฟันให้มัน ก็เป็นสัญญาณที่บอกถึงโรคเหงือกอักเสบขั้นรุนแรงได้เช่นกัน
•   ฟันหลุด สัญญาขั้นสุดท้ายของโรคเหงือกอักเสบ



การตรวจรักษาโรคเหงือกในหมา

     หากตรวจพบว่าหมาคุณเป็นโรคเหงือกอักเสบ และได้รับการรักษาก่อนที่เป็นขั้นรุนแรง เหงือกของหมาก็สามารถกลับมามีสภาพเป็นปกติเหมือนเดิมได้ เพราะแบคทีเรียถูกกำจัดออกไปก่อนที่มันจะแพร่กระจายและทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

     แต่ถ้าหากโรคเหงือกอักเสบถูกปล่อยปละละเลยจนมีอาการในระดับที่รุนแรง นั่นก็หมายความว่า หมาของคุณอาจมีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ หมาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหมาที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 10 กิโลกรัม มักจะเป็นโรคเหงือกในระดับใดระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพทางพันธุกรรมของมันด้วย โดยโรคในช่องปากสามารถเริ่มมีอาการได้เมื่อหมาอายุ 18 เดือนเป็นต้นไป

     เมื่ออาการโรคเหงือกอักเสบรุนแรงขึ้น หมาของคุณก็จะเริ่มสูญเสียกระดูกและเนื้อเยื่อที่อยู่รอบฟัน และสัตวแพทย์ก็อาจจำเป็นต้องถอนฟันซี่นั้นออก เพราะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

     ปัญหาอื่นๆ ที่ตามมารวมถึงการแตกร้าวในกราม ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากกระดูกกรามเปราะ การติดเชื้อในกระดูก มีรู (หรือรูทะลุ) ในโพรงจมูกเกิดขึ้นจนทำให้เกิดปัญหากับระบบการหายใจ นอกจากนี้ โรคในช่องปากที่ร้ายแรงยังส่งผลถึงหัวใจ ตับ และไตได้ด้วย

     วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเหงือกให้กับหมาของคุณก็คือ การแปรงฟันให้มัน คุณควรจะแปรงฟันให้หมาวันละ 1 ครั้ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ 2 ครั้งต่อสัปดาห์  มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกให้หมาของคุณได้ แต่ก็ควรเลือกใช้ของที่มีคุณภาพได้มาตรฐานหรือได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ สิ่งสำคัญที่คุณควรจำไว้ให้ดีก็คือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยเสริมสุขภาพภายในช่องปากของหมาเท่านั้น มันไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันได้

     การได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน การทำความสะอาดฟันและขัดฟันโดยสัตวแพทย์จะมีการวางยาสลบด้วย  นอกเหนือไปจากการแปรงฟันเองที่บ้านแล้ว หมาขนาดเล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 10 กิโลกรัม) ควรได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์อย่างน้อยปีละ1 ครั้ง ในขณะที่หมาพันธุ์ใหญ่ควรเข้ารับการทำความสะอาดฟันทุกๆ 2-3 ปี



4446
5 สัญญาณโรคเหงือกในหมา

     มีแบคทีเรียมากมายอาศัยอยู่บนร่างกายของคนเรา และบนร่ายกายของหมาเราด้วย เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ไปสะสมอยู่ที่เหงือกหมาในรูปแบบของคราบฟัน พวกมันก็สามารถทำให้เหงือกของหมามีปัญหาได้ ซึ่งปัญหาในช่องปากเหล่านี้ จะพบได้มากที่สุดในหมาที่โตเต็มที่แล้ว

     คนเลี้ยงหมาหลายคนเชื่อว่า คราบหินปูนสีน้ำตาลเคลือบอยู่บนฟันของหมา คือสาเหตุของการเกิดโรคเหงือก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นคราบแบคทีเรียต่างหากที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือก แต่คราบหินปูนก็ทำให้สามารถรู้ได้เช่นกันว่า แบคทีเรียจะไปซ่อนตัวเกาะกลุ่มกันที่ไหน



สัญญาณของโรคเหงือกในหมา

•   เหงือกอักเสบ อาการของเหงือกอักเสบ จะเริ่มแสดงอาการผ่านทางเหงือกที่บวมแดง
•   ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ก่อนจะเห็นว่าเหงือกของหมาบวมแดงจากโรคเหงือกอักเสบ เจ้าของหมาหลายคนมักจะรู้ก่อน และแทบจะในทันที ว่าลมหายใจของหมาของตัวเองมีกลิ่นเหม็น หลายคนคิดว่าการที่หมามีกลิ่นปากเป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของกลิ่นปากในหมา คือโรคภายในช่องปาก
•   เหงือกร่น การที่เหงือกร่นออกจากฟันคือสัญญาณหนึ่งของโรคเหงือก ในกรณีที่โรคเริ่มมีอาการที่รุนแรงขึ้น เนื้อเยื่อเหงือกจะถดถอย ทำให้สามารถมองเห็นรากฟันได้
•   เลือดออก หากเหงือกของหมาคุณมีเลือดออกขณะที่มันกินอาหาร ขณะที่คุณดูในปากของมัน หรือแปรงฟันให้มัน ก็เป็นสัญญาณที่บอกถึงโรคเหงือกอักเสบขั้นรุนแรงได้เช่นกัน
•   ฟันหลุด สัญญาขั้นสุดท้ายของโรคเหงือกอักเสบ



การตรวจรักษาโรคเหงือกในหมา

     หากตรวจพบว่าหมาคุณเป็นโรคเหงือกอักเสบ และได้รับการรักษาก่อนที่เป็นขั้นรุนแรง เหงือกของหมาก็สามารถกลับมามีสภาพเป็นปกติเหมือนเดิมได้ เพราะแบคทีเรียถูกกำจัดออกไปก่อนที่มันจะแพร่กระจายและทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

     แต่ถ้าหากโรคเหงือกอักเสบถูกปล่อยปละละเลยจนมีอาการในระดับที่รุนแรง นั่นก็หมายความว่า หมาของคุณอาจมีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ หมาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหมาที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 10 กิโลกรัม มักจะเป็นโรคเหงือกในระดับใดระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพทางพันธุกรรมของมันด้วย โดยโรคในช่องปากสามารถเริ่มมีอาการได้เมื่อหมาอายุ 18 เดือนเป็นต้นไป

     เมื่ออาการโรคเหงือกอักเสบรุนแรงขึ้น หมาของคุณก็จะเริ่มสูญเสียกระดูกและเนื้อเยื่อที่อยู่รอบฟัน และสัตวแพทย์ก็อาจจำเป็นต้องถอนฟันซี่นั้นออก เพราะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

     ปัญหาอื่นๆ ที่ตามมารวมถึงการแตกร้าวในกราม ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากกระดูกกรามเปราะ การติดเชื้อในกระดูก มีรู (หรือรูทะลุ) ในโพรงจมูกเกิดขึ้นจนทำให้เกิดปัญหากับระบบการหายใจ นอกจากนี้ โรคในช่องปากที่ร้ายแรงยังส่งผลถึงหัวใจ ตับ และไตได้ด้วย

     วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเหงือกให้กับหมาของคุณก็คือ การแปรงฟันให้มัน คุณควรจะแปรงฟันให้หมาวันละ 1 ครั้ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ 2 ครั้งต่อสัปดาห์  มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกให้หมาของคุณได้ แต่ก็ควรเลือกใช้ของที่มีคุณภาพได้มาตรฐานหรือได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ สิ่งสำคัญที่คุณควรจำไว้ให้ดีก็คือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยเสริมสุขภาพภายในช่องปากของหมาเท่านั้น มันไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันได้

     การได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน การทำความสะอาดฟันและขัดฟันโดยสัตวแพทย์จะมีการวางยาสลบด้วย  นอกเหนือไปจากการแปรงฟันเองที่บ้านแล้ว หมาขนาดเล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 10 กิโลกรัม) ควรได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์อย่างน้อยปีละ1 ครั้ง ในขณะที่หมาพันธุ์ใหญ่ควรเข้ารับการทำความสะอาดฟันทุกๆ 2-3 ปี



4447
5 สัญญาณโรคเหงือกในหมา

     มีแบคทีเรียมากมายอาศัยอยู่บนร่างกายของคนเรา และบนร่ายกายของหมาเราด้วย เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ไปสะสมอยู่ที่เหงือกหมาในรูปแบบของคราบฟัน พวกมันก็สามารถทำให้เหงือกของหมามีปัญหาได้ ซึ่งปัญหาในช่องปากเหล่านี้ จะพบได้มากที่สุดในหมาที่โตเต็มที่แล้ว

     คนเลี้ยงหมาหลายคนเชื่อว่า คราบหินปูนสีน้ำตาลเคลือบอยู่บนฟันของหมา คือสาเหตุของการเกิดโรคเหงือก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นคราบแบคทีเรียต่างหากที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือก แต่คราบหินปูนก็ทำให้สามารถรู้ได้เช่นกันว่า แบคทีเรียจะไปซ่อนตัวเกาะกลุ่มกันที่ไหน



สัญญาณของโรคเหงือกในหมา

•   เหงือกอักเสบ อาการของเหงือกอักเสบ จะเริ่มแสดงอาการผ่านทางเหงือกที่บวมแดง
•   ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ก่อนจะเห็นว่าเหงือกของหมาบวมแดงจากโรคเหงือกอักเสบ เจ้าของหมาหลายคนมักจะรู้ก่อน และแทบจะในทันที ว่าลมหายใจของหมาของตัวเองมีกลิ่นเหม็น หลายคนคิดว่าการที่หมามีกลิ่นปากเป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของกลิ่นปากในหมา คือโรคภายในช่องปาก
•   เหงือกร่น การที่เหงือกร่นออกจากฟันคือสัญญาณหนึ่งของโรคเหงือก ในกรณีที่โรคเริ่มมีอาการที่รุนแรงขึ้น เนื้อเยื่อเหงือกจะถดถอย ทำให้สามารถมองเห็นรากฟันได้
•   เลือดออก หากเหงือกของหมาคุณมีเลือดออกขณะที่มันกินอาหาร ขณะที่คุณดูในปากของมัน หรือแปรงฟันให้มัน ก็เป็นสัญญาณที่บอกถึงโรคเหงือกอักเสบขั้นรุนแรงได้เช่นกัน
•   ฟันหลุด สัญญาขั้นสุดท้ายของโรคเหงือกอักเสบ



การตรวจรักษาโรคเหงือกในหมา

     หากตรวจพบว่าหมาคุณเป็นโรคเหงือกอักเสบ และได้รับการรักษาก่อนที่เป็นขั้นรุนแรง เหงือกของหมาก็สามารถกลับมามีสภาพเป็นปกติเหมือนเดิมได้ เพราะแบคทีเรียถูกกำจัดออกไปก่อนที่มันจะแพร่กระจายและทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

     แต่ถ้าหากโรคเหงือกอักเสบถูกปล่อยปละละเลยจนมีอาการในระดับที่รุนแรง นั่นก็หมายความว่า หมาของคุณอาจมีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ หมาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหมาที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 10 กิโลกรัม มักจะเป็นโรคเหงือกในระดับใดระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพทางพันธุกรรมของมันด้วย โดยโรคในช่องปากสามารถเริ่มมีอาการได้เมื่อหมาอายุ 18 เดือนเป็นต้นไป

     เมื่ออาการโรคเหงือกอักเสบรุนแรงขึ้น หมาของคุณก็จะเริ่มสูญเสียกระดูกและเนื้อเยื่อที่อยู่รอบฟัน และสัตวแพทย์ก็อาจจำเป็นต้องถอนฟันซี่นั้นออก เพราะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

     ปัญหาอื่นๆ ที่ตามมารวมถึงการแตกร้าวในกราม ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากกระดูกกรามเปราะ การติดเชื้อในกระดูก มีรู (หรือรูทะลุ) ในโพรงจมูกเกิดขึ้นจนทำให้เกิดปัญหากับระบบการหายใจ นอกจากนี้ โรคในช่องปากที่ร้ายแรงยังส่งผลถึงหัวใจ ตับ และไตได้ด้วย

     วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเหงือกให้กับหมาของคุณก็คือ การแปรงฟันให้มัน คุณควรจะแปรงฟันให้หมาวันละ 1 ครั้ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ 2 ครั้งต่อสัปดาห์  มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกให้หมาของคุณได้ แต่ก็ควรเลือกใช้ของที่มีคุณภาพได้มาตรฐานหรือได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ สิ่งสำคัญที่คุณควรจำไว้ให้ดีก็คือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยเสริมสุขภาพภายในช่องปากของหมาเท่านั้น มันไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันได้

     การได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน การทำความสะอาดฟันและขัดฟันโดยสัตวแพทย์จะมีการวางยาสลบด้วย  นอกเหนือไปจากการแปรงฟันเองที่บ้านแล้ว หมาขนาดเล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 10 กิโลกรัม) ควรได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์อย่างน้อยปีละ1 ครั้ง ในขณะที่หมาพันธุ์ใหญ่ควรเข้ารับการทำความสะอาดฟันทุกๆ 2-3 ปี



4448
5 สัญญาณโรคเหงือกในหมา

     มีแบคทีเรียมากมายอาศัยอยู่บนร่างกายของคนเรา และบนร่ายกายของหมาเราด้วย เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ไปสะสมอยู่ที่เหงือกหมาในรูปแบบของคราบฟัน พวกมันก็สามารถทำให้เหงือกของหมามีปัญหาได้ ซึ่งปัญหาในช่องปากเหล่านี้ จะพบได้มากที่สุดในหมาที่โตเต็มที่แล้ว

     คนเลี้ยงหมาหลายคนเชื่อว่า คราบหินปูนสีน้ำตาลเคลือบอยู่บนฟันของหมา คือสาเหตุของการเกิดโรคเหงือก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นคราบแบคทีเรียต่างหากที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือก แต่คราบหินปูนก็ทำให้สามารถรู้ได้เช่นกันว่า แบคทีเรียจะไปซ่อนตัวเกาะกลุ่มกันที่ไหน



สัญญาณของโรคเหงือกในหมา

•   เหงือกอักเสบ อาการของเหงือกอักเสบ จะเริ่มแสดงอาการผ่านทางเหงือกที่บวมแดง
•   ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ก่อนจะเห็นว่าเหงือกของหมาบวมแดงจากโรคเหงือกอักเสบ เจ้าของหมาหลายคนมักจะรู้ก่อน และแทบจะในทันที ว่าลมหายใจของหมาของตัวเองมีกลิ่นเหม็น หลายคนคิดว่าการที่หมามีกลิ่นปากเป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของกลิ่นปากในหมา คือโรคภายในช่องปาก
•   เหงือกร่น การที่เหงือกร่นออกจากฟันคือสัญญาณหนึ่งของโรคเหงือก ในกรณีที่โรคเริ่มมีอาการที่รุนแรงขึ้น เนื้อเยื่อเหงือกจะถดถอย ทำให้สามารถมองเห็นรากฟันได้
•   เลือดออก หากเหงือกของหมาคุณมีเลือดออกขณะที่มันกินอาหาร ขณะที่คุณดูในปากของมัน หรือแปรงฟันให้มัน ก็เป็นสัญญาณที่บอกถึงโรคเหงือกอักเสบขั้นรุนแรงได้เช่นกัน
•   ฟันหลุด สัญญาขั้นสุดท้ายของโรคเหงือกอักเสบ



การตรวจรักษาโรคเหงือกในหมา

     หากตรวจพบว่าหมาคุณเป็นโรคเหงือกอักเสบ และได้รับการรักษาก่อนที่เป็นขั้นรุนแรง เหงือกของหมาก็สามารถกลับมามีสภาพเป็นปกติเหมือนเดิมได้ เพราะแบคทีเรียถูกกำจัดออกไปก่อนที่มันจะแพร่กระจายและทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

     แต่ถ้าหากโรคเหงือกอักเสบถูกปล่อยปละละเลยจนมีอาการในระดับที่รุนแรง นั่นก็หมายความว่า หมาของคุณอาจมีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ หมาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหมาที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 10 กิโลกรัม มักจะเป็นโรคเหงือกในระดับใดระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพทางพันธุกรรมของมันด้วย โดยโรคในช่องปากสามารถเริ่มมีอาการได้เมื่อหมาอายุ 18 เดือนเป็นต้นไป

     เมื่ออาการโรคเหงือกอักเสบรุนแรงขึ้น หมาของคุณก็จะเริ่มสูญเสียกระดูกและเนื้อเยื่อที่อยู่รอบฟัน และสัตวแพทย์ก็อาจจำเป็นต้องถอนฟันซี่นั้นออก เพราะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

     ปัญหาอื่นๆ ที่ตามมารวมถึงการแตกร้าวในกราม ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากกระดูกกรามเปราะ การติดเชื้อในกระดูก มีรู (หรือรูทะลุ) ในโพรงจมูกเกิดขึ้นจนทำให้เกิดปัญหากับระบบการหายใจ นอกจากนี้ โรคในช่องปากที่ร้ายแรงยังส่งผลถึงหัวใจ ตับ และไตได้ด้วย

     วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเหงือกให้กับหมาของคุณก็คือ การแปรงฟันให้มัน คุณควรจะแปรงฟันให้หมาวันละ 1 ครั้ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ 2 ครั้งต่อสัปดาห์  มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกให้หมาของคุณได้ แต่ก็ควรเลือกใช้ของที่มีคุณภาพได้มาตรฐานหรือได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ สิ่งสำคัญที่คุณควรจำไว้ให้ดีก็คือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยเสริมสุขภาพภายในช่องปากของหมาเท่านั้น มันไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันได้

     การได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน การทำความสะอาดฟันและขัดฟันโดยสัตวแพทย์จะมีการวางยาสลบด้วย  นอกเหนือไปจากการแปรงฟันเองที่บ้านแล้ว หมาขนาดเล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 10 กิโลกรัม) ควรได้รับการทำความสะอาดฟันจากสัตวแพทย์อย่างน้อยปีละ1 ครั้ง ในขณะที่หมาพันธุ์ใหญ่ควรเข้ารับการทำความสะอาดฟันทุกๆ 2-3 ปี



4449
รู้จักไซบีเรียนฮัสกี้ : สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด



     ดวงตาที่ดึงดูดใจ เสียงหอนที่โหยหวน และความทนทานที่ดูราวกับจะไร้ขีดจำกัด ไซบีเรียนฮัสกี้ คือ หมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีความทรหดและอดทนต่อการทำงานหนักเป็นอย่างยิ่ง แต่หมาพันธุ์นี้ยังมีอะไรมากกว่าที่คุณมองเห็นได้จากภายนอกมากมายนัก จริงๆ แล้ว ไซบีเรียนฮัสกี้เองก็มีด้านที่อ่อนโยนเหมือนกัน มันเป็นหมาที่มีนิสัยอ่อนหวานและน่ารักขี้อ้อน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาเลย แต่หมาสายพันธุ์นี้ก็ยังมีอะไรที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีก

     ไซบีเรียนฮัสกี้เป็นหมาลากเลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาจากชาวชุกชี ชนพื้นเมืองแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย ที่อาศัยอยู่ทางเหนือของช่องแคบเบริง จุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศรัสเซียและรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หมาของชาวชุกชีถูกพาเข้ามาในอลาสก้าโดยนักค้าขนสัตว์ชาวรัสเซียที่ชื่อ วิลเลียม กูซาค เขาใช้พวกมันเป็นหมาลากเลื่อนในการแข่งขันลากเลื่อนหลายรายการ ชาวอลาสก้าที่สนใจหมาลากเลื่อนต่างก็เกิดความประทับใจต่อหมาของชาวชุกชีเป็นอย่างมากจนนำสายพันธุ์ไปพัฒนาต่อ และทำให้เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เราต่างก็รู้จักกันดีในทุกวันนี้ [url=http://www.marketdogs.com/b35/t486/]ไซบีเรียนฮัสกี้[/url]



    ไซบีเรียนฮัสกี้ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่องมาจากหมาของชาวชุกชี ได้ทำงานเป็นหมาลากเลื่อนอยู่ทางเหนืออันห่างไกล และไม่ได้เป็นที่รู้จักของโลกภายนอกจนกระทั่งฤดูหนาวปี 1925 เมื่อโรคคอตีบระบาดในเมืองโนม เมืองทุรกันดานห่างไกลเมืองหนึ่งของอลาสก้า แม้ว่าจะมีเซรุ่มเพียงพอ แต่ด้วยสภาพวะอากาศที่หนาวจัด ทำให้การเดินทางขนส่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก และการเข้าถึงเมืองนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย นี่คือจุดที่ไซบีเรียนฮัสกี้เข้ามามีบทบาท มีการจัดทีมลากเลื่อนเพื่อส่งต่อเซรุ่มเป็นทอดๆ จนสามารถนำยาช่วยชีวิตเหล่านี้ไปส่งให้กับชาวเมืองโนมได้ และไซบีเรียนฮัสกี้ก็กลายมาเป็นฮีโร่ของประเทศในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน



     เลออนฮาร์ด เซบปาลา คือหนึ่งในคนบังคับเลื่อนของทีมลากเลื่อนส่งเซรุ่มทีมนี้ และเป็นคนที่เดินทางในเส้นทางช่วงระยะที่ยาวที่สุด และมีสภาพการเดินทางที่เลวร้ายที่สุด เขาพาหมาของเขาออกเดินทางโชว์ตัวทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักหมาพันธุ์นี้ และรับคำท้ามากมายเพื่อแสดงศักยภาพของพวกมันในฐานะหมาลากเลื่อนนับครั้งไม่ถ้วน เซบปาลามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสายพันธุ์ของไซบีเรียนฮัสกี้ และเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามตั้งมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้น จนกระทั่งมีการตั้ง Siberian Husky Club of America (SHCA) ในปี 1938
สำหรับปัจจุบัน เจ้าหมาสายพันธุ์ที่ทรหดอดทนต่อการทำงานนี้ ในมุมหนึ่งแล้ว พวกมันก็สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงภายในบ้านที่ดีได้ ไซบีเรียนฮัสกี้อยู่ที่อันดับที่ 16 ของการจัดอันดับสายพันธุ์หมายอดนิยมปี 2011 และหากคุณอยากรู้ว่าหมาพันธุ์นี้เหมาะกับคุณหรือไม่ คุณก็ควรจะลองพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้

     เริ่มแรกเลยก็คือ หมาพวกนี้ต้องการการออกกำลังกาย สัญชาตญาณตามธรรมชาติของไซบีเรียนฮัสกี้ คือการวิ่ง และวิ่ง และวิ่ง การได้ออกกำลังกายทุกวันคือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับพวกมัน และเจ้าของก็ควรเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้ในบริเวณพื้นที่ที่มีรั้วรอบขอบชิด หรือมีสายจูงและอยู่ในการควบคุมตลอดเวลา

     และก็เหมือนกับหมาทำงานส่วนใหญ่ ไซบีเรียนฮัสกี้จะมีความสุขมากที่สุดก็เมื่อมีงานให้พวกมันทำ หมาพวกนี้จะมีความสุขมากเมื่อได้ลากเลื่อน แต่การฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งก็สามารถปรับพฤติกรรมของหมาพันธุ์นี้ได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

     หากคุณชอบหมาที่ฉลาดแต่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไซบีเรียนฮัสกี้จะสามารถตอบโจทย์ของคุณได้เป็นอย่างดี มันเป็นหมาที่ร่าเริงและอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ กระตือรือร้นและตื่นตัว ไซบีเรียนฮัสกี้ยังเป็นนักคิดอีกด้วย แต่พวกมันกลับฝึกสอนได้ไม่ง่ายนัก มีแต่ต้องทุ่มเทความอดทนและมุ่งมั่นในการฝึกเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น คุณจึงจะได้เป็นเจ้าของหมาที่ทั้งสง่างามและมีมารยาทดี



     นอกจากนี้ ไซบีเรียนฮัสกี้ยังไม่ใช่หมาที่ชอบอยู่เงียบๆ เท่าไรนัก มันขึ้นชื่อในเรื่องของเสียงหอนที่เหมือนกับเสียงหอนของหมาป่า แต่การบรรเลงดนตรีจากไซบีเรียนฮัสกี้ยังรวมไปถึงการเห่า และสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการร้องเพลงอีกด้วย

     พวกมันต้องการการดูแลรักษาพอสมควร ไซบีเรียนฮัสกี้สามารถรักษาความสะอาดของตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่ขนของพวกมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย หมาสายพันธุ์นี้มีขนหนาสองชั้น และต้องการการแปรงขนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีการผลัดขนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

     อีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรใส่ใจก็คือเรื่องสุขภาพ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะถือว่าไซบีเรียนฮัสกี้เป็นสายพันธุ์ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีมาก แต่ก็ยังมีประเด็นด้านสุขภาพที่น่าเป็นห่วงอยู่ 2 เรื่องคือ โรคสะโพกเคลื่อน และโรคตาที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมได้ สำหรับทั้ง 2 โรคนี้จะไม่น่าเป็นห่วงนักหากคุณซื้อไซบีเรียนฮัสกี้จากผู้เพาะพันธุ์ที่มีมารฐานและน่าเชื่อถือ เนื่องจากทั้งสองโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการเพาะพันธุ์อย่างระมัดระวัง

     ไซบีเบียนฮัสกี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นพันธุ์หมาที่ค่อนข้างพิเศษ พวกมันตอบสนองต่อเสียงเรียกจากสัญชาตญาณดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่น่ารักของคนเราอยู่เสมอ เป็นส่วนผสมที่ไม่เลวเลยทีเดียวใช่ไหม



4450
รู้จักไซบีเรียนฮัสกี้ : สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด



     ดวงตาที่ดึงดูดใจ เสียงหอนที่โหยหวน และความทนทานที่ดูราวกับจะไร้ขีดจำกัด ไซบีเรียนฮัสกี้ คือ หมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีความทรหดและอดทนต่อการทำงานหนักเป็นอย่างยิ่ง แต่หมาพันธุ์นี้ยังมีอะไรมากกว่าที่คุณมองเห็นได้จากภายนอกมากมายนัก จริงๆ แล้ว ไซบีเรียนฮัสกี้เองก็มีด้านที่อ่อนโยนเหมือนกัน มันเป็นหมาที่มีนิสัยอ่อนหวานและน่ารักขี้อ้อน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาเลย แต่หมาสายพันธุ์นี้ก็ยังมีอะไรที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีก

     ไซบีเรียนฮัสกี้เป็นหมาลากเลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาจากชาวชุกชี ชนพื้นเมืองแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย ที่อาศัยอยู่ทางเหนือของช่องแคบเบริง จุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศรัสเซียและรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หมาของชาวชุกชีถูกพาเข้ามาในอลาสก้าโดยนักค้าขนสัตว์ชาวรัสเซียที่ชื่อ วิลเลียม กูซาค เขาใช้พวกมันเป็นหมาลากเลื่อนในการแข่งขันลากเลื่อนหลายรายการ ชาวอลาสก้าที่สนใจหมาลากเลื่อนต่างก็เกิดความประทับใจต่อหมาของชาวชุกชีเป็นอย่างมากจนนำสายพันธุ์ไปพัฒนาต่อ และทำให้เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เราต่างก็รู้จักกันดีในทุกวันนี้ [url=http://www.marketdogs.com/b35/t486/]ไซบีเรียนฮัสกี้[/url]



    ไซบีเรียนฮัสกี้ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่องมาจากหมาของชาวชุกชี ได้ทำงานเป็นหมาลากเลื่อนอยู่ทางเหนืออันห่างไกล และไม่ได้เป็นที่รู้จักของโลกภายนอกจนกระทั่งฤดูหนาวปี 1925 เมื่อโรคคอตีบระบาดในเมืองโนม เมืองทุรกันดานห่างไกลเมืองหนึ่งของอลาสก้า แม้ว่าจะมีเซรุ่มเพียงพอ แต่ด้วยสภาพวะอากาศที่หนาวจัด ทำให้การเดินทางขนส่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก และการเข้าถึงเมืองนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย นี่คือจุดที่ไซบีเรียนฮัสกี้เข้ามามีบทบาท มีการจัดทีมลากเลื่อนเพื่อส่งต่อเซรุ่มเป็นทอดๆ จนสามารถนำยาช่วยชีวิตเหล่านี้ไปส่งให้กับชาวเมืองโนมได้ และไซบีเรียนฮัสกี้ก็กลายมาเป็นฮีโร่ของประเทศในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน



     เลออนฮาร์ด เซบปาลา คือหนึ่งในคนบังคับเลื่อนของทีมลากเลื่อนส่งเซรุ่มทีมนี้ และเป็นคนที่เดินทางในเส้นทางช่วงระยะที่ยาวที่สุด และมีสภาพการเดินทางที่เลวร้ายที่สุด เขาพาหมาของเขาออกเดินทางโชว์ตัวทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักหมาพันธุ์นี้ และรับคำท้ามากมายเพื่อแสดงศักยภาพของพวกมันในฐานะหมาลากเลื่อนนับครั้งไม่ถ้วน เซบปาลามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสายพันธุ์ของไซบีเรียนฮัสกี้ และเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามตั้งมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้น จนกระทั่งมีการตั้ง Siberian Husky Club of America (SHCA) ในปี 1938
สำหรับปัจจุบัน เจ้าหมาสายพันธุ์ที่ทรหดอดทนต่อการทำงานนี้ ในมุมหนึ่งแล้ว พวกมันก็สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงภายในบ้านที่ดีได้ ไซบีเรียนฮัสกี้อยู่ที่อันดับที่ 16 ของการจัดอันดับสายพันธุ์หมายอดนิยมปี 2011 และหากคุณอยากรู้ว่าหมาพันธุ์นี้เหมาะกับคุณหรือไม่ คุณก็ควรจะลองพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้

     เริ่มแรกเลยก็คือ หมาพวกนี้ต้องการการออกกำลังกาย สัญชาตญาณตามธรรมชาติของไซบีเรียนฮัสกี้ คือการวิ่ง และวิ่ง และวิ่ง การได้ออกกำลังกายทุกวันคือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับพวกมัน และเจ้าของก็ควรเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้ในบริเวณพื้นที่ที่มีรั้วรอบขอบชิด หรือมีสายจูงและอยู่ในการควบคุมตลอดเวลา

     และก็เหมือนกับหมาทำงานส่วนใหญ่ ไซบีเรียนฮัสกี้จะมีความสุขมากที่สุดก็เมื่อมีงานให้พวกมันทำ หมาพวกนี้จะมีความสุขมากเมื่อได้ลากเลื่อน แต่การฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งก็สามารถปรับพฤติกรรมของหมาพันธุ์นี้ได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

     หากคุณชอบหมาที่ฉลาดแต่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไซบีเรียนฮัสกี้จะสามารถตอบโจทย์ของคุณได้เป็นอย่างดี มันเป็นหมาที่ร่าเริงและอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ กระตือรือร้นและตื่นตัว ไซบีเรียนฮัสกี้ยังเป็นนักคิดอีกด้วย แต่พวกมันกลับฝึกสอนได้ไม่ง่ายนัก มีแต่ต้องทุ่มเทความอดทนและมุ่งมั่นในการฝึกเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น คุณจึงจะได้เป็นเจ้าของหมาที่ทั้งสง่างามและมีมารยาทดี



     นอกจากนี้ ไซบีเรียนฮัสกี้ยังไม่ใช่หมาที่ชอบอยู่เงียบๆ เท่าไรนัก มันขึ้นชื่อในเรื่องของเสียงหอนที่เหมือนกับเสียงหอนของหมาป่า แต่การบรรเลงดนตรีจากไซบีเรียนฮัสกี้ยังรวมไปถึงการเห่า และสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการร้องเพลงอีกด้วย

     พวกมันต้องการการดูแลรักษาพอสมควร ไซบีเรียนฮัสกี้สามารถรักษาความสะอาดของตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่ขนของพวกมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย หมาสายพันธุ์นี้มีขนหนาสองชั้น และต้องการการแปรงขนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีการผลัดขนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

     อีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรใส่ใจก็คือเรื่องสุขภาพ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะถือว่าไซบีเรียนฮัสกี้เป็นสายพันธุ์ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีมาก แต่ก็ยังมีประเด็นด้านสุขภาพที่น่าเป็นห่วงอยู่ 2 เรื่องคือ โรคสะโพกเคลื่อน และโรคตาที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมได้ สำหรับทั้ง 2 โรคนี้จะไม่น่าเป็นห่วงนักหากคุณซื้อไซบีเรียนฮัสกี้จากผู้เพาะพันธุ์ที่มีมารฐานและน่าเชื่อถือ เนื่องจากทั้งสองโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการเพาะพันธุ์อย่างระมัดระวัง

     ไซบีเบียนฮัสกี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นพันธุ์หมาที่ค่อนข้างพิเศษ พวกมันตอบสนองต่อเสียงเรียกจากสัญชาตญาณดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่น่ารักของคนเราอยู่เสมอ เป็นส่วนผสมที่ไม่เลวเลยทีเดียวใช่ไหม



4451
รู้จักไซบีเรียนฮัสกี้ : สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด



     ดวงตาที่ดึงดูดใจ เสียงหอนที่โหยหวน และความทนทานที่ดูราวกับจะไร้ขีดจำกัด ไซบีเรียนฮัสกี้ คือ หมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีความทรหดและอดทนต่อการทำงานหนักเป็นอย่างยิ่ง แต่หมาพันธุ์นี้ยังมีอะไรมากกว่าที่คุณมองเห็นได้จากภายนอกมากมายนัก จริงๆ แล้ว ไซบีเรียนฮัสกี้เองก็มีด้านที่อ่อนโยนเหมือนกัน มันเป็นหมาที่มีนิสัยอ่อนหวานและน่ารักขี้อ้อน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาเลย แต่หมาสายพันธุ์นี้ก็ยังมีอะไรที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีก

     ไซบีเรียนฮัสกี้เป็นหมาลากเลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาจากชาวชุกชี ชนพื้นเมืองแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย ที่อาศัยอยู่ทางเหนือของช่องแคบเบริง จุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศรัสเซียและรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หมาของชาวชุกชีถูกพาเข้ามาในอลาสก้าโดยนักค้าขนสัตว์ชาวรัสเซียที่ชื่อ วิลเลียม กูซาค เขาใช้พวกมันเป็นหมาลากเลื่อนในการแข่งขันลากเลื่อนหลายรายการ ชาวอลาสก้าที่สนใจหมาลากเลื่อนต่างก็เกิดความประทับใจต่อหมาของชาวชุกชีเป็นอย่างมากจนนำสายพันธุ์ไปพัฒนาต่อ และทำให้เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เราต่างก็รู้จักกันดีในทุกวันนี้ [url=http://www.marketdogs.com/b35/t486/]ไซบีเรียนฮัสกี้[/url]



    ไซบีเรียนฮัสกี้ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่องมาจากหมาของชาวชุกชี ได้ทำงานเป็นหมาลากเลื่อนอยู่ทางเหนืออันห่างไกล และไม่ได้เป็นที่รู้จักของโลกภายนอกจนกระทั่งฤดูหนาวปี 1925 เมื่อโรคคอตีบระบาดในเมืองโนม เมืองทุรกันดานห่างไกลเมืองหนึ่งของอลาสก้า แม้ว่าจะมีเซรุ่มเพียงพอ แต่ด้วยสภาพวะอากาศที่หนาวจัด ทำให้การเดินทางขนส่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก และการเข้าถึงเมืองนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย นี่คือจุดที่ไซบีเรียนฮัสกี้เข้ามามีบทบาท มีการจัดทีมลากเลื่อนเพื่อส่งต่อเซรุ่มเป็นทอดๆ จนสามารถนำยาช่วยชีวิตเหล่านี้ไปส่งให้กับชาวเมืองโนมได้ และไซบีเรียนฮัสกี้ก็กลายมาเป็นฮีโร่ของประเทศในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน



     เลออนฮาร์ด เซบปาลา คือหนึ่งในคนบังคับเลื่อนของทีมลากเลื่อนส่งเซรุ่มทีมนี้ และเป็นคนที่เดินทางในเส้นทางช่วงระยะที่ยาวที่สุด และมีสภาพการเดินทางที่เลวร้ายที่สุด เขาพาหมาของเขาออกเดินทางโชว์ตัวทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักหมาพันธุ์นี้ และรับคำท้ามากมายเพื่อแสดงศักยภาพของพวกมันในฐานะหมาลากเลื่อนนับครั้งไม่ถ้วน เซบปาลามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสายพันธุ์ของไซบีเรียนฮัสกี้ และเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามตั้งมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้น จนกระทั่งมีการตั้ง Siberian Husky Club of America (SHCA) ในปี 1938
สำหรับปัจจุบัน เจ้าหมาสายพันธุ์ที่ทรหดอดทนต่อการทำงานนี้ ในมุมหนึ่งแล้ว พวกมันก็สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงภายในบ้านที่ดีได้ ไซบีเรียนฮัสกี้อยู่ที่อันดับที่ 16 ของการจัดอันดับสายพันธุ์หมายอดนิยมปี 2011 และหากคุณอยากรู้ว่าหมาพันธุ์นี้เหมาะกับคุณหรือไม่ คุณก็ควรจะลองพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้

     เริ่มแรกเลยก็คือ หมาพวกนี้ต้องการการออกกำลังกาย สัญชาตญาณตามธรรมชาติของไซบีเรียนฮัสกี้ คือการวิ่ง และวิ่ง และวิ่ง การได้ออกกำลังกายทุกวันคือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับพวกมัน และเจ้าของก็ควรเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้ในบริเวณพื้นที่ที่มีรั้วรอบขอบชิด หรือมีสายจูงและอยู่ในการควบคุมตลอดเวลา

     และก็เหมือนกับหมาทำงานส่วนใหญ่ ไซบีเรียนฮัสกี้จะมีความสุขมากที่สุดก็เมื่อมีงานให้พวกมันทำ หมาพวกนี้จะมีความสุขมากเมื่อได้ลากเลื่อน แต่การฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งก็สามารถปรับพฤติกรรมของหมาพันธุ์นี้ได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

     หากคุณชอบหมาที่ฉลาดแต่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไซบีเรียนฮัสกี้จะสามารถตอบโจทย์ของคุณได้เป็นอย่างดี มันเป็นหมาที่ร่าเริงและอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ กระตือรือร้นและตื่นตัว ไซบีเรียนฮัสกี้ยังเป็นนักคิดอีกด้วย แต่พวกมันกลับฝึกสอนได้ไม่ง่ายนัก มีแต่ต้องทุ่มเทความอดทนและมุ่งมั่นในการฝึกเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น คุณจึงจะได้เป็นเจ้าของหมาที่ทั้งสง่างามและมีมารยาทดี



     นอกจากนี้ ไซบีเรียนฮัสกี้ยังไม่ใช่หมาที่ชอบอยู่เงียบๆ เท่าไรนัก มันขึ้นชื่อในเรื่องของเสียงหอนที่เหมือนกับเสียงหอนของหมาป่า แต่การบรรเลงดนตรีจากไซบีเรียนฮัสกี้ยังรวมไปถึงการเห่า และสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการร้องเพลงอีกด้วย

     พวกมันต้องการการดูแลรักษาพอสมควร ไซบีเรียนฮัสกี้สามารถรักษาความสะอาดของตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่ขนของพวกมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย หมาสายพันธุ์นี้มีขนหนาสองชั้น และต้องการการแปรงขนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีการผลัดขนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

     อีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรใส่ใจก็คือเรื่องสุขภาพ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะถือว่าไซบีเรียนฮัสกี้เป็นสายพันธุ์ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีมาก แต่ก็ยังมีประเด็นด้านสุขภาพที่น่าเป็นห่วงอยู่ 2 เรื่องคือ โรคสะโพกเคลื่อน และโรคตาที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมได้ สำหรับทั้ง 2 โรคนี้จะไม่น่าเป็นห่วงนักหากคุณซื้อไซบีเรียนฮัสกี้จากผู้เพาะพันธุ์ที่มีมารฐานและน่าเชื่อถือ เนื่องจากทั้งสองโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการเพาะพันธุ์อย่างระมัดระวัง

     ไซบีเบียนฮัสกี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นพันธุ์หมาที่ค่อนข้างพิเศษ พวกมันตอบสนองต่อเสียงเรียกจากสัญชาตญาณดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่น่ารักของคนเราอยู่เสมอ เป็นส่วนผสมที่ไม่เลวเลยทีเดียวใช่ไหม



4452
รู้จักไซบีเรียนฮัสกี้ : สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด



     ดวงตาที่ดึงดูดใจ เสียงหอนที่โหยหวน และความทนทานที่ดูราวกับจะไร้ขีดจำกัด ไซบีเรียนฮัสกี้ คือ หมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีความทรหดและอดทนต่อการทำงานหนักเป็นอย่างยิ่ง แต่หมาพันธุ์นี้ยังมีอะไรมากกว่าที่คุณมองเห็นได้จากภายนอกมากมายนัก จริงๆ แล้ว ไซบีเรียนฮัสกี้เองก็มีด้านที่อ่อนโยนเหมือนกัน มันเป็นหมาที่มีนิสัยอ่อนหวานและน่ารักขี้อ้อน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาเลย แต่หมาสายพันธุ์นี้ก็ยังมีอะไรที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีก

     ไซบีเรียนฮัสกี้เป็นหมาลากเลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาจากชาวชุกชี ชนพื้นเมืองแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย ที่อาศัยอยู่ทางเหนือของช่องแคบเบริง จุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศรัสเซียและรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หมาของชาวชุกชีถูกพาเข้ามาในอลาสก้าโดยนักค้าขนสัตว์ชาวรัสเซียที่ชื่อ วิลเลียม กูซาค เขาใช้พวกมันเป็นหมาลากเลื่อนในการแข่งขันลากเลื่อนหลายรายการ ชาวอลาสก้าที่สนใจหมาลากเลื่อนต่างก็เกิดความประทับใจต่อหมาของชาวชุกชีเป็นอย่างมากจนนำสายพันธุ์ไปพัฒนาต่อ และทำให้เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เราต่างก็รู้จักกันดีในทุกวันนี้ [url=http://www.marketdogs.com/b35/t486/]ไซบีเรียนฮัสกี้[/url]



    ไซบีเรียนฮัสกี้ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่องมาจากหมาของชาวชุกชี ได้ทำงานเป็นหมาลากเลื่อนอยู่ทางเหนืออันห่างไกล และไม่ได้เป็นที่รู้จักของโลกภายนอกจนกระทั่งฤดูหนาวปี 1925 เมื่อโรคคอตีบระบาดในเมืองโนม เมืองทุรกันดานห่างไกลเมืองหนึ่งของอลาสก้า แม้ว่าจะมีเซรุ่มเพียงพอ แต่ด้วยสภาพวะอากาศที่หนาวจัด ทำให้การเดินทางขนส่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก และการเข้าถึงเมืองนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย นี่คือจุดที่ไซบีเรียนฮัสกี้เข้ามามีบทบาท มีการจัดทีมลากเลื่อนเพื่อส่งต่อเซรุ่มเป็นทอดๆ จนสามารถนำยาช่วยชีวิตเหล่านี้ไปส่งให้กับชาวเมืองโนมได้ และไซบีเรียนฮัสกี้ก็กลายมาเป็นฮีโร่ของประเทศในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน



     เลออนฮาร์ด เซบปาลา คือหนึ่งในคนบังคับเลื่อนของทีมลากเลื่อนส่งเซรุ่มทีมนี้ และเป็นคนที่เดินทางในเส้นทางช่วงระยะที่ยาวที่สุด และมีสภาพการเดินทางที่เลวร้ายที่สุด เขาพาหมาของเขาออกเดินทางโชว์ตัวทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักหมาพันธุ์นี้ และรับคำท้ามากมายเพื่อแสดงศักยภาพของพวกมันในฐานะหมาลากเลื่อนนับครั้งไม่ถ้วน เซบปาลามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสายพันธุ์ของไซบีเรียนฮัสกี้ และเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามตั้งมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้น จนกระทั่งมีการตั้ง Siberian Husky Club of America (SHCA) ในปี 1938
สำหรับปัจจุบัน เจ้าหมาสายพันธุ์ที่ทรหดอดทนต่อการทำงานนี้ ในมุมหนึ่งแล้ว พวกมันก็สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงภายในบ้านที่ดีได้ ไซบีเรียนฮัสกี้อยู่ที่อันดับที่ 16 ของการจัดอันดับสายพันธุ์หมายอดนิยมปี 2011 และหากคุณอยากรู้ว่าหมาพันธุ์นี้เหมาะกับคุณหรือไม่ คุณก็ควรจะลองพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้

     เริ่มแรกเลยก็คือ หมาพวกนี้ต้องการการออกกำลังกาย สัญชาตญาณตามธรรมชาติของไซบีเรียนฮัสกี้ คือการวิ่ง และวิ่ง และวิ่ง การได้ออกกำลังกายทุกวันคือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับพวกมัน และเจ้าของก็ควรเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้ในบริเวณพื้นที่ที่มีรั้วรอบขอบชิด หรือมีสายจูงและอยู่ในการควบคุมตลอดเวลา

     และก็เหมือนกับหมาทำงานส่วนใหญ่ ไซบีเรียนฮัสกี้จะมีความสุขมากที่สุดก็เมื่อมีงานให้พวกมันทำ หมาพวกนี้จะมีความสุขมากเมื่อได้ลากเลื่อน แต่การฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งก็สามารถปรับพฤติกรรมของหมาพันธุ์นี้ได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

     หากคุณชอบหมาที่ฉลาดแต่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไซบีเรียนฮัสกี้จะสามารถตอบโจทย์ของคุณได้เป็นอย่างดี มันเป็นหมาที่ร่าเริงและอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ กระตือรือร้นและตื่นตัว ไซบีเรียนฮัสกี้ยังเป็นนักคิดอีกด้วย แต่พวกมันกลับฝึกสอนได้ไม่ง่ายนัก มีแต่ต้องทุ่มเทความอดทนและมุ่งมั่นในการฝึกเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น คุณจึงจะได้เป็นเจ้าของหมาที่ทั้งสง่างามและมีมารยาทดี



     นอกจากนี้ ไซบีเรียนฮัสกี้ยังไม่ใช่หมาที่ชอบอยู่เงียบๆ เท่าไรนัก มันขึ้นชื่อในเรื่องของเสียงหอนที่เหมือนกับเสียงหอนของหมาป่า แต่การบรรเลงดนตรีจากไซบีเรียนฮัสกี้ยังรวมไปถึงการเห่า และสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการร้องเพลงอีกด้วย

     พวกมันต้องการการดูแลรักษาพอสมควร ไซบีเรียนฮัสกี้สามารถรักษาความสะอาดของตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่ขนของพวกมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย หมาสายพันธุ์นี้มีขนหนาสองชั้น และต้องการการแปรงขนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีการผลัดขนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

     อีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรใส่ใจก็คือเรื่องสุขภาพ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะถือว่าไซบีเรียนฮัสกี้เป็นสายพันธุ์ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีมาก แต่ก็ยังมีประเด็นด้านสุขภาพที่น่าเป็นห่วงอยู่ 2 เรื่องคือ โรคสะโพกเคลื่อน และโรคตาที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมได้ สำหรับทั้ง 2 โรคนี้จะไม่น่าเป็นห่วงนักหากคุณซื้อไซบีเรียนฮัสกี้จากผู้เพาะพันธุ์ที่มีมารฐานและน่าเชื่อถือ เนื่องจากทั้งสองโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการเพาะพันธุ์อย่างระมัดระวัง

     ไซบีเบียนฮัสกี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นพันธุ์หมาที่ค่อนข้างพิเศษ พวกมันตอบสนองต่อเสียงเรียกจากสัญชาตญาณดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่น่ารักของคนเราอยู่เสมอ เป็นส่วนผสมที่ไม่เลวเลยทีเดียวใช่ไหม



4453
10 พันธุ์หมาสำหรับเจ้าของที่แอบขี้เกียจ

     คนจำนวนไม่น้อยหมดเงินและเวลามากมายไปกับการเลือกลูกหมาน่ารักๆ มาเลี้ยง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนก็เริ่มไม่สนใจมัน และละเลยการดูแลเมื่อความเห่อในช่วงแรกหมดลง และเมื่อพวกเขาตระหนักว่า การดูแลหมาตัวหนึ่งนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำงานที่ต้องใช้ความรับผิดชอบมาก เพราะหมาต้องการความสนใจ ความรัก การเอาใจใส่ การดูแลรักษาความสะอาด และการออกกำลังกายอยู่เสมอ

     สำหรับคนที่อยากมีหมา แต่ไม่อยากพาหมาออกไปเดินเล่นทุกวัน ไม่อยากใช้เวลา และเงิน หมดไปกับการฝึกให้พวกมันรับคำสั่ง หรือไม่อยากพามันไปตัดขนบ่อยๆ เราขอแนะนำให้คุณเลือกหมาพันธุ์ที่ต้องการการดูแลน้อยจะดีกว่า เราไม่ได้อยากให้คุณทอดทิ้งหรือไม่สนใจหมาของคุณนะ แต่การเลี้ยงหมาที่ต้องการการดูแลมากๆ ทั้งๆ ที่คุณไม่ชอบทำอะไรวุ่นวายก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย มาดูกันดีกว่าว่า มีหมาพันธุ์อะไรบ้างที่น่ารักมาก แต่ต้องการความขยันของเจ้าของน้อย



1. โบโลเนส (Bolognese)

     โบโลเนส (Bolognese) เริ่มได้รับความนิยมในฐานะของหมาสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อนในหมู่ชนชั้นสูงของสเปน และประเทศอื่นๆ ในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เจ้าหมาตัวนี้ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพทางพันธุกรรมมากนัก และทั้งหมดที่โบโลเนส (Bolognese) ต้องการก็คือ 
 
พื้นที่: น้อยมาก โบโลเนส (Bolognese) เหมาะกับการอยู่ในพื้นที่จำกัด ร่างกายของหมาพันธุ์เล็กตัวนี้แข็งแรง มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 8-14 ปอนด์เท่ากับน้ำหนักของทารกแรกเกิด

การออกกำลังกาย: น้อย มันเป็นหมาขี้เล่น แต่ไม่ได้บ้าพลัง การเดินเล่นแค่ครั้งคราวก็พอ

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย หมาพันธุ์นี้ฉลาดและฝึกง่าย มันอาจระแวงคนแปลกหน้าอยู่บ้าง แต่ก็สามารถเข้ากับเด็กและสัตว์อื่นๆ ได้ดี

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง มันเป็นหมาขนยาวสีขาว ขนเป็นสังกะตังง่าย แต่ผลัดขนไม่มาก ถือได้ว่าเป็นหมาพันธุ์หนึ่งที่ไม่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้



2. เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin)

     เชื่อกันว่า เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin)  มีที่มาจากประเทศจีน และถูกนำมายังประเทศญี่ปุ่นในฐานะของขวัญจากจักรพรรดิจีน จนเป็นที่นิยมในหมูชนชั้นสูงของญี่ปุ่น ก่อนที่จะมีการนำเข้าไปในยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 สิ่งที่ เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย มันเป็นหมาพันธุ์เล็กสูงไม่ถึง 1 ฟุต และหนักแค่ 8-11 ปอนด์

การออกกำลังกาย: ต่ำ เจ้าหมาตัวเล็กนี้เหมาะกับการนั่งอยู่บนตัก จมูกสั้นๆ ของมันทำให้การออกกำลังกายอาจสร้างปัญหาเรื่องการหายใจและความร้อนได้ การเดินเล่นระยะสั้นๆ เป็นบางครั้งก็เพียงพอสำหรับมันแล้ว

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย มันเป็นหมาที่ฉลาด เงียบ และมีมารยาท เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) เข้าได้กับเกือบทุกคนที่มันได้เจอ รวมถึงคนแปลกหน้า เด็ก และสัตว์อื่นๆ แต่พวกมันก็ตื่นตัวและอ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวด้วย

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง ขนของเจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) ต้องการการแปรงขนเป็นประจำเพื่อให้ดูดีและไม่เป็นสังกะตัง มันผลัดขนปีละครั้งในปริมาณน้อย เป็นหมาที่สะอาดมากและไม่มีกลิ่นตัว



3. เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound)

     รู้หรือไม่ แม้ว่า เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound) จะสามารถวิ่งระยะสั้นได้เร็วมาก แต่มันก็ไม่ใช่หมาที่มีพลังงานเหลือล้นอะไร มันวิ่งได้เร็วแต่กลับชอบนอนนิ่งๆ ทั้งวัน เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound) มักถูกใช้เป็นหมาล่าสัตว์และหมาต้อนฝูงสัตว์ในช่วงสมัยอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองอย่างกรีกและอียิปต์ สิ่งที่เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย อาจจะดูไม่น่าเชื่อเพราะมันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ เมื่อโตเต็มที่แล้วหนักได้ถึง 60-70 ปอนด์ และสูง 2.5 ฟุต แต่พวกมันก็มีความสุขดีเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่แคบ เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ส่วนใหญ่จะเงียบและนุ่มนวล และจริงๆ แล้วมันเป็นหมาที่เหมาะกับการเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์มากกว่าหมาพันธุ์หลายพันธุ์ด้วยซ้ำ

การออกกำลังกาย: ต่ำถึงปานกลาง เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) เป็นหมานักวิ่งระยะสั้น และพวกมันก็รักการวิ่ง แต่ไม่ได้ต้องการการออกกำลังกายมากขนาดนั้น การเดินเล่น 20-30 นาทีหลายวันครั้งก็เพียงพอที่ให้เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) แข็งแรงอยู่เสมอ

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: ค่อนข้างน้อย หมาพันธุ์นี้ค่อนข้างเชื่อฟังและเข้ากับคนแปลกหน้า เด็กโต และหมาตัวอื่นๆ ได้ดี แต่ควรสังเกตใกล้ชิดเมื่อมันอยู่กับสัตว์ที่เล็กกว่า หรือเด็กๆ ที่ยังเล็กมาก

การดูแลรักษาขน: น้อย ขนของเกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ขนสั้นและเรียบลื่น ไม่มีขนชั้นใน เหมาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้



4. บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff)

     บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) เป็นหมาที่ตัวใหญ่มาก แต่เมื่อเทียบกับหมาพันธุ์ใหญ่อื่นๆ มันต้องการการดูแลที่น้อยมาก เจ้าหมาเฝ้าบ้านที่ทรงพลังตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อไม่ให้โจมตีคนแปลกหน้า พวกมันจะแค่เฝ้าเอาไว้ หรือล้มคนแปลกหน้าลงแล้วตรึงให้อยู่กับที่เท่านั้น สิ่งที่บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) ต้องการก็คือ

พื้นที่: ค่อนข้างน้อย ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ของมัน จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่โล่งเพียงพอให้มันสามารถเดินไปมาได้อย่างสบาย แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัดได้โดยไม่มีปัญหา
 
การออกกำลังกาย: ต่ำถึงปานกลาง บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) เป็นหมาที่สงบและใช้พลังงานน้อยจนเข้าขั้นขี้เกียจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นหมาตัวใหญ่ และอ้วนได้ง่าย การพาออกไปเดินเล่นไกลๆ บ้างจะดีต่อสุขภาพของมัน

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย ควรจะฝึกมันบ้าง เพื่อที่เวลาพามันไปเดินเล่นเจ้าของจะได้ไม่โดนลากไปมา หมาพันธุ์นี้ภักดีต่อครอบครัวของมันมาก มีอารมณ์ที่มั่นคง สงบ และอดทนต่อเด็กๆ

การดูแลรักษาขน: น้อย บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) มีขนสั้นลื่น และผลัดขนน้อยมาก


5. ปั๊ก (Pug)

     ต้นกำเนิดของปั๊ก (Pug) มาจากประเทศจีน มักถูกใช้เป็นของขวัญในหมู่ชนชั้นสูงของจีน ทิเบต และญี่ปุ่น สิ่งที่ปั๊กต้องการคือ
พื้นที่: น้อย มันหนักราว 18 ปอนด์ (ถ้าไม่อ้วน) และสูงแค่ 1 ฟุต

การออกกำลังกาย: ต่ำมาก คุณแทบไม่จำเป็นต้องพาหมาพันธุ์นี้ไปออกกำลังกายเลย เพราะหน้าย่นๆ ของมันทำให้มีปัญหาเรื่องการหายใจได้ง่าย หมายความว่าเมื่อมันออกแรงมากเกินไป มันก็จะควบคุมการหายใจและอุณหภูมิในร่างกายได้ยากขึ้น
 
การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แม้ว่ามันจะมีหน้าตาที่ดูอารมณ์เสียอยู่เสมอ แต่ปั๊ก (Pug) ก็เป็นหมาที่น่ารักและชอบอยู่กับเด็กๆ มันดื้อพอตัวเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นคุณก็ควรจะฝึกมันบ้างถ้าไม่อยากให้มันมาอยู่บนโซฟาของคุณ

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง ปั๊ก (Pug) มีข้อเสียก็คือ แม้ว่าขนของมันจะสั้น แต่ก็มีแนวโน้มผลัดขนจำนวนมาก และรอยย่นบนตัวของมันต้องได้รับการทำความสะอาดบ้าง เพื่อป้องกันผื่นคันหรือการติดเชื้อ



6. เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier)

    เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) เป็นหมาใช้งานที่มาจากประเทศไอร์แลนด์ เพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อล่าสัตว์พาหะนำโรค สัตว์ที่สร้างความรำคาญ และหมาจิ้งจอก สิ่งที่เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) ต้องการคือ
   
พื้นที่: ค่อนข้างน้อย หนักได้ถึง 35 ปอนด์ และสูง 14 ฟุต เหมาะสำหรับเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์ หรือบ้านที่มีสวนขนาดเล็ก

การออกกำลังกาย: ค่อนข้างต่ำ ขาของหมาพันธุ์นี้ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับขนาดตัว พวกมันจึงไม่เหมาะกับกิจกรรมที่ต้องวิ่งหรือกระโดด การเดินเล่นเป็นช่วงสั้นๆ หรือปล่อยให้มันเล่นในสวนก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว แต่ต้องระวังความชื่นชอบในการขุดสวนของมันด้วย

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อยถึงปลานกลาง มันเป็นหมาที่ฉลาดและฝึกได้ง่ายมาก สามารถเข้าได้ดีกับคนและเด็กๆ แต่อาจจะชอบโวยวายและหวงอาณาเขตเมื่อเจอหมาตัวอื่น และมีแนวโน้มที่จะมองสัตว์เลี้ยงตัวอื่นในบ้านเป็นเหยื่อของมัน

การดูแลรักษาขน: น้อยถึงปานกลาง ขนชั้นนอกของเกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) สามารถยาวได้ถึง 3-4 นิ้วหากไม่ได้รับการดูแล และจะพันเป็นสังกะตัง แต่ผลัดขนไม่มากนัก



7. บูลด็อก (Bulldog)

     บูลด็อก (Bulldog) ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อช่วยคนขายเนื้อจับวัว ต่อมาถูกนำมาต่อสู้กันเอง เมื่อการสู้สุนัขกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เหล่าผู้เพาะพันธุ์ก็ปรับให้บูลด็อก (Bulldog) มีนิสัยที่นุ่มนวลและอ่อนโยนขึ้น บูลด็อก (Bulldog) ต้องการ

พื้นที่: น้อย มันเป็นหมาตัวเล็กที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หนักประมาณ 40-50 ปอนด์

การออกกำลังกาย: มันไม่ใช่หมาที่กระตือรือร้น แต่เนื่องจากมันอ้วนได้ง่าย การออกกำลังกายบ้างจึงเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเป็นการออกกำลังแบบเบาๆ เท่านั้น เนื่องจากจมูกของมันสั้น การออกกำลายอย่างหนักจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการหายใจได้

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย มันเป็นหมาที่น่ารักและซื่อสัตย์มาก บูลด็อก (Bulldog) เข้ากันได้กับคน เด็กๆ และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

การดูแลรักษาขน: น้อย ขนของมันสั้น แต่รอยย่นบนตัวและบนใบหน้าของมันต้องการการทำความสะอาดอยู่เสมอ


8. ปั๊กเกิ้ล (Puggle)

     ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาพันธุ์ผสมระหว่างปั๊ก (Pug) กับบีเกิ้ล (Beagle) เป็นหมาที่ต้องการการดูแลรักษาต่ำ จึงเหมาะแก่การเลี้ยงในบ้านอย่างยิ่ง สิ่งที่ปั๊กเกิ้ล (Puggle) ต้องการก็คือ

พื้นที่: น้อย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาขนาดเล็ก เหมาะกับการเลี้ยงในบ้านหรือในอพาร์ทเมนต์

การออกกำลังกาย: ค่อนข้างน้อย หมาพันธุ์นี้ต้องการการเผาผลาญพลังงานน้อย การได้เดินเล่นหรือวิ่งเล่นในสวนเป็นครั้งคราวจะดีต่อสุขภาพของมัน แต่พวกมันก็เหนื่อยง่าย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) มีโพรงจมูกที่ค่อนข้างสั้น ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างหนักจึงเป็นเรื่องต้องห้ามของหมาพันธุ์นี้ เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการหายใจและการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาที่ชอบใช้ชีวิตสบายๆ พวกมันแข็งแรงและขี้เล่น แถมยังน่ารักอีกด้วย มันเข้ากันได้กับทุกคนรวมถึงเด็ก และหมา หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ภายในบ้าน พวกมันยังซื่อสัตย์และชอบเอาใจเจ้าของอีกด้วย

การดูแลรักษาขน: น้อยถึงปานกลาง ปกติแล้วปั๊กเกิ้ล (Puggle) จะต้องการการดูแลน้อย แต่ก็ผลัดขนอยู่พอสมควร รอยย่นบนตัวต้องการการทำความสะอาดบ้าง โดยความถี่ในการทำความสะอาดขึ้นอยู่กับว่าพวกมันมีความเป็นปั๊ก (Pug) มากน้อยแค่ไหน



9. แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier)

    แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อช่วยกำจัดหนูและสัตว์พาหะอื่นๆ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ แต่ก็พบได้มากในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย น้ำหนักสูงสุดของหมาพันธุ์นี้คือ 25 ปอนด์ และสูง 1 ฟุตหรือเตี้ยกว่านั้น

การออกกำลังกาย: น้อย พวกมันชอบนอนเอื่อยอยู่บนโซฟาหรือตักของเจ้าของ พอๆ กับออกไปวิ่งเล่นในสนามหลังบ้าน การออกกำลังกายเป็นครั้งคราว เช่น การเดินเล่นหรือเล่นในสวน จะช่วยให้มันมีร่างกายที่แข็งแรง 

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) เป็นหมาที่เป็นมิตรและเข้าได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้า เด็ก หมาตัวอื่น หรือแมว ปกติจะมีนิสัยร่าเริง แต่บางครั้งก็เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพรอบตัว เช่น อารมณ์ของเจ้าของ เป็นหมาฉลาดที่ฝึกได้ง่าย

การดูแลรักษาขน: น้อย หมาพันธุ์นี้มีที่ขนนุ่มลื่น และไม่ผลัดขน



10. ชิวาวา (Chihuahua)

     ชิวาว่าเป็นหมาที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองชิวาว่าในประเทศเม็กซิโก มีที่มาของสายพันธุ์ไม่ชัดเจนนัก แต่เชื่อว่ามาจากหมาของนักสำรวจชาวจีนหรือสเปนในสมัยก่อน สิ่งที่ชิวาว่าต้องการก็คือ

พื้นที่: น้อย เป็นหมาเลี้ยงในบ้านอย่างแท้จริง น้ำหนักอยู่ระหว่าง 2-6 ปอนด์ สูงราว 9 นิ้ว สามารถเอาใส่กระเป๋าได้

การออกกำลังกาย: น้อย การเดินเล่นเป็นสิ่งที่ดี อย่าปล่อยให้พวกมันอ้วนจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมายตามมา

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แต่ถ้าคุณอยู่ร่วมบ้านกับสัตว์อื่นหรือเด็ก คุณอาจจะต้องการหมาพันธุ์อื่นที่ไม่เครียดจนหน้ามืดคามือ ชิวาว่าจงรักภักดีต่อเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ก็เป็นหมาที่เครียดหรืออารมณ์เสียได้ง่ายมาก

การดูแลรักษาขน: น้อย ทั้งพันธุ์ขนสั้นและขนยาวต่างก็ต้องการการดูน้อยขนที่น้อยมาก

4454
10 พันธุ์หมาสำหรับเจ้าของที่แอบขี้เกียจ

     คนจำนวนไม่น้อยหมดเงินและเวลามากมายไปกับการเลือกลูกหมาน่ารักๆ มาเลี้ยง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนก็เริ่มไม่สนใจมัน และละเลยการดูแลเมื่อความเห่อในช่วงแรกหมดลง และเมื่อพวกเขาตระหนักว่า การดูแลหมาตัวหนึ่งนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำงานที่ต้องใช้ความรับผิดชอบมาก เพราะหมาต้องการความสนใจ ความรัก การเอาใจใส่ การดูแลรักษาความสะอาด และการออกกำลังกายอยู่เสมอ

     สำหรับคนที่อยากมีหมา แต่ไม่อยากพาหมาออกไปเดินเล่นทุกวัน ไม่อยากใช้เวลา และเงิน หมดไปกับการฝึกให้พวกมันรับคำสั่ง หรือไม่อยากพามันไปตัดขนบ่อยๆ เราขอแนะนำให้คุณเลือกหมาพันธุ์ที่ต้องการการดูแลน้อยจะดีกว่า เราไม่ได้อยากให้คุณทอดทิ้งหรือไม่สนใจหมาของคุณนะ แต่การเลี้ยงหมาที่ต้องการการดูแลมากๆ ทั้งๆ ที่คุณไม่ชอบทำอะไรวุ่นวายก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย มาดูกันดีกว่าว่า มีหมาพันธุ์อะไรบ้างที่น่ารักมาก แต่ต้องการความขยันของเจ้าของน้อย



1. โบโลเนส (Bolognese)

     โบโลเนส (Bolognese) เริ่มได้รับความนิยมในฐานะของหมาสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อนในหมู่ชนชั้นสูงของสเปน และประเทศอื่นๆ ในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เจ้าหมาตัวนี้ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพทางพันธุกรรมมากนัก และทั้งหมดที่โบโลเนส (Bolognese) ต้องการก็คือ 
 
พื้นที่: น้อยมาก โบโลเนส (Bolognese) เหมาะกับการอยู่ในพื้นที่จำกัด ร่างกายของหมาพันธุ์เล็กตัวนี้แข็งแรง มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 8-14 ปอนด์เท่ากับน้ำหนักของทารกแรกเกิด

การออกกำลังกาย: น้อย มันเป็นหมาขี้เล่น แต่ไม่ได้บ้าพลัง การเดินเล่นแค่ครั้งคราวก็พอ

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย หมาพันธุ์นี้ฉลาดและฝึกง่าย มันอาจระแวงคนแปลกหน้าอยู่บ้าง แต่ก็สามารถเข้ากับเด็กและสัตว์อื่นๆ ได้ดี

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง มันเป็นหมาขนยาวสีขาว ขนเป็นสังกะตังง่าย แต่ผลัดขนไม่มาก ถือได้ว่าเป็นหมาพันธุ์หนึ่งที่ไม่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้



2. เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin)

     เชื่อกันว่า เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin)  มีที่มาจากประเทศจีน และถูกนำมายังประเทศญี่ปุ่นในฐานะของขวัญจากจักรพรรดิจีน จนเป็นที่นิยมในหมูชนชั้นสูงของญี่ปุ่น ก่อนที่จะมีการนำเข้าไปในยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 สิ่งที่ เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย มันเป็นหมาพันธุ์เล็กสูงไม่ถึง 1 ฟุต และหนักแค่ 8-11 ปอนด์

การออกกำลังกาย: ต่ำ เจ้าหมาตัวเล็กนี้เหมาะกับการนั่งอยู่บนตัก จมูกสั้นๆ ของมันทำให้การออกกำลังกายอาจสร้างปัญหาเรื่องการหายใจและความร้อนได้ การเดินเล่นระยะสั้นๆ เป็นบางครั้งก็เพียงพอสำหรับมันแล้ว

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย มันเป็นหมาที่ฉลาด เงียบ และมีมารยาท เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) เข้าได้กับเกือบทุกคนที่มันได้เจอ รวมถึงคนแปลกหน้า เด็ก และสัตว์อื่นๆ แต่พวกมันก็ตื่นตัวและอ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวด้วย

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง ขนของเจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) ต้องการการแปรงขนเป็นประจำเพื่อให้ดูดีและไม่เป็นสังกะตัง มันผลัดขนปีละครั้งในปริมาณน้อย เป็นหมาที่สะอาดมากและไม่มีกลิ่นตัว



3. เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound)

     รู้หรือไม่ แม้ว่า เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound) จะสามารถวิ่งระยะสั้นได้เร็วมาก แต่มันก็ไม่ใช่หมาที่มีพลังงานเหลือล้นอะไร มันวิ่งได้เร็วแต่กลับชอบนอนนิ่งๆ ทั้งวัน เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound) มักถูกใช้เป็นหมาล่าสัตว์และหมาต้อนฝูงสัตว์ในช่วงสมัยอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองอย่างกรีกและอียิปต์ สิ่งที่เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย อาจจะดูไม่น่าเชื่อเพราะมันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ เมื่อโตเต็มที่แล้วหนักได้ถึง 60-70 ปอนด์ และสูง 2.5 ฟุต แต่พวกมันก็มีความสุขดีเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่แคบ เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ส่วนใหญ่จะเงียบและนุ่มนวล และจริงๆ แล้วมันเป็นหมาที่เหมาะกับการเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์มากกว่าหมาพันธุ์หลายพันธุ์ด้วยซ้ำ

การออกกำลังกาย: ต่ำถึงปานกลาง เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) เป็นหมานักวิ่งระยะสั้น และพวกมันก็รักการวิ่ง แต่ไม่ได้ต้องการการออกกำลังกายมากขนาดนั้น การเดินเล่น 20-30 นาทีหลายวันครั้งก็เพียงพอที่ให้เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) แข็งแรงอยู่เสมอ

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: ค่อนข้างน้อย หมาพันธุ์นี้ค่อนข้างเชื่อฟังและเข้ากับคนแปลกหน้า เด็กโต และหมาตัวอื่นๆ ได้ดี แต่ควรสังเกตใกล้ชิดเมื่อมันอยู่กับสัตว์ที่เล็กกว่า หรือเด็กๆ ที่ยังเล็กมาก

การดูแลรักษาขน: น้อย ขนของเกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ขนสั้นและเรียบลื่น ไม่มีขนชั้นใน เหมาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้



4. บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff)

     บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) เป็นหมาที่ตัวใหญ่มาก แต่เมื่อเทียบกับหมาพันธุ์ใหญ่อื่นๆ มันต้องการการดูแลที่น้อยมาก เจ้าหมาเฝ้าบ้านที่ทรงพลังตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อไม่ให้โจมตีคนแปลกหน้า พวกมันจะแค่เฝ้าเอาไว้ หรือล้มคนแปลกหน้าลงแล้วตรึงให้อยู่กับที่เท่านั้น สิ่งที่บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) ต้องการก็คือ

พื้นที่: ค่อนข้างน้อย ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ของมัน จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่โล่งเพียงพอให้มันสามารถเดินไปมาได้อย่างสบาย แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัดได้โดยไม่มีปัญหา
 
การออกกำลังกาย: ต่ำถึงปานกลาง บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) เป็นหมาที่สงบและใช้พลังงานน้อยจนเข้าขั้นขี้เกียจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นหมาตัวใหญ่ และอ้วนได้ง่าย การพาออกไปเดินเล่นไกลๆ บ้างจะดีต่อสุขภาพของมัน

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย ควรจะฝึกมันบ้าง เพื่อที่เวลาพามันไปเดินเล่นเจ้าของจะได้ไม่โดนลากไปมา หมาพันธุ์นี้ภักดีต่อครอบครัวของมันมาก มีอารมณ์ที่มั่นคง สงบ และอดทนต่อเด็กๆ

การดูแลรักษาขน: น้อย บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) มีขนสั้นลื่น และผลัดขนน้อยมาก


5. ปั๊ก (Pug)

     ต้นกำเนิดของปั๊ก (Pug) มาจากประเทศจีน มักถูกใช้เป็นของขวัญในหมู่ชนชั้นสูงของจีน ทิเบต และญี่ปุ่น สิ่งที่ปั๊กต้องการคือ
พื้นที่: น้อย มันหนักราว 18 ปอนด์ (ถ้าไม่อ้วน) และสูงแค่ 1 ฟุต

การออกกำลังกาย: ต่ำมาก คุณแทบไม่จำเป็นต้องพาหมาพันธุ์นี้ไปออกกำลังกายเลย เพราะหน้าย่นๆ ของมันทำให้มีปัญหาเรื่องการหายใจได้ง่าย หมายความว่าเมื่อมันออกแรงมากเกินไป มันก็จะควบคุมการหายใจและอุณหภูมิในร่างกายได้ยากขึ้น
 
การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แม้ว่ามันจะมีหน้าตาที่ดูอารมณ์เสียอยู่เสมอ แต่ปั๊ก (Pug) ก็เป็นหมาที่น่ารักและชอบอยู่กับเด็กๆ มันดื้อพอตัวเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นคุณก็ควรจะฝึกมันบ้างถ้าไม่อยากให้มันมาอยู่บนโซฟาของคุณ

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง ปั๊ก (Pug) มีข้อเสียก็คือ แม้ว่าขนของมันจะสั้น แต่ก็มีแนวโน้มผลัดขนจำนวนมาก และรอยย่นบนตัวของมันต้องได้รับการทำความสะอาดบ้าง เพื่อป้องกันผื่นคันหรือการติดเชื้อ



6. เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier)

    เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) เป็นหมาใช้งานที่มาจากประเทศไอร์แลนด์ เพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อล่าสัตว์พาหะนำโรค สัตว์ที่สร้างความรำคาญ และหมาจิ้งจอก สิ่งที่เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) ต้องการคือ
   
พื้นที่: ค่อนข้างน้อย หนักได้ถึง 35 ปอนด์ และสูง 14 ฟุต เหมาะสำหรับเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์ หรือบ้านที่มีสวนขนาดเล็ก

การออกกำลังกาย: ค่อนข้างต่ำ ขาของหมาพันธุ์นี้ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับขนาดตัว พวกมันจึงไม่เหมาะกับกิจกรรมที่ต้องวิ่งหรือกระโดด การเดินเล่นเป็นช่วงสั้นๆ หรือปล่อยให้มันเล่นในสวนก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว แต่ต้องระวังความชื่นชอบในการขุดสวนของมันด้วย

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อยถึงปลานกลาง มันเป็นหมาที่ฉลาดและฝึกได้ง่ายมาก สามารถเข้าได้ดีกับคนและเด็กๆ แต่อาจจะชอบโวยวายและหวงอาณาเขตเมื่อเจอหมาตัวอื่น และมีแนวโน้มที่จะมองสัตว์เลี้ยงตัวอื่นในบ้านเป็นเหยื่อของมัน

การดูแลรักษาขน: น้อยถึงปานกลาง ขนชั้นนอกของเกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) สามารถยาวได้ถึง 3-4 นิ้วหากไม่ได้รับการดูแล และจะพันเป็นสังกะตัง แต่ผลัดขนไม่มากนัก



7. บูลด็อก (Bulldog)

     บูลด็อก (Bulldog) ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อช่วยคนขายเนื้อจับวัว ต่อมาถูกนำมาต่อสู้กันเอง เมื่อการสู้สุนัขกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เหล่าผู้เพาะพันธุ์ก็ปรับให้บูลด็อก (Bulldog) มีนิสัยที่นุ่มนวลและอ่อนโยนขึ้น บูลด็อก (Bulldog) ต้องการ

พื้นที่: น้อย มันเป็นหมาตัวเล็กที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หนักประมาณ 40-50 ปอนด์

การออกกำลังกาย: มันไม่ใช่หมาที่กระตือรือร้น แต่เนื่องจากมันอ้วนได้ง่าย การออกกำลังกายบ้างจึงเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเป็นการออกกำลังแบบเบาๆ เท่านั้น เนื่องจากจมูกของมันสั้น การออกกำลายอย่างหนักจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการหายใจได้

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย มันเป็นหมาที่น่ารักและซื่อสัตย์มาก บูลด็อก (Bulldog) เข้ากันได้กับคน เด็กๆ และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

การดูแลรักษาขน: น้อย ขนของมันสั้น แต่รอยย่นบนตัวและบนใบหน้าของมันต้องการการทำความสะอาดอยู่เสมอ


8. ปั๊กเกิ้ล (Puggle)

     ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาพันธุ์ผสมระหว่างปั๊ก (Pug) กับบีเกิ้ล (Beagle) เป็นหมาที่ต้องการการดูแลรักษาต่ำ จึงเหมาะแก่การเลี้ยงในบ้านอย่างยิ่ง สิ่งที่ปั๊กเกิ้ล (Puggle) ต้องการก็คือ

พื้นที่: น้อย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาขนาดเล็ก เหมาะกับการเลี้ยงในบ้านหรือในอพาร์ทเมนต์

การออกกำลังกาย: ค่อนข้างน้อย หมาพันธุ์นี้ต้องการการเผาผลาญพลังงานน้อย การได้เดินเล่นหรือวิ่งเล่นในสวนเป็นครั้งคราวจะดีต่อสุขภาพของมัน แต่พวกมันก็เหนื่อยง่าย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) มีโพรงจมูกที่ค่อนข้างสั้น ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างหนักจึงเป็นเรื่องต้องห้ามของหมาพันธุ์นี้ เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการหายใจและการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาที่ชอบใช้ชีวิตสบายๆ พวกมันแข็งแรงและขี้เล่น แถมยังน่ารักอีกด้วย มันเข้ากันได้กับทุกคนรวมถึงเด็ก และหมา หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ภายในบ้าน พวกมันยังซื่อสัตย์และชอบเอาใจเจ้าของอีกด้วย

การดูแลรักษาขน: น้อยถึงปานกลาง ปกติแล้วปั๊กเกิ้ล (Puggle) จะต้องการการดูแลน้อย แต่ก็ผลัดขนอยู่พอสมควร รอยย่นบนตัวต้องการการทำความสะอาดบ้าง โดยความถี่ในการทำความสะอาดขึ้นอยู่กับว่าพวกมันมีความเป็นปั๊ก (Pug) มากน้อยแค่ไหน



9. แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier)

    แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อช่วยกำจัดหนูและสัตว์พาหะอื่นๆ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ แต่ก็พบได้มากในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย น้ำหนักสูงสุดของหมาพันธุ์นี้คือ 25 ปอนด์ และสูง 1 ฟุตหรือเตี้ยกว่านั้น

การออกกำลังกาย: น้อย พวกมันชอบนอนเอื่อยอยู่บนโซฟาหรือตักของเจ้าของ พอๆ กับออกไปวิ่งเล่นในสนามหลังบ้าน การออกกำลังกายเป็นครั้งคราว เช่น การเดินเล่นหรือเล่นในสวน จะช่วยให้มันมีร่างกายที่แข็งแรง 

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) เป็นหมาที่เป็นมิตรและเข้าได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้า เด็ก หมาตัวอื่น หรือแมว ปกติจะมีนิสัยร่าเริง แต่บางครั้งก็เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพรอบตัว เช่น อารมณ์ของเจ้าของ เป็นหมาฉลาดที่ฝึกได้ง่าย

การดูแลรักษาขน: น้อย หมาพันธุ์นี้มีที่ขนนุ่มลื่น และไม่ผลัดขน



10. ชิวาวา (Chihuahua)

     ชิวาว่าเป็นหมาที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองชิวาว่าในประเทศเม็กซิโก มีที่มาของสายพันธุ์ไม่ชัดเจนนัก แต่เชื่อว่ามาจากหมาของนักสำรวจชาวจีนหรือสเปนในสมัยก่อน สิ่งที่ชิวาว่าต้องการก็คือ

พื้นที่: น้อย เป็นหมาเลี้ยงในบ้านอย่างแท้จริง น้ำหนักอยู่ระหว่าง 2-6 ปอนด์ สูงราว 9 นิ้ว สามารถเอาใส่กระเป๋าได้

การออกกำลังกาย: น้อย การเดินเล่นเป็นสิ่งที่ดี อย่าปล่อยให้พวกมันอ้วนจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมายตามมา

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แต่ถ้าคุณอยู่ร่วมบ้านกับสัตว์อื่นหรือเด็ก คุณอาจจะต้องการหมาพันธุ์อื่นที่ไม่เครียดจนหน้ามืดคามือ ชิวาว่าจงรักภักดีต่อเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ก็เป็นหมาที่เครียดหรืออารมณ์เสียได้ง่ายมาก

การดูแลรักษาขน: น้อย ทั้งพันธุ์ขนสั้นและขนยาวต่างก็ต้องการการดูน้อยขนที่น้อยมาก

4455
10 พันธุ์หมาสำหรับเจ้าของที่แอบขี้เกียจ

     คนจำนวนไม่น้อยหมดเงินและเวลามากมายไปกับการเลือกลูกหมาน่ารักๆ มาเลี้ยง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนก็เริ่มไม่สนใจมัน และละเลยการดูแลเมื่อความเห่อในช่วงแรกหมดลง และเมื่อพวกเขาตระหนักว่า การดูแลหมาตัวหนึ่งนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำงานที่ต้องใช้ความรับผิดชอบมาก เพราะหมาต้องการความสนใจ ความรัก การเอาใจใส่ การดูแลรักษาความสะอาด และการออกกำลังกายอยู่เสมอ

     สำหรับคนที่อยากมีหมา แต่ไม่อยากพาหมาออกไปเดินเล่นทุกวัน ไม่อยากใช้เวลา และเงิน หมดไปกับการฝึกให้พวกมันรับคำสั่ง หรือไม่อยากพามันไปตัดขนบ่อยๆ เราขอแนะนำให้คุณเลือกหมาพันธุ์ที่ต้องการการดูแลน้อยจะดีกว่า เราไม่ได้อยากให้คุณทอดทิ้งหรือไม่สนใจหมาของคุณนะ แต่การเลี้ยงหมาที่ต้องการการดูแลมากๆ ทั้งๆ ที่คุณไม่ชอบทำอะไรวุ่นวายก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย มาดูกันดีกว่าว่า มีหมาพันธุ์อะไรบ้างที่น่ารักมาก แต่ต้องการความขยันของเจ้าของน้อย



1. โบโลเนส (Bolognese)

     โบโลเนส (Bolognese) เริ่มได้รับความนิยมในฐานะของหมาสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อนในหมู่ชนชั้นสูงของสเปน และประเทศอื่นๆ ในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เจ้าหมาตัวนี้ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพทางพันธุกรรมมากนัก และทั้งหมดที่โบโลเนส (Bolognese) ต้องการก็คือ 
 
พื้นที่: น้อยมาก โบโลเนส (Bolognese) เหมาะกับการอยู่ในพื้นที่จำกัด ร่างกายของหมาพันธุ์เล็กตัวนี้แข็งแรง มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 8-14 ปอนด์เท่ากับน้ำหนักของทารกแรกเกิด

การออกกำลังกาย: น้อย มันเป็นหมาขี้เล่น แต่ไม่ได้บ้าพลัง การเดินเล่นแค่ครั้งคราวก็พอ

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย หมาพันธุ์นี้ฉลาดและฝึกง่าย มันอาจระแวงคนแปลกหน้าอยู่บ้าง แต่ก็สามารถเข้ากับเด็กและสัตว์อื่นๆ ได้ดี

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง มันเป็นหมาขนยาวสีขาว ขนเป็นสังกะตังง่าย แต่ผลัดขนไม่มาก ถือได้ว่าเป็นหมาพันธุ์หนึ่งที่ไม่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้



2. เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin)

     เชื่อกันว่า เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin)  มีที่มาจากประเทศจีน และถูกนำมายังประเทศญี่ปุ่นในฐานะของขวัญจากจักรพรรดิจีน จนเป็นที่นิยมในหมูชนชั้นสูงของญี่ปุ่น ก่อนที่จะมีการนำเข้าไปในยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 สิ่งที่ เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย มันเป็นหมาพันธุ์เล็กสูงไม่ถึง 1 ฟุต และหนักแค่ 8-11 ปอนด์

การออกกำลังกาย: ต่ำ เจ้าหมาตัวเล็กนี้เหมาะกับการนั่งอยู่บนตัก จมูกสั้นๆ ของมันทำให้การออกกำลังกายอาจสร้างปัญหาเรื่องการหายใจและความร้อนได้ การเดินเล่นระยะสั้นๆ เป็นบางครั้งก็เพียงพอสำหรับมันแล้ว

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย มันเป็นหมาที่ฉลาด เงียบ และมีมารยาท เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) เข้าได้กับเกือบทุกคนที่มันได้เจอ รวมถึงคนแปลกหน้า เด็ก และสัตว์อื่นๆ แต่พวกมันก็ตื่นตัวและอ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวด้วย

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง ขนของเจแปนนิส ชิน (Japanese Chin) ต้องการการแปรงขนเป็นประจำเพื่อให้ดูดีและไม่เป็นสังกะตัง มันผลัดขนปีละครั้งในปริมาณน้อย เป็นหมาที่สะอาดมากและไม่มีกลิ่นตัว



3. เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound)

     รู้หรือไม่ แม้ว่า เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound) จะสามารถวิ่งระยะสั้นได้เร็วมาก แต่มันก็ไม่ใช่หมาที่มีพลังงานเหลือล้นอะไร มันวิ่งได้เร็วแต่กลับชอบนอนนิ่งๆ ทั้งวัน เกรย์ฮาวนด์ (Greyhound) มักถูกใช้เป็นหมาล่าสัตว์และหมาต้อนฝูงสัตว์ในช่วงสมัยอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองอย่างกรีกและอียิปต์ สิ่งที่เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย อาจจะดูไม่น่าเชื่อเพราะมันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ เมื่อโตเต็มที่แล้วหนักได้ถึง 60-70 ปอนด์ และสูง 2.5 ฟุต แต่พวกมันก็มีความสุขดีเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่แคบ เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ส่วนใหญ่จะเงียบและนุ่มนวล และจริงๆ แล้วมันเป็นหมาที่เหมาะกับการเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์มากกว่าหมาพันธุ์หลายพันธุ์ด้วยซ้ำ

การออกกำลังกาย: ต่ำถึงปานกลาง เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) เป็นหมานักวิ่งระยะสั้น และพวกมันก็รักการวิ่ง แต่ไม่ได้ต้องการการออกกำลังกายมากขนาดนั้น การเดินเล่น 20-30 นาทีหลายวันครั้งก็เพียงพอที่ให้เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) แข็งแรงอยู่เสมอ

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: ค่อนข้างน้อย หมาพันธุ์นี้ค่อนข้างเชื่อฟังและเข้ากับคนแปลกหน้า เด็กโต และหมาตัวอื่นๆ ได้ดี แต่ควรสังเกตใกล้ชิดเมื่อมันอยู่กับสัตว์ที่เล็กกว่า หรือเด็กๆ ที่ยังเล็กมาก

การดูแลรักษาขน: น้อย ขนของเกรย์ฮาวด์ (Greyhound) ขนสั้นและเรียบลื่น ไม่มีขนชั้นใน เหมาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้



4. บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff)

     บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) เป็นหมาที่ตัวใหญ่มาก แต่เมื่อเทียบกับหมาพันธุ์ใหญ่อื่นๆ มันต้องการการดูแลที่น้อยมาก เจ้าหมาเฝ้าบ้านที่ทรงพลังตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อไม่ให้โจมตีคนแปลกหน้า พวกมันจะแค่เฝ้าเอาไว้ หรือล้มคนแปลกหน้าลงแล้วตรึงให้อยู่กับที่เท่านั้น สิ่งที่บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) ต้องการก็คือ

พื้นที่: ค่อนข้างน้อย ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ของมัน จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่โล่งเพียงพอให้มันสามารถเดินไปมาได้อย่างสบาย แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัดได้โดยไม่มีปัญหา
 
การออกกำลังกาย: ต่ำถึงปานกลาง บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) เป็นหมาที่สงบและใช้พลังงานน้อยจนเข้าขั้นขี้เกียจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นหมาตัวใหญ่ และอ้วนได้ง่าย การพาออกไปเดินเล่นไกลๆ บ้างจะดีต่อสุขภาพของมัน

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย ควรจะฝึกมันบ้าง เพื่อที่เวลาพามันไปเดินเล่นเจ้าของจะได้ไม่โดนลากไปมา หมาพันธุ์นี้ภักดีต่อครอบครัวของมันมาก มีอารมณ์ที่มั่นคง สงบ และอดทนต่อเด็กๆ

การดูแลรักษาขน: น้อย บุลล์แมสติฟฟ์ (Bullmastiff) มีขนสั้นลื่น และผลัดขนน้อยมาก


5. ปั๊ก (Pug)

     ต้นกำเนิดของปั๊ก (Pug) มาจากประเทศจีน มักถูกใช้เป็นของขวัญในหมู่ชนชั้นสูงของจีน ทิเบต และญี่ปุ่น สิ่งที่ปั๊กต้องการคือ
พื้นที่: น้อย มันหนักราว 18 ปอนด์ (ถ้าไม่อ้วน) และสูงแค่ 1 ฟุต

การออกกำลังกาย: ต่ำมาก คุณแทบไม่จำเป็นต้องพาหมาพันธุ์นี้ไปออกกำลังกายเลย เพราะหน้าย่นๆ ของมันทำให้มีปัญหาเรื่องการหายใจได้ง่าย หมายความว่าเมื่อมันออกแรงมากเกินไป มันก็จะควบคุมการหายใจและอุณหภูมิในร่างกายได้ยากขึ้น
 
การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แม้ว่ามันจะมีหน้าตาที่ดูอารมณ์เสียอยู่เสมอ แต่ปั๊ก (Pug) ก็เป็นหมาที่น่ารักและชอบอยู่กับเด็กๆ มันดื้อพอตัวเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นคุณก็ควรจะฝึกมันบ้างถ้าไม่อยากให้มันมาอยู่บนโซฟาของคุณ

การดูแลรักษาขน: ปานกลาง ปั๊ก (Pug) มีข้อเสียก็คือ แม้ว่าขนของมันจะสั้น แต่ก็มีแนวโน้มผลัดขนจำนวนมาก และรอยย่นบนตัวของมันต้องได้รับการทำความสะอาดบ้าง เพื่อป้องกันผื่นคันหรือการติดเชื้อ



6. เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier)

    เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) เป็นหมาใช้งานที่มาจากประเทศไอร์แลนด์ เพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อล่าสัตว์พาหะนำโรค สัตว์ที่สร้างความรำคาญ และหมาจิ้งจอก สิ่งที่เกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) ต้องการคือ
   
พื้นที่: ค่อนข้างน้อย หนักได้ถึง 35 ปอนด์ และสูง 14 ฟุต เหมาะสำหรับเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์ หรือบ้านที่มีสวนขนาดเล็ก

การออกกำลังกาย: ค่อนข้างต่ำ ขาของหมาพันธุ์นี้ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับขนาดตัว พวกมันจึงไม่เหมาะกับกิจกรรมที่ต้องวิ่งหรือกระโดด การเดินเล่นเป็นช่วงสั้นๆ หรือปล่อยให้มันเล่นในสวนก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว แต่ต้องระวังความชื่นชอบในการขุดสวนของมันด้วย

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อยถึงปลานกลาง มันเป็นหมาที่ฉลาดและฝึกได้ง่ายมาก สามารถเข้าได้ดีกับคนและเด็กๆ แต่อาจจะชอบโวยวายและหวงอาณาเขตเมื่อเจอหมาตัวอื่น และมีแนวโน้มที่จะมองสัตว์เลี้ยงตัวอื่นในบ้านเป็นเหยื่อของมัน

การดูแลรักษาขน: น้อยถึงปานกลาง ขนชั้นนอกของเกลน ออฟ อิมาล์ เทอร์เรีย (Glen of Imaal Terrier) สามารถยาวได้ถึง 3-4 นิ้วหากไม่ได้รับการดูแล และจะพันเป็นสังกะตัง แต่ผลัดขนไม่มากนัก



7. บูลด็อก (Bulldog)

     บูลด็อก (Bulldog) ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อช่วยคนขายเนื้อจับวัว ต่อมาถูกนำมาต่อสู้กันเอง เมื่อการสู้สุนัขกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เหล่าผู้เพาะพันธุ์ก็ปรับให้บูลด็อก (Bulldog) มีนิสัยที่นุ่มนวลและอ่อนโยนขึ้น บูลด็อก (Bulldog) ต้องการ

พื้นที่: น้อย มันเป็นหมาตัวเล็กที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หนักประมาณ 40-50 ปอนด์

การออกกำลังกาย: มันไม่ใช่หมาที่กระตือรือร้น แต่เนื่องจากมันอ้วนได้ง่าย การออกกำลังกายบ้างจึงเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเป็นการออกกำลังแบบเบาๆ เท่านั้น เนื่องจากจมูกของมันสั้น การออกกำลายอย่างหนักจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการหายใจได้

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย มันเป็นหมาที่น่ารักและซื่อสัตย์มาก บูลด็อก (Bulldog) เข้ากันได้กับคน เด็กๆ และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

การดูแลรักษาขน: น้อย ขนของมันสั้น แต่รอยย่นบนตัวและบนใบหน้าของมันต้องการการทำความสะอาดอยู่เสมอ


8. ปั๊กเกิ้ล (Puggle)

     ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาพันธุ์ผสมระหว่างปั๊ก (Pug) กับบีเกิ้ล (Beagle) เป็นหมาที่ต้องการการดูแลรักษาต่ำ จึงเหมาะแก่การเลี้ยงในบ้านอย่างยิ่ง สิ่งที่ปั๊กเกิ้ล (Puggle) ต้องการก็คือ

พื้นที่: น้อย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาขนาดเล็ก เหมาะกับการเลี้ยงในบ้านหรือในอพาร์ทเมนต์

การออกกำลังกาย: ค่อนข้างน้อย หมาพันธุ์นี้ต้องการการเผาผลาญพลังงานน้อย การได้เดินเล่นหรือวิ่งเล่นในสวนเป็นครั้งคราวจะดีต่อสุขภาพของมัน แต่พวกมันก็เหนื่อยง่าย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) มีโพรงจมูกที่ค่อนข้างสั้น ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างหนักจึงเป็นเรื่องต้องห้ามของหมาพันธุ์นี้ เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการหายใจและการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย ปั๊กเกิ้ล (Puggle) เป็นหมาที่ชอบใช้ชีวิตสบายๆ พวกมันแข็งแรงและขี้เล่น แถมยังน่ารักอีกด้วย มันเข้ากันได้กับทุกคนรวมถึงเด็ก และหมา หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ภายในบ้าน พวกมันยังซื่อสัตย์และชอบเอาใจเจ้าของอีกด้วย

การดูแลรักษาขน: น้อยถึงปานกลาง ปกติแล้วปั๊กเกิ้ล (Puggle) จะต้องการการดูแลน้อย แต่ก็ผลัดขนอยู่พอสมควร รอยย่นบนตัวต้องการการทำความสะอาดบ้าง โดยความถี่ในการทำความสะอาดขึ้นอยู่กับว่าพวกมันมีความเป็นปั๊ก (Pug) มากน้อยแค่ไหน



9. แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier)

    แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อช่วยกำจัดหนูและสัตว์พาหะอื่นๆ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ แต่ก็พบได้มากในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) ต้องการคือ

พื้นที่: น้อย น้ำหนักสูงสุดของหมาพันธุ์นี้คือ 25 ปอนด์ และสูง 1 ฟุตหรือเตี้ยกว่านั้น

การออกกำลังกาย: น้อย พวกมันชอบนอนเอื่อยอยู่บนโซฟาหรือตักของเจ้าของ พอๆ กับออกไปวิ่งเล่นในสนามหลังบ้าน การออกกำลังกายเป็นครั้งคราว เช่น การเดินเล่นหรือเล่นในสวน จะช่วยให้มันมีร่างกายที่แข็งแรง 

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แรท เทอร์เรีย (Rat Terrier) เป็นหมาที่เป็นมิตรและเข้าได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้า เด็ก หมาตัวอื่น หรือแมว ปกติจะมีนิสัยร่าเริง แต่บางครั้งก็เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพรอบตัว เช่น อารมณ์ของเจ้าของ เป็นหมาฉลาดที่ฝึกได้ง่าย

การดูแลรักษาขน: น้อย หมาพันธุ์นี้มีที่ขนนุ่มลื่น และไม่ผลัดขน



10. ชิวาวา (Chihuahua)

     ชิวาว่าเป็นหมาที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองชิวาว่าในประเทศเม็กซิโก มีที่มาของสายพันธุ์ไม่ชัดเจนนัก แต่เชื่อว่ามาจากหมาของนักสำรวจชาวจีนหรือสเปนในสมัยก่อน สิ่งที่ชิวาว่าต้องการก็คือ

พื้นที่: น้อย เป็นหมาเลี้ยงในบ้านอย่างแท้จริง น้ำหนักอยู่ระหว่าง 2-6 ปอนด์ สูงราว 9 นิ้ว สามารถเอาใส่กระเป๋าได้

การออกกำลังกาย: น้อย การเดินเล่นเป็นสิ่งที่ดี อย่าปล่อยให้พวกมันอ้วนจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมายตามมา

การฝึกเพื่อรับคำสั่ง: น้อย แต่ถ้าคุณอยู่ร่วมบ้านกับสัตว์อื่นหรือเด็ก คุณอาจจะต้องการหมาพันธุ์อื่นที่ไม่เครียดจนหน้ามืดคามือ ชิวาว่าจงรักภักดีต่อเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ก็เป็นหมาที่เครียดหรืออารมณ์เสียได้ง่ายมาก

การดูแลรักษาขน: น้อย ทั้งพันธุ์ขนสั้นและขนยาวต่างก็ต้องการการดูน้อยขนที่น้อยมาก