แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

421
โรคที่มักพบ / โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)
« เมื่อ: 24 ก.ค. 64, 19:29:36น. »
โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)

สาเหตุโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมว หรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในแมว เป็นโรคที่มีทั้งอาการไม่หนักมาก สามารถายได้เอง จนไปถึงอาการหนัก และหากเกิดกับลูกแมวอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งกว่า 80% ของแมวที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดแมว เกิดจากการติดเชื้อไวรัส 2 ชนิด คือ เฮอร์ปีส์ไวรัสในแมว (Feline herpesvirus) และแคลลิซิไวรัสในแมว (Feline Calicivirus) หรืออาจจะเป็นการติดเชื้อร่วมกัน และพบว่าสาเหตุของโรคไข้หวัดแมวอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียChlamydophila felis และ เชื้อBordetella bronchiseptica ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหวัดหรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในสุนัข (หรือ Kennel cough)  โดยจะสามารถติดต่อกันระหว่างแมวด้วยกันผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก สิ่งคัดหลั่งต่างๆที่ปนเปื้อนเชื้อ การที่แมวอยู่ในพื้นที่ปิดด้วยกัน หรือแมวมีการเลียขนให้กัน



อาการโรคไข้หวัดแมว

   แมวที่ติดเชื้อไข้หวัดจะมีอาการเป็นไข้ จาม หรืออาจจะพบอาการไอ มีน้ำมูกใสๆไปจนถึงสีเขียวข้น ในแมวที่ติดเชื้อรุนแรงอาจจะพบภาวะปอดบวม หายใจลำบาก หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ สามารถเจออาการที่ดวงตาได้ โดยจะพบภาวะตาอักเสบ และมีขี้ตาปริมาณมาก อาจจะพบอาการได้ตั้งแต่เป็นลูกแมวที่ยังไม่ลืมตาก็จะพบขี้ตาปิดเปลือกตาจนแมวไม่สามารถลืมตาได้ บางตัวติดเชื้อเรื้อรังไม่ได้รักษา อาจจะเกิดภาวะแผลหลุมที่กระจกตาตามมาได้ นอกจากอาการทางระบบทางเดินหายใจ และดวงตาแล้ว ยังพบอาการที่ช่องปาก โดยมักทำให้เกิดภาวะช่องปากอักเสบ หรือเกิดแผลที่เหงือก และลิ้นได้ ซึ่งจะทำให้แมวมีอาการเจ็บปาก ไม่ยอมทานอาหาร หากแมวติดเชื้อขณะที่ตั้งท้อง อาจจะทำให้แท้งลูกได้ อาการของแมวที่แสดงออกอาจจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง ขึ้นกับระดับภูมิคุ้มกันของแมวและสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงด้วย หากเลี้ยงแมวจำนวนมาก เลี้ยงหนาแน่ก็มีโอกาสที่แมวจะมีอาการมากว่าเนื่องจากมีความเครียด

การรักษาโรคไข้หวัดแมว

   การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก สำหรับอาการทางเดินหายใจจะให้ยากลุ่มละลายเสมหะ ลดน้ำมูก และสัตวแพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย และควรกำจัดสิ่งคัดหลั่งที่อุดตันทางเดินหายใจและจมูกออก เพื่อให้แมวหายใจได้สะดวกขึ้น โดยอาจจะใช้การดูดเสมหะ การดมละอองยาเพื่อลดความข้นของเสมหะ อาการที่ดวงตาจะต้องคอยเช็ดทำความสะอาด และป้ายยาฆ่าเชื้อ หากพบมีอาการตาอักเสบร่วมกับแผลที่กระจกตา อาจจะต้องให้ยาลดอาการปวดร่วมด้วย ส่วนอาการที่ช่องปาก ในระยะแรกแมวจะเจ็บปากมาก ไม่ยอมทานอาหาร อาจะต้องคอยช่วยล้างปาก และป้อนอาหารร่วมด้วย

การป้องกันโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมวสามารถป้องกันได้ หรือสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่เนื่องจากโรคไข้หวัดแมวติดจากเชื้อได้หลายชนิด โดยวัคซีนสามารถป้อนกันเชื้อได้เพียงบางชนิดเท่านั้น (Herpesvirus และ Calicivirus) ดังนั้นจึงต้องดูแลสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงอยู่เสมอ หากมีการนำแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงควรจะต้องทำการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน และทำวัคซีนก่อนนำเข้าบ้านไปพบแมวตัวอื่น และหากมีแมวตัวไหนในบ้านแสดงอาการป่วยก็ควรจะแยกออกจากตัวอื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

ที่มา : https://www.msd-animal-health.ie/species/cats/cat-flu/
https://www.cats.org.uk/northherts/feature-pages/about-cat-flu


422
โรคที่มักพบ / โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)
« เมื่อ: 24 ก.ค. 64, 19:29:36น. »
โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)

สาเหตุโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมว หรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในแมว เป็นโรคที่มีทั้งอาการไม่หนักมาก สามารถายได้เอง จนไปถึงอาการหนัก และหากเกิดกับลูกแมวอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งกว่า 80% ของแมวที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดแมว เกิดจากการติดเชื้อไวรัส 2 ชนิด คือ เฮอร์ปีส์ไวรัสในแมว (Feline herpesvirus) และแคลลิซิไวรัสในแมว (Feline Calicivirus) หรืออาจจะเป็นการติดเชื้อร่วมกัน และพบว่าสาเหตุของโรคไข้หวัดแมวอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียChlamydophila felis และ เชื้อBordetella bronchiseptica ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหวัดหรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในสุนัข (หรือ Kennel cough)  โดยจะสามารถติดต่อกันระหว่างแมวด้วยกันผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก สิ่งคัดหลั่งต่างๆที่ปนเปื้อนเชื้อ การที่แมวอยู่ในพื้นที่ปิดด้วยกัน หรือแมวมีการเลียขนให้กัน



อาการโรคไข้หวัดแมว

   แมวที่ติดเชื้อไข้หวัดจะมีอาการเป็นไข้ จาม หรืออาจจะพบอาการไอ มีน้ำมูกใสๆไปจนถึงสีเขียวข้น ในแมวที่ติดเชื้อรุนแรงอาจจะพบภาวะปอดบวม หายใจลำบาก หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ สามารถเจออาการที่ดวงตาได้ โดยจะพบภาวะตาอักเสบ และมีขี้ตาปริมาณมาก อาจจะพบอาการได้ตั้งแต่เป็นลูกแมวที่ยังไม่ลืมตาก็จะพบขี้ตาปิดเปลือกตาจนแมวไม่สามารถลืมตาได้ บางตัวติดเชื้อเรื้อรังไม่ได้รักษา อาจจะเกิดภาวะแผลหลุมที่กระจกตาตามมาได้ นอกจากอาการทางระบบทางเดินหายใจ และดวงตาแล้ว ยังพบอาการที่ช่องปาก โดยมักทำให้เกิดภาวะช่องปากอักเสบ หรือเกิดแผลที่เหงือก และลิ้นได้ ซึ่งจะทำให้แมวมีอาการเจ็บปาก ไม่ยอมทานอาหาร หากแมวติดเชื้อขณะที่ตั้งท้อง อาจจะทำให้แท้งลูกได้ อาการของแมวที่แสดงออกอาจจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง ขึ้นกับระดับภูมิคุ้มกันของแมวและสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงด้วย หากเลี้ยงแมวจำนวนมาก เลี้ยงหนาแน่ก็มีโอกาสที่แมวจะมีอาการมากว่าเนื่องจากมีความเครียด

การรักษาโรคไข้หวัดแมว

   การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก สำหรับอาการทางเดินหายใจจะให้ยากลุ่มละลายเสมหะ ลดน้ำมูก และสัตวแพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย และควรกำจัดสิ่งคัดหลั่งที่อุดตันทางเดินหายใจและจมูกออก เพื่อให้แมวหายใจได้สะดวกขึ้น โดยอาจจะใช้การดูดเสมหะ การดมละอองยาเพื่อลดความข้นของเสมหะ อาการที่ดวงตาจะต้องคอยเช็ดทำความสะอาด และป้ายยาฆ่าเชื้อ หากพบมีอาการตาอักเสบร่วมกับแผลที่กระจกตา อาจจะต้องให้ยาลดอาการปวดร่วมด้วย ส่วนอาการที่ช่องปาก ในระยะแรกแมวจะเจ็บปากมาก ไม่ยอมทานอาหาร อาจะต้องคอยช่วยล้างปาก และป้อนอาหารร่วมด้วย

การป้องกันโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมวสามารถป้องกันได้ หรือสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่เนื่องจากโรคไข้หวัดแมวติดจากเชื้อได้หลายชนิด โดยวัคซีนสามารถป้อนกันเชื้อได้เพียงบางชนิดเท่านั้น (Herpesvirus และ Calicivirus) ดังนั้นจึงต้องดูแลสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงอยู่เสมอ หากมีการนำแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงควรจะต้องทำการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน และทำวัคซีนก่อนนำเข้าบ้านไปพบแมวตัวอื่น และหากมีแมวตัวไหนในบ้านแสดงอาการป่วยก็ควรจะแยกออกจากตัวอื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

ที่มา : https://www.msd-animal-health.ie/species/cats/cat-flu/
https://www.cats.org.uk/northherts/feature-pages/about-cat-flu


423
โรคที่มักพบ / โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)
« เมื่อ: 24 ก.ค. 64, 19:29:36น. »
โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)

สาเหตุโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมว หรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในแมว เป็นโรคที่มีทั้งอาการไม่หนักมาก สามารถายได้เอง จนไปถึงอาการหนัก และหากเกิดกับลูกแมวอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งกว่า 80% ของแมวที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดแมว เกิดจากการติดเชื้อไวรัส 2 ชนิด คือ เฮอร์ปีส์ไวรัสในแมว (Feline herpesvirus) และแคลลิซิไวรัสในแมว (Feline Calicivirus) หรืออาจจะเป็นการติดเชื้อร่วมกัน และพบว่าสาเหตุของโรคไข้หวัดแมวอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียChlamydophila felis และ เชื้อBordetella bronchiseptica ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหวัดหรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในสุนัข (หรือ Kennel cough)  โดยจะสามารถติดต่อกันระหว่างแมวด้วยกันผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก สิ่งคัดหลั่งต่างๆที่ปนเปื้อนเชื้อ การที่แมวอยู่ในพื้นที่ปิดด้วยกัน หรือแมวมีการเลียขนให้กัน



อาการโรคไข้หวัดแมว

   แมวที่ติดเชื้อไข้หวัดจะมีอาการเป็นไข้ จาม หรืออาจจะพบอาการไอ มีน้ำมูกใสๆไปจนถึงสีเขียวข้น ในแมวที่ติดเชื้อรุนแรงอาจจะพบภาวะปอดบวม หายใจลำบาก หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ สามารถเจออาการที่ดวงตาได้ โดยจะพบภาวะตาอักเสบ และมีขี้ตาปริมาณมาก อาจจะพบอาการได้ตั้งแต่เป็นลูกแมวที่ยังไม่ลืมตาก็จะพบขี้ตาปิดเปลือกตาจนแมวไม่สามารถลืมตาได้ บางตัวติดเชื้อเรื้อรังไม่ได้รักษา อาจจะเกิดภาวะแผลหลุมที่กระจกตาตามมาได้ นอกจากอาการทางระบบทางเดินหายใจ และดวงตาแล้ว ยังพบอาการที่ช่องปาก โดยมักทำให้เกิดภาวะช่องปากอักเสบ หรือเกิดแผลที่เหงือก และลิ้นได้ ซึ่งจะทำให้แมวมีอาการเจ็บปาก ไม่ยอมทานอาหาร หากแมวติดเชื้อขณะที่ตั้งท้อง อาจจะทำให้แท้งลูกได้ อาการของแมวที่แสดงออกอาจจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง ขึ้นกับระดับภูมิคุ้มกันของแมวและสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงด้วย หากเลี้ยงแมวจำนวนมาก เลี้ยงหนาแน่ก็มีโอกาสที่แมวจะมีอาการมากว่าเนื่องจากมีความเครียด

การรักษาโรคไข้หวัดแมว

   การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก สำหรับอาการทางเดินหายใจจะให้ยากลุ่มละลายเสมหะ ลดน้ำมูก และสัตวแพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย และควรกำจัดสิ่งคัดหลั่งที่อุดตันทางเดินหายใจและจมูกออก เพื่อให้แมวหายใจได้สะดวกขึ้น โดยอาจจะใช้การดูดเสมหะ การดมละอองยาเพื่อลดความข้นของเสมหะ อาการที่ดวงตาจะต้องคอยเช็ดทำความสะอาด และป้ายยาฆ่าเชื้อ หากพบมีอาการตาอักเสบร่วมกับแผลที่กระจกตา อาจจะต้องให้ยาลดอาการปวดร่วมด้วย ส่วนอาการที่ช่องปาก ในระยะแรกแมวจะเจ็บปากมาก ไม่ยอมทานอาหาร อาจะต้องคอยช่วยล้างปาก และป้อนอาหารร่วมด้วย

การป้องกันโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมวสามารถป้องกันได้ หรือสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่เนื่องจากโรคไข้หวัดแมวติดจากเชื้อได้หลายชนิด โดยวัคซีนสามารถป้อนกันเชื้อได้เพียงบางชนิดเท่านั้น (Herpesvirus และ Calicivirus) ดังนั้นจึงต้องดูแลสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงอยู่เสมอ หากมีการนำแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงควรจะต้องทำการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน และทำวัคซีนก่อนนำเข้าบ้านไปพบแมวตัวอื่น และหากมีแมวตัวไหนในบ้านแสดงอาการป่วยก็ควรจะแยกออกจากตัวอื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

ที่มา : https://www.msd-animal-health.ie/species/cats/cat-flu/
https://www.cats.org.uk/northherts/feature-pages/about-cat-flu


424
โรคที่มักพบ / โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)
« เมื่อ: 24 ก.ค. 64, 19:29:36น. »
โรคไข้หวัดแมว (Cat Flu)

สาเหตุโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมว หรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในแมว เป็นโรคที่มีทั้งอาการไม่หนักมาก สามารถายได้เอง จนไปถึงอาการหนัก และหากเกิดกับลูกแมวอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งกว่า 80% ของแมวที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดแมว เกิดจากการติดเชื้อไวรัส 2 ชนิด คือ เฮอร์ปีส์ไวรัสในแมว (Feline herpesvirus) และแคลลิซิไวรัสในแมว (Feline Calicivirus) หรืออาจจะเป็นการติดเชื้อร่วมกัน และพบว่าสาเหตุของโรคไข้หวัดแมวอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียChlamydophila felis และ เชื้อBordetella bronchiseptica ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหวัดหรือโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในสุนัข (หรือ Kennel cough)  โดยจะสามารถติดต่อกันระหว่างแมวด้วยกันผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก สิ่งคัดหลั่งต่างๆที่ปนเปื้อนเชื้อ การที่แมวอยู่ในพื้นที่ปิดด้วยกัน หรือแมวมีการเลียขนให้กัน



อาการโรคไข้หวัดแมว

   แมวที่ติดเชื้อไข้หวัดจะมีอาการเป็นไข้ จาม หรืออาจจะพบอาการไอ มีน้ำมูกใสๆไปจนถึงสีเขียวข้น ในแมวที่ติดเชื้อรุนแรงอาจจะพบภาวะปอดบวม หายใจลำบาก หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ สามารถเจออาการที่ดวงตาได้ โดยจะพบภาวะตาอักเสบ และมีขี้ตาปริมาณมาก อาจจะพบอาการได้ตั้งแต่เป็นลูกแมวที่ยังไม่ลืมตาก็จะพบขี้ตาปิดเปลือกตาจนแมวไม่สามารถลืมตาได้ บางตัวติดเชื้อเรื้อรังไม่ได้รักษา อาจจะเกิดภาวะแผลหลุมที่กระจกตาตามมาได้ นอกจากอาการทางระบบทางเดินหายใจ และดวงตาแล้ว ยังพบอาการที่ช่องปาก โดยมักทำให้เกิดภาวะช่องปากอักเสบ หรือเกิดแผลที่เหงือก และลิ้นได้ ซึ่งจะทำให้แมวมีอาการเจ็บปาก ไม่ยอมทานอาหาร หากแมวติดเชื้อขณะที่ตั้งท้อง อาจจะทำให้แท้งลูกได้ อาการของแมวที่แสดงออกอาจจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง ขึ้นกับระดับภูมิคุ้มกันของแมวและสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงด้วย หากเลี้ยงแมวจำนวนมาก เลี้ยงหนาแน่ก็มีโอกาสที่แมวจะมีอาการมากว่าเนื่องจากมีความเครียด

การรักษาโรคไข้หวัดแมว

   การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก สำหรับอาการทางเดินหายใจจะให้ยากลุ่มละลายเสมหะ ลดน้ำมูก และสัตวแพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย และควรกำจัดสิ่งคัดหลั่งที่อุดตันทางเดินหายใจและจมูกออก เพื่อให้แมวหายใจได้สะดวกขึ้น โดยอาจจะใช้การดูดเสมหะ การดมละอองยาเพื่อลดความข้นของเสมหะ อาการที่ดวงตาจะต้องคอยเช็ดทำความสะอาด และป้ายยาฆ่าเชื้อ หากพบมีอาการตาอักเสบร่วมกับแผลที่กระจกตา อาจจะต้องให้ยาลดอาการปวดร่วมด้วย ส่วนอาการที่ช่องปาก ในระยะแรกแมวจะเจ็บปากมาก ไม่ยอมทานอาหาร อาจะต้องคอยช่วยล้างปาก และป้อนอาหารร่วมด้วย

การป้องกันโรคไข้หวัดแมว

   โรคไข้หวัดแมวสามารถป้องกันได้ หรือสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่เนื่องจากโรคไข้หวัดแมวติดจากเชื้อได้หลายชนิด โดยวัคซีนสามารถป้อนกันเชื้อได้เพียงบางชนิดเท่านั้น (Herpesvirus และ Calicivirus) ดังนั้นจึงต้องดูแลสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงอยู่เสมอ หากมีการนำแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงควรจะต้องทำการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน และทำวัคซีนก่อนนำเข้าบ้านไปพบแมวตัวอื่น และหากมีแมวตัวไหนในบ้านแสดงอาการป่วยก็ควรจะแยกออกจากตัวอื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

ที่มา : https://www.msd-animal-health.ie/species/cats/cat-flu/
https://www.cats.org.uk/northherts/feature-pages/about-cat-flu


425
โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)

สาเหตุโรคไข้หัดสุนัข

   โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canin Distemper Virus (CDV) เกิดจากเชื้อตระกูล Paramyxovirus ซึ่งสามารถติดสุนัขทุกสายพันธุ์ได้ทุกช่วงอายุ รวมทั้งสุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก เฟนเน็กฟอกซ์ และเฟอรเร็ท เป็นต้น

อาการโรคไข้หัดสุนัข

   อาจจะพบอาการเป็นไข้ ตัวร้อนในระยะแรก หรือบางตัวไม่พบไข้ อาการที่พบมีทั้งอาการทางระบบทางเดินหายใจ จะพบว่าสุนัขจะมีน้ำมูกโดยเริ่มแรกอาจจะเป็นน้ำมูกใส และจะมีสีเขียวข้นขึ้น อาการคล้ายหวัดคือ ไอ จาม และพบอาการปอดอักเสบติดเชื้อ อาการระบบทางเดินอาหารสุนัขจะมีอาการซึม เบื่ออาหาร อาเจียน และถ่ายเหลวเป็นมูกมีกลิ่นเหม็น บ่งบอกถึงการติดเชื้อในทางเดินอาหาร สุนัขบางตัวจะพบว่าฝ่าเท้า ขอบใบหูหน้าตัวขึ้น หรือพบตุ่มหนองขนาดเล็กที่บริเวณหน้าท้อง และนอกจากนั้นในระยะท้ายๆของโรค หรือในรายที่ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้สุนัขมีทางระบบประสาท ซึ่งสุนัขจะแสดงอาการร้องโหยหวน มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ยอมนอน เดินกระวนกระวายไปมา ไม่มีสติ และระยะท้ายๆจะพบว่าสุนัขมีอาการชักและเสียชีวิต และหากเป็นรุนแรงมักจะเสียชีวิตภายใน 2-4 สัปดาห์หลังมีอาการครั้งแรก



การวินิจฉัยโรคไข้หัดสุนัข

   สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ การตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยสามารถใช้สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ขี้ตา อุจจาระ หรือน้ำไขสันหลังในการตรวจเพื่อหาเชื้อได้ มีทั้งการตรวจโดยใช้ชุดตรวจ Rapid test ซึ่งสามารถทราบผลได้ทันที หรือตรวจโดยการวิเคราะห์หาเชื้อด้วยวิธีการ PCR

การรักษาโรคไข้หัดสุนัข

   โรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในสุนัข สามารถติดกันผ่านทางละอองฝอยจากการจาม หรือไอ ดังนั้นโรงพยายาลสัตว์หลายๆแห่งจะไม่รับสุนัขเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่จะเป็นการรักษาโดยการให้ยาตามอาการ (supportive treatment) โดยการให้ยาควบคุมการติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร ให้ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอตามอาการ หากมีอาการทางระบบประสาทอาจจะพิจารณาให้ยาระงับชักร่วมด้วย สำหรับการติดเชื้อในลูกสุนัข พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 80% และ 50% ในสุนัขโต สุนัขที่รักษาหายแล้วอาจจะยังพบรอยโรคในระบบประสาท บางรายแสดงอาการชัก หรือกล้ามเนื้อกระตุกไปตลอดชีวิต
การป้องกัน

   สามารถป้องกันได้โดยการทำวัคซีนให้กับสุนัข สำหรับลูกสุนัขสามารถเริ่มวัคซีนที่อายุ 2 เดือน แต่ละเข็มห่างกัน 2-4 สัปดาห์ ส่วนสุนัขโตก็ควรได้รับการกระตุ้นวัคซีนอย่างต่อเนื่องทุก 1-3 ปี และหากมีการรับสุนัขตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงในบ้านควรมีการกักโรคอย่างน้อย 14 วัน และควรมั่นใจว่าสถานที่ที่รับสุนัขมาเลี้ยงปลอดภัย และไม่เป็นแหล่งรวมโรคติดเชื้อ

ที่มา : https://pets.webmd.com/dogs/canine-distemper#1


426
โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)

สาเหตุโรคไข้หัดสุนัข

   โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canin Distemper Virus (CDV) เกิดจากเชื้อตระกูล Paramyxovirus ซึ่งสามารถติดสุนัขทุกสายพันธุ์ได้ทุกช่วงอายุ รวมทั้งสุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก เฟนเน็กฟอกซ์ และเฟอรเร็ท เป็นต้น

อาการโรคไข้หัดสุนัข

   อาจจะพบอาการเป็นไข้ ตัวร้อนในระยะแรก หรือบางตัวไม่พบไข้ อาการที่พบมีทั้งอาการทางระบบทางเดินหายใจ จะพบว่าสุนัขจะมีน้ำมูกโดยเริ่มแรกอาจจะเป็นน้ำมูกใส และจะมีสีเขียวข้นขึ้น อาการคล้ายหวัดคือ ไอ จาม และพบอาการปอดอักเสบติดเชื้อ อาการระบบทางเดินอาหารสุนัขจะมีอาการซึม เบื่ออาหาร อาเจียน และถ่ายเหลวเป็นมูกมีกลิ่นเหม็น บ่งบอกถึงการติดเชื้อในทางเดินอาหาร สุนัขบางตัวจะพบว่าฝ่าเท้า ขอบใบหูหน้าตัวขึ้น หรือพบตุ่มหนองขนาดเล็กที่บริเวณหน้าท้อง และนอกจากนั้นในระยะท้ายๆของโรค หรือในรายที่ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้สุนัขมีทางระบบประสาท ซึ่งสุนัขจะแสดงอาการร้องโหยหวน มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ยอมนอน เดินกระวนกระวายไปมา ไม่มีสติ และระยะท้ายๆจะพบว่าสุนัขมีอาการชักและเสียชีวิต และหากเป็นรุนแรงมักจะเสียชีวิตภายใน 2-4 สัปดาห์หลังมีอาการครั้งแรก



การวินิจฉัยโรคไข้หัดสุนัข

   สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ การตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยสามารถใช้สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ขี้ตา อุจจาระ หรือน้ำไขสันหลังในการตรวจเพื่อหาเชื้อได้ มีทั้งการตรวจโดยใช้ชุดตรวจ Rapid test ซึ่งสามารถทราบผลได้ทันที หรือตรวจโดยการวิเคราะห์หาเชื้อด้วยวิธีการ PCR

การรักษาโรคไข้หัดสุนัข

   โรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในสุนัข สามารถติดกันผ่านทางละอองฝอยจากการจาม หรือไอ ดังนั้นโรงพยายาลสัตว์หลายๆแห่งจะไม่รับสุนัขเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่จะเป็นการรักษาโดยการให้ยาตามอาการ (supportive treatment) โดยการให้ยาควบคุมการติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร ให้ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอตามอาการ หากมีอาการทางระบบประสาทอาจจะพิจารณาให้ยาระงับชักร่วมด้วย สำหรับการติดเชื้อในลูกสุนัข พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 80% และ 50% ในสุนัขโต สุนัขที่รักษาหายแล้วอาจจะยังพบรอยโรคในระบบประสาท บางรายแสดงอาการชัก หรือกล้ามเนื้อกระตุกไปตลอดชีวิต
การป้องกัน

   สามารถป้องกันได้โดยการทำวัคซีนให้กับสุนัข สำหรับลูกสุนัขสามารถเริ่มวัคซีนที่อายุ 2 เดือน แต่ละเข็มห่างกัน 2-4 สัปดาห์ ส่วนสุนัขโตก็ควรได้รับการกระตุ้นวัคซีนอย่างต่อเนื่องทุก 1-3 ปี และหากมีการรับสุนัขตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงในบ้านควรมีการกักโรคอย่างน้อย 14 วัน และควรมั่นใจว่าสถานที่ที่รับสุนัขมาเลี้ยงปลอดภัย และไม่เป็นแหล่งรวมโรคติดเชื้อ

ที่มา : https://pets.webmd.com/dogs/canine-distemper#1


427
โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)

สาเหตุโรคไข้หัดสุนัข

   โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canin Distemper Virus (CDV) เกิดจากเชื้อตระกูล Paramyxovirus ซึ่งสามารถติดสุนัขทุกสายพันธุ์ได้ทุกช่วงอายุ รวมทั้งสุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก เฟนเน็กฟอกซ์ และเฟอรเร็ท เป็นต้น

อาการโรคไข้หัดสุนัข

   อาจจะพบอาการเป็นไข้ ตัวร้อนในระยะแรก หรือบางตัวไม่พบไข้ อาการที่พบมีทั้งอาการทางระบบทางเดินหายใจ จะพบว่าสุนัขจะมีน้ำมูกโดยเริ่มแรกอาจจะเป็นน้ำมูกใส และจะมีสีเขียวข้นขึ้น อาการคล้ายหวัดคือ ไอ จาม และพบอาการปอดอักเสบติดเชื้อ อาการระบบทางเดินอาหารสุนัขจะมีอาการซึม เบื่ออาหาร อาเจียน และถ่ายเหลวเป็นมูกมีกลิ่นเหม็น บ่งบอกถึงการติดเชื้อในทางเดินอาหาร สุนัขบางตัวจะพบว่าฝ่าเท้า ขอบใบหูหน้าตัวขึ้น หรือพบตุ่มหนองขนาดเล็กที่บริเวณหน้าท้อง และนอกจากนั้นในระยะท้ายๆของโรค หรือในรายที่ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้สุนัขมีทางระบบประสาท ซึ่งสุนัขจะแสดงอาการร้องโหยหวน มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ยอมนอน เดินกระวนกระวายไปมา ไม่มีสติ และระยะท้ายๆจะพบว่าสุนัขมีอาการชักและเสียชีวิต และหากเป็นรุนแรงมักจะเสียชีวิตภายใน 2-4 สัปดาห์หลังมีอาการครั้งแรก



การวินิจฉัยโรคไข้หัดสุนัข

   สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ การตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยสามารถใช้สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ขี้ตา อุจจาระ หรือน้ำไขสันหลังในการตรวจเพื่อหาเชื้อได้ มีทั้งการตรวจโดยใช้ชุดตรวจ Rapid test ซึ่งสามารถทราบผลได้ทันที หรือตรวจโดยการวิเคราะห์หาเชื้อด้วยวิธีการ PCR

การรักษาโรคไข้หัดสุนัข

   โรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในสุนัข สามารถติดกันผ่านทางละอองฝอยจากการจาม หรือไอ ดังนั้นโรงพยายาลสัตว์หลายๆแห่งจะไม่รับสุนัขเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่จะเป็นการรักษาโดยการให้ยาตามอาการ (supportive treatment) โดยการให้ยาควบคุมการติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร ให้ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอตามอาการ หากมีอาการทางระบบประสาทอาจจะพิจารณาให้ยาระงับชักร่วมด้วย สำหรับการติดเชื้อในลูกสุนัข พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 80% และ 50% ในสุนัขโต สุนัขที่รักษาหายแล้วอาจจะยังพบรอยโรคในระบบประสาท บางรายแสดงอาการชัก หรือกล้ามเนื้อกระตุกไปตลอดชีวิต
การป้องกัน

   สามารถป้องกันได้โดยการทำวัคซีนให้กับสุนัข สำหรับลูกสุนัขสามารถเริ่มวัคซีนที่อายุ 2 เดือน แต่ละเข็มห่างกัน 2-4 สัปดาห์ ส่วนสุนัขโตก็ควรได้รับการกระตุ้นวัคซีนอย่างต่อเนื่องทุก 1-3 ปี และหากมีการรับสุนัขตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงในบ้านควรมีการกักโรคอย่างน้อย 14 วัน และควรมั่นใจว่าสถานที่ที่รับสุนัขมาเลี้ยงปลอดภัย และไม่เป็นแหล่งรวมโรคติดเชื้อ

ที่มา : https://pets.webmd.com/dogs/canine-distemper#1


428
โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)

สาเหตุโรคไข้หัดสุนัข

   โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canin Distemper Virus (CDV) เกิดจากเชื้อตระกูล Paramyxovirus ซึ่งสามารถติดสุนัขทุกสายพันธุ์ได้ทุกช่วงอายุ รวมทั้งสุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก เฟนเน็กฟอกซ์ และเฟอรเร็ท เป็นต้น

อาการโรคไข้หัดสุนัข

   อาจจะพบอาการเป็นไข้ ตัวร้อนในระยะแรก หรือบางตัวไม่พบไข้ อาการที่พบมีทั้งอาการทางระบบทางเดินหายใจ จะพบว่าสุนัขจะมีน้ำมูกโดยเริ่มแรกอาจจะเป็นน้ำมูกใส และจะมีสีเขียวข้นขึ้น อาการคล้ายหวัดคือ ไอ จาม และพบอาการปอดอักเสบติดเชื้อ อาการระบบทางเดินอาหารสุนัขจะมีอาการซึม เบื่ออาหาร อาเจียน และถ่ายเหลวเป็นมูกมีกลิ่นเหม็น บ่งบอกถึงการติดเชื้อในทางเดินอาหาร สุนัขบางตัวจะพบว่าฝ่าเท้า ขอบใบหูหน้าตัวขึ้น หรือพบตุ่มหนองขนาดเล็กที่บริเวณหน้าท้อง และนอกจากนั้นในระยะท้ายๆของโรค หรือในรายที่ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้สุนัขมีทางระบบประสาท ซึ่งสุนัขจะแสดงอาการร้องโหยหวน มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ยอมนอน เดินกระวนกระวายไปมา ไม่มีสติ และระยะท้ายๆจะพบว่าสุนัขมีอาการชักและเสียชีวิต และหากเป็นรุนแรงมักจะเสียชีวิตภายใน 2-4 สัปดาห์หลังมีอาการครั้งแรก



การวินิจฉัยโรคไข้หัดสุนัข

   สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ การตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยสามารถใช้สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ขี้ตา อุจจาระ หรือน้ำไขสันหลังในการตรวจเพื่อหาเชื้อได้ มีทั้งการตรวจโดยใช้ชุดตรวจ Rapid test ซึ่งสามารถทราบผลได้ทันที หรือตรวจโดยการวิเคราะห์หาเชื้อด้วยวิธีการ PCR

การรักษาโรคไข้หัดสุนัข

   โรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในสุนัข สามารถติดกันผ่านทางละอองฝอยจากการจาม หรือไอ ดังนั้นโรงพยายาลสัตว์หลายๆแห่งจะไม่รับสุนัขเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่จะเป็นการรักษาโดยการให้ยาตามอาการ (supportive treatment) โดยการให้ยาควบคุมการติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร ให้ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอตามอาการ หากมีอาการทางระบบประสาทอาจจะพิจารณาให้ยาระงับชักร่วมด้วย สำหรับการติดเชื้อในลูกสุนัข พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 80% และ 50% ในสุนัขโต สุนัขที่รักษาหายแล้วอาจจะยังพบรอยโรคในระบบประสาท บางรายแสดงอาการชัก หรือกล้ามเนื้อกระตุกไปตลอดชีวิต
การป้องกัน

   สามารถป้องกันได้โดยการทำวัคซีนให้กับสุนัข สำหรับลูกสุนัขสามารถเริ่มวัคซีนที่อายุ 2 เดือน แต่ละเข็มห่างกัน 2-4 สัปดาห์ ส่วนสุนัขโตก็ควรได้รับการกระตุ้นวัคซีนอย่างต่อเนื่องทุก 1-3 ปี และหากมีการรับสุนัขตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงในบ้านควรมีการกักโรคอย่างน้อย 14 วัน และควรมั่นใจว่าสถานที่ที่รับสุนัขมาเลี้ยงปลอดภัย และไม่เป็นแหล่งรวมโรคติดเชื้อ

ที่มา : https://pets.webmd.com/dogs/canine-distemper#1


429
โรคไข้น้ำนมในสุนัข  (Milk fever in dogs)

ไข้น้ำนมในสุนัขคืออะไร ?

   ไข้น้ำนมในสุนัขคือภาวะที่ระดับแคลเซียมในเลือดของสุนัขต่ำลงจากการตั้งครรภ์และต้องให้นมลูกจำนวนมาก สามารถพบได้หลังจากแม่สุนัขคลอดลูก และเลี้ยงลูกประมาณ 1-4 สัปดาห์หลังคลอด บางรายอาจจะพบได้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง   



   โรคไข้น้ำนมเกิดจากที่ร่างกายขาดแคลเซียม เนื่องจากสุนัขที่ตั้งท้องจะสูญเสียแคลเซียมจากการตั้งครรภ์ในช่วง 3 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ เนื่องจากจะมีการสร้างกระดูกของลูกสุนัขในครรภ์ทำให้มีการดึงแคลเซียมไปใช้จำนวนมาก และหลังจากคลอดลูกจะเสียแคลเซียมปริมาณมากไปกับการสร้างน้ำนมอีกด้วย หากแม่สุนัขได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือมีอาการป่วยระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะเป็นสาเหตุของภาวะขาดแคลเซียมตามมาได้ นอกจากนั้นยังพบว่าสุนัขพันธุ์เล็ก หรือกลุ่ม Toy breed และสุนัขที่มีลูกหลายตัว มีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้มากกว่าสุนัขกลุ่มอื่น

อาการโรคไข้น้ำนมในสุนัข

   อาการที่พบได้มีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง เจ้าของสุนัขที่ต้องดูแลแม่สุนัขลูกอ่อนต้องคอยสังเกตุต่างๆ ดังนี้
-   มีอาการคันบริเวณใบหน้า หรือพยายามเอาหน้าไปถูกับพื้น
-   หอบหายใจมากกว่าปกติ
-   หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (tachycardia)
-   ส่งเสียงร้องหรือหอนผิดไปจากปกติ
-   มีอาการอ่อนแรง ไม่ลุกเดิน หัวตก คอพับ
-   มีอาการเดินเซ หรือเดินแล้วล้ม การก้าวขาไม่สัมพันธ์กัน
-   มีกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง กระตุกเป็นจังหวะต่อเนื่อง
-   ไข้สูง จับตามตัวจะพบว่าตัวร้อน ใบหูร้อนแดง
-   หากทิ้งไว้นานบางรายอาจจะพบอาการชักทั้งตัว และจะชักต่อเนื่อง
-   อาจจะเกิดความผิดปกติของหัวใจ หรือหัวใจวายได้

การวินิจฉัย โรคไข้น้ำนมในสุนัข

   หากสุนัขของเราอยู่ในกลุ่มที่เพิ่งคลอดลูกและมีอาการเหล่านี้ ให้เจ้าของรีบนำตัวสุนัขส่งโรงพยาบาลสัตว์ทันที สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติและอาการ ให้เจ้าของให้ข้อมูลเกี่ยวกับวันคลอด จำนวนลูกที่แม่สุนัขเลี้ยงอยู่ ประวัติการให้อาหารและการเลี้ยงดูอื่นๆ และสัตวแพทย์จะแนะนำให้ตรวจค่าเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับอิเล็กโตรไลท์ในเลือด รวมทั้งระดับแคลเซียมในเลือด ซึ่งมักจะพบว่ามีแคลเซียมต่ำกว่าปกติ   
การรักษา

   การรักษาหลักคือการรีบทดแทนแคลเซียมเข้ากระแสเลือด สัตวแพทย์จะรักษาโดยการให้แคลเซียม (Calcium gluconate) เข้าทางเส้นเลือดอย่างช้าๆ โดยปริมาณตามความรุนแรงของอาการและน้ำหนักตัวสุนัข และอาจจะมีการให้ซ้ำเข้าทางเส้นเลือดตามอาการ หรือให้จนกว่าอาการกล้ามเนื้อสั่นกระตุกจะหายไป เมื่อสุนัขมีอาการดีขึ้นสามารถปรับจากแบบฉีดมาให้สุนัขรับประทานแคลเซียมต่อเนื่องได้

   หากสุนัขมีอาการชัก สัตวแพทย์อาจจะต้องให้ยาระงับชักในช่วงแรก เพื่อให้หยุดอาการลง และหากสุนัขได้รับการรักษาช้า หรือมีการปล่อยให้สุนัขชักต่อเนื่องนาน อาจจะเกิดภาวะสมองอักเสบ หรือสมองบวมได้ สัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องรักษาอาการแทรกซ้อนนี้ร่วมด้วย ดังนั้นการป้องกันภาวะไข้น้ำนมเป็นสิ่งที่จัดการได้โดยการให้อาหารที่ครบถ้วนตามความต้องการ และอาจจะแนะนำเสริมแคลเซียมให้กับแม่สุนัขที่มีลูกจำนวนมาก หรือกลุ่มสุนัขพันธุ์เล็กในระหว่างที่ให้นมลูกได้

ที่มา : https://www.lortsmith.com/need-help-now/dog/seizures-paralysis-collapse/eclampsia-milk-fever-in-dogs/



430
โรคไข้น้ำนมในสุนัข  (Milk fever in dogs)

ไข้น้ำนมในสุนัขคืออะไร ?

   ไข้น้ำนมในสุนัขคือภาวะที่ระดับแคลเซียมในเลือดของสุนัขต่ำลงจากการตั้งครรภ์และต้องให้นมลูกจำนวนมาก สามารถพบได้หลังจากแม่สุนัขคลอดลูก และเลี้ยงลูกประมาณ 1-4 สัปดาห์หลังคลอด บางรายอาจจะพบได้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง   



   โรคไข้น้ำนมเกิดจากที่ร่างกายขาดแคลเซียม เนื่องจากสุนัขที่ตั้งท้องจะสูญเสียแคลเซียมจากการตั้งครรภ์ในช่วง 3 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ เนื่องจากจะมีการสร้างกระดูกของลูกสุนัขในครรภ์ทำให้มีการดึงแคลเซียมไปใช้จำนวนมาก และหลังจากคลอดลูกจะเสียแคลเซียมปริมาณมากไปกับการสร้างน้ำนมอีกด้วย หากแม่สุนัขได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือมีอาการป่วยระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะเป็นสาเหตุของภาวะขาดแคลเซียมตามมาได้ นอกจากนั้นยังพบว่าสุนัขพันธุ์เล็ก หรือกลุ่ม Toy breed และสุนัขที่มีลูกหลายตัว มีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้มากกว่าสุนัขกลุ่มอื่น

อาการโรคไข้น้ำนมในสุนัข

   อาการที่พบได้มีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง เจ้าของสุนัขที่ต้องดูแลแม่สุนัขลูกอ่อนต้องคอยสังเกตุต่างๆ ดังนี้
-   มีอาการคันบริเวณใบหน้า หรือพยายามเอาหน้าไปถูกับพื้น
-   หอบหายใจมากกว่าปกติ
-   หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (tachycardia)
-   ส่งเสียงร้องหรือหอนผิดไปจากปกติ
-   มีอาการอ่อนแรง ไม่ลุกเดิน หัวตก คอพับ
-   มีอาการเดินเซ หรือเดินแล้วล้ม การก้าวขาไม่สัมพันธ์กัน
-   มีกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง กระตุกเป็นจังหวะต่อเนื่อง
-   ไข้สูง จับตามตัวจะพบว่าตัวร้อน ใบหูร้อนแดง
-   หากทิ้งไว้นานบางรายอาจจะพบอาการชักทั้งตัว และจะชักต่อเนื่อง
-   อาจจะเกิดความผิดปกติของหัวใจ หรือหัวใจวายได้

การวินิจฉัย โรคไข้น้ำนมในสุนัข

   หากสุนัขของเราอยู่ในกลุ่มที่เพิ่งคลอดลูกและมีอาการเหล่านี้ ให้เจ้าของรีบนำตัวสุนัขส่งโรงพยาบาลสัตว์ทันที สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติและอาการ ให้เจ้าของให้ข้อมูลเกี่ยวกับวันคลอด จำนวนลูกที่แม่สุนัขเลี้ยงอยู่ ประวัติการให้อาหารและการเลี้ยงดูอื่นๆ และสัตวแพทย์จะแนะนำให้ตรวจค่าเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับอิเล็กโตรไลท์ในเลือด รวมทั้งระดับแคลเซียมในเลือด ซึ่งมักจะพบว่ามีแคลเซียมต่ำกว่าปกติ   
การรักษา

   การรักษาหลักคือการรีบทดแทนแคลเซียมเข้ากระแสเลือด สัตวแพทย์จะรักษาโดยการให้แคลเซียม (Calcium gluconate) เข้าทางเส้นเลือดอย่างช้าๆ โดยปริมาณตามความรุนแรงของอาการและน้ำหนักตัวสุนัข และอาจจะมีการให้ซ้ำเข้าทางเส้นเลือดตามอาการ หรือให้จนกว่าอาการกล้ามเนื้อสั่นกระตุกจะหายไป เมื่อสุนัขมีอาการดีขึ้นสามารถปรับจากแบบฉีดมาให้สุนัขรับประทานแคลเซียมต่อเนื่องได้

   หากสุนัขมีอาการชัก สัตวแพทย์อาจจะต้องให้ยาระงับชักในช่วงแรก เพื่อให้หยุดอาการลง และหากสุนัขได้รับการรักษาช้า หรือมีการปล่อยให้สุนัขชักต่อเนื่องนาน อาจจะเกิดภาวะสมองอักเสบ หรือสมองบวมได้ สัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องรักษาอาการแทรกซ้อนนี้ร่วมด้วย ดังนั้นการป้องกันภาวะไข้น้ำนมเป็นสิ่งที่จัดการได้โดยการให้อาหารที่ครบถ้วนตามความต้องการ และอาจจะแนะนำเสริมแคลเซียมให้กับแม่สุนัขที่มีลูกจำนวนมาก หรือกลุ่มสุนัขพันธุ์เล็กในระหว่างที่ให้นมลูกได้

ที่มา : https://www.lortsmith.com/need-help-now/dog/seizures-paralysis-collapse/eclampsia-milk-fever-in-dogs/



431
โรคไข้น้ำนมในสุนัข  (Milk fever in dogs)

ไข้น้ำนมในสุนัขคืออะไร ?

   ไข้น้ำนมในสุนัขคือภาวะที่ระดับแคลเซียมในเลือดของสุนัขต่ำลงจากการตั้งครรภ์และต้องให้นมลูกจำนวนมาก สามารถพบได้หลังจากแม่สุนัขคลอดลูก และเลี้ยงลูกประมาณ 1-4 สัปดาห์หลังคลอด บางรายอาจจะพบได้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง   



   โรคไข้น้ำนมเกิดจากที่ร่างกายขาดแคลเซียม เนื่องจากสุนัขที่ตั้งท้องจะสูญเสียแคลเซียมจากการตั้งครรภ์ในช่วง 3 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ เนื่องจากจะมีการสร้างกระดูกของลูกสุนัขในครรภ์ทำให้มีการดึงแคลเซียมไปใช้จำนวนมาก และหลังจากคลอดลูกจะเสียแคลเซียมปริมาณมากไปกับการสร้างน้ำนมอีกด้วย หากแม่สุนัขได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือมีอาการป่วยระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะเป็นสาเหตุของภาวะขาดแคลเซียมตามมาได้ นอกจากนั้นยังพบว่าสุนัขพันธุ์เล็ก หรือกลุ่ม Toy breed และสุนัขที่มีลูกหลายตัว มีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้มากกว่าสุนัขกลุ่มอื่น

อาการโรคไข้น้ำนมในสุนัข

   อาการที่พบได้มีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง เจ้าของสุนัขที่ต้องดูแลแม่สุนัขลูกอ่อนต้องคอยสังเกตุต่างๆ ดังนี้
-   มีอาการคันบริเวณใบหน้า หรือพยายามเอาหน้าไปถูกับพื้น
-   หอบหายใจมากกว่าปกติ
-   หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (tachycardia)
-   ส่งเสียงร้องหรือหอนผิดไปจากปกติ
-   มีอาการอ่อนแรง ไม่ลุกเดิน หัวตก คอพับ
-   มีอาการเดินเซ หรือเดินแล้วล้ม การก้าวขาไม่สัมพันธ์กัน
-   มีกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง กระตุกเป็นจังหวะต่อเนื่อง
-   ไข้สูง จับตามตัวจะพบว่าตัวร้อน ใบหูร้อนแดง
-   หากทิ้งไว้นานบางรายอาจจะพบอาการชักทั้งตัว และจะชักต่อเนื่อง
-   อาจจะเกิดความผิดปกติของหัวใจ หรือหัวใจวายได้

การวินิจฉัย โรคไข้น้ำนมในสุนัข

   หากสุนัขของเราอยู่ในกลุ่มที่เพิ่งคลอดลูกและมีอาการเหล่านี้ ให้เจ้าของรีบนำตัวสุนัขส่งโรงพยาบาลสัตว์ทันที สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติและอาการ ให้เจ้าของให้ข้อมูลเกี่ยวกับวันคลอด จำนวนลูกที่แม่สุนัขเลี้ยงอยู่ ประวัติการให้อาหารและการเลี้ยงดูอื่นๆ และสัตวแพทย์จะแนะนำให้ตรวจค่าเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับอิเล็กโตรไลท์ในเลือด รวมทั้งระดับแคลเซียมในเลือด ซึ่งมักจะพบว่ามีแคลเซียมต่ำกว่าปกติ   
การรักษา

   การรักษาหลักคือการรีบทดแทนแคลเซียมเข้ากระแสเลือด สัตวแพทย์จะรักษาโดยการให้แคลเซียม (Calcium gluconate) เข้าทางเส้นเลือดอย่างช้าๆ โดยปริมาณตามความรุนแรงของอาการและน้ำหนักตัวสุนัข และอาจจะมีการให้ซ้ำเข้าทางเส้นเลือดตามอาการ หรือให้จนกว่าอาการกล้ามเนื้อสั่นกระตุกจะหายไป เมื่อสุนัขมีอาการดีขึ้นสามารถปรับจากแบบฉีดมาให้สุนัขรับประทานแคลเซียมต่อเนื่องได้

   หากสุนัขมีอาการชัก สัตวแพทย์อาจจะต้องให้ยาระงับชักในช่วงแรก เพื่อให้หยุดอาการลง และหากสุนัขได้รับการรักษาช้า หรือมีการปล่อยให้สุนัขชักต่อเนื่องนาน อาจจะเกิดภาวะสมองอักเสบ หรือสมองบวมได้ สัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องรักษาอาการแทรกซ้อนนี้ร่วมด้วย ดังนั้นการป้องกันภาวะไข้น้ำนมเป็นสิ่งที่จัดการได้โดยการให้อาหารที่ครบถ้วนตามความต้องการ และอาจจะแนะนำเสริมแคลเซียมให้กับแม่สุนัขที่มีลูกจำนวนมาก หรือกลุ่มสุนัขพันธุ์เล็กในระหว่างที่ให้นมลูกได้

ที่มา : https://www.lortsmith.com/need-help-now/dog/seizures-paralysis-collapse/eclampsia-milk-fever-in-dogs/



432
โรคไข้น้ำนมในสุนัข  (Milk fever in dogs)

ไข้น้ำนมในสุนัขคืออะไร ?

   ไข้น้ำนมในสุนัขคือภาวะที่ระดับแคลเซียมในเลือดของสุนัขต่ำลงจากการตั้งครรภ์และต้องให้นมลูกจำนวนมาก สามารถพบได้หลังจากแม่สุนัขคลอดลูก และเลี้ยงลูกประมาณ 1-4 สัปดาห์หลังคลอด บางรายอาจจะพบได้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง   



   โรคไข้น้ำนมเกิดจากที่ร่างกายขาดแคลเซียม เนื่องจากสุนัขที่ตั้งท้องจะสูญเสียแคลเซียมจากการตั้งครรภ์ในช่วง 3 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ เนื่องจากจะมีการสร้างกระดูกของลูกสุนัขในครรภ์ทำให้มีการดึงแคลเซียมไปใช้จำนวนมาก และหลังจากคลอดลูกจะเสียแคลเซียมปริมาณมากไปกับการสร้างน้ำนมอีกด้วย หากแม่สุนัขได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือมีอาการป่วยระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะเป็นสาเหตุของภาวะขาดแคลเซียมตามมาได้ นอกจากนั้นยังพบว่าสุนัขพันธุ์เล็ก หรือกลุ่ม Toy breed และสุนัขที่มีลูกหลายตัว มีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้มากกว่าสุนัขกลุ่มอื่น

อาการโรคไข้น้ำนมในสุนัข

   อาการที่พบได้มีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง เจ้าของสุนัขที่ต้องดูแลแม่สุนัขลูกอ่อนต้องคอยสังเกตุต่างๆ ดังนี้
-   มีอาการคันบริเวณใบหน้า หรือพยายามเอาหน้าไปถูกับพื้น
-   หอบหายใจมากกว่าปกติ
-   หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (tachycardia)
-   ส่งเสียงร้องหรือหอนผิดไปจากปกติ
-   มีอาการอ่อนแรง ไม่ลุกเดิน หัวตก คอพับ
-   มีอาการเดินเซ หรือเดินแล้วล้ม การก้าวขาไม่สัมพันธ์กัน
-   มีกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง กระตุกเป็นจังหวะต่อเนื่อง
-   ไข้สูง จับตามตัวจะพบว่าตัวร้อน ใบหูร้อนแดง
-   หากทิ้งไว้นานบางรายอาจจะพบอาการชักทั้งตัว และจะชักต่อเนื่อง
-   อาจจะเกิดความผิดปกติของหัวใจ หรือหัวใจวายได้

การวินิจฉัย โรคไข้น้ำนมในสุนัข

   หากสุนัขของเราอยู่ในกลุ่มที่เพิ่งคลอดลูกและมีอาการเหล่านี้ ให้เจ้าของรีบนำตัวสุนัขส่งโรงพยาบาลสัตว์ทันที สัตวแพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติและอาการ ให้เจ้าของให้ข้อมูลเกี่ยวกับวันคลอด จำนวนลูกที่แม่สุนัขเลี้ยงอยู่ ประวัติการให้อาหารและการเลี้ยงดูอื่นๆ และสัตวแพทย์จะแนะนำให้ตรวจค่าเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับอิเล็กโตรไลท์ในเลือด รวมทั้งระดับแคลเซียมในเลือด ซึ่งมักจะพบว่ามีแคลเซียมต่ำกว่าปกติ   
การรักษา

   การรักษาหลักคือการรีบทดแทนแคลเซียมเข้ากระแสเลือด สัตวแพทย์จะรักษาโดยการให้แคลเซียม (Calcium gluconate) เข้าทางเส้นเลือดอย่างช้าๆ โดยปริมาณตามความรุนแรงของอาการและน้ำหนักตัวสุนัข และอาจจะมีการให้ซ้ำเข้าทางเส้นเลือดตามอาการ หรือให้จนกว่าอาการกล้ามเนื้อสั่นกระตุกจะหายไป เมื่อสุนัขมีอาการดีขึ้นสามารถปรับจากแบบฉีดมาให้สุนัขรับประทานแคลเซียมต่อเนื่องได้

   หากสุนัขมีอาการชัก สัตวแพทย์อาจจะต้องให้ยาระงับชักในช่วงแรก เพื่อให้หยุดอาการลง และหากสุนัขได้รับการรักษาช้า หรือมีการปล่อยให้สุนัขชักต่อเนื่องนาน อาจจะเกิดภาวะสมองอักเสบ หรือสมองบวมได้ สัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องรักษาอาการแทรกซ้อนนี้ร่วมด้วย ดังนั้นการป้องกันภาวะไข้น้ำนมเป็นสิ่งที่จัดการได้โดยการให้อาหารที่ครบถ้วนตามความต้องการ และอาจจะแนะนำเสริมแคลเซียมให้กับแม่สุนัขที่มีลูกจำนวนมาก หรือกลุ่มสุนัขพันธุ์เล็กในระหว่างที่ให้นมลูกได้

ที่มา : https://www.lortsmith.com/need-help-now/dog/seizures-paralysis-collapse/eclampsia-milk-fever-in-dogs/



433
โรคต่อมลูกหมากโตในสุนัข  (Benign  Prostatic Hyperplasia in dogs)

ต่อมลูกหมากคืออะไร ?

   ต่อมลูกหมากเป็นต่อมที่อยู่บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะในสุนัขเพศผู้ ซึ่งจะพบท่อปัสสาวะพาดผ่านต่อมลูกหมากจากกระเพาะปัสสาวะและออกสู่ภายนอก  หน้าที่ของต่อมลูกหมากคือเพื่อสร้างน้ำเลี้ยงน้ำเชื้อให้กับอสุจิ และต่อมลูกหมากจะได้รับการกระตุ้นการทำงานจากฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง   



   โรคต่อมลูกหมากโตในสุนัข เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคที่เกิดกับต่อมลูกหมากของสุนัขเพศผู้ ซึ่งเกิดจากตอบสนองของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน โดยพบว่าสุนัขบางตัวก็เกิดอาการบางตัวก็ไม่เกิดอาการ โดยมากมักพบในสุนัขเพศผู้ที่ยังไม่ทำหมันแบะเริ่มมีอายุมากขึ้น หรือมากกว่า 4 ปีขึ้นไป
อาการ

   ในระยะแรกอาจจะไม่แสดงอาการอะไรเลย ต่อมาอาจจะเกิดอาการปัสสาวะกระปริบกระปรอย หรือปัสสาวะเป็นหยด กองเล็กๆ สีปัสสาวะผิดไปจากปกติ อาจจะมีสีเข้มขึ้น ขุ่น หรือมีเลือดปน หรือบางตัวพบว่ามีน้ำปัสสาวะปนเลือดติดอยู่ที่ปลายอวัยวะเพศ หรือบางรายอาจจะมีด้วยอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก พยายามเบ่งถ่าย ถ้าเจ้าของสังเกตุอาการช้า สุนัขอาจจะมีอาการปวดตามมาได้ อาจจะทำให้เกิดอาการซึม ไม่ทานอาหาร หรือมีไข้ตามมาได้ อาจจะพบการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ หรือการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมากร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
การวินิจฉัย

   สัตวแพทย์จะคลำตรวจต่อมลูกหมากผ่านทางช่องทวารหนัก จะพบว่ามีการขยายขนาดเท่ากันทั้งสองฝั่ง ในระยะแรกจะอาจจะไม่พบการอักเสบ กดแล้วจะไม่เจ็บ สามารถตรวจยืนยันได้ด้วยการเอ๊กเรยช่องท้อง และการอัลตราซษวด์สามารถใช้เพื่อตรวจดูคามผิดปกติของเนื้อเยื่อในต่อมลูกหมากได้ ว่ามีลักษณะผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เช่น ถุงน้ำ หรือก้อนเนื้องอก เป็นต้น หากมีการตรวจดูน้ำเชื้ออาจจะพบว่ามีเซลล์อักเสบหรือมีเซลล์เม็ดเลือดแดงได้
การรักษา

   การรักษา รวมทั้งการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ คือการให้สุนัขทำหมันโดยการผ่าตัดเอาอัณฑะออก ภายหลังการทำหมันจะทำให้การทำงานของต่อมลูกหมากลดลง และอาการจะดีขึ้นภายในระยะเวลา 2-3 เดือน แต่ถ้าหากเป็นสุนัขที่ต้องเป็นพ่อพันธุ์ หรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่างทำให้ไม่สามารถผ่าตัดทำหมันได้ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ฮอร์โมน (finasteride) รักษาได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก จึงควรทำหมันในสุนัขเมื่ออายุยังไม่มาก

ที่มา :
https://www.akc.org/expert-advice/health/pancreatitis-in-dogs/
https://www.msdvetmanual.com/reproductive-system/prostatic-diseases/benign-prostatic-hyperplasia-in-dogs-and-cats


434
โรคต่อมลูกหมากโตในสุนัข  (Benign  Prostatic Hyperplasia in dogs)

ต่อมลูกหมากคืออะไร ?

   ต่อมลูกหมากเป็นต่อมที่อยู่บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะในสุนัขเพศผู้ ซึ่งจะพบท่อปัสสาวะพาดผ่านต่อมลูกหมากจากกระเพาะปัสสาวะและออกสู่ภายนอก  หน้าที่ของต่อมลูกหมากคือเพื่อสร้างน้ำเลี้ยงน้ำเชื้อให้กับอสุจิ และต่อมลูกหมากจะได้รับการกระตุ้นการทำงานจากฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง   



   โรคต่อมลูกหมากโตในสุนัข เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคที่เกิดกับต่อมลูกหมากของสุนัขเพศผู้ ซึ่งเกิดจากตอบสนองของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน โดยพบว่าสุนัขบางตัวก็เกิดอาการบางตัวก็ไม่เกิดอาการ โดยมากมักพบในสุนัขเพศผู้ที่ยังไม่ทำหมันแบะเริ่มมีอายุมากขึ้น หรือมากกว่า 4 ปีขึ้นไป
อาการ

   ในระยะแรกอาจจะไม่แสดงอาการอะไรเลย ต่อมาอาจจะเกิดอาการปัสสาวะกระปริบกระปรอย หรือปัสสาวะเป็นหยด กองเล็กๆ สีปัสสาวะผิดไปจากปกติ อาจจะมีสีเข้มขึ้น ขุ่น หรือมีเลือดปน หรือบางตัวพบว่ามีน้ำปัสสาวะปนเลือดติดอยู่ที่ปลายอวัยวะเพศ หรือบางรายอาจจะมีด้วยอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก พยายามเบ่งถ่าย ถ้าเจ้าของสังเกตุอาการช้า สุนัขอาจจะมีอาการปวดตามมาได้ อาจจะทำให้เกิดอาการซึม ไม่ทานอาหาร หรือมีไข้ตามมาได้ อาจจะพบการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ หรือการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมากร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
การวินิจฉัย

   สัตวแพทย์จะคลำตรวจต่อมลูกหมากผ่านทางช่องทวารหนัก จะพบว่ามีการขยายขนาดเท่ากันทั้งสองฝั่ง ในระยะแรกจะอาจจะไม่พบการอักเสบ กดแล้วจะไม่เจ็บ สามารถตรวจยืนยันได้ด้วยการเอ๊กเรยช่องท้อง และการอัลตราซษวด์สามารถใช้เพื่อตรวจดูคามผิดปกติของเนื้อเยื่อในต่อมลูกหมากได้ ว่ามีลักษณะผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เช่น ถุงน้ำ หรือก้อนเนื้องอก เป็นต้น หากมีการตรวจดูน้ำเชื้ออาจจะพบว่ามีเซลล์อักเสบหรือมีเซลล์เม็ดเลือดแดงได้
การรักษา

   การรักษา รวมทั้งการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ คือการให้สุนัขทำหมันโดยการผ่าตัดเอาอัณฑะออก ภายหลังการทำหมันจะทำให้การทำงานของต่อมลูกหมากลดลง และอาการจะดีขึ้นภายในระยะเวลา 2-3 เดือน แต่ถ้าหากเป็นสุนัขที่ต้องเป็นพ่อพันธุ์ หรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่างทำให้ไม่สามารถผ่าตัดทำหมันได้ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ฮอร์โมน (finasteride) รักษาได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก จึงควรทำหมันในสุนัขเมื่ออายุยังไม่มาก

ที่มา :
https://www.akc.org/expert-advice/health/pancreatitis-in-dogs/
https://www.msdvetmanual.com/reproductive-system/prostatic-diseases/benign-prostatic-hyperplasia-in-dogs-and-cats


435
โรคต่อมลูกหมากโตในสุนัข  (Benign  Prostatic Hyperplasia in dogs)

ต่อมลูกหมากคืออะไร ?

   ต่อมลูกหมากเป็นต่อมที่อยู่บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะในสุนัขเพศผู้ ซึ่งจะพบท่อปัสสาวะพาดผ่านต่อมลูกหมากจากกระเพาะปัสสาวะและออกสู่ภายนอก  หน้าที่ของต่อมลูกหมากคือเพื่อสร้างน้ำเลี้ยงน้ำเชื้อให้กับอสุจิ และต่อมลูกหมากจะได้รับการกระตุ้นการทำงานจากฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง   



   โรคต่อมลูกหมากโตในสุนัข เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคที่เกิดกับต่อมลูกหมากของสุนัขเพศผู้ ซึ่งเกิดจากตอบสนองของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน โดยพบว่าสุนัขบางตัวก็เกิดอาการบางตัวก็ไม่เกิดอาการ โดยมากมักพบในสุนัขเพศผู้ที่ยังไม่ทำหมันแบะเริ่มมีอายุมากขึ้น หรือมากกว่า 4 ปีขึ้นไป
อาการ

   ในระยะแรกอาจจะไม่แสดงอาการอะไรเลย ต่อมาอาจจะเกิดอาการปัสสาวะกระปริบกระปรอย หรือปัสสาวะเป็นหยด กองเล็กๆ สีปัสสาวะผิดไปจากปกติ อาจจะมีสีเข้มขึ้น ขุ่น หรือมีเลือดปน หรือบางตัวพบว่ามีน้ำปัสสาวะปนเลือดติดอยู่ที่ปลายอวัยวะเพศ หรือบางรายอาจจะมีด้วยอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก พยายามเบ่งถ่าย ถ้าเจ้าของสังเกตุอาการช้า สุนัขอาจจะมีอาการปวดตามมาได้ อาจจะทำให้เกิดอาการซึม ไม่ทานอาหาร หรือมีไข้ตามมาได้ อาจจะพบการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ หรือการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมากร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
การวินิจฉัย

   สัตวแพทย์จะคลำตรวจต่อมลูกหมากผ่านทางช่องทวารหนัก จะพบว่ามีการขยายขนาดเท่ากันทั้งสองฝั่ง ในระยะแรกจะอาจจะไม่พบการอักเสบ กดแล้วจะไม่เจ็บ สามารถตรวจยืนยันได้ด้วยการเอ๊กเรยช่องท้อง และการอัลตราซษวด์สามารถใช้เพื่อตรวจดูคามผิดปกติของเนื้อเยื่อในต่อมลูกหมากได้ ว่ามีลักษณะผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เช่น ถุงน้ำ หรือก้อนเนื้องอก เป็นต้น หากมีการตรวจดูน้ำเชื้ออาจจะพบว่ามีเซลล์อักเสบหรือมีเซลล์เม็ดเลือดแดงได้
การรักษา

   การรักษา รวมทั้งการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ คือการให้สุนัขทำหมันโดยการผ่าตัดเอาอัณฑะออก ภายหลังการทำหมันจะทำให้การทำงานของต่อมลูกหมากลดลง และอาการจะดีขึ้นภายในระยะเวลา 2-3 เดือน แต่ถ้าหากเป็นสุนัขที่ต้องเป็นพ่อพันธุ์ หรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่างทำให้ไม่สามารถผ่าตัดทำหมันได้ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ฮอร์โมน (finasteride) รักษาได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก จึงควรทำหมันในสุนัขเมื่ออายุยังไม่มาก

ที่มา :
https://www.akc.org/expert-advice/health/pancreatitis-in-dogs/
https://www.msdvetmanual.com/reproductive-system/prostatic-diseases/benign-prostatic-hyperplasia-in-dogs-and-cats