แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

406
ทำไมสุนัขถึงชอบไถก้น มาหาคำตอบกัน !

   หากคุณเคยเลี้ยงสุนัข คงจะต้องเคยเห็นท่าทางที่สุนัขทำท่านั่งแล้วค่อยๆไถก้นไปกับพื้น หรืออาจจะทำท่านี้หลังจากการขับถ่าย บางตัวทำกันเป็นประจำ หรือบางตัวก็นานๆจะทำให้เห็นสักทีนึง อาการนี้อาจจะเป็นอาการปกติทั่วไป ? หรือบ่งบอกถึงโรคบางชนิดกันแน่ ?




ทำไมสุนัขถึงไถก้นไปกับพื้นกันนะ ?

สุนัขมีความผิดปกติของต่อมข้างก้น   

   สุนัขโดยทั่วไปจะมีต่อมข้างก้น ต่อมก้น (Anal gland หรือ Anal sac) หรือบางคนเรียกว่าต่อมเหม็น ซึ่งต่อมนี้จะอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณข้างรูก้นของสุนัขทั้งสองฝั่ง สุนัขในธรรมชาติมีต่อมข้างก้นนี้สำหรับปล่อยกลิ่นออกมา เป็นการบ่งบอกความเฉพาะตัวของแต่ละตัว (scent marking) สุนัขเวลาที่มาเจอกัน จะทักทายกันด้วยการดมบริเวณต่อมก้นกัน โดยปกติต่อมนี้จะมีของเหลวปริมาณเล็กน้อย และจะถูกขับออกมาเมื่อสุนัขขับถ่ายอุจจาระ แต่มักจะพบปัญหาต่อมข้างก้นอักเสบ หรืออุดตันได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก เลี้ยงในบ้าน มากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ หากต่อมนี้มีการอักเสบจะทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว ไถก้นไปกับพื้นบ่อยครั้ง และหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้จากการอักเสบลุกลามไปเป็นการติดเชื้อ และอาจจะรุนแรงจนต่อมนี้แตกเป็นแผลเปิดได้ หรือสุนัขบางตัวอาจจะไม่ยอมเบ่งถ่ายอุจจาระเนื่องจากปวดบริเวณรอบๆก้น กลายเป็นอาการท้องผูกตามมาได้ เพราะฉะนั้นหากเห็นว่าสุนัขมีอาการไถก้น เจ้าของไม่ควรนิ่งนอนใจและควรพาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์

สุนัขติดพยาธิทางเดินอาหาร

   สุนัขที่แสดงอาการไถก้นไปกับพื้น อาจจะบ่งบอกถึงอาการคันบริเวณรอบๆก้น เนื่องจากมีไข่พยาธิบางชนิดหลุดปนมากับอุจจาระ โดยที่พบได้บ่อยพบว่าเป็นไข่พยาธิตัวตืด หรือพยาธิเม็ดแตงกวา (tapeworm) สุนัขติดพยาธิชนิดนี้จากการกินหมัดที่มีตัวอ่อนของพยาธินี้เข้าไปโดยบังเอิญ และพยาธิจะเจริญเป็นตัวแก่ในทางเดินอาหารและปล่อยปล้องแก่ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าว หรือเมล็ดแตงกวาออกมา หากพบอาการไถก้น ร่วมกับเจอปล้องแก่ของพยาธิแนะนำว่าควรพาสุนัขไปรับยาถ่ายพยาธิทันที

แนวทางการป้องกัน ไม่ให้สุนัขไถก้น

-   นวดบริเวณต่อมข้างก้นให้กับสุนัข อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
-   ถ้าเจ้าของไม่รู้จักวิธีการนวด หรือบีบต่อมข้างก้น อาจจะให้สัตวแพทย์หรือร้านอาบน้ำตัดขนทำให้ก็ได้
-   พาสุนัขออกไปเดินนอกบ้านบ้าง เพื่อช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว และเกิดการขับสารของต่อมนี้เวลาเดินเล่น หรือเวลาเจอกับเพื่อนสุนัขตัวอื่นๆ
-   วางแผนป้องกันเรื่องพยาธิภายนอกและพยาธิภายในให้กับสุนัขอย่างต่อเนื่อง สุนัขควรได้รรับยาถ่ายพยาธิ ทุก 3-6 เดือน และให้ยาป้องกันเห็บหมัด ทุก 1-3 เดือน ขึ้นกับชนิดของตัวยาที่ได้รับ
-   ไม่ควรนิ่งนอนใจกับอาการไถก้นไปกับพื้นของสุนัข ควรจะปรึกษากับสัตวแพทย์ หรือพาไปตรวจเช็คกับสัตวแพทย์บ้างเป็นครั้งคราว

407
ทำไมสุนัขถึงชอบไถก้น มาหาคำตอบกัน !

   หากคุณเคยเลี้ยงสุนัข คงจะต้องเคยเห็นท่าทางที่สุนัขทำท่านั่งแล้วค่อยๆไถก้นไปกับพื้น หรืออาจจะทำท่านี้หลังจากการขับถ่าย บางตัวทำกันเป็นประจำ หรือบางตัวก็นานๆจะทำให้เห็นสักทีนึง อาการนี้อาจจะเป็นอาการปกติทั่วไป ? หรือบ่งบอกถึงโรคบางชนิดกันแน่ ?




ทำไมสุนัขถึงไถก้นไปกับพื้นกันนะ ?

สุนัขมีความผิดปกติของต่อมข้างก้น   

   สุนัขโดยทั่วไปจะมีต่อมข้างก้น ต่อมก้น (Anal gland หรือ Anal sac) หรือบางคนเรียกว่าต่อมเหม็น ซึ่งต่อมนี้จะอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณข้างรูก้นของสุนัขทั้งสองฝั่ง สุนัขในธรรมชาติมีต่อมข้างก้นนี้สำหรับปล่อยกลิ่นออกมา เป็นการบ่งบอกความเฉพาะตัวของแต่ละตัว (scent marking) สุนัขเวลาที่มาเจอกัน จะทักทายกันด้วยการดมบริเวณต่อมก้นกัน โดยปกติต่อมนี้จะมีของเหลวปริมาณเล็กน้อย และจะถูกขับออกมาเมื่อสุนัขขับถ่ายอุจจาระ แต่มักจะพบปัญหาต่อมข้างก้นอักเสบ หรืออุดตันได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก เลี้ยงในบ้าน มากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ หากต่อมนี้มีการอักเสบจะทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว ไถก้นไปกับพื้นบ่อยครั้ง และหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้จากการอักเสบลุกลามไปเป็นการติดเชื้อ และอาจจะรุนแรงจนต่อมนี้แตกเป็นแผลเปิดได้ หรือสุนัขบางตัวอาจจะไม่ยอมเบ่งถ่ายอุจจาระเนื่องจากปวดบริเวณรอบๆก้น กลายเป็นอาการท้องผูกตามมาได้ เพราะฉะนั้นหากเห็นว่าสุนัขมีอาการไถก้น เจ้าของไม่ควรนิ่งนอนใจและควรพาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์

สุนัขติดพยาธิทางเดินอาหาร

   สุนัขที่แสดงอาการไถก้นไปกับพื้น อาจจะบ่งบอกถึงอาการคันบริเวณรอบๆก้น เนื่องจากมีไข่พยาธิบางชนิดหลุดปนมากับอุจจาระ โดยที่พบได้บ่อยพบว่าเป็นไข่พยาธิตัวตืด หรือพยาธิเม็ดแตงกวา (tapeworm) สุนัขติดพยาธิชนิดนี้จากการกินหมัดที่มีตัวอ่อนของพยาธินี้เข้าไปโดยบังเอิญ และพยาธิจะเจริญเป็นตัวแก่ในทางเดินอาหารและปล่อยปล้องแก่ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าว หรือเมล็ดแตงกวาออกมา หากพบอาการไถก้น ร่วมกับเจอปล้องแก่ของพยาธิแนะนำว่าควรพาสุนัขไปรับยาถ่ายพยาธิทันที

แนวทางการป้องกัน ไม่ให้สุนัขไถก้น

-   นวดบริเวณต่อมข้างก้นให้กับสุนัข อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
-   ถ้าเจ้าของไม่รู้จักวิธีการนวด หรือบีบต่อมข้างก้น อาจจะให้สัตวแพทย์หรือร้านอาบน้ำตัดขนทำให้ก็ได้
-   พาสุนัขออกไปเดินนอกบ้านบ้าง เพื่อช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว และเกิดการขับสารของต่อมนี้เวลาเดินเล่น หรือเวลาเจอกับเพื่อนสุนัขตัวอื่นๆ
-   วางแผนป้องกันเรื่องพยาธิภายนอกและพยาธิภายในให้กับสุนัขอย่างต่อเนื่อง สุนัขควรได้รรับยาถ่ายพยาธิ ทุก 3-6 เดือน และให้ยาป้องกันเห็บหมัด ทุก 1-3 เดือน ขึ้นกับชนิดของตัวยาที่ได้รับ
-   ไม่ควรนิ่งนอนใจกับอาการไถก้นไปกับพื้นของสุนัข ควรจะปรึกษากับสัตวแพทย์ หรือพาไปตรวจเช็คกับสัตวแพทย์บ้างเป็นครั้งคราว

408
ทำไมสุนัขถึงชอบไถก้น มาหาคำตอบกัน !

   หากคุณเคยเลี้ยงสุนัข คงจะต้องเคยเห็นท่าทางที่สุนัขทำท่านั่งแล้วค่อยๆไถก้นไปกับพื้น หรืออาจจะทำท่านี้หลังจากการขับถ่าย บางตัวทำกันเป็นประจำ หรือบางตัวก็นานๆจะทำให้เห็นสักทีนึง อาการนี้อาจจะเป็นอาการปกติทั่วไป ? หรือบ่งบอกถึงโรคบางชนิดกันแน่ ?




ทำไมสุนัขถึงไถก้นไปกับพื้นกันนะ ?

สุนัขมีความผิดปกติของต่อมข้างก้น   

   สุนัขโดยทั่วไปจะมีต่อมข้างก้น ต่อมก้น (Anal gland หรือ Anal sac) หรือบางคนเรียกว่าต่อมเหม็น ซึ่งต่อมนี้จะอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณข้างรูก้นของสุนัขทั้งสองฝั่ง สุนัขในธรรมชาติมีต่อมข้างก้นนี้สำหรับปล่อยกลิ่นออกมา เป็นการบ่งบอกความเฉพาะตัวของแต่ละตัว (scent marking) สุนัขเวลาที่มาเจอกัน จะทักทายกันด้วยการดมบริเวณต่อมก้นกัน โดยปกติต่อมนี้จะมีของเหลวปริมาณเล็กน้อย และจะถูกขับออกมาเมื่อสุนัขขับถ่ายอุจจาระ แต่มักจะพบปัญหาต่อมข้างก้นอักเสบ หรืออุดตันได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก เลี้ยงในบ้าน มากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ หากต่อมนี้มีการอักเสบจะทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว ไถก้นไปกับพื้นบ่อยครั้ง และหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้จากการอักเสบลุกลามไปเป็นการติดเชื้อ และอาจจะรุนแรงจนต่อมนี้แตกเป็นแผลเปิดได้ หรือสุนัขบางตัวอาจจะไม่ยอมเบ่งถ่ายอุจจาระเนื่องจากปวดบริเวณรอบๆก้น กลายเป็นอาการท้องผูกตามมาได้ เพราะฉะนั้นหากเห็นว่าสุนัขมีอาการไถก้น เจ้าของไม่ควรนิ่งนอนใจและควรพาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์

สุนัขติดพยาธิทางเดินอาหาร

   สุนัขที่แสดงอาการไถก้นไปกับพื้น อาจจะบ่งบอกถึงอาการคันบริเวณรอบๆก้น เนื่องจากมีไข่พยาธิบางชนิดหลุดปนมากับอุจจาระ โดยที่พบได้บ่อยพบว่าเป็นไข่พยาธิตัวตืด หรือพยาธิเม็ดแตงกวา (tapeworm) สุนัขติดพยาธิชนิดนี้จากการกินหมัดที่มีตัวอ่อนของพยาธินี้เข้าไปโดยบังเอิญ และพยาธิจะเจริญเป็นตัวแก่ในทางเดินอาหารและปล่อยปล้องแก่ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าว หรือเมล็ดแตงกวาออกมา หากพบอาการไถก้น ร่วมกับเจอปล้องแก่ของพยาธิแนะนำว่าควรพาสุนัขไปรับยาถ่ายพยาธิทันที

แนวทางการป้องกัน ไม่ให้สุนัขไถก้น

-   นวดบริเวณต่อมข้างก้นให้กับสุนัข อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
-   ถ้าเจ้าของไม่รู้จักวิธีการนวด หรือบีบต่อมข้างก้น อาจจะให้สัตวแพทย์หรือร้านอาบน้ำตัดขนทำให้ก็ได้
-   พาสุนัขออกไปเดินนอกบ้านบ้าง เพื่อช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว และเกิดการขับสารของต่อมนี้เวลาเดินเล่น หรือเวลาเจอกับเพื่อนสุนัขตัวอื่นๆ
-   วางแผนป้องกันเรื่องพยาธิภายนอกและพยาธิภายในให้กับสุนัขอย่างต่อเนื่อง สุนัขควรได้รรับยาถ่ายพยาธิ ทุก 3-6 เดือน และให้ยาป้องกันเห็บหมัด ทุก 1-3 เดือน ขึ้นกับชนิดของตัวยาที่ได้รับ
-   ไม่ควรนิ่งนอนใจกับอาการไถก้นไปกับพื้นของสุนัข ควรจะปรึกษากับสัตวแพทย์ หรือพาไปตรวจเช็คกับสัตวแพทย์บ้างเป็นครั้งคราว

409
เคล็ดลับเตรียมตัวก่อนย้ายบ้านให้แมว

   แมวเป็นสัตว์ที่ติดสถานที่มากกว่าที่จะติดเจ้าของเหมือนสุนัข เขาจะรู้สึกปลอดภัยในสภาพแวดล้อมหรือกับคนที่คุ้นเคย หากมีการเปลี่ยนแปลง เดินทาง ย้ายที่อยู่ จะเป็นปัจจัยทำให้แมวมีความเครียด และหากเจ้าของไม่มีความเข้าใจ และไม่ได้เตรียมตัว อาจจะทำให้แมวเกิดอาการเครียดต่อเนื่องแม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่มานานแล้วก็ตาม ดังนั้นหากเจ้าของแมวกำลังจะย้ายบ้าน ย้ายเมือง แม้กระทั่งการย้ายประเทศ หรือกำลังจะรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง คุณพลาดบทความนี้ไม่ได้ !



ความเครียดจากการย้ายที่อยู่ส่งผลต่อแมวอย่างไร

   แมวแต่ละตัวมีลักษณะนิสัยที่ต่างกัน บางตัวการย้านที่อยู่อาจจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยในขณะที่อีกตัวอาจจะคิดว่านั่นเป็นภัยคุกคามถึงชีวิต ! น้องแมวที่มีอาการเครียดหลังจากการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม อาจจะแสดงอาการเก็บตัว หลบซ่อนตามมุมต่างๆ หรือบางตัวหนีหายออกจากบ้านไปเลยเพราะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย  บางตัวไม่ยอมกินอาหาร ขับถ่ายไม่เป็นที่ หรือบางตัวมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลวก็สามารถพบได้ และหากน้องแมวเป็นแมวที่ป่วยด้วยโรคประจำตัว หรือโรคติดเชื้อไวรัสลิวคีเมีย โรคไวรัสเอดส์แมว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าแมวทั่วไป เป็นสาเหตุของการติดเชื้ออืนๆจนทำให้น้องแมวป่วยตามมาได้

เตรียมตัว เตรียมใจ เจ้าของแมวก่อนย้ายบ้าน

   เจ้าของแมวเองคงมีเรื่องต้องทำมากมายก่อนการย้ายบ้าน และก็คงจะมีภาระที่ต้องสะสางไม่มากก็น้อย อยากให้เจ้าของเตรียมใจว่าการย้ายบ้านนั้นอาจจะทำให้แมวของเรานิสัยเปลี่ยนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดที่แมวเราไม่เคยทำมาก่อน มาทำในช่วระยะเวลานี้ ดังนั้นเจ้าของแมวจะต้องเตรียมใจ เตรียมความพร้อมทุกคนในครอบครัวที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ค่อยๆแก้ไขปัญหาไป และไม่เอาความอารมณ์เสียไปลงกับแมว และอยากให้ทำความเข้าใจน้องแมวให้มากๆ ว่าเขาก็จะต้องมีความกดดันของเขาจากการย้ายบ้านเช่นเดียวกัน

เตรียมน้องแมว ให้พร้อม

   การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง ควรฝึกให้น้องแมวอยู่ในกรงที่จะใช้สำหรับขนย้าย อาจจะลองให้อาหารในกรงนเพื่อสร้างความคุ้นเคย หากน้องแมวไม่เคยนั่งรถระยะไกลๆมาก่อน หรือมีอาการเมารถ ก่อนการเดินทางควรพาน้องแมวไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์ และขอรับยาลดอาการเมารถให้น้องแมวทานก่อนการเดินทาง โดยทั่วไปยาจะต้องทานก่อนประมาณ 15 นาที และจะต้องทานซ้ำทุก 4-6 ชั่วโมง และหากเป็นไปได้ควรให้น้องแมวทำไมโครชิพเพื่อระบุตัวตนก่อนการเดินทาง ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น น้องแมวหลุดหรือหายไปหากีใครพบเจอจะได้ส่งคืนเจ้าของได้ และควรให้แขวนป้ายที่ระบชื่อและข้อมูลติดต่อของเจ้าของไว้ที่ปลอกคอเสมอ ในระหว่างการเดินทางราอาจจะต้องหาภาชนะใส่น้ำให้แมวกินระหว่างการเดินทางด้วย และอาจจะให้อาหารมื้อเล็กๆในระหว่างการเดินทาง ไม่ควรปล่อยแมวหรืออุ้มแมวออกจากรถโดยไม่จำเป็น เพราะแมวอาจจะตื่นสถานที่และพยายามหนีไปได้

เตรียมบ้าน ต้อนรับแมว

   หลังจากที่ย้ายของต่างๆเข้าบ้านแล้ว ถ้าเป็นไปได้ควรใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่นแมว กระบะทรายหรือห้องน้าแมวอันเดิม หรืออย่างน้อยจำนวนต่างๆควรจะเท่าเดิม และพยายามจัดสภาพแวดล้อมในบ้านใหม่ของเราให้มีพื้นที่สำหรับเขา ไม่ให้น้องแมวรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือไม่มีพื้นที่สำหรับเขา ต้องคอยระวังในช่วง 2-3 วันแรกที่ย้ายบ้านอาจจะมีความเครียดสูง สามารถใช้ฟีโรโมนลดความเครียดสำหรับแมว หรือลองใช้กัญชาแมวเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย


410
เคล็ดลับเตรียมตัวก่อนย้ายบ้านให้แมว

   แมวเป็นสัตว์ที่ติดสถานที่มากกว่าที่จะติดเจ้าของเหมือนสุนัข เขาจะรู้สึกปลอดภัยในสภาพแวดล้อมหรือกับคนที่คุ้นเคย หากมีการเปลี่ยนแปลง เดินทาง ย้ายที่อยู่ จะเป็นปัจจัยทำให้แมวมีความเครียด และหากเจ้าของไม่มีความเข้าใจ และไม่ได้เตรียมตัว อาจจะทำให้แมวเกิดอาการเครียดต่อเนื่องแม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่มานานแล้วก็ตาม ดังนั้นหากเจ้าของแมวกำลังจะย้ายบ้าน ย้ายเมือง แม้กระทั่งการย้ายประเทศ หรือกำลังจะรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง คุณพลาดบทความนี้ไม่ได้ !



ความเครียดจากการย้ายที่อยู่ส่งผลต่อแมวอย่างไร

   แมวแต่ละตัวมีลักษณะนิสัยที่ต่างกัน บางตัวการย้านที่อยู่อาจจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยในขณะที่อีกตัวอาจจะคิดว่านั่นเป็นภัยคุกคามถึงชีวิต ! น้องแมวที่มีอาการเครียดหลังจากการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม อาจจะแสดงอาการเก็บตัว หลบซ่อนตามมุมต่างๆ หรือบางตัวหนีหายออกจากบ้านไปเลยเพราะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย  บางตัวไม่ยอมกินอาหาร ขับถ่ายไม่เป็นที่ หรือบางตัวมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลวก็สามารถพบได้ และหากน้องแมวเป็นแมวที่ป่วยด้วยโรคประจำตัว หรือโรคติดเชื้อไวรัสลิวคีเมีย โรคไวรัสเอดส์แมว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าแมวทั่วไป เป็นสาเหตุของการติดเชื้ออืนๆจนทำให้น้องแมวป่วยตามมาได้

เตรียมตัว เตรียมใจ เจ้าของแมวก่อนย้ายบ้าน

   เจ้าของแมวเองคงมีเรื่องต้องทำมากมายก่อนการย้ายบ้าน และก็คงจะมีภาระที่ต้องสะสางไม่มากก็น้อย อยากให้เจ้าของเตรียมใจว่าการย้ายบ้านนั้นอาจจะทำให้แมวของเรานิสัยเปลี่ยนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดที่แมวเราไม่เคยทำมาก่อน มาทำในช่วระยะเวลานี้ ดังนั้นเจ้าของแมวจะต้องเตรียมใจ เตรียมความพร้อมทุกคนในครอบครัวที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ค่อยๆแก้ไขปัญหาไป และไม่เอาความอารมณ์เสียไปลงกับแมว และอยากให้ทำความเข้าใจน้องแมวให้มากๆ ว่าเขาก็จะต้องมีความกดดันของเขาจากการย้ายบ้านเช่นเดียวกัน

เตรียมน้องแมว ให้พร้อม

   การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง ควรฝึกให้น้องแมวอยู่ในกรงที่จะใช้สำหรับขนย้าย อาจจะลองให้อาหารในกรงนเพื่อสร้างความคุ้นเคย หากน้องแมวไม่เคยนั่งรถระยะไกลๆมาก่อน หรือมีอาการเมารถ ก่อนการเดินทางควรพาน้องแมวไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์ และขอรับยาลดอาการเมารถให้น้องแมวทานก่อนการเดินทาง โดยทั่วไปยาจะต้องทานก่อนประมาณ 15 นาที และจะต้องทานซ้ำทุก 4-6 ชั่วโมง และหากเป็นไปได้ควรให้น้องแมวทำไมโครชิพเพื่อระบุตัวตนก่อนการเดินทาง ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น น้องแมวหลุดหรือหายไปหากีใครพบเจอจะได้ส่งคืนเจ้าของได้ และควรให้แขวนป้ายที่ระบชื่อและข้อมูลติดต่อของเจ้าของไว้ที่ปลอกคอเสมอ ในระหว่างการเดินทางราอาจจะต้องหาภาชนะใส่น้ำให้แมวกินระหว่างการเดินทางด้วย และอาจจะให้อาหารมื้อเล็กๆในระหว่างการเดินทาง ไม่ควรปล่อยแมวหรืออุ้มแมวออกจากรถโดยไม่จำเป็น เพราะแมวอาจจะตื่นสถานที่และพยายามหนีไปได้

เตรียมบ้าน ต้อนรับแมว

   หลังจากที่ย้ายของต่างๆเข้าบ้านแล้ว ถ้าเป็นไปได้ควรใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่นแมว กระบะทรายหรือห้องน้าแมวอันเดิม หรืออย่างน้อยจำนวนต่างๆควรจะเท่าเดิม และพยายามจัดสภาพแวดล้อมในบ้านใหม่ของเราให้มีพื้นที่สำหรับเขา ไม่ให้น้องแมวรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือไม่มีพื้นที่สำหรับเขา ต้องคอยระวังในช่วง 2-3 วันแรกที่ย้ายบ้านอาจจะมีความเครียดสูง สามารถใช้ฟีโรโมนลดความเครียดสำหรับแมว หรือลองใช้กัญชาแมวเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย


411
เคล็ดลับเตรียมตัวก่อนย้ายบ้านให้แมว

   แมวเป็นสัตว์ที่ติดสถานที่มากกว่าที่จะติดเจ้าของเหมือนสุนัข เขาจะรู้สึกปลอดภัยในสภาพแวดล้อมหรือกับคนที่คุ้นเคย หากมีการเปลี่ยนแปลง เดินทาง ย้ายที่อยู่ จะเป็นปัจจัยทำให้แมวมีความเครียด และหากเจ้าของไม่มีความเข้าใจ และไม่ได้เตรียมตัว อาจจะทำให้แมวเกิดอาการเครียดต่อเนื่องแม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่มานานแล้วก็ตาม ดังนั้นหากเจ้าของแมวกำลังจะย้ายบ้าน ย้ายเมือง แม้กระทั่งการย้ายประเทศ หรือกำลังจะรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง คุณพลาดบทความนี้ไม่ได้ !



ความเครียดจากการย้ายที่อยู่ส่งผลต่อแมวอย่างไร

   แมวแต่ละตัวมีลักษณะนิสัยที่ต่างกัน บางตัวการย้านที่อยู่อาจจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยในขณะที่อีกตัวอาจจะคิดว่านั่นเป็นภัยคุกคามถึงชีวิต ! น้องแมวที่มีอาการเครียดหลังจากการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม อาจจะแสดงอาการเก็บตัว หลบซ่อนตามมุมต่างๆ หรือบางตัวหนีหายออกจากบ้านไปเลยเพราะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย  บางตัวไม่ยอมกินอาหาร ขับถ่ายไม่เป็นที่ หรือบางตัวมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลวก็สามารถพบได้ และหากน้องแมวเป็นแมวที่ป่วยด้วยโรคประจำตัว หรือโรคติดเชื้อไวรัสลิวคีเมีย โรคไวรัสเอดส์แมว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าแมวทั่วไป เป็นสาเหตุของการติดเชื้ออืนๆจนทำให้น้องแมวป่วยตามมาได้

เตรียมตัว เตรียมใจ เจ้าของแมวก่อนย้ายบ้าน

   เจ้าของแมวเองคงมีเรื่องต้องทำมากมายก่อนการย้ายบ้าน และก็คงจะมีภาระที่ต้องสะสางไม่มากก็น้อย อยากให้เจ้าของเตรียมใจว่าการย้ายบ้านนั้นอาจจะทำให้แมวของเรานิสัยเปลี่ยนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดที่แมวเราไม่เคยทำมาก่อน มาทำในช่วระยะเวลานี้ ดังนั้นเจ้าของแมวจะต้องเตรียมใจ เตรียมความพร้อมทุกคนในครอบครัวที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ค่อยๆแก้ไขปัญหาไป และไม่เอาความอารมณ์เสียไปลงกับแมว และอยากให้ทำความเข้าใจน้องแมวให้มากๆ ว่าเขาก็จะต้องมีความกดดันของเขาจากการย้ายบ้านเช่นเดียวกัน

เตรียมน้องแมว ให้พร้อม

   การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง ควรฝึกให้น้องแมวอยู่ในกรงที่จะใช้สำหรับขนย้าย อาจจะลองให้อาหารในกรงนเพื่อสร้างความคุ้นเคย หากน้องแมวไม่เคยนั่งรถระยะไกลๆมาก่อน หรือมีอาการเมารถ ก่อนการเดินทางควรพาน้องแมวไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์ และขอรับยาลดอาการเมารถให้น้องแมวทานก่อนการเดินทาง โดยทั่วไปยาจะต้องทานก่อนประมาณ 15 นาที และจะต้องทานซ้ำทุก 4-6 ชั่วโมง และหากเป็นไปได้ควรให้น้องแมวทำไมโครชิพเพื่อระบุตัวตนก่อนการเดินทาง ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น น้องแมวหลุดหรือหายไปหากีใครพบเจอจะได้ส่งคืนเจ้าของได้ และควรให้แขวนป้ายที่ระบชื่อและข้อมูลติดต่อของเจ้าของไว้ที่ปลอกคอเสมอ ในระหว่างการเดินทางราอาจจะต้องหาภาชนะใส่น้ำให้แมวกินระหว่างการเดินทางด้วย และอาจจะให้อาหารมื้อเล็กๆในระหว่างการเดินทาง ไม่ควรปล่อยแมวหรืออุ้มแมวออกจากรถโดยไม่จำเป็น เพราะแมวอาจจะตื่นสถานที่และพยายามหนีไปได้

เตรียมบ้าน ต้อนรับแมว

   หลังจากที่ย้ายของต่างๆเข้าบ้านแล้ว ถ้าเป็นไปได้ควรใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่นแมว กระบะทรายหรือห้องน้าแมวอันเดิม หรืออย่างน้อยจำนวนต่างๆควรจะเท่าเดิม และพยายามจัดสภาพแวดล้อมในบ้านใหม่ของเราให้มีพื้นที่สำหรับเขา ไม่ให้น้องแมวรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือไม่มีพื้นที่สำหรับเขา ต้องคอยระวังในช่วง 2-3 วันแรกที่ย้ายบ้านอาจจะมีความเครียดสูง สามารถใช้ฟีโรโมนลดความเครียดสำหรับแมว หรือลองใช้กัญชาแมวเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย


412
เคล็ดลับเตรียมตัวก่อนย้ายบ้านให้แมว

   แมวเป็นสัตว์ที่ติดสถานที่มากกว่าที่จะติดเจ้าของเหมือนสุนัข เขาจะรู้สึกปลอดภัยในสภาพแวดล้อมหรือกับคนที่คุ้นเคย หากมีการเปลี่ยนแปลง เดินทาง ย้ายที่อยู่ จะเป็นปัจจัยทำให้แมวมีความเครียด และหากเจ้าของไม่มีความเข้าใจ และไม่ได้เตรียมตัว อาจจะทำให้แมวเกิดอาการเครียดต่อเนื่องแม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่มานานแล้วก็ตาม ดังนั้นหากเจ้าของแมวกำลังจะย้ายบ้าน ย้ายเมือง แม้กระทั่งการย้ายประเทศ หรือกำลังจะรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง คุณพลาดบทความนี้ไม่ได้ !



ความเครียดจากการย้ายที่อยู่ส่งผลต่อแมวอย่างไร

   แมวแต่ละตัวมีลักษณะนิสัยที่ต่างกัน บางตัวการย้านที่อยู่อาจจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยในขณะที่อีกตัวอาจจะคิดว่านั่นเป็นภัยคุกคามถึงชีวิต ! น้องแมวที่มีอาการเครียดหลังจากการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม อาจจะแสดงอาการเก็บตัว หลบซ่อนตามมุมต่างๆ หรือบางตัวหนีหายออกจากบ้านไปเลยเพราะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย  บางตัวไม่ยอมกินอาหาร ขับถ่ายไม่เป็นที่ หรือบางตัวมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลวก็สามารถพบได้ และหากน้องแมวเป็นแมวที่ป่วยด้วยโรคประจำตัว หรือโรคติดเชื้อไวรัสลิวคีเมีย โรคไวรัสเอดส์แมว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าแมวทั่วไป เป็นสาเหตุของการติดเชื้ออืนๆจนทำให้น้องแมวป่วยตามมาได้

เตรียมตัว เตรียมใจ เจ้าของแมวก่อนย้ายบ้าน

   เจ้าของแมวเองคงมีเรื่องต้องทำมากมายก่อนการย้ายบ้าน และก็คงจะมีภาระที่ต้องสะสางไม่มากก็น้อย อยากให้เจ้าของเตรียมใจว่าการย้ายบ้านนั้นอาจจะทำให้แมวของเรานิสัยเปลี่ยนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดที่แมวเราไม่เคยทำมาก่อน มาทำในช่วระยะเวลานี้ ดังนั้นเจ้าของแมวจะต้องเตรียมใจ เตรียมความพร้อมทุกคนในครอบครัวที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ค่อยๆแก้ไขปัญหาไป และไม่เอาความอารมณ์เสียไปลงกับแมว และอยากให้ทำความเข้าใจน้องแมวให้มากๆ ว่าเขาก็จะต้องมีความกดดันของเขาจากการย้ายบ้านเช่นเดียวกัน

เตรียมน้องแมว ให้พร้อม

   การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง ควรฝึกให้น้องแมวอยู่ในกรงที่จะใช้สำหรับขนย้าย อาจจะลองให้อาหารในกรงนเพื่อสร้างความคุ้นเคย หากน้องแมวไม่เคยนั่งรถระยะไกลๆมาก่อน หรือมีอาการเมารถ ก่อนการเดินทางควรพาน้องแมวไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์ และขอรับยาลดอาการเมารถให้น้องแมวทานก่อนการเดินทาง โดยทั่วไปยาจะต้องทานก่อนประมาณ 15 นาที และจะต้องทานซ้ำทุก 4-6 ชั่วโมง และหากเป็นไปได้ควรให้น้องแมวทำไมโครชิพเพื่อระบุตัวตนก่อนการเดินทาง ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น น้องแมวหลุดหรือหายไปหากีใครพบเจอจะได้ส่งคืนเจ้าของได้ และควรให้แขวนป้ายที่ระบชื่อและข้อมูลติดต่อของเจ้าของไว้ที่ปลอกคอเสมอ ในระหว่างการเดินทางราอาจจะต้องหาภาชนะใส่น้ำให้แมวกินระหว่างการเดินทางด้วย และอาจจะให้อาหารมื้อเล็กๆในระหว่างการเดินทาง ไม่ควรปล่อยแมวหรืออุ้มแมวออกจากรถโดยไม่จำเป็น เพราะแมวอาจจะตื่นสถานที่และพยายามหนีไปได้

เตรียมบ้าน ต้อนรับแมว

   หลังจากที่ย้ายของต่างๆเข้าบ้านแล้ว ถ้าเป็นไปได้ควรใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่นแมว กระบะทรายหรือห้องน้าแมวอันเดิม หรืออย่างน้อยจำนวนต่างๆควรจะเท่าเดิม และพยายามจัดสภาพแวดล้อมในบ้านใหม่ของเราให้มีพื้นที่สำหรับเขา ไม่ให้น้องแมวรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือไม่มีพื้นที่สำหรับเขา ต้องคอยระวังในช่วง 2-3 วันแรกที่ย้ายบ้านอาจจะมีความเครียดสูง สามารถใช้ฟีโรโมนลดความเครียดสำหรับแมว หรือลองใช้กัญชาแมวเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย


413
อาบน้ำ ตัดเล็บ เช็ดหู แปรงฟัน ให้แมวกันเถอะ !

   ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรือแมว หรือแม้กระทั่งสัตว์อื่นๆ นอกจากการดูแลให้สัตว์เลี้ยงของเราได้รับอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว การดูแลเรื่องความสะอาดหรือสุขอนามัยก็เป็นเรื่องที่เราจะละเลยไม่ได้ สาวกคนรักแมวก็อาจจะสงสัยว่า น้องแมวจำเป็นต้องอาบน้ำ แปรงฟันหรือไม่ แล้วทำอย่างไร และทำบ่อยแค่ไหน วันนี้เรามีคำตอบ !
น้องแมว จำเป็นต้องอาบน้ำหรือไม่



   แมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด จะเห็นได้ว่าแมวจะคอยเลียทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ หรือมักจะคอยเลียให้กันหากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ความถี่ในการอาบน้ำของน้องแมวขึ้นอยู่กับ Life style ของน้องแมวด้วย ถ้าเป็นแมวที่เลี้ยงอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนเลย ก็อาจจะพิจารณาอาบน้ำ 1 ครั้งต่อเดือน แต่ถ้าออกไปข้างนอกทุกวันก็พิจารณาความถี่ในการอาบน้ำอาจจะต้องมากกว่าแมวที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน และสำหรับน้องแมวขนยาวเจ้าของอาจจะต้องช่วยแปรงขนเป็นประจำ เพื่อลดปัญหาน้องแมวเลียกินขนเข้าไป และเกิดการอุดตันในลำไส้ หรือเกิดอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก โดยควรจะแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และในช่วงที่มีการผลัตขนมากหรือมีขนร่วงเยอะเป็นพิเศษ สามารถใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำลูบตามตัวเพื่อเก็บเส้นขนที่หลุดออกได้
ตัดเล็บแมว เรื่องหนักใจสำหรับทาสแมว

    การตัดเล็บให้น้องแมวไม่ควรตัดให้สั้นจนเกินไป เนื่องจากน้องแมวใช้เล็บในการเกาะ หรือปีนป่ายที่ต่างๆ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ยาวจนเกินไป เนื่องจากเล็บที่ยาวมากค่อนข้างจะมีความแหลมคม น้องแมวอาจจะเผลอข่วนเราโดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจจะทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ได้ ความถี่ในการตัดเล็บประมาณ  ทุก 1-2 เดือนขึ้นกับแต่ละตัว เจ้าของต้องคอยสังเกตุเอา แมวบางตัวชอบปีนป่าย ชอบการฝนเล็บ ก็อาจจะทำให้เล็บยาวช้ากว่า แต่ถ้าน้องแมวเป็นแมวติดบ้าน ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยลับเล็บก็อาจจะพบว่าเล็บยาวกว่าได้ และทางที่ดีที่สุดในการตัดเล็บให้แมวคือ เราควรจะต้องฝึกการตัดเล็บตั้งแต่เป็นลูกแมว หรือให้รางวัลทุกครั้งหลังจากที่ทำตัวดีเวลาตัดเล็บ หรือถ้าไม่สามารถทำได้อาจจะต้องพาไปร้านอาบน้ำตัดขน หรือคลินิกรักษาสัตว์ให้ผู้ที่ชำนาญตัดให้

เช็ดหู ตรวจหูให้น้องแมวที่บ้านกัน

   น้องแมวมีใบหูตั้งค่อนข้างมีปัญหาเกี่ยวกับช่องหูน้อย ต่างจากสุนัขที่มีลักษณะใบหูทั้งแบบตั้ง และแบบพับปิดลง มักเกิดการติดเชื้อมากกว่า สำหรับน้องแมวอาจจะพบปัญหาไรในหู ซึ่งจะทำให้มีขี้หูสี้ดำ คันหู หูอักเสบ โดนหูไม่ค่อยได้ ไม่ยอมให้จับ หากเจ้าของเห็นลักษณะแบบนี้ การเช็ดหูอาจจะไม่เพียงพอ น้องแมวจำเป็นต้องได้รับยารักษาร่วมกับการเช็ดทำความสะอาดด้วย

แมวก็แปรงฟันได้

   ไม่ใช่แค่สุนัขเท่านั้นที่แปรงฟันได้ แต่แมวก็สามารถแปรงฟันได้ และแนะนำให้ทำเป็นประจำด้วย เพื่อลดปัญหาโรคในช่องปากของมว โรคในช่องปากของน้องแมวไม่ต่างไปจากคนเลย เมื่ออายุมากขึ้นก็อาจจะพบหินปูนเกาะ เหงือกอักเสบ นำไปสู่การสูญเสียฟัน บางตัวมีอาการเจ็บปาก ทานอาหารไม่ได้ ถ้าสามารถฝึกให้น้องแมวแปรงฟันได้ ก็จะช่วยให้ฟันของแมวอยู่กับเขาไปนานๆ การแปรงฟันสามารถเริ่มได้ที่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และเพิ่มความถี่ได้ และควรเลือกใช้แปรงยางขนาดเล็ก
   


414
อาบน้ำ ตัดเล็บ เช็ดหู แปรงฟัน ให้แมวกันเถอะ !

   ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรือแมว หรือแม้กระทั่งสัตว์อื่นๆ นอกจากการดูแลให้สัตว์เลี้ยงของเราได้รับอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว การดูแลเรื่องความสะอาดหรือสุขอนามัยก็เป็นเรื่องที่เราจะละเลยไม่ได้ สาวกคนรักแมวก็อาจจะสงสัยว่า น้องแมวจำเป็นต้องอาบน้ำ แปรงฟันหรือไม่ แล้วทำอย่างไร และทำบ่อยแค่ไหน วันนี้เรามีคำตอบ !
น้องแมว จำเป็นต้องอาบน้ำหรือไม่



   แมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด จะเห็นได้ว่าแมวจะคอยเลียทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ หรือมักจะคอยเลียให้กันหากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ความถี่ในการอาบน้ำของน้องแมวขึ้นอยู่กับ Life style ของน้องแมวด้วย ถ้าเป็นแมวที่เลี้ยงอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนเลย ก็อาจจะพิจารณาอาบน้ำ 1 ครั้งต่อเดือน แต่ถ้าออกไปข้างนอกทุกวันก็พิจารณาความถี่ในการอาบน้ำอาจจะต้องมากกว่าแมวที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน และสำหรับน้องแมวขนยาวเจ้าของอาจจะต้องช่วยแปรงขนเป็นประจำ เพื่อลดปัญหาน้องแมวเลียกินขนเข้าไป และเกิดการอุดตันในลำไส้ หรือเกิดอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก โดยควรจะแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และในช่วงที่มีการผลัตขนมากหรือมีขนร่วงเยอะเป็นพิเศษ สามารถใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำลูบตามตัวเพื่อเก็บเส้นขนที่หลุดออกได้
ตัดเล็บแมว เรื่องหนักใจสำหรับทาสแมว

    การตัดเล็บให้น้องแมวไม่ควรตัดให้สั้นจนเกินไป เนื่องจากน้องแมวใช้เล็บในการเกาะ หรือปีนป่ายที่ต่างๆ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ยาวจนเกินไป เนื่องจากเล็บที่ยาวมากค่อนข้างจะมีความแหลมคม น้องแมวอาจจะเผลอข่วนเราโดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจจะทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ได้ ความถี่ในการตัดเล็บประมาณ  ทุก 1-2 เดือนขึ้นกับแต่ละตัว เจ้าของต้องคอยสังเกตุเอา แมวบางตัวชอบปีนป่าย ชอบการฝนเล็บ ก็อาจจะทำให้เล็บยาวช้ากว่า แต่ถ้าน้องแมวเป็นแมวติดบ้าน ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยลับเล็บก็อาจจะพบว่าเล็บยาวกว่าได้ และทางที่ดีที่สุดในการตัดเล็บให้แมวคือ เราควรจะต้องฝึกการตัดเล็บตั้งแต่เป็นลูกแมว หรือให้รางวัลทุกครั้งหลังจากที่ทำตัวดีเวลาตัดเล็บ หรือถ้าไม่สามารถทำได้อาจจะต้องพาไปร้านอาบน้ำตัดขน หรือคลินิกรักษาสัตว์ให้ผู้ที่ชำนาญตัดให้

เช็ดหู ตรวจหูให้น้องแมวที่บ้านกัน

   น้องแมวมีใบหูตั้งค่อนข้างมีปัญหาเกี่ยวกับช่องหูน้อย ต่างจากสุนัขที่มีลักษณะใบหูทั้งแบบตั้ง และแบบพับปิดลง มักเกิดการติดเชื้อมากกว่า สำหรับน้องแมวอาจจะพบปัญหาไรในหู ซึ่งจะทำให้มีขี้หูสี้ดำ คันหู หูอักเสบ โดนหูไม่ค่อยได้ ไม่ยอมให้จับ หากเจ้าของเห็นลักษณะแบบนี้ การเช็ดหูอาจจะไม่เพียงพอ น้องแมวจำเป็นต้องได้รับยารักษาร่วมกับการเช็ดทำความสะอาดด้วย

แมวก็แปรงฟันได้

   ไม่ใช่แค่สุนัขเท่านั้นที่แปรงฟันได้ แต่แมวก็สามารถแปรงฟันได้ และแนะนำให้ทำเป็นประจำด้วย เพื่อลดปัญหาโรคในช่องปากของมว โรคในช่องปากของน้องแมวไม่ต่างไปจากคนเลย เมื่ออายุมากขึ้นก็อาจจะพบหินปูนเกาะ เหงือกอักเสบ นำไปสู่การสูญเสียฟัน บางตัวมีอาการเจ็บปาก ทานอาหารไม่ได้ ถ้าสามารถฝึกให้น้องแมวแปรงฟันได้ ก็จะช่วยให้ฟันของแมวอยู่กับเขาไปนานๆ การแปรงฟันสามารถเริ่มได้ที่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และเพิ่มความถี่ได้ และควรเลือกใช้แปรงยางขนาดเล็ก
   


415
อาบน้ำ ตัดเล็บ เช็ดหู แปรงฟัน ให้แมวกันเถอะ !

   ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรือแมว หรือแม้กระทั่งสัตว์อื่นๆ นอกจากการดูแลให้สัตว์เลี้ยงของเราได้รับอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว การดูแลเรื่องความสะอาดหรือสุขอนามัยก็เป็นเรื่องที่เราจะละเลยไม่ได้ สาวกคนรักแมวก็อาจจะสงสัยว่า น้องแมวจำเป็นต้องอาบน้ำ แปรงฟันหรือไม่ แล้วทำอย่างไร และทำบ่อยแค่ไหน วันนี้เรามีคำตอบ !
น้องแมว จำเป็นต้องอาบน้ำหรือไม่



   แมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด จะเห็นได้ว่าแมวจะคอยเลียทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ หรือมักจะคอยเลียให้กันหากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ความถี่ในการอาบน้ำของน้องแมวขึ้นอยู่กับ Life style ของน้องแมวด้วย ถ้าเป็นแมวที่เลี้ยงอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนเลย ก็อาจจะพิจารณาอาบน้ำ 1 ครั้งต่อเดือน แต่ถ้าออกไปข้างนอกทุกวันก็พิจารณาความถี่ในการอาบน้ำอาจจะต้องมากกว่าแมวที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน และสำหรับน้องแมวขนยาวเจ้าของอาจจะต้องช่วยแปรงขนเป็นประจำ เพื่อลดปัญหาน้องแมวเลียกินขนเข้าไป และเกิดการอุดตันในลำไส้ หรือเกิดอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก โดยควรจะแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และในช่วงที่มีการผลัตขนมากหรือมีขนร่วงเยอะเป็นพิเศษ สามารถใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำลูบตามตัวเพื่อเก็บเส้นขนที่หลุดออกได้
ตัดเล็บแมว เรื่องหนักใจสำหรับทาสแมว

    การตัดเล็บให้น้องแมวไม่ควรตัดให้สั้นจนเกินไป เนื่องจากน้องแมวใช้เล็บในการเกาะ หรือปีนป่ายที่ต่างๆ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ยาวจนเกินไป เนื่องจากเล็บที่ยาวมากค่อนข้างจะมีความแหลมคม น้องแมวอาจจะเผลอข่วนเราโดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจจะทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ได้ ความถี่ในการตัดเล็บประมาณ  ทุก 1-2 เดือนขึ้นกับแต่ละตัว เจ้าของต้องคอยสังเกตุเอา แมวบางตัวชอบปีนป่าย ชอบการฝนเล็บ ก็อาจจะทำให้เล็บยาวช้ากว่า แต่ถ้าน้องแมวเป็นแมวติดบ้าน ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยลับเล็บก็อาจจะพบว่าเล็บยาวกว่าได้ และทางที่ดีที่สุดในการตัดเล็บให้แมวคือ เราควรจะต้องฝึกการตัดเล็บตั้งแต่เป็นลูกแมว หรือให้รางวัลทุกครั้งหลังจากที่ทำตัวดีเวลาตัดเล็บ หรือถ้าไม่สามารถทำได้อาจจะต้องพาไปร้านอาบน้ำตัดขน หรือคลินิกรักษาสัตว์ให้ผู้ที่ชำนาญตัดให้

เช็ดหู ตรวจหูให้น้องแมวที่บ้านกัน

   น้องแมวมีใบหูตั้งค่อนข้างมีปัญหาเกี่ยวกับช่องหูน้อย ต่างจากสุนัขที่มีลักษณะใบหูทั้งแบบตั้ง และแบบพับปิดลง มักเกิดการติดเชื้อมากกว่า สำหรับน้องแมวอาจจะพบปัญหาไรในหู ซึ่งจะทำให้มีขี้หูสี้ดำ คันหู หูอักเสบ โดนหูไม่ค่อยได้ ไม่ยอมให้จับ หากเจ้าของเห็นลักษณะแบบนี้ การเช็ดหูอาจจะไม่เพียงพอ น้องแมวจำเป็นต้องได้รับยารักษาร่วมกับการเช็ดทำความสะอาดด้วย

แมวก็แปรงฟันได้

   ไม่ใช่แค่สุนัขเท่านั้นที่แปรงฟันได้ แต่แมวก็สามารถแปรงฟันได้ และแนะนำให้ทำเป็นประจำด้วย เพื่อลดปัญหาโรคในช่องปากของมว โรคในช่องปากของน้องแมวไม่ต่างไปจากคนเลย เมื่ออายุมากขึ้นก็อาจจะพบหินปูนเกาะ เหงือกอักเสบ นำไปสู่การสูญเสียฟัน บางตัวมีอาการเจ็บปาก ทานอาหารไม่ได้ ถ้าสามารถฝึกให้น้องแมวแปรงฟันได้ ก็จะช่วยให้ฟันของแมวอยู่กับเขาไปนานๆ การแปรงฟันสามารถเริ่มได้ที่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และเพิ่มความถี่ได้ และควรเลือกใช้แปรงยางขนาดเล็ก
   


416
อาบน้ำ ตัดเล็บ เช็ดหู แปรงฟัน ให้แมวกันเถอะ !

   ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรือแมว หรือแม้กระทั่งสัตว์อื่นๆ นอกจากการดูแลให้สัตว์เลี้ยงของเราได้รับอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว การดูแลเรื่องความสะอาดหรือสุขอนามัยก็เป็นเรื่องที่เราจะละเลยไม่ได้ สาวกคนรักแมวก็อาจจะสงสัยว่า น้องแมวจำเป็นต้องอาบน้ำ แปรงฟันหรือไม่ แล้วทำอย่างไร และทำบ่อยแค่ไหน วันนี้เรามีคำตอบ !
น้องแมว จำเป็นต้องอาบน้ำหรือไม่



   แมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด จะเห็นได้ว่าแมวจะคอยเลียทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ หรือมักจะคอยเลียให้กันหากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ความถี่ในการอาบน้ำของน้องแมวขึ้นอยู่กับ Life style ของน้องแมวด้วย ถ้าเป็นแมวที่เลี้ยงอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนเลย ก็อาจจะพิจารณาอาบน้ำ 1 ครั้งต่อเดือน แต่ถ้าออกไปข้างนอกทุกวันก็พิจารณาความถี่ในการอาบน้ำอาจจะต้องมากกว่าแมวที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน และสำหรับน้องแมวขนยาวเจ้าของอาจจะต้องช่วยแปรงขนเป็นประจำ เพื่อลดปัญหาน้องแมวเลียกินขนเข้าไป และเกิดการอุดตันในลำไส้ หรือเกิดอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก โดยควรจะแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และในช่วงที่มีการผลัตขนมากหรือมีขนร่วงเยอะเป็นพิเศษ สามารถใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำลูบตามตัวเพื่อเก็บเส้นขนที่หลุดออกได้
ตัดเล็บแมว เรื่องหนักใจสำหรับทาสแมว

    การตัดเล็บให้น้องแมวไม่ควรตัดให้สั้นจนเกินไป เนื่องจากน้องแมวใช้เล็บในการเกาะ หรือปีนป่ายที่ต่างๆ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ยาวจนเกินไป เนื่องจากเล็บที่ยาวมากค่อนข้างจะมีความแหลมคม น้องแมวอาจจะเผลอข่วนเราโดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจจะทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ได้ ความถี่ในการตัดเล็บประมาณ  ทุก 1-2 เดือนขึ้นกับแต่ละตัว เจ้าของต้องคอยสังเกตุเอา แมวบางตัวชอบปีนป่าย ชอบการฝนเล็บ ก็อาจจะทำให้เล็บยาวช้ากว่า แต่ถ้าน้องแมวเป็นแมวติดบ้าน ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยลับเล็บก็อาจจะพบว่าเล็บยาวกว่าได้ และทางที่ดีที่สุดในการตัดเล็บให้แมวคือ เราควรจะต้องฝึกการตัดเล็บตั้งแต่เป็นลูกแมว หรือให้รางวัลทุกครั้งหลังจากที่ทำตัวดีเวลาตัดเล็บ หรือถ้าไม่สามารถทำได้อาจจะต้องพาไปร้านอาบน้ำตัดขน หรือคลินิกรักษาสัตว์ให้ผู้ที่ชำนาญตัดให้

เช็ดหู ตรวจหูให้น้องแมวที่บ้านกัน

   น้องแมวมีใบหูตั้งค่อนข้างมีปัญหาเกี่ยวกับช่องหูน้อย ต่างจากสุนัขที่มีลักษณะใบหูทั้งแบบตั้ง และแบบพับปิดลง มักเกิดการติดเชื้อมากกว่า สำหรับน้องแมวอาจจะพบปัญหาไรในหู ซึ่งจะทำให้มีขี้หูสี้ดำ คันหู หูอักเสบ โดนหูไม่ค่อยได้ ไม่ยอมให้จับ หากเจ้าของเห็นลักษณะแบบนี้ การเช็ดหูอาจจะไม่เพียงพอ น้องแมวจำเป็นต้องได้รับยารักษาร่วมกับการเช็ดทำความสะอาดด้วย

แมวก็แปรงฟันได้

   ไม่ใช่แค่สุนัขเท่านั้นที่แปรงฟันได้ แต่แมวก็สามารถแปรงฟันได้ และแนะนำให้ทำเป็นประจำด้วย เพื่อลดปัญหาโรคในช่องปากของมว โรคในช่องปากของน้องแมวไม่ต่างไปจากคนเลย เมื่ออายุมากขึ้นก็อาจจะพบหินปูนเกาะ เหงือกอักเสบ นำไปสู่การสูญเสียฟัน บางตัวมีอาการเจ็บปาก ทานอาหารไม่ได้ ถ้าสามารถฝึกให้น้องแมวแปรงฟันได้ ก็จะช่วยให้ฟันของแมวอยู่กับเขาไปนานๆ การแปรงฟันสามารถเริ่มได้ที่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และเพิ่มความถี่ได้ และควรเลือกใช้แปรงยางขนาดเล็ก
   


417
โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia)

สาเหตุโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมว เกิดจากเชื้อลิวคีเมียไวรัส (Feline Leukemia virus; FeLV) ซึ่งติดต่อกันทางน้ำลาย ทางเลือด หรือจากแม่สู่ลูกได้ พบว่าแมวที่ติดเชื้อมากกว่า 50% เสียชีวิต 2-3 ปีภายหลังการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลิวคีเมีย โรคนี้เป็นโรคติดต่อเฉพาะในแมวกับแมวด้วยกันเอง ไม่ติดต่อสู่คน หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น    



อาการโรคลิวคีเมียในแมว

   ในการติดเชื้อบางตัวพบว่าไม่แสดงอาการอะไรเลยในระยะแรก พบว่าแมว 72% ที่เลี้ยงรวมกันหลายตัว และแมว 97% ที่เลี้ยงตัวเดียวไม่แสดงอาการป่วยรุนแรง ส่วนในรายที่มีอาการป่วยอาจจะพบว่ามีอาการน้ำหนักตัวลด ซึม กินอาหารลดลง มีภาวะโลหิตจาง มีไข้ขึ้นๆ ลงๆ บางตัวพบอาการทางระบบประสาท เช่น สูญเสียการทรงตัว ปวดตามกล้ามเนื้อ ท่าเดินหรือการเดินผิดปกติไป บางรายมีภาวะสมองอักเสบ อาการชักได้ สามารถพบภาวะต่อมน้ำเหลืองโตได้ และเชื้อไวรัสบางสายพันธุ์เหนี่ยวนำทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ (Lymphoma) และแมวที่ติดเชื้อไวรัสลิวคีเมียมักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำจึงง่ายต่อการติดเชื้ออื่นๆ

การวินิจฉัยโรคลิวคีเมียในแมว

   สามารถตรวจวินิจฉัยจากการตรวจด้วยชุดทดสอบ ELISA โดยใช้เลือดตรวจ ซึ่งเป็นการตรวจหาเชื้อที่อยู่ในเลือด หากให้ผลบวกจะสามารถยืนยันได้ว่าแมวมีเชื้อลิวคีเมีย และแนะนำให้ตรวจหาเชื้อลิวคีเมียเพื่อเป็นการคัดกรองแมวก่อนรับเลี้ยงทุกตัว

การรักษาโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แนะนำให้เลี้ยงแมวที่ติดเชื้อแยกจากตัวอื่นในบ้าน ไม่ควรปล่อยออกไปนอกบ้าน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะไปรับโรคอื่นเพิ่มเติม ควรดูแลเรื่องอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมตามช่วงวัย และมั่นใจว่าเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี ควรพาน้องแมวไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจหาอาการผิดปกติอื่นๆ และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆตามปกติ และควรเคร่งครัดเรื่องการป้องกันพยาธิภายในและพยาธิภายนอก พยายามให้น้องแมวมีสุขภาพแข็งแรงที่สุด

การป้องกันโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ก่อนการฉีดวัคซีนสัตวแพทย์จะตรวจคัดกรองโรคด้วยชุดทดสอบก่อน แนะนำให้แมวที่เลี้ยงแบบปล่อย หรือมีโอกาสสัมผัสแมวภายนอกได้รับวัคซีนลิวคีเมีย และก่อนการรับแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อลิวคีเมีย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่แมวตัวอื่นๆ และแมวที่ป่วยเป็นลิวคีเมียควรแยกเลี้ยงในระบบปิดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
   
ที่มา  : https://trupanion.com/pet-care/feline-leukemia


418
โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia)

สาเหตุโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมว เกิดจากเชื้อลิวคีเมียไวรัส (Feline Leukemia virus; FeLV) ซึ่งติดต่อกันทางน้ำลาย ทางเลือด หรือจากแม่สู่ลูกได้ พบว่าแมวที่ติดเชื้อมากกว่า 50% เสียชีวิต 2-3 ปีภายหลังการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลิวคีเมีย โรคนี้เป็นโรคติดต่อเฉพาะในแมวกับแมวด้วยกันเอง ไม่ติดต่อสู่คน หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น    



อาการโรคลิวคีเมียในแมว

   ในการติดเชื้อบางตัวพบว่าไม่แสดงอาการอะไรเลยในระยะแรก พบว่าแมว 72% ที่เลี้ยงรวมกันหลายตัว และแมว 97% ที่เลี้ยงตัวเดียวไม่แสดงอาการป่วยรุนแรง ส่วนในรายที่มีอาการป่วยอาจจะพบว่ามีอาการน้ำหนักตัวลด ซึม กินอาหารลดลง มีภาวะโลหิตจาง มีไข้ขึ้นๆ ลงๆ บางตัวพบอาการทางระบบประสาท เช่น สูญเสียการทรงตัว ปวดตามกล้ามเนื้อ ท่าเดินหรือการเดินผิดปกติไป บางรายมีภาวะสมองอักเสบ อาการชักได้ สามารถพบภาวะต่อมน้ำเหลืองโตได้ และเชื้อไวรัสบางสายพันธุ์เหนี่ยวนำทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ (Lymphoma) และแมวที่ติดเชื้อไวรัสลิวคีเมียมักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำจึงง่ายต่อการติดเชื้ออื่นๆ

การวินิจฉัยโรคลิวคีเมียในแมว

   สามารถตรวจวินิจฉัยจากการตรวจด้วยชุดทดสอบ ELISA โดยใช้เลือดตรวจ ซึ่งเป็นการตรวจหาเชื้อที่อยู่ในเลือด หากให้ผลบวกจะสามารถยืนยันได้ว่าแมวมีเชื้อลิวคีเมีย และแนะนำให้ตรวจหาเชื้อลิวคีเมียเพื่อเป็นการคัดกรองแมวก่อนรับเลี้ยงทุกตัว

การรักษาโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แนะนำให้เลี้ยงแมวที่ติดเชื้อแยกจากตัวอื่นในบ้าน ไม่ควรปล่อยออกไปนอกบ้าน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะไปรับโรคอื่นเพิ่มเติม ควรดูแลเรื่องอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมตามช่วงวัย และมั่นใจว่าเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี ควรพาน้องแมวไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจหาอาการผิดปกติอื่นๆ และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆตามปกติ และควรเคร่งครัดเรื่องการป้องกันพยาธิภายในและพยาธิภายนอก พยายามให้น้องแมวมีสุขภาพแข็งแรงที่สุด

การป้องกันโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ก่อนการฉีดวัคซีนสัตวแพทย์จะตรวจคัดกรองโรคด้วยชุดทดสอบก่อน แนะนำให้แมวที่เลี้ยงแบบปล่อย หรือมีโอกาสสัมผัสแมวภายนอกได้รับวัคซีนลิวคีเมีย และก่อนการรับแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อลิวคีเมีย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่แมวตัวอื่นๆ และแมวที่ป่วยเป็นลิวคีเมียควรแยกเลี้ยงในระบบปิดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
   
ที่มา  : https://trupanion.com/pet-care/feline-leukemia


419
โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia)

สาเหตุโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมว เกิดจากเชื้อลิวคีเมียไวรัส (Feline Leukemia virus; FeLV) ซึ่งติดต่อกันทางน้ำลาย ทางเลือด หรือจากแม่สู่ลูกได้ พบว่าแมวที่ติดเชื้อมากกว่า 50% เสียชีวิต 2-3 ปีภายหลังการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลิวคีเมีย โรคนี้เป็นโรคติดต่อเฉพาะในแมวกับแมวด้วยกันเอง ไม่ติดต่อสู่คน หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น    



อาการโรคลิวคีเมียในแมว

   ในการติดเชื้อบางตัวพบว่าไม่แสดงอาการอะไรเลยในระยะแรก พบว่าแมว 72% ที่เลี้ยงรวมกันหลายตัว และแมว 97% ที่เลี้ยงตัวเดียวไม่แสดงอาการป่วยรุนแรง ส่วนในรายที่มีอาการป่วยอาจจะพบว่ามีอาการน้ำหนักตัวลด ซึม กินอาหารลดลง มีภาวะโลหิตจาง มีไข้ขึ้นๆ ลงๆ บางตัวพบอาการทางระบบประสาท เช่น สูญเสียการทรงตัว ปวดตามกล้ามเนื้อ ท่าเดินหรือการเดินผิดปกติไป บางรายมีภาวะสมองอักเสบ อาการชักได้ สามารถพบภาวะต่อมน้ำเหลืองโตได้ และเชื้อไวรัสบางสายพันธุ์เหนี่ยวนำทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ (Lymphoma) และแมวที่ติดเชื้อไวรัสลิวคีเมียมักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำจึงง่ายต่อการติดเชื้ออื่นๆ

การวินิจฉัยโรคลิวคีเมียในแมว

   สามารถตรวจวินิจฉัยจากการตรวจด้วยชุดทดสอบ ELISA โดยใช้เลือดตรวจ ซึ่งเป็นการตรวจหาเชื้อที่อยู่ในเลือด หากให้ผลบวกจะสามารถยืนยันได้ว่าแมวมีเชื้อลิวคีเมีย และแนะนำให้ตรวจหาเชื้อลิวคีเมียเพื่อเป็นการคัดกรองแมวก่อนรับเลี้ยงทุกตัว

การรักษาโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แนะนำให้เลี้ยงแมวที่ติดเชื้อแยกจากตัวอื่นในบ้าน ไม่ควรปล่อยออกไปนอกบ้าน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะไปรับโรคอื่นเพิ่มเติม ควรดูแลเรื่องอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมตามช่วงวัย และมั่นใจว่าเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี ควรพาน้องแมวไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจหาอาการผิดปกติอื่นๆ และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆตามปกติ และควรเคร่งครัดเรื่องการป้องกันพยาธิภายในและพยาธิภายนอก พยายามให้น้องแมวมีสุขภาพแข็งแรงที่สุด

การป้องกันโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ก่อนการฉีดวัคซีนสัตวแพทย์จะตรวจคัดกรองโรคด้วยชุดทดสอบก่อน แนะนำให้แมวที่เลี้ยงแบบปล่อย หรือมีโอกาสสัมผัสแมวภายนอกได้รับวัคซีนลิวคีเมีย และก่อนการรับแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อลิวคีเมีย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่แมวตัวอื่นๆ และแมวที่ป่วยเป็นลิวคีเมียควรแยกเลี้ยงในระบบปิดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
   
ที่มา  : https://trupanion.com/pet-care/feline-leukemia


420
โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia)

สาเหตุโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมว เกิดจากเชื้อลิวคีเมียไวรัส (Feline Leukemia virus; FeLV) ซึ่งติดต่อกันทางน้ำลาย ทางเลือด หรือจากแม่สู่ลูกได้ พบว่าแมวที่ติดเชื้อมากกว่า 50% เสียชีวิต 2-3 ปีภายหลังการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลิวคีเมีย โรคนี้เป็นโรคติดต่อเฉพาะในแมวกับแมวด้วยกันเอง ไม่ติดต่อสู่คน หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น    



อาการโรคลิวคีเมียในแมว

   ในการติดเชื้อบางตัวพบว่าไม่แสดงอาการอะไรเลยในระยะแรก พบว่าแมว 72% ที่เลี้ยงรวมกันหลายตัว และแมว 97% ที่เลี้ยงตัวเดียวไม่แสดงอาการป่วยรุนแรง ส่วนในรายที่มีอาการป่วยอาจจะพบว่ามีอาการน้ำหนักตัวลด ซึม กินอาหารลดลง มีภาวะโลหิตจาง มีไข้ขึ้นๆ ลงๆ บางตัวพบอาการทางระบบประสาท เช่น สูญเสียการทรงตัว ปวดตามกล้ามเนื้อ ท่าเดินหรือการเดินผิดปกติไป บางรายมีภาวะสมองอักเสบ อาการชักได้ สามารถพบภาวะต่อมน้ำเหลืองโตได้ และเชื้อไวรัสบางสายพันธุ์เหนี่ยวนำทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ (Lymphoma) และแมวที่ติดเชื้อไวรัสลิวคีเมียมักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำจึงง่ายต่อการติดเชื้ออื่นๆ

การวินิจฉัยโรคลิวคีเมียในแมว

   สามารถตรวจวินิจฉัยจากการตรวจด้วยชุดทดสอบ ELISA โดยใช้เลือดตรวจ ซึ่งเป็นการตรวจหาเชื้อที่อยู่ในเลือด หากให้ผลบวกจะสามารถยืนยันได้ว่าแมวมีเชื้อลิวคีเมีย และแนะนำให้ตรวจหาเชื้อลิวคีเมียเพื่อเป็นการคัดกรองแมวก่อนรับเลี้ยงทุกตัว

การรักษาโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แนะนำให้เลี้ยงแมวที่ติดเชื้อแยกจากตัวอื่นในบ้าน ไม่ควรปล่อยออกไปนอกบ้าน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะไปรับโรคอื่นเพิ่มเติม ควรดูแลเรื่องอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมตามช่วงวัย และมั่นใจว่าเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี ควรพาน้องแมวไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจหาอาการผิดปกติอื่นๆ และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆตามปกติ และควรเคร่งครัดเรื่องการป้องกันพยาธิภายในและพยาธิภายนอก พยายามให้น้องแมวมีสุขภาพแข็งแรงที่สุด

การป้องกันโรคลิวคีเมียในแมว

   โรคลิวคีเมียในแมวสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ก่อนการฉีดวัคซีนสัตวแพทย์จะตรวจคัดกรองโรคด้วยชุดทดสอบก่อน แนะนำให้แมวที่เลี้ยงแบบปล่อย หรือมีโอกาสสัมผัสแมวภายนอกได้รับวัคซีนลิวคีเมีย และก่อนการรับแมวตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อลิวคีเมีย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่แมวตัวอื่นๆ และแมวที่ป่วยเป็นลิวคีเมียควรแยกเลี้ยงในระบบปิดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
   
ที่มา  : https://trupanion.com/pet-care/feline-leukemia