แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

361
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อสุนัขมีบาดแผล

   การปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้เลี้ยงสัตว์ควรจะทำความเข้าใจและรู้หลักการเบื้องต้นในการปฏิบัติเพื่อที่จะช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงของเราให้ทันท่วงที หรือหากเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจจะไม่ต้องไปถึงมือสัตวแพทย์



แผลถลอก หรือรอยข่วน

   แผลถลอก หรือรอยขีดข่วน หรือแม้กระทั่งรอยข่วนจากสุนัขหรือแมวนั้น อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุเล็กน้อย หรือสุนัขเล่นกันแรงๆจนเกิดบาดแผล เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่บ้าน แผลที่สามารถปฐมพยาบาลได้เองนั้นควรเป็นแผลที่ไม่ลึกมาก มีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดไหลเอง เป็นแผลที่เพียงผิวหนังเท่านั้น แต่เจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรตรวจดูบริเวณอื่นๆที่พบแผลให้ละเอียดว่าไม่มีแผลลึก เนื่องจากสุนัขบางตัวมีขนยาวอาจจะทำให้มองไม่เห็นได้ สำหรับแผลถลอกนั้นสามารถใช้น้ำเกลือล้างแผลชุบผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกออก จากนั้นเช็ดให้แห้ง และแต้มด้วยเบตาดีนใส่แผล พิจาณราปิดแผลร่วมกับใส่ลำโพงกันเลียถ้าตำแหน่งแผลอยู่ในบริเวณที่สุนัขสามารถเลียถึงได้ และโดยทั่วไปแผลจะหายภายใน 3 วัน

แผลสุนัขกัดกัน

   แผลสุนัขกัดกัน มักจะเป็นแผลลึก เป็นรอยเขี้ยว และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก แม้ว่าแผลภายนอกอาจจะเห็นเป็นรูไม่ใหญ่มากแต่มีโอกาสที่เนื้อเยื่อภายในจะเสียหายมากจากการกัดกระชาก แผลสุนัขกัดกันไม่แนะนำให้เจ้าของล้างแผลเองที่บ้าน แนะนำว่าควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้นอาจจะใช้น้ำเกลือล้างคราบสิ่งสกปรกหรือเลือดออก หากผิวหนังมีการฉีดขาดหรือมีเลือดไหลให้ใช้ผ้าก๊อซพันแผลกดแผลไว้ หรือหากไม่มีผ้าก๊อซให้ใช้ผ้าเช็ดตัวสะอาดพันกดแผลและรีบนำส่งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ไม่ควรเสี่ยงทำแผลหรือซื้อยาให้สุนัขกินเอง เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อลุกลามจนเสียชีวิตได้

แผลถูกแมลงหรือ ผึ้งต่อย

   สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็น มีโอกาสที่จะถูกแมลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ ต่อยเอาได้ ซึ่งโดยมากมักจะพบแผลมีลักษณะบวม เจ็บปวดอย่างมาก และอาจจะพบรอยแดงเล็กๆหรือาจจะไม่มีก็ได้ แผลเหล่านี้สามารถหายได้เองแต่สุนัขจะมีความเจ็บปวดมาก แนะนำว่าอาจจะต้องพาไปรับยาแก้ปวด และเฝ้าระวังอาการแพ้ในสุนัขบางตัว ส่วนการดูแลแผลเหล่านี้สามารถใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดบริเวณแผล และในช่วง 3 วันแรกควรจะใช้วิธีประคบเย็นเพื่อลดอาการปวด ลดบวม ร่วมกันการให้ยาลดอักเสบ และมักจะดีขึ้นได้ในระยะเวลา 3-5 วัน



362
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อสุนัขมีบาดแผล

   การปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้เลี้ยงสัตว์ควรจะทำความเข้าใจและรู้หลักการเบื้องต้นในการปฏิบัติเพื่อที่จะช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงของเราให้ทันท่วงที หรือหากเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจจะไม่ต้องไปถึงมือสัตวแพทย์



แผลถลอก หรือรอยข่วน

   แผลถลอก หรือรอยขีดข่วน หรือแม้กระทั่งรอยข่วนจากสุนัขหรือแมวนั้น อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุเล็กน้อย หรือสุนัขเล่นกันแรงๆจนเกิดบาดแผล เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่บ้าน แผลที่สามารถปฐมพยาบาลได้เองนั้นควรเป็นแผลที่ไม่ลึกมาก มีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดไหลเอง เป็นแผลที่เพียงผิวหนังเท่านั้น แต่เจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรตรวจดูบริเวณอื่นๆที่พบแผลให้ละเอียดว่าไม่มีแผลลึก เนื่องจากสุนัขบางตัวมีขนยาวอาจจะทำให้มองไม่เห็นได้ สำหรับแผลถลอกนั้นสามารถใช้น้ำเกลือล้างแผลชุบผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกออก จากนั้นเช็ดให้แห้ง และแต้มด้วยเบตาดีนใส่แผล พิจาณราปิดแผลร่วมกับใส่ลำโพงกันเลียถ้าตำแหน่งแผลอยู่ในบริเวณที่สุนัขสามารถเลียถึงได้ และโดยทั่วไปแผลจะหายภายใน 3 วัน

แผลสุนัขกัดกัน

   แผลสุนัขกัดกัน มักจะเป็นแผลลึก เป็นรอยเขี้ยว และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก แม้ว่าแผลภายนอกอาจจะเห็นเป็นรูไม่ใหญ่มากแต่มีโอกาสที่เนื้อเยื่อภายในจะเสียหายมากจากการกัดกระชาก แผลสุนัขกัดกันไม่แนะนำให้เจ้าของล้างแผลเองที่บ้าน แนะนำว่าควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้นอาจจะใช้น้ำเกลือล้างคราบสิ่งสกปรกหรือเลือดออก หากผิวหนังมีการฉีดขาดหรือมีเลือดไหลให้ใช้ผ้าก๊อซพันแผลกดแผลไว้ หรือหากไม่มีผ้าก๊อซให้ใช้ผ้าเช็ดตัวสะอาดพันกดแผลและรีบนำส่งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ไม่ควรเสี่ยงทำแผลหรือซื้อยาให้สุนัขกินเอง เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อลุกลามจนเสียชีวิตได้

แผลถูกแมลงหรือ ผึ้งต่อย

   สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็น มีโอกาสที่จะถูกแมลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ ต่อยเอาได้ ซึ่งโดยมากมักจะพบแผลมีลักษณะบวม เจ็บปวดอย่างมาก และอาจจะพบรอยแดงเล็กๆหรือาจจะไม่มีก็ได้ แผลเหล่านี้สามารถหายได้เองแต่สุนัขจะมีความเจ็บปวดมาก แนะนำว่าอาจจะต้องพาไปรับยาแก้ปวด และเฝ้าระวังอาการแพ้ในสุนัขบางตัว ส่วนการดูแลแผลเหล่านี้สามารถใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดบริเวณแผล และในช่วง 3 วันแรกควรจะใช้วิธีประคบเย็นเพื่อลดอาการปวด ลดบวม ร่วมกันการให้ยาลดอักเสบ และมักจะดีขึ้นได้ในระยะเวลา 3-5 วัน



363
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อสุนัขมีบาดแผล

   การปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้เลี้ยงสัตว์ควรจะทำความเข้าใจและรู้หลักการเบื้องต้นในการปฏิบัติเพื่อที่จะช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงของเราให้ทันท่วงที หรือหากเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจจะไม่ต้องไปถึงมือสัตวแพทย์



แผลถลอก หรือรอยข่วน

   แผลถลอก หรือรอยขีดข่วน หรือแม้กระทั่งรอยข่วนจากสุนัขหรือแมวนั้น อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุเล็กน้อย หรือสุนัขเล่นกันแรงๆจนเกิดบาดแผล เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่บ้าน แผลที่สามารถปฐมพยาบาลได้เองนั้นควรเป็นแผลที่ไม่ลึกมาก มีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดไหลเอง เป็นแผลที่เพียงผิวหนังเท่านั้น แต่เจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรตรวจดูบริเวณอื่นๆที่พบแผลให้ละเอียดว่าไม่มีแผลลึก เนื่องจากสุนัขบางตัวมีขนยาวอาจจะทำให้มองไม่เห็นได้ สำหรับแผลถลอกนั้นสามารถใช้น้ำเกลือล้างแผลชุบผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกออก จากนั้นเช็ดให้แห้ง และแต้มด้วยเบตาดีนใส่แผล พิจาณราปิดแผลร่วมกับใส่ลำโพงกันเลียถ้าตำแหน่งแผลอยู่ในบริเวณที่สุนัขสามารถเลียถึงได้ และโดยทั่วไปแผลจะหายภายใน 3 วัน

แผลสุนัขกัดกัน

   แผลสุนัขกัดกัน มักจะเป็นแผลลึก เป็นรอยเขี้ยว และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก แม้ว่าแผลภายนอกอาจจะเห็นเป็นรูไม่ใหญ่มากแต่มีโอกาสที่เนื้อเยื่อภายในจะเสียหายมากจากการกัดกระชาก แผลสุนัขกัดกันไม่แนะนำให้เจ้าของล้างแผลเองที่บ้าน แนะนำว่าควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้นอาจจะใช้น้ำเกลือล้างคราบสิ่งสกปรกหรือเลือดออก หากผิวหนังมีการฉีดขาดหรือมีเลือดไหลให้ใช้ผ้าก๊อซพันแผลกดแผลไว้ หรือหากไม่มีผ้าก๊อซให้ใช้ผ้าเช็ดตัวสะอาดพันกดแผลและรีบนำส่งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ไม่ควรเสี่ยงทำแผลหรือซื้อยาให้สุนัขกินเอง เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อลุกลามจนเสียชีวิตได้

แผลถูกแมลงหรือ ผึ้งต่อย

   สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็น มีโอกาสที่จะถูกแมลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ ต่อยเอาได้ ซึ่งโดยมากมักจะพบแผลมีลักษณะบวม เจ็บปวดอย่างมาก และอาจจะพบรอยแดงเล็กๆหรือาจจะไม่มีก็ได้ แผลเหล่านี้สามารถหายได้เองแต่สุนัขจะมีความเจ็บปวดมาก แนะนำว่าอาจจะต้องพาไปรับยาแก้ปวด และเฝ้าระวังอาการแพ้ในสุนัขบางตัว ส่วนการดูแลแผลเหล่านี้สามารถใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดบริเวณแผล และในช่วง 3 วันแรกควรจะใช้วิธีประคบเย็นเพื่อลดอาการปวด ลดบวม ร่วมกันการให้ยาลดอักเสบ และมักจะดีขึ้นได้ในระยะเวลา 3-5 วัน



364
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อสุนัขมีบาดแผล

   การปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้เลี้ยงสัตว์ควรจะทำความเข้าใจและรู้หลักการเบื้องต้นในการปฏิบัติเพื่อที่จะช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงของเราให้ทันท่วงที หรือหากเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจจะไม่ต้องไปถึงมือสัตวแพทย์



แผลถลอก หรือรอยข่วน

   แผลถลอก หรือรอยขีดข่วน หรือแม้กระทั่งรอยข่วนจากสุนัขหรือแมวนั้น อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุเล็กน้อย หรือสุนัขเล่นกันแรงๆจนเกิดบาดแผล เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่บ้าน แผลที่สามารถปฐมพยาบาลได้เองนั้นควรเป็นแผลที่ไม่ลึกมาก มีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดไหลเอง เป็นแผลที่เพียงผิวหนังเท่านั้น แต่เจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรตรวจดูบริเวณอื่นๆที่พบแผลให้ละเอียดว่าไม่มีแผลลึก เนื่องจากสุนัขบางตัวมีขนยาวอาจจะทำให้มองไม่เห็นได้ สำหรับแผลถลอกนั้นสามารถใช้น้ำเกลือล้างแผลชุบผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกออก จากนั้นเช็ดให้แห้ง และแต้มด้วยเบตาดีนใส่แผล พิจาณราปิดแผลร่วมกับใส่ลำโพงกันเลียถ้าตำแหน่งแผลอยู่ในบริเวณที่สุนัขสามารถเลียถึงได้ และโดยทั่วไปแผลจะหายภายใน 3 วัน

แผลสุนัขกัดกัน

   แผลสุนัขกัดกัน มักจะเป็นแผลลึก เป็นรอยเขี้ยว และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก แม้ว่าแผลภายนอกอาจจะเห็นเป็นรูไม่ใหญ่มากแต่มีโอกาสที่เนื้อเยื่อภายในจะเสียหายมากจากการกัดกระชาก แผลสุนัขกัดกันไม่แนะนำให้เจ้าของล้างแผลเองที่บ้าน แนะนำว่าควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้นอาจจะใช้น้ำเกลือล้างคราบสิ่งสกปรกหรือเลือดออก หากผิวหนังมีการฉีดขาดหรือมีเลือดไหลให้ใช้ผ้าก๊อซพันแผลกดแผลไว้ หรือหากไม่มีผ้าก๊อซให้ใช้ผ้าเช็ดตัวสะอาดพันกดแผลและรีบนำส่งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ไม่ควรเสี่ยงทำแผลหรือซื้อยาให้สุนัขกินเอง เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อลุกลามจนเสียชีวิตได้

แผลถูกแมลงหรือ ผึ้งต่อย

   สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็น มีโอกาสที่จะถูกแมลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ ต่อยเอาได้ ซึ่งโดยมากมักจะพบแผลมีลักษณะบวม เจ็บปวดอย่างมาก และอาจจะพบรอยแดงเล็กๆหรือาจจะไม่มีก็ได้ แผลเหล่านี้สามารถหายได้เองแต่สุนัขจะมีความเจ็บปวดมาก แนะนำว่าอาจจะต้องพาไปรับยาแก้ปวด และเฝ้าระวังอาการแพ้ในสุนัขบางตัว ส่วนการดูแลแผลเหล่านี้สามารถใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดบริเวณแผล และในช่วง 3 วันแรกควรจะใช้วิธีประคบเย็นเพื่อลดอาการปวด ลดบวม ร่วมกันการให้ยาลดอักเสบ และมักจะดีขึ้นได้ในระยะเวลา 3-5 วัน



365
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคมะเร็งในสุนัข

          เนื้องอก (Neoplasia or Tumor) หมายถึง เนื้อเยื่อของร่างกายที่มีการแบ่งตัวหรือการเจริญที่ผิดปกติไป ซึ่งอาจจะแบ่งได้ 2 ชนิด คือ เนื้องอก (Benign) ซึ่งจะมีแนวโน้มที่จะโตช้า และไม่ค่อยแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆของร่างกายและเนื้อร้าย หรือที่เราเรียกว่า “มะเร็ง” (Malignant tumor) ซึ่งจะมีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างตามแต่ชนิดของเซลล์มะเร็ง และมีโอกาสแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่นๆ (Metastasis)

          สุนัขราว 1 ใน 4 จะตรวจพบว่ามีเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆและเมื่อายุประมาณ 10 ปีก็จะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง สุนัขมีอัตราการการเกิดโรคมะเร็งไม่ต่างไปจากในคน จากการศึกษาอัตราการเสียชีวิตของสุนัขทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุกว่า 74,556 ตัว ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสถาบัน Veterinary Medical Database (VMDB) ตั้งแต่ปี 1984 – 2004 จากงานวิจัยพบว่าสุนัขโตเต็มวัย (อายุ 1 ปีขึ้นไป) ทุกสายพันธุ์ทั้งสุนัขพันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่  มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 แต่มีแนวโน้มว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่จะมีแนวโน้มเสียชีวิตจากมะเร็งมากกว่าสุนัขสายพันธุ์เล็ก




          มะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Lymphoma), มะเร็งกระดูก (Osteosarcoma), มะเร็งชนิดมาสท์เซลล์ (Mast cell tumor), มะเร็งช่องปาก (Oral melanoma) และมะเร็งเยื่อบุผนังหลอดเลือด (Hemagiosarcoma) เป็นต้น มะเร็งแต่ละชนิดจะแสดงอาการที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของเซลล์มะเร็งและอวัยวะที่เป็น น้ำหนักลด ความอยากอาหารลดลง หรือไม่ยอมกินอาหาร

-   ช่องท้องขยายขนาด ท้องโตกว่าปกติ

-   หอบหายใจ เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยอยากลุก

-   ท้องเสีย หรืออาเจียนเรื้อรัง

-   มีแผลที่เป็นแล้วไม่หาย หรือหายช้า ผิวหนังบางบริเวณเปลี่ยนสี

-   มีกลิ่นปาก หรือมีเลือดออก ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

-   มีไข้ขึ้นๆลงๆ เจ็บปวดตามร่างกายเวลาจับ

-   อาการชัก มีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น เดินเซ ตาบอดฉับพลัน

-   พบก้อนเนื้องอกในอวัยวะต่างๆที่มองเห็น เช่น ช่องปาก ผิวหนัง

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในสุนัข

          มะเร็งบางชนิดในสุนัขสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่บางชนิดมีอัตราการแพร่กระจายและมีความรุนแรง บางครั้ง
เป้าหมายของการรักษาไม่ใช่การรักษาให้หายขาด แต่เป็นการประคับประคองคุณภาพชีวิตให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต

   มะเร็งแต่ละชนิดมีการรักษาที่ต่างกัน ซึ่งส่วนมากมักจะใช้วิธีการรักษาหลายอย่างร่วมกันเช่นเดียวกับในคน ได้แก่ การผ่าตัด (Surgery), การให้เคมีบำบัด (Chemotherapy), การฉายแสง (Radiation), การจี้ด้วยความเย็น (Freezing Cryosurgery), การรักษามะเร็งด้วยความร้อน (Hyperthermia) และการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งมีแนวโน้มว่าสุนัขจะดื้อต่อยาเคมีบำบัดมากกว่าในคน

          นอกจากการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว สิ่งที่สำคัญในการดูแลสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็ง คือเจ้าของต้องคำนึงถึงสุขภาพโดยรวมของสุนัข  ทั้งเรื่องสภาพความเป็นอยู่ สภาพจิตใจ ความเครียด การบรรเทาความเจ็บปวด และการดูแลโภชนาการที่เหมาะสม สุนัขจะมีความเบื่ออาหาร อาจจะมีความอยากอาหารลดลง หรือบางครั้งที่สุนัขบางตัวไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด หรือเคมีบำบัดได้ การรักษาด้วยวิธีทางเลือก รวมทั้งการให้อาหารที่เหมาะสมที่สามารถช่วยเยียวยาสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็งได้ จึงเป็นอีกวิธีที่สำคัญที่เจ้าของสุนัขต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ

366
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคมะเร็งในสุนัข

          เนื้องอก (Neoplasia or Tumor) หมายถึง เนื้อเยื่อของร่างกายที่มีการแบ่งตัวหรือการเจริญที่ผิดปกติไป ซึ่งอาจจะแบ่งได้ 2 ชนิด คือ เนื้องอก (Benign) ซึ่งจะมีแนวโน้มที่จะโตช้า และไม่ค่อยแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆของร่างกายและเนื้อร้าย หรือที่เราเรียกว่า “มะเร็ง” (Malignant tumor) ซึ่งจะมีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างตามแต่ชนิดของเซลล์มะเร็ง และมีโอกาสแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่นๆ (Metastasis)

          สุนัขราว 1 ใน 4 จะตรวจพบว่ามีเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆและเมื่อายุประมาณ 10 ปีก็จะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง สุนัขมีอัตราการการเกิดโรคมะเร็งไม่ต่างไปจากในคน จากการศึกษาอัตราการเสียชีวิตของสุนัขทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุกว่า 74,556 ตัว ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสถาบัน Veterinary Medical Database (VMDB) ตั้งแต่ปี 1984 – 2004 จากงานวิจัยพบว่าสุนัขโตเต็มวัย (อายุ 1 ปีขึ้นไป) ทุกสายพันธุ์ทั้งสุนัขพันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่  มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 แต่มีแนวโน้มว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่จะมีแนวโน้มเสียชีวิตจากมะเร็งมากกว่าสุนัขสายพันธุ์เล็ก




          มะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Lymphoma), มะเร็งกระดูก (Osteosarcoma), มะเร็งชนิดมาสท์เซลล์ (Mast cell tumor), มะเร็งช่องปาก (Oral melanoma) และมะเร็งเยื่อบุผนังหลอดเลือด (Hemagiosarcoma) เป็นต้น มะเร็งแต่ละชนิดจะแสดงอาการที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของเซลล์มะเร็งและอวัยวะที่เป็น น้ำหนักลด ความอยากอาหารลดลง หรือไม่ยอมกินอาหาร

-   ช่องท้องขยายขนาด ท้องโตกว่าปกติ

-   หอบหายใจ เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยอยากลุก

-   ท้องเสีย หรืออาเจียนเรื้อรัง

-   มีแผลที่เป็นแล้วไม่หาย หรือหายช้า ผิวหนังบางบริเวณเปลี่ยนสี

-   มีกลิ่นปาก หรือมีเลือดออก ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

-   มีไข้ขึ้นๆลงๆ เจ็บปวดตามร่างกายเวลาจับ

-   อาการชัก มีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น เดินเซ ตาบอดฉับพลัน

-   พบก้อนเนื้องอกในอวัยวะต่างๆที่มองเห็น เช่น ช่องปาก ผิวหนัง

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในสุนัข

          มะเร็งบางชนิดในสุนัขสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่บางชนิดมีอัตราการแพร่กระจายและมีความรุนแรง บางครั้ง
เป้าหมายของการรักษาไม่ใช่การรักษาให้หายขาด แต่เป็นการประคับประคองคุณภาพชีวิตให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต

   มะเร็งแต่ละชนิดมีการรักษาที่ต่างกัน ซึ่งส่วนมากมักจะใช้วิธีการรักษาหลายอย่างร่วมกันเช่นเดียวกับในคน ได้แก่ การผ่าตัด (Surgery), การให้เคมีบำบัด (Chemotherapy), การฉายแสง (Radiation), การจี้ด้วยความเย็น (Freezing Cryosurgery), การรักษามะเร็งด้วยความร้อน (Hyperthermia) และการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งมีแนวโน้มว่าสุนัขจะดื้อต่อยาเคมีบำบัดมากกว่าในคน

          นอกจากการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว สิ่งที่สำคัญในการดูแลสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็ง คือเจ้าของต้องคำนึงถึงสุขภาพโดยรวมของสุนัข  ทั้งเรื่องสภาพความเป็นอยู่ สภาพจิตใจ ความเครียด การบรรเทาความเจ็บปวด และการดูแลโภชนาการที่เหมาะสม สุนัขจะมีความเบื่ออาหาร อาจจะมีความอยากอาหารลดลง หรือบางครั้งที่สุนัขบางตัวไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด หรือเคมีบำบัดได้ การรักษาด้วยวิธีทางเลือก รวมทั้งการให้อาหารที่เหมาะสมที่สามารถช่วยเยียวยาสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็งได้ จึงเป็นอีกวิธีที่สำคัญที่เจ้าของสุนัขต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ

367
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคมะเร็งในสุนัข

          เนื้องอก (Neoplasia or Tumor) หมายถึง เนื้อเยื่อของร่างกายที่มีการแบ่งตัวหรือการเจริญที่ผิดปกติไป ซึ่งอาจจะแบ่งได้ 2 ชนิด คือ เนื้องอก (Benign) ซึ่งจะมีแนวโน้มที่จะโตช้า และไม่ค่อยแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆของร่างกายและเนื้อร้าย หรือที่เราเรียกว่า “มะเร็ง” (Malignant tumor) ซึ่งจะมีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างตามแต่ชนิดของเซลล์มะเร็ง และมีโอกาสแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่นๆ (Metastasis)

          สุนัขราว 1 ใน 4 จะตรวจพบว่ามีเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆและเมื่อายุประมาณ 10 ปีก็จะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง สุนัขมีอัตราการการเกิดโรคมะเร็งไม่ต่างไปจากในคน จากการศึกษาอัตราการเสียชีวิตของสุนัขทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุกว่า 74,556 ตัว ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสถาบัน Veterinary Medical Database (VMDB) ตั้งแต่ปี 1984 – 2004 จากงานวิจัยพบว่าสุนัขโตเต็มวัย (อายุ 1 ปีขึ้นไป) ทุกสายพันธุ์ทั้งสุนัขพันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่  มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 แต่มีแนวโน้มว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่จะมีแนวโน้มเสียชีวิตจากมะเร็งมากกว่าสุนัขสายพันธุ์เล็ก




          มะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Lymphoma), มะเร็งกระดูก (Osteosarcoma), มะเร็งชนิดมาสท์เซลล์ (Mast cell tumor), มะเร็งช่องปาก (Oral melanoma) และมะเร็งเยื่อบุผนังหลอดเลือด (Hemagiosarcoma) เป็นต้น มะเร็งแต่ละชนิดจะแสดงอาการที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของเซลล์มะเร็งและอวัยวะที่เป็น น้ำหนักลด ความอยากอาหารลดลง หรือไม่ยอมกินอาหาร

-   ช่องท้องขยายขนาด ท้องโตกว่าปกติ

-   หอบหายใจ เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยอยากลุก

-   ท้องเสีย หรืออาเจียนเรื้อรัง

-   มีแผลที่เป็นแล้วไม่หาย หรือหายช้า ผิวหนังบางบริเวณเปลี่ยนสี

-   มีกลิ่นปาก หรือมีเลือดออก ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

-   มีไข้ขึ้นๆลงๆ เจ็บปวดตามร่างกายเวลาจับ

-   อาการชัก มีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น เดินเซ ตาบอดฉับพลัน

-   พบก้อนเนื้องอกในอวัยวะต่างๆที่มองเห็น เช่น ช่องปาก ผิวหนัง

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในสุนัข

          มะเร็งบางชนิดในสุนัขสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่บางชนิดมีอัตราการแพร่กระจายและมีความรุนแรง บางครั้ง
เป้าหมายของการรักษาไม่ใช่การรักษาให้หายขาด แต่เป็นการประคับประคองคุณภาพชีวิตให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต

   มะเร็งแต่ละชนิดมีการรักษาที่ต่างกัน ซึ่งส่วนมากมักจะใช้วิธีการรักษาหลายอย่างร่วมกันเช่นเดียวกับในคน ได้แก่ การผ่าตัด (Surgery), การให้เคมีบำบัด (Chemotherapy), การฉายแสง (Radiation), การจี้ด้วยความเย็น (Freezing Cryosurgery), การรักษามะเร็งด้วยความร้อน (Hyperthermia) และการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งมีแนวโน้มว่าสุนัขจะดื้อต่อยาเคมีบำบัดมากกว่าในคน

          นอกจากการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว สิ่งที่สำคัญในการดูแลสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็ง คือเจ้าของต้องคำนึงถึงสุขภาพโดยรวมของสุนัข  ทั้งเรื่องสภาพความเป็นอยู่ สภาพจิตใจ ความเครียด การบรรเทาความเจ็บปวด และการดูแลโภชนาการที่เหมาะสม สุนัขจะมีความเบื่ออาหาร อาจจะมีความอยากอาหารลดลง หรือบางครั้งที่สุนัขบางตัวไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด หรือเคมีบำบัดได้ การรักษาด้วยวิธีทางเลือก รวมทั้งการให้อาหารที่เหมาะสมที่สามารถช่วยเยียวยาสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็งได้ จึงเป็นอีกวิธีที่สำคัญที่เจ้าของสุนัขต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ

368
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคมะเร็งในสุนัข

          เนื้องอก (Neoplasia or Tumor) หมายถึง เนื้อเยื่อของร่างกายที่มีการแบ่งตัวหรือการเจริญที่ผิดปกติไป ซึ่งอาจจะแบ่งได้ 2 ชนิด คือ เนื้องอก (Benign) ซึ่งจะมีแนวโน้มที่จะโตช้า และไม่ค่อยแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆของร่างกายและเนื้อร้าย หรือที่เราเรียกว่า “มะเร็ง” (Malignant tumor) ซึ่งจะมีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างตามแต่ชนิดของเซลล์มะเร็ง และมีโอกาสแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่นๆ (Metastasis)

          สุนัขราว 1 ใน 4 จะตรวจพบว่ามีเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆและเมื่อายุประมาณ 10 ปีก็จะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง สุนัขมีอัตราการการเกิดโรคมะเร็งไม่ต่างไปจากในคน จากการศึกษาอัตราการเสียชีวิตของสุนัขทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุกว่า 74,556 ตัว ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสถาบัน Veterinary Medical Database (VMDB) ตั้งแต่ปี 1984 – 2004 จากงานวิจัยพบว่าสุนัขโตเต็มวัย (อายุ 1 ปีขึ้นไป) ทุกสายพันธุ์ทั้งสุนัขพันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่  มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 แต่มีแนวโน้มว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่จะมีแนวโน้มเสียชีวิตจากมะเร็งมากกว่าสุนัขสายพันธุ์เล็ก




          มะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Lymphoma), มะเร็งกระดูก (Osteosarcoma), มะเร็งชนิดมาสท์เซลล์ (Mast cell tumor), มะเร็งช่องปาก (Oral melanoma) และมะเร็งเยื่อบุผนังหลอดเลือด (Hemagiosarcoma) เป็นต้น มะเร็งแต่ละชนิดจะแสดงอาการที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของเซลล์มะเร็งและอวัยวะที่เป็น น้ำหนักลด ความอยากอาหารลดลง หรือไม่ยอมกินอาหาร

-   ช่องท้องขยายขนาด ท้องโตกว่าปกติ

-   หอบหายใจ เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยอยากลุก

-   ท้องเสีย หรืออาเจียนเรื้อรัง

-   มีแผลที่เป็นแล้วไม่หาย หรือหายช้า ผิวหนังบางบริเวณเปลี่ยนสี

-   มีกลิ่นปาก หรือมีเลือดออก ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

-   มีไข้ขึ้นๆลงๆ เจ็บปวดตามร่างกายเวลาจับ

-   อาการชัก มีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น เดินเซ ตาบอดฉับพลัน

-   พบก้อนเนื้องอกในอวัยวะต่างๆที่มองเห็น เช่น ช่องปาก ผิวหนัง

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในสุนัข

          มะเร็งบางชนิดในสุนัขสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่บางชนิดมีอัตราการแพร่กระจายและมีความรุนแรง บางครั้ง
เป้าหมายของการรักษาไม่ใช่การรักษาให้หายขาด แต่เป็นการประคับประคองคุณภาพชีวิตให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต

   มะเร็งแต่ละชนิดมีการรักษาที่ต่างกัน ซึ่งส่วนมากมักจะใช้วิธีการรักษาหลายอย่างร่วมกันเช่นเดียวกับในคน ได้แก่ การผ่าตัด (Surgery), การให้เคมีบำบัด (Chemotherapy), การฉายแสง (Radiation), การจี้ด้วยความเย็น (Freezing Cryosurgery), การรักษามะเร็งด้วยความร้อน (Hyperthermia) และการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งมีแนวโน้มว่าสุนัขจะดื้อต่อยาเคมีบำบัดมากกว่าในคน

          นอกจากการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว สิ่งที่สำคัญในการดูแลสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็ง คือเจ้าของต้องคำนึงถึงสุขภาพโดยรวมของสุนัข  ทั้งเรื่องสภาพความเป็นอยู่ สภาพจิตใจ ความเครียด การบรรเทาความเจ็บปวด และการดูแลโภชนาการที่เหมาะสม สุนัขจะมีความเบื่ออาหาร อาจจะมีความอยากอาหารลดลง หรือบางครั้งที่สุนัขบางตัวไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด หรือเคมีบำบัดได้ การรักษาด้วยวิธีทางเลือก รวมทั้งการให้อาหารที่เหมาะสมที่สามารถช่วยเยียวยาสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็งได้ จึงเป็นอีกวิธีที่สำคัญที่เจ้าของสุนัขต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ

369
โรคแพ้อาหารในสุนัข (Food Allergy)

โรคแพ้อาหารในสุนัขคืออะไร    

   โรคแพ้อาหารในสุนัขเป็นหนึ่งในโรคเกี่ยวกับการแพ้ที่พบได้บ่อย (Allergy or Hypersensitivities) ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขเกิดการตอบสนองมากกว่าปกติและเกิดการสร้างแอนติบอดีต่อสารอาหารบางอย่างที่ในภาวะปกติจะไม่เกิดขึ้น สารอาหารที่พบได้บ่อยคือ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโดยมากมักจะเกิดเมื่อสุนัขได้รับสารอาหารประเภทนั้นมาสักระยะเวลาหนึ่ง



อาการของโรคแพ้อาหารในสุนัข

   อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการคันตามร่างกายกาย และพบอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและถ่ายเหลวได้ แต่มักจะไม่รุนแรง และในบางตัวพบว่ามีอาการตื่นตัวมากกว่าปกติ (hyperactivity) น้ำหนักลด หรือบางตัวอ่อนเพลีย และบางตัวอาจจะแสดงอาการดุร้าย หรือขี้หงุดหงิดได้

อาหารอะไรบ้างที่สุนัขชอบแพ้ ?

   สารอาหารประเภทโปรตีนเป็นสิ่งที่สุนัขมักจะแพ้มากที่สุด เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ ไข่ไก่ โปรตีนจากถั่วเหลือง กลูเตน ซึ่งอาหารสำหรับสุนัขส่วนมากก็จะมีส่วนประกอบวัตถุดิบที่อาจจะทำให้สุนัขแพ้อยู่ในสูตรอาหาร และไม่เฉพาะแค่วัตถุดิบในสูตรอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้อาหารในสุนัขเท่านั้น แต่พบว่าสารเสริมในอาหาร (food additive) ก็สามารถกระตุ้นอาการแพ้ได้เช่นกัน

การวินิจฉัยโรคแพ้อาหารในสุนัข

   หากสงสัยและอาการเข้าข่ายว่าเป็นโรคแพ้อาหาร สัตวแพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนอาหารจากที่เคยกินมากินอาหารเฉพาะสำหรับการทดสอบภูมิแพ้อาหาร (hypoallergenic diet) เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ และดูว่าอาการแพ้หายไปหรือไม่ โดยที่ในระหว่างนี้ห้ามมีการให้อาหารอื่นๆที่สุนัขเคยกินมาก่อนหน้านี้เด็ดขาด หลังจากนั้นอาจจะทดลองกลับไปกินอาหารที่สงสัยว่าแพ้และดูอาการคันว่ากลับมาหรือไม่ และยังรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคหรือยาถ่ายพยาธิชนิดกินด้วย เพราะอาจจะมีส่วนประกอบของโปรตีนหรือสารเสริมบางอย่างที่ทำให้แพ้ได้ และจะทำให้การแปรผลการทดสอบผิดไป  นอกจากการเปลี่ยนอาหารเพื่อทดสอบภาวะแพ้อาหารแล้ว ยังสามารถตรวจสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ด้วยการตรวจเลือด (Serum IgE test) เพื่อหาระดับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัตถุดิบอาหาร

การรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัข

   วิธีการรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัขคือ การเปลี่ยนอาหารมาให้กินอาหารที่สุนัขไม่แพ้ หรือกินอาหารสูตรรักษาโรคแพ้อาหารโดยเฉพาะ หรือถ้าหากรู้ว่าแพ้วัตถุดิบชนิดใดก็อาจจะใช้การหลีกเลี่ยงก็ได้ แต่มีโอกาสที่สุนัขจะมาแพ้อาหารชนิดใหม่ที่ให้ได้อีกเช่นกัน และมีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดการแพ้อาหารในกลุ่มที่ใกล้เคียงกันได้   


ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/food-allergies-in-dogs


370
โรคแพ้อาหารในสุนัข (Food Allergy)

โรคแพ้อาหารในสุนัขคืออะไร    

   โรคแพ้อาหารในสุนัขเป็นหนึ่งในโรคเกี่ยวกับการแพ้ที่พบได้บ่อย (Allergy or Hypersensitivities) ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขเกิดการตอบสนองมากกว่าปกติและเกิดการสร้างแอนติบอดีต่อสารอาหารบางอย่างที่ในภาวะปกติจะไม่เกิดขึ้น สารอาหารที่พบได้บ่อยคือ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโดยมากมักจะเกิดเมื่อสุนัขได้รับสารอาหารประเภทนั้นมาสักระยะเวลาหนึ่ง



อาการของโรคแพ้อาหารในสุนัข

   อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการคันตามร่างกายกาย และพบอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและถ่ายเหลวได้ แต่มักจะไม่รุนแรง และในบางตัวพบว่ามีอาการตื่นตัวมากกว่าปกติ (hyperactivity) น้ำหนักลด หรือบางตัวอ่อนเพลีย และบางตัวอาจจะแสดงอาการดุร้าย หรือขี้หงุดหงิดได้

อาหารอะไรบ้างที่สุนัขชอบแพ้ ?

   สารอาหารประเภทโปรตีนเป็นสิ่งที่สุนัขมักจะแพ้มากที่สุด เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ ไข่ไก่ โปรตีนจากถั่วเหลือง กลูเตน ซึ่งอาหารสำหรับสุนัขส่วนมากก็จะมีส่วนประกอบวัตถุดิบที่อาจจะทำให้สุนัขแพ้อยู่ในสูตรอาหาร และไม่เฉพาะแค่วัตถุดิบในสูตรอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้อาหารในสุนัขเท่านั้น แต่พบว่าสารเสริมในอาหาร (food additive) ก็สามารถกระตุ้นอาการแพ้ได้เช่นกัน

การวินิจฉัยโรคแพ้อาหารในสุนัข

   หากสงสัยและอาการเข้าข่ายว่าเป็นโรคแพ้อาหาร สัตวแพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนอาหารจากที่เคยกินมากินอาหารเฉพาะสำหรับการทดสอบภูมิแพ้อาหาร (hypoallergenic diet) เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ และดูว่าอาการแพ้หายไปหรือไม่ โดยที่ในระหว่างนี้ห้ามมีการให้อาหารอื่นๆที่สุนัขเคยกินมาก่อนหน้านี้เด็ดขาด หลังจากนั้นอาจจะทดลองกลับไปกินอาหารที่สงสัยว่าแพ้และดูอาการคันว่ากลับมาหรือไม่ และยังรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคหรือยาถ่ายพยาธิชนิดกินด้วย เพราะอาจจะมีส่วนประกอบของโปรตีนหรือสารเสริมบางอย่างที่ทำให้แพ้ได้ และจะทำให้การแปรผลการทดสอบผิดไป  นอกจากการเปลี่ยนอาหารเพื่อทดสอบภาวะแพ้อาหารแล้ว ยังสามารถตรวจสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ด้วยการตรวจเลือด (Serum IgE test) เพื่อหาระดับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัตถุดิบอาหาร

การรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัข

   วิธีการรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัขคือ การเปลี่ยนอาหารมาให้กินอาหารที่สุนัขไม่แพ้ หรือกินอาหารสูตรรักษาโรคแพ้อาหารโดยเฉพาะ หรือถ้าหากรู้ว่าแพ้วัตถุดิบชนิดใดก็อาจจะใช้การหลีกเลี่ยงก็ได้ แต่มีโอกาสที่สุนัขจะมาแพ้อาหารชนิดใหม่ที่ให้ได้อีกเช่นกัน และมีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดการแพ้อาหารในกลุ่มที่ใกล้เคียงกันได้   


ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/food-allergies-in-dogs


371
โรคแพ้อาหารในสุนัข (Food Allergy)

โรคแพ้อาหารในสุนัขคืออะไร    

   โรคแพ้อาหารในสุนัขเป็นหนึ่งในโรคเกี่ยวกับการแพ้ที่พบได้บ่อย (Allergy or Hypersensitivities) ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขเกิดการตอบสนองมากกว่าปกติและเกิดการสร้างแอนติบอดีต่อสารอาหารบางอย่างที่ในภาวะปกติจะไม่เกิดขึ้น สารอาหารที่พบได้บ่อยคือ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโดยมากมักจะเกิดเมื่อสุนัขได้รับสารอาหารประเภทนั้นมาสักระยะเวลาหนึ่ง



อาการของโรคแพ้อาหารในสุนัข

   อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการคันตามร่างกายกาย และพบอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและถ่ายเหลวได้ แต่มักจะไม่รุนแรง และในบางตัวพบว่ามีอาการตื่นตัวมากกว่าปกติ (hyperactivity) น้ำหนักลด หรือบางตัวอ่อนเพลีย และบางตัวอาจจะแสดงอาการดุร้าย หรือขี้หงุดหงิดได้

อาหารอะไรบ้างที่สุนัขชอบแพ้ ?

   สารอาหารประเภทโปรตีนเป็นสิ่งที่สุนัขมักจะแพ้มากที่สุด เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ ไข่ไก่ โปรตีนจากถั่วเหลือง กลูเตน ซึ่งอาหารสำหรับสุนัขส่วนมากก็จะมีส่วนประกอบวัตถุดิบที่อาจจะทำให้สุนัขแพ้อยู่ในสูตรอาหาร และไม่เฉพาะแค่วัตถุดิบในสูตรอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้อาหารในสุนัขเท่านั้น แต่พบว่าสารเสริมในอาหาร (food additive) ก็สามารถกระตุ้นอาการแพ้ได้เช่นกัน

การวินิจฉัยโรคแพ้อาหารในสุนัข

   หากสงสัยและอาการเข้าข่ายว่าเป็นโรคแพ้อาหาร สัตวแพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนอาหารจากที่เคยกินมากินอาหารเฉพาะสำหรับการทดสอบภูมิแพ้อาหาร (hypoallergenic diet) เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ และดูว่าอาการแพ้หายไปหรือไม่ โดยที่ในระหว่างนี้ห้ามมีการให้อาหารอื่นๆที่สุนัขเคยกินมาก่อนหน้านี้เด็ดขาด หลังจากนั้นอาจจะทดลองกลับไปกินอาหารที่สงสัยว่าแพ้และดูอาการคันว่ากลับมาหรือไม่ และยังรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคหรือยาถ่ายพยาธิชนิดกินด้วย เพราะอาจจะมีส่วนประกอบของโปรตีนหรือสารเสริมบางอย่างที่ทำให้แพ้ได้ และจะทำให้การแปรผลการทดสอบผิดไป  นอกจากการเปลี่ยนอาหารเพื่อทดสอบภาวะแพ้อาหารแล้ว ยังสามารถตรวจสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ด้วยการตรวจเลือด (Serum IgE test) เพื่อหาระดับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัตถุดิบอาหาร

การรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัข

   วิธีการรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัขคือ การเปลี่ยนอาหารมาให้กินอาหารที่สุนัขไม่แพ้ หรือกินอาหารสูตรรักษาโรคแพ้อาหารโดยเฉพาะ หรือถ้าหากรู้ว่าแพ้วัตถุดิบชนิดใดก็อาจจะใช้การหลีกเลี่ยงก็ได้ แต่มีโอกาสที่สุนัขจะมาแพ้อาหารชนิดใหม่ที่ให้ได้อีกเช่นกัน และมีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดการแพ้อาหารในกลุ่มที่ใกล้เคียงกันได้   


ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/food-allergies-in-dogs


372
โรคแพ้อาหารในสุนัข (Food Allergy)

โรคแพ้อาหารในสุนัขคืออะไร    

   โรคแพ้อาหารในสุนัขเป็นหนึ่งในโรคเกี่ยวกับการแพ้ที่พบได้บ่อย (Allergy or Hypersensitivities) ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขเกิดการตอบสนองมากกว่าปกติและเกิดการสร้างแอนติบอดีต่อสารอาหารบางอย่างที่ในภาวะปกติจะไม่เกิดขึ้น สารอาหารที่พบได้บ่อยคือ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโดยมากมักจะเกิดเมื่อสุนัขได้รับสารอาหารประเภทนั้นมาสักระยะเวลาหนึ่ง



อาการของโรคแพ้อาหารในสุนัข

   อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการคันตามร่างกายกาย และพบอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและถ่ายเหลวได้ แต่มักจะไม่รุนแรง และในบางตัวพบว่ามีอาการตื่นตัวมากกว่าปกติ (hyperactivity) น้ำหนักลด หรือบางตัวอ่อนเพลีย และบางตัวอาจจะแสดงอาการดุร้าย หรือขี้หงุดหงิดได้

อาหารอะไรบ้างที่สุนัขชอบแพ้ ?

   สารอาหารประเภทโปรตีนเป็นสิ่งที่สุนัขมักจะแพ้มากที่สุด เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ ไข่ไก่ โปรตีนจากถั่วเหลือง กลูเตน ซึ่งอาหารสำหรับสุนัขส่วนมากก็จะมีส่วนประกอบวัตถุดิบที่อาจจะทำให้สุนัขแพ้อยู่ในสูตรอาหาร และไม่เฉพาะแค่วัตถุดิบในสูตรอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้อาหารในสุนัขเท่านั้น แต่พบว่าสารเสริมในอาหาร (food additive) ก็สามารถกระตุ้นอาการแพ้ได้เช่นกัน

การวินิจฉัยโรคแพ้อาหารในสุนัข

   หากสงสัยและอาการเข้าข่ายว่าเป็นโรคแพ้อาหาร สัตวแพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนอาหารจากที่เคยกินมากินอาหารเฉพาะสำหรับการทดสอบภูมิแพ้อาหาร (hypoallergenic diet) เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ และดูว่าอาการแพ้หายไปหรือไม่ โดยที่ในระหว่างนี้ห้ามมีการให้อาหารอื่นๆที่สุนัขเคยกินมาก่อนหน้านี้เด็ดขาด หลังจากนั้นอาจจะทดลองกลับไปกินอาหารที่สงสัยว่าแพ้และดูอาการคันว่ากลับมาหรือไม่ และยังรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคหรือยาถ่ายพยาธิชนิดกินด้วย เพราะอาจจะมีส่วนประกอบของโปรตีนหรือสารเสริมบางอย่างที่ทำให้แพ้ได้ และจะทำให้การแปรผลการทดสอบผิดไป  นอกจากการเปลี่ยนอาหารเพื่อทดสอบภาวะแพ้อาหารแล้ว ยังสามารถตรวจสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ด้วยการตรวจเลือด (Serum IgE test) เพื่อหาระดับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัตถุดิบอาหาร

การรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัข

   วิธีการรักษาโรคแพ้อาหารในสุนัขคือ การเปลี่ยนอาหารมาให้กินอาหารที่สุนัขไม่แพ้ หรือกินอาหารสูตรรักษาโรคแพ้อาหารโดยเฉพาะ หรือถ้าหากรู้ว่าแพ้วัตถุดิบชนิดใดก็อาจจะใช้การหลีกเลี่ยงก็ได้ แต่มีโอกาสที่สุนัขจะมาแพ้อาหารชนิดใหม่ที่ให้ได้อีกเช่นกัน และมีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดการแพ้อาหารในกลุ่มที่ใกล้เคียงกันได้   


ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/food-allergies-in-dogs


373
สงสัยว่าน้องแมวกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ควรทำอย่างไร ?
   
   แมวเป็นสัตว์ที่ขี้สงสัย อยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเขา แมวชอบที่จะสำรวจตามที่ต่างๆ ดมกลิ่น และลองชิมสิ่งต่างๆรอบตัว ด้วยนิสัยขี้สงสัยนี้เองที่อาจจะกลายมาเป็นภัยสำหรับเจ้าเหมียวได้ มีโอกาสสูงที่เจ้านายขนปุยขอเรา จะไปแอบลองกินสิ่งแปลกๆ ที่พบได้บ่อย เช่น เศษไม้ กระดาษ หนังยาง เชือก ต้นไม้ ของเล่นชิ้นเล็กๆ เชือก เข็มหรือด้าย เป็นต้น ของแปลกๆเหล่านี้ที่น้องแมวกินเข้าไป บางครั้งแมวอาจจะอาเจียนออกมา หรือบางครั้งก็ออกมากับอุจจาระได้ แต่ถ้าโชคไม่ดีอาจจะเกิดการอุดตันในทางเดินอาหารของแมวได้



   หนึ่งในอาการที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดคือ ภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอม (foreign body obstruction) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด หรือการส่องกล้องเอ็นโดสโคปเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา เพราะถ้าปล่อยเอาไว้นานโดยที่ลำไส้เกิดการอุดตัน อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่เป็นอันตราย เช่น ภาวะลำไส้กลืนกัน หรือลำไส้ฉีกขาดจากการอุดตันเป็นเวลานาน หรือเกิดการติดเชื้อตามมาได้

อาการที่พบ

-   อาเจียน หรือทำท่าเหมือนจะอาเจียนแตไม่มีอะไรออกมา

-   ถ่ายเหลว ท้องผูก ไม่ค่อยเห็นขับถ่าย หรือปวดเบ่ง เบ่งนานเวลาขับถ่าย

-   ปวดเกร็งช่องท้อง

-   ไม่กินอาหาร ความอยากอาหารลดลง

-   เพลีย อ่อนแรง ไม่ค่อยเคลื่อนไหว

-   อาจจะร้องเจ็บ คราง หันมากัด เวลาที่บริเวณท้อง

การวินิจฉัยภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   สัตวแพทย์จะตรวจร่างกายโดยละเอียด ร่วมกับการซักประวัติ ถ้ามีประวัติร่วมกับอาการที่เข้าข่ายน่าสงสัยสัตวแพทย์จะแนะนำให้เอ๊กเรย์ช่องท้อง หากเป็นสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ โลหะ หรือกระดูก อาจจะสามารถเห็นได้จากฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปได้เลย แต่สิ่งแปลกปลอมบางชนิดที่ฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปมองไม่เห็น เช่น ถ้าน้องแมวกินเชือก เศษผ้า หรือหนังยางเข้าไป การเอ๊กเรย์ทั่วไปจะมองไม่เห็น จำเป็นต้องเอ๊กเรย์ด้วยวิธีพิเศษ คือ การกลืนสารทึบรังสี ((barium or other radiographic dye) และจำเป็นต้องเอ๊กเรย์หลายฟิล์มภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อดูการเคลื่อนตัวของสารทึบรังสี ว่าสามารถผ่านออกไปได้หรือไม่ และมีการอุดตันที่ลำไส้ส่วนไหนหรือไม่

การรักษาภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   วิธีการรักษาขึ้นกับตำแหน่งที่สิ่งแปลกปลอมนั้นไปอุดตัน และขนาดของสิ่งแปลกปลอมนั้นด้วย เช่น ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นอยู่ในกระเพาะอาหารและขนาดไม่ใหญ่เกินไป ก็อาจจะพิจารณารักษาโดยการส่องกล้องเอ็นโดสโคปและนำออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าสิ่งแปลกปลอมมีขนาดใหญ่ หรืออุดตันอยู่ในลำไส้แล้วก็มีวิธีการรักษาเดียวนั้นคือ การผ่าตัดเพื่อนำออกมา ซึ่งจะต้องวินิจฉัยและดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานอาจจะทำให่ส่วนใดส่วยหนึ่งของลำไส้เกิดการขาดเลือดและเกิดเป็นเนื้อตายตามมาได้

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/ingestion-of-foreign-bodies-in-cats



374
สงสัยว่าน้องแมวกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ควรทำอย่างไร ?
   
   แมวเป็นสัตว์ที่ขี้สงสัย อยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเขา แมวชอบที่จะสำรวจตามที่ต่างๆ ดมกลิ่น และลองชิมสิ่งต่างๆรอบตัว ด้วยนิสัยขี้สงสัยนี้เองที่อาจจะกลายมาเป็นภัยสำหรับเจ้าเหมียวได้ มีโอกาสสูงที่เจ้านายขนปุยขอเรา จะไปแอบลองกินสิ่งแปลกๆ ที่พบได้บ่อย เช่น เศษไม้ กระดาษ หนังยาง เชือก ต้นไม้ ของเล่นชิ้นเล็กๆ เชือก เข็มหรือด้าย เป็นต้น ของแปลกๆเหล่านี้ที่น้องแมวกินเข้าไป บางครั้งแมวอาจจะอาเจียนออกมา หรือบางครั้งก็ออกมากับอุจจาระได้ แต่ถ้าโชคไม่ดีอาจจะเกิดการอุดตันในทางเดินอาหารของแมวได้



   หนึ่งในอาการที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดคือ ภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอม (foreign body obstruction) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด หรือการส่องกล้องเอ็นโดสโคปเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา เพราะถ้าปล่อยเอาไว้นานโดยที่ลำไส้เกิดการอุดตัน อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่เป็นอันตราย เช่น ภาวะลำไส้กลืนกัน หรือลำไส้ฉีกขาดจากการอุดตันเป็นเวลานาน หรือเกิดการติดเชื้อตามมาได้

อาการที่พบ

-   อาเจียน หรือทำท่าเหมือนจะอาเจียนแตไม่มีอะไรออกมา

-   ถ่ายเหลว ท้องผูก ไม่ค่อยเห็นขับถ่าย หรือปวดเบ่ง เบ่งนานเวลาขับถ่าย

-   ปวดเกร็งช่องท้อง

-   ไม่กินอาหาร ความอยากอาหารลดลง

-   เพลีย อ่อนแรง ไม่ค่อยเคลื่อนไหว

-   อาจจะร้องเจ็บ คราง หันมากัด เวลาที่บริเวณท้อง

การวินิจฉัยภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   สัตวแพทย์จะตรวจร่างกายโดยละเอียด ร่วมกับการซักประวัติ ถ้ามีประวัติร่วมกับอาการที่เข้าข่ายน่าสงสัยสัตวแพทย์จะแนะนำให้เอ๊กเรย์ช่องท้อง หากเป็นสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ โลหะ หรือกระดูก อาจจะสามารถเห็นได้จากฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปได้เลย แต่สิ่งแปลกปลอมบางชนิดที่ฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปมองไม่เห็น เช่น ถ้าน้องแมวกินเชือก เศษผ้า หรือหนังยางเข้าไป การเอ๊กเรย์ทั่วไปจะมองไม่เห็น จำเป็นต้องเอ๊กเรย์ด้วยวิธีพิเศษ คือ การกลืนสารทึบรังสี ((barium or other radiographic dye) และจำเป็นต้องเอ๊กเรย์หลายฟิล์มภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อดูการเคลื่อนตัวของสารทึบรังสี ว่าสามารถผ่านออกไปได้หรือไม่ และมีการอุดตันที่ลำไส้ส่วนไหนหรือไม่

การรักษาภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   วิธีการรักษาขึ้นกับตำแหน่งที่สิ่งแปลกปลอมนั้นไปอุดตัน และขนาดของสิ่งแปลกปลอมนั้นด้วย เช่น ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นอยู่ในกระเพาะอาหารและขนาดไม่ใหญ่เกินไป ก็อาจจะพิจารณารักษาโดยการส่องกล้องเอ็นโดสโคปและนำออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าสิ่งแปลกปลอมมีขนาดใหญ่ หรืออุดตันอยู่ในลำไส้แล้วก็มีวิธีการรักษาเดียวนั้นคือ การผ่าตัดเพื่อนำออกมา ซึ่งจะต้องวินิจฉัยและดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานอาจจะทำให่ส่วนใดส่วยหนึ่งของลำไส้เกิดการขาดเลือดและเกิดเป็นเนื้อตายตามมาได้

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/ingestion-of-foreign-bodies-in-cats



375
สงสัยว่าน้องแมวกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ควรทำอย่างไร ?
   
   แมวเป็นสัตว์ที่ขี้สงสัย อยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเขา แมวชอบที่จะสำรวจตามที่ต่างๆ ดมกลิ่น และลองชิมสิ่งต่างๆรอบตัว ด้วยนิสัยขี้สงสัยนี้เองที่อาจจะกลายมาเป็นภัยสำหรับเจ้าเหมียวได้ มีโอกาสสูงที่เจ้านายขนปุยขอเรา จะไปแอบลองกินสิ่งแปลกๆ ที่พบได้บ่อย เช่น เศษไม้ กระดาษ หนังยาง เชือก ต้นไม้ ของเล่นชิ้นเล็กๆ เชือก เข็มหรือด้าย เป็นต้น ของแปลกๆเหล่านี้ที่น้องแมวกินเข้าไป บางครั้งแมวอาจจะอาเจียนออกมา หรือบางครั้งก็ออกมากับอุจจาระได้ แต่ถ้าโชคไม่ดีอาจจะเกิดการอุดตันในทางเดินอาหารของแมวได้



   หนึ่งในอาการที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดคือ ภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอม (foreign body obstruction) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด หรือการส่องกล้องเอ็นโดสโคปเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา เพราะถ้าปล่อยเอาไว้นานโดยที่ลำไส้เกิดการอุดตัน อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่เป็นอันตราย เช่น ภาวะลำไส้กลืนกัน หรือลำไส้ฉีกขาดจากการอุดตันเป็นเวลานาน หรือเกิดการติดเชื้อตามมาได้

อาการที่พบ

-   อาเจียน หรือทำท่าเหมือนจะอาเจียนแตไม่มีอะไรออกมา

-   ถ่ายเหลว ท้องผูก ไม่ค่อยเห็นขับถ่าย หรือปวดเบ่ง เบ่งนานเวลาขับถ่าย

-   ปวดเกร็งช่องท้อง

-   ไม่กินอาหาร ความอยากอาหารลดลง

-   เพลีย อ่อนแรง ไม่ค่อยเคลื่อนไหว

-   อาจจะร้องเจ็บ คราง หันมากัด เวลาที่บริเวณท้อง

การวินิจฉัยภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   สัตวแพทย์จะตรวจร่างกายโดยละเอียด ร่วมกับการซักประวัติ ถ้ามีประวัติร่วมกับอาการที่เข้าข่ายน่าสงสัยสัตวแพทย์จะแนะนำให้เอ๊กเรย์ช่องท้อง หากเป็นสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ โลหะ หรือกระดูก อาจจะสามารถเห็นได้จากฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปได้เลย แต่สิ่งแปลกปลอมบางชนิดที่ฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปมองไม่เห็น เช่น ถ้าน้องแมวกินเชือก เศษผ้า หรือหนังยางเข้าไป การเอ๊กเรย์ทั่วไปจะมองไม่เห็น จำเป็นต้องเอ๊กเรย์ด้วยวิธีพิเศษ คือ การกลืนสารทึบรังสี ((barium or other radiographic dye) และจำเป็นต้องเอ๊กเรย์หลายฟิล์มภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อดูการเคลื่อนตัวของสารทึบรังสี ว่าสามารถผ่านออกไปได้หรือไม่ และมีการอุดตันที่ลำไส้ส่วนไหนหรือไม่

การรักษาภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   วิธีการรักษาขึ้นกับตำแหน่งที่สิ่งแปลกปลอมนั้นไปอุดตัน และขนาดของสิ่งแปลกปลอมนั้นด้วย เช่น ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นอยู่ในกระเพาะอาหารและขนาดไม่ใหญ่เกินไป ก็อาจจะพิจารณารักษาโดยการส่องกล้องเอ็นโดสโคปและนำออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าสิ่งแปลกปลอมมีขนาดใหญ่ หรืออุดตันอยู่ในลำไส้แล้วก็มีวิธีการรักษาเดียวนั้นคือ การผ่าตัดเพื่อนำออกมา ซึ่งจะต้องวินิจฉัยและดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานอาจจะทำให่ส่วนใดส่วยหนึ่งของลำไส้เกิดการขาดเลือดและเกิดเป็นเนื้อตายตามมาได้

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/ingestion-of-foreign-bodies-in-cats