แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

1111
โรคแพ้น้ำลายหมัดในสุนัขและแมว

   หมัดในสุนัขและแมว สามารถทำให้เกิดอาการแพ้และแสดงการคันได้เป็นวันๆหลังจากการกัดเพียง 1 ครั้ง หรือบางครั้งมองไม่เห็นตัวหมัด แต่หมัดอาจจะปล่อยขี้หมัดซึ่งมีลักษณะสีดำๆ เป็นฝุ่นผงๆอยู่บนตัวน้องหมาน้องแมว เพราะฉะนั้นถ้าน้องหมาของเราเริ่มมีอาการคันมากเป็นพิเศษ แต่ไม่เห็นความผิดปกติอื่นๆ อาจจะต้องนึกถึงโรคนี้ไว้ด้วย



ความน่ากลัวของหมัด

   หมัดจัดเป็นกลุ่มแมลง มีลักษณะตัวเล็กสีดำ และวิ่งเร็วๆ บางครั้งอาจจะพบเพียงขี้หมัด (flea dirt) บนตัวสัตว์หรือบนสิ่งแวดล้อม หมัดมีขา 3 คู่ โดยขาคู่หลังแข็งแรงมาก สามารถกระโดได้สูงถึง 18 เซนติเมตร จึงสามารถติดต่อระหว่างสิ่งแวดล้อม คน และสัตว์เลี้ยงได้ หมัดจะอาศัยอยู่บนสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น ดิน พรม หรือที่นอนของสัตว์เลี้ยง และจะขึ้นมากินเลือดสุนัขและแมว (Host) และสามารถขึ้นตัวคนได้ด้วย (accidental host) โดยสามารถมีอายุได้ถึง 2 ปี ขึ้นกับสภาพแวดล้อม แต่โดยเฉลี่ยมีชิวีตที่ประมาณ 2 เดือน

หมัดสามารถกินเลือดสัตว์เลี้ยงและทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ หากติดหมัดเป็นจำนวนมาก ถ้าสุนัขหรือแมวเผลอกินหมัดเข้าไปโดยบังเอิญ อาจจะเพราะกัดแทะร่างกายเพราะคันมาก อาจจะมีโอกาสติดพยาธิที่มากับหมัดได้ด้วย และบางตัวมีอาการแพ้น้ำลายหมัดรุนแรง

อาการแพ้น้ำลายหมัดในสุนัขและแมว
 
   มักจะมีอาการคันมากบริเวณหลัง หรือท้ายลำตัว บางรายอาจจะเกากัดแทะจนเป็นแผลเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมา นอกจากอาการคันรุนแรงแล้ว อาจจะพบว่ามีขนร่วง หรือขนบริเวณหลังและท้ายลำตัวบางลง ผิวหนังเป็นสีแดง หรือหนาตัวมากกว่าปกติ

การรักษาโรคแพ้น้ำลายหมัดในสุนัขและแมว

   สัตวแพทย์จะวินิจฉัยโดยดูจากอาการร่วมกับการพบตัวหมัดหรือขี้หมัดบนตัวสุนัข หรืออาจจะส่งตรวจภูมิแพ้ร่วมด้วย จากนั้นจะต้องให้ยาเพื่อรักษาอาการติดหมัด ซึ่งมีทั้งรูปแบบยากิน ยาหยอดหลัง (ควรป้องกันต่อเนื่องหลังจากหายแล้ว) และจำเป็นต้องรักษาอาการแพ้ร่วมด้วย โดยมากถ้ามีการแพ้รุนแรงและคันมาก จะพิจารณาให้ยาลดอักเสบชนิดที่เป็นสเตียรอยด์ในช่วงแรกทั้งรูปแบบกินและแบบทาที่ผิวหนังเพื่อลดอาการคัน ถ้าน้องหมาหรือน้องแมวเกาบริเวณที่แพ้มากจนเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน สัตวแพทย์จะพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียแบบกินร่วมด้วย และสัตว์เลี้ยงควรได้รับการถ่ายพยาธิทางเดินอาหารทุกครั้งถ้ามีการพบหมัดบนตัว ระยะเวลาในการรักษาอาจจะใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ขึ้นกับความรุนแรง

พาน้องไปรักษาแล้วอย่าลืมวิธีกำจัดหมัดในสิ่งแวดล้อม

   อย่าคิดว่าการพาน้องหมาน้องแมวไปรักษาแล้วจะหมดหน้าที่ของเรา สิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งคือการกำจัดแหล่งที่อยู่ของหมัดภายในบ้าน การพบหมัดบนตัวสัตว์ 1 ตัว หมายถึงยังมีหมัดอยู่ในบ้านเราอีกหลายร้อยตัว

-   ทำความสะอาดที่นอนสัตว์เลี้ยงทุกสัปดาห์ เนื่องจากไข่หมัดและตัวอ่อนของหมัดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ที่นอนที่ดูสะอาด อาจจะเป็นรังโรคของหมัดอยู่
-   ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดพื้น พรม เฟอร์นิเจอร์ และผ้าม่านหลังจากดูดฝุ่นเสร็จควรทิ้งถุงดูดฝุ่นโดยห่อให้มิดชิดเพื่อป้องกันไข่หมัด และตัวอ่อนของหมัดหลุดรอดออกมา
-   ทำความสะอาดด้วยการถูพื้นในบริเวณที่สุนัขนอนเป็นประจำ
-   ควรเรียกบริษัทกำจัดปลวกที่ดูแลที่อยู่อาศัยของเราเข้ามาพ่นยาอย่างน้อยทุก 3 – 6 เดือน
      

แหล่งที่มา
https://vcahospitals.com/know-your-pet/allergy-flea-allergy-dermatitis-in-dogs
https://dermnetnz.org/topics/flea-bite/
https://www.comfortis.com/flea-life-cycle


1112
โรคแพ้น้ำลายหมัดในสุนัขและแมว

   หมัดในสุนัขและแมว สามารถทำให้เกิดอาการแพ้และแสดงการคันได้เป็นวันๆหลังจากการกัดเพียง 1 ครั้ง หรือบางครั้งมองไม่เห็นตัวหมัด แต่หมัดอาจจะปล่อยขี้หมัดซึ่งมีลักษณะสีดำๆ เป็นฝุ่นผงๆอยู่บนตัวน้องหมาน้องแมว เพราะฉะนั้นถ้าน้องหมาของเราเริ่มมีอาการคันมากเป็นพิเศษ แต่ไม่เห็นความผิดปกติอื่นๆ อาจจะต้องนึกถึงโรคนี้ไว้ด้วย



ความน่ากลัวของหมัด

   หมัดจัดเป็นกลุ่มแมลง มีลักษณะตัวเล็กสีดำ และวิ่งเร็วๆ บางครั้งอาจจะพบเพียงขี้หมัด (flea dirt) บนตัวสัตว์หรือบนสิ่งแวดล้อม หมัดมีขา 3 คู่ โดยขาคู่หลังแข็งแรงมาก สามารถกระโดได้สูงถึง 18 เซนติเมตร จึงสามารถติดต่อระหว่างสิ่งแวดล้อม คน และสัตว์เลี้ยงได้ หมัดจะอาศัยอยู่บนสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น ดิน พรม หรือที่นอนของสัตว์เลี้ยง และจะขึ้นมากินเลือดสุนัขและแมว (Host) และสามารถขึ้นตัวคนได้ด้วย (accidental host) โดยสามารถมีอายุได้ถึง 2 ปี ขึ้นกับสภาพแวดล้อม แต่โดยเฉลี่ยมีชิวีตที่ประมาณ 2 เดือน

หมัดสามารถกินเลือดสัตว์เลี้ยงและทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ หากติดหมัดเป็นจำนวนมาก ถ้าสุนัขหรือแมวเผลอกินหมัดเข้าไปโดยบังเอิญ อาจจะเพราะกัดแทะร่างกายเพราะคันมาก อาจจะมีโอกาสติดพยาธิที่มากับหมัดได้ด้วย และบางตัวมีอาการแพ้น้ำลายหมัดรุนแรง

อาการแพ้น้ำลายหมัดในสุนัขและแมว
 
   มักจะมีอาการคันมากบริเวณหลัง หรือท้ายลำตัว บางรายอาจจะเกากัดแทะจนเป็นแผลเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมา นอกจากอาการคันรุนแรงแล้ว อาจจะพบว่ามีขนร่วง หรือขนบริเวณหลังและท้ายลำตัวบางลง ผิวหนังเป็นสีแดง หรือหนาตัวมากกว่าปกติ

การรักษาโรคแพ้น้ำลายหมัดในสุนัขและแมว

   สัตวแพทย์จะวินิจฉัยโดยดูจากอาการร่วมกับการพบตัวหมัดหรือขี้หมัดบนตัวสุนัข หรืออาจจะส่งตรวจภูมิแพ้ร่วมด้วย จากนั้นจะต้องให้ยาเพื่อรักษาอาการติดหมัด ซึ่งมีทั้งรูปแบบยากิน ยาหยอดหลัง (ควรป้องกันต่อเนื่องหลังจากหายแล้ว) และจำเป็นต้องรักษาอาการแพ้ร่วมด้วย โดยมากถ้ามีการแพ้รุนแรงและคันมาก จะพิจารณาให้ยาลดอักเสบชนิดที่เป็นสเตียรอยด์ในช่วงแรกทั้งรูปแบบกินและแบบทาที่ผิวหนังเพื่อลดอาการคัน ถ้าน้องหมาหรือน้องแมวเกาบริเวณที่แพ้มากจนเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน สัตวแพทย์จะพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียแบบกินร่วมด้วย และสัตว์เลี้ยงควรได้รับการถ่ายพยาธิทางเดินอาหารทุกครั้งถ้ามีการพบหมัดบนตัว ระยะเวลาในการรักษาอาจจะใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ขึ้นกับความรุนแรง

พาน้องไปรักษาแล้วอย่าลืมวิธีกำจัดหมัดในสิ่งแวดล้อม

   อย่าคิดว่าการพาน้องหมาน้องแมวไปรักษาแล้วจะหมดหน้าที่ของเรา สิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งคือการกำจัดแหล่งที่อยู่ของหมัดภายในบ้าน การพบหมัดบนตัวสัตว์ 1 ตัว หมายถึงยังมีหมัดอยู่ในบ้านเราอีกหลายร้อยตัว

-   ทำความสะอาดที่นอนสัตว์เลี้ยงทุกสัปดาห์ เนื่องจากไข่หมัดและตัวอ่อนของหมัดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ที่นอนที่ดูสะอาด อาจจะเป็นรังโรคของหมัดอยู่
-   ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดพื้น พรม เฟอร์นิเจอร์ และผ้าม่านหลังจากดูดฝุ่นเสร็จควรทิ้งถุงดูดฝุ่นโดยห่อให้มิดชิดเพื่อป้องกันไข่หมัด และตัวอ่อนของหมัดหลุดรอดออกมา
-   ทำความสะอาดด้วยการถูพื้นในบริเวณที่สุนัขนอนเป็นประจำ
-   ควรเรียกบริษัทกำจัดปลวกที่ดูแลที่อยู่อาศัยของเราเข้ามาพ่นยาอย่างน้อยทุก 3 – 6 เดือน
      

แหล่งที่มา
https://vcahospitals.com/know-your-pet/allergy-flea-allergy-dermatitis-in-dogs
https://dermnetnz.org/topics/flea-bite/
https://www.comfortis.com/flea-life-cycle


1113
โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว

          โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว หรือในทางสัตวแพทย์เรียกว่า Feline lower urinary tract disease (FLUTD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในน้องแมว เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ โดยมีตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการรุนแรง    

          เจ้าของแมวควรมีความเข้าใจในโรคเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เขาป่วย แมวที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้คือ น้องแมวช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป พบในแมวตัวผู้ที่ทำหมันแล้วมากกว่าตัวเมีย น้องแมวที่เลี้ยงในบ้าน ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอาหารเม็ดเป็นหลัก พบว่าน้องแมวที่น้ำหนักตัวเกิน มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไปถึง 4 เท่า



สาเหตุที่พบ

-   นิ่วอุดตันในท่อปัสสาวะ (urthral plug)
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
-   นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ (Feline idiopathic cystitis; FIC) ซึ่งกระตุ้นจากความเครียดสะสม

อาการที่พบในน้องแมว

-   ปัสสวาะไม่ออก ปวดเบ่งเวลาปัสสาวะ พยายามเบ่งปัสสาวะนาน
-   ปัสสาวะบ่อยขึ้น เข้ากระบะทรายบ่อย น้องแมวฉี่ได้เป็นกองเล็กๆ
-   ปัสสาวะเป็นเลือด อาจจะพบว่าปัสสาวะเป็นสีแดง หรืออาจจะพบเลือดเป็นหยดบริเวณบ้าน
-   ปัสสาวะนอกกระบะทราย หรือปัสสาวะไหลตลอดเวลา รอบๆอวัยเพศจะเปียกตลอด
-   น้องแมวบางตัวจะพยายามเลียตัว (over-grooming) หรือพยายามเลียบริเวณท้อง เนื่องจากมีอาการปวดท้อง

การวินิจฉัย

   สัตวแพทย์จะแนะนำให้ทำการตรวจเอ๊กเรย์ร่วมกับการอัลตราซาวด์ เพื่อดูเกี่ยวกับปัญหานิ่ว หรือก้อนเนื้องอกที่อาจจะอุดตันทางเดินปัสาวะ และจะตรวจปัสสาวะเพื่อดูการติดเชื้อร่วมด้วย ถ้าน้องแมวมีอาการอาเจียน หรือไม่สามารถฉี่ได้เกิน 24 ชั่วโมง อาจจะเกิดปัญหาไตวายฉับพลัน ดังนั้นอาจจำเป็นต้องตรวจเลือด ค่าเคมีในเลือด เพื่อประเมินภาวะไตวายฉับพลัน
   
การรักษา

ในกรณีทั่งพอปัสสาวะได้เอง อาจจะไม่จำเป็นต้องสวนท่อปัสสาวะ แต่ถ้าน้องแมวฉี่ไม่ออกเลย สัตวแพทย์จะสวนปัสสาวะเพื่อระบายออกก่อน เพื่อป้องกันภาวะไตวายฉับพลัน ส่วนการรักษานั้นจะขึ้นกับสาเหตุของโรค เช่น ถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากนิ่วก็ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด (นิ่วขนาดใหญ่) หรือกินอาหารสลายนิ่ว (นิ่วทรายขนาดเล็ก) หรือถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ หรือ FIC นั้นก็จำเป็นต้องมีการจัดการปัญหาแบบองค์รวม เช่น ต้องมีการปรับรูปแบบอาหาร ควบคุมน้ำหนัก จัดสภาพแวดล้อมใหม่ เพิ่มปริมาณการกินน้ำ จัดการกระบะทรายให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นต้น


https://icatcare.org/advice/feline-lower-urinary-tract-disease-flutd/
https://www.sciencedirect.com/topics/veterinary-science-and-veterinary-medicine/feline-lower-urinary-tract-disease
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/tjvm/article/view/10712



1114
โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว

          โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว หรือในทางสัตวแพทย์เรียกว่า Feline lower urinary tract disease (FLUTD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในน้องแมว เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ โดยมีตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการรุนแรง    

          เจ้าของแมวควรมีความเข้าใจในโรคเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เขาป่วย แมวที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้คือ น้องแมวช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป พบในแมวตัวผู้ที่ทำหมันแล้วมากกว่าตัวเมีย น้องแมวที่เลี้ยงในบ้าน ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอาหารเม็ดเป็นหลัก พบว่าน้องแมวที่น้ำหนักตัวเกิน มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไปถึง 4 เท่า



สาเหตุที่พบ

-   นิ่วอุดตันในท่อปัสสาวะ (urthral plug)
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
-   นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ (Feline idiopathic cystitis; FIC) ซึ่งกระตุ้นจากความเครียดสะสม

อาการที่พบในน้องแมว

-   ปัสสวาะไม่ออก ปวดเบ่งเวลาปัสสาวะ พยายามเบ่งปัสสาวะนาน
-   ปัสสาวะบ่อยขึ้น เข้ากระบะทรายบ่อย น้องแมวฉี่ได้เป็นกองเล็กๆ
-   ปัสสาวะเป็นเลือด อาจจะพบว่าปัสสาวะเป็นสีแดง หรืออาจจะพบเลือดเป็นหยดบริเวณบ้าน
-   ปัสสาวะนอกกระบะทราย หรือปัสสาวะไหลตลอดเวลา รอบๆอวัยเพศจะเปียกตลอด
-   น้องแมวบางตัวจะพยายามเลียตัว (over-grooming) หรือพยายามเลียบริเวณท้อง เนื่องจากมีอาการปวดท้อง

การวินิจฉัย

   สัตวแพทย์จะแนะนำให้ทำการตรวจเอ๊กเรย์ร่วมกับการอัลตราซาวด์ เพื่อดูเกี่ยวกับปัญหานิ่ว หรือก้อนเนื้องอกที่อาจจะอุดตันทางเดินปัสาวะ และจะตรวจปัสสาวะเพื่อดูการติดเชื้อร่วมด้วย ถ้าน้องแมวมีอาการอาเจียน หรือไม่สามารถฉี่ได้เกิน 24 ชั่วโมง อาจจะเกิดปัญหาไตวายฉับพลัน ดังนั้นอาจจำเป็นต้องตรวจเลือด ค่าเคมีในเลือด เพื่อประเมินภาวะไตวายฉับพลัน
   
การรักษา

ในกรณีทั่งพอปัสสาวะได้เอง อาจจะไม่จำเป็นต้องสวนท่อปัสสาวะ แต่ถ้าน้องแมวฉี่ไม่ออกเลย สัตวแพทย์จะสวนปัสสาวะเพื่อระบายออกก่อน เพื่อป้องกันภาวะไตวายฉับพลัน ส่วนการรักษานั้นจะขึ้นกับสาเหตุของโรค เช่น ถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากนิ่วก็ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด (นิ่วขนาดใหญ่) หรือกินอาหารสลายนิ่ว (นิ่วทรายขนาดเล็ก) หรือถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ หรือ FIC นั้นก็จำเป็นต้องมีการจัดการปัญหาแบบองค์รวม เช่น ต้องมีการปรับรูปแบบอาหาร ควบคุมน้ำหนัก จัดสภาพแวดล้อมใหม่ เพิ่มปริมาณการกินน้ำ จัดการกระบะทรายให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นต้น


https://icatcare.org/advice/feline-lower-urinary-tract-disease-flutd/
https://www.sciencedirect.com/topics/veterinary-science-and-veterinary-medicine/feline-lower-urinary-tract-disease
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/tjvm/article/view/10712



1115
โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว

          โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว หรือในทางสัตวแพทย์เรียกว่า Feline lower urinary tract disease (FLUTD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในน้องแมว เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ โดยมีตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการรุนแรง    

          เจ้าของแมวควรมีความเข้าใจในโรคเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เขาป่วย แมวที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้คือ น้องแมวช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป พบในแมวตัวผู้ที่ทำหมันแล้วมากกว่าตัวเมีย น้องแมวที่เลี้ยงในบ้าน ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอาหารเม็ดเป็นหลัก พบว่าน้องแมวที่น้ำหนักตัวเกิน มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไปถึง 4 เท่า



สาเหตุที่พบ

-   นิ่วอุดตันในท่อปัสสาวะ (urthral plug)
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
-   นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ (Feline idiopathic cystitis; FIC) ซึ่งกระตุ้นจากความเครียดสะสม

อาการที่พบในน้องแมว

-   ปัสสวาะไม่ออก ปวดเบ่งเวลาปัสสาวะ พยายามเบ่งปัสสาวะนาน
-   ปัสสาวะบ่อยขึ้น เข้ากระบะทรายบ่อย น้องแมวฉี่ได้เป็นกองเล็กๆ
-   ปัสสาวะเป็นเลือด อาจจะพบว่าปัสสาวะเป็นสีแดง หรืออาจจะพบเลือดเป็นหยดบริเวณบ้าน
-   ปัสสาวะนอกกระบะทราย หรือปัสสาวะไหลตลอดเวลา รอบๆอวัยเพศจะเปียกตลอด
-   น้องแมวบางตัวจะพยายามเลียตัว (over-grooming) หรือพยายามเลียบริเวณท้อง เนื่องจากมีอาการปวดท้อง

การวินิจฉัย

   สัตวแพทย์จะแนะนำให้ทำการตรวจเอ๊กเรย์ร่วมกับการอัลตราซาวด์ เพื่อดูเกี่ยวกับปัญหานิ่ว หรือก้อนเนื้องอกที่อาจจะอุดตันทางเดินปัสาวะ และจะตรวจปัสสาวะเพื่อดูการติดเชื้อร่วมด้วย ถ้าน้องแมวมีอาการอาเจียน หรือไม่สามารถฉี่ได้เกิน 24 ชั่วโมง อาจจะเกิดปัญหาไตวายฉับพลัน ดังนั้นอาจจำเป็นต้องตรวจเลือด ค่าเคมีในเลือด เพื่อประเมินภาวะไตวายฉับพลัน
   
การรักษา

ในกรณีทั่งพอปัสสาวะได้เอง อาจจะไม่จำเป็นต้องสวนท่อปัสสาวะ แต่ถ้าน้องแมวฉี่ไม่ออกเลย สัตวแพทย์จะสวนปัสสาวะเพื่อระบายออกก่อน เพื่อป้องกันภาวะไตวายฉับพลัน ส่วนการรักษานั้นจะขึ้นกับสาเหตุของโรค เช่น ถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากนิ่วก็ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด (นิ่วขนาดใหญ่) หรือกินอาหารสลายนิ่ว (นิ่วทรายขนาดเล็ก) หรือถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ หรือ FIC นั้นก็จำเป็นต้องมีการจัดการปัญหาแบบองค์รวม เช่น ต้องมีการปรับรูปแบบอาหาร ควบคุมน้ำหนัก จัดสภาพแวดล้อมใหม่ เพิ่มปริมาณการกินน้ำ จัดการกระบะทรายให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นต้น


https://icatcare.org/advice/feline-lower-urinary-tract-disease-flutd/
https://www.sciencedirect.com/topics/veterinary-science-and-veterinary-medicine/feline-lower-urinary-tract-disease
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/tjvm/article/view/10712



1116
โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว

          โรคทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างในแมว หรือในทางสัตวแพทย์เรียกว่า Feline lower urinary tract disease (FLUTD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในน้องแมว เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ โดยมีตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการรุนแรง    

          เจ้าของแมวควรมีความเข้าใจในโรคเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เขาป่วย แมวที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้คือ น้องแมวช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป พบในแมวตัวผู้ที่ทำหมันแล้วมากกว่าตัวเมีย น้องแมวที่เลี้ยงในบ้าน ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอาหารเม็ดเป็นหลัก พบว่าน้องแมวที่น้ำหนักตัวเกิน มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไปถึง 4 เท่า



สาเหตุที่พบ

-   นิ่วอุดตันในท่อปัสสาวะ (urthral plug)
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
-   นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
-   กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ (Feline idiopathic cystitis; FIC) ซึ่งกระตุ้นจากความเครียดสะสม

อาการที่พบในน้องแมว

-   ปัสสวาะไม่ออก ปวดเบ่งเวลาปัสสาวะ พยายามเบ่งปัสสาวะนาน
-   ปัสสาวะบ่อยขึ้น เข้ากระบะทรายบ่อย น้องแมวฉี่ได้เป็นกองเล็กๆ
-   ปัสสาวะเป็นเลือด อาจจะพบว่าปัสสาวะเป็นสีแดง หรืออาจจะพบเลือดเป็นหยดบริเวณบ้าน
-   ปัสสาวะนอกกระบะทราย หรือปัสสาวะไหลตลอดเวลา รอบๆอวัยเพศจะเปียกตลอด
-   น้องแมวบางตัวจะพยายามเลียตัว (over-grooming) หรือพยายามเลียบริเวณท้อง เนื่องจากมีอาการปวดท้อง

การวินิจฉัย

   สัตวแพทย์จะแนะนำให้ทำการตรวจเอ๊กเรย์ร่วมกับการอัลตราซาวด์ เพื่อดูเกี่ยวกับปัญหานิ่ว หรือก้อนเนื้องอกที่อาจจะอุดตันทางเดินปัสาวะ และจะตรวจปัสสาวะเพื่อดูการติดเชื้อร่วมด้วย ถ้าน้องแมวมีอาการอาเจียน หรือไม่สามารถฉี่ได้เกิน 24 ชั่วโมง อาจจะเกิดปัญหาไตวายฉับพลัน ดังนั้นอาจจำเป็นต้องตรวจเลือด ค่าเคมีในเลือด เพื่อประเมินภาวะไตวายฉับพลัน
   
การรักษา

ในกรณีทั่งพอปัสสาวะได้เอง อาจจะไม่จำเป็นต้องสวนท่อปัสสาวะ แต่ถ้าน้องแมวฉี่ไม่ออกเลย สัตวแพทย์จะสวนปัสสาวะเพื่อระบายออกก่อน เพื่อป้องกันภาวะไตวายฉับพลัน ส่วนการรักษานั้นจะขึ้นกับสาเหตุของโรค เช่น ถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากนิ่วก็ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด (นิ่วขนาดใหญ่) หรือกินอาหารสลายนิ่ว (นิ่วทรายขนาดเล็ก) หรือถ้าอาการฉี่ไม่ออกเกิดจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ หรือ FIC นั้นก็จำเป็นต้องมีการจัดการปัญหาแบบองค์รวม เช่น ต้องมีการปรับรูปแบบอาหาร ควบคุมน้ำหนัก จัดสภาพแวดล้อมใหม่ เพิ่มปริมาณการกินน้ำ จัดการกระบะทรายให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นต้น


https://icatcare.org/advice/feline-lower-urinary-tract-disease-flutd/
https://www.sciencedirect.com/topics/veterinary-science-and-veterinary-medicine/feline-lower-urinary-tract-disease
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/tjvm/article/view/10712



1117
โรคที่มักพบ / โรคหูอักเสบในสุนัข
« เมื่อ: 18 เม.ย. 64, 21:30:41น. »
โรคหูอักเสบในสุนัข

   โรคหูอักเสบในสุนัข เป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่น้องหมาอาจจะไม่ทันได้สังเกตุกัน บางตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือน้องเกาหูจนเป็นแผล รักษากันนานเลยทีเดียว โดยพบว่าสุนัขกว่า 15-20% ที่พบปัญหานี้ สุนัขสายพันธุ์รีทรฟเวอร์ และสายพันธุ์เทอร์เรียมีโอกาสเป็นโรคหูอักเสบได้มากกว่า (Breed predisposing)  และสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ หรือว่ายน้ำมักมีโอกาสเกิดโรคหูอักเสบมากกว่าสุนัขทั่วไป



ถ้าน้องหมาของใครเคยมีปัญหา สะบัดหูบ่อย ใบหูแดง มีขี้หูมากกว่าปกติ อาจจะพบขี้หูทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีเหลือง ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุจากอะไร และมักมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ บางตัวจะร้องเจ็บเวลาที่ไปโดนบริเวณหู หรือรอบๆหู ขนรอบใบหูร่วงเนื่องจากน้องหมาเกาเยอะจนขนร่วง หรือบางตัวเกาจนเกิดแผลหลุมลึกที่ผิดหนัง

สาเหตุโรคหูอักเสบในสุนัข

   สาเหตุหลัก (Primary Cause) คือ สาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติขึ้นในช่องหูด้วยสาเหตุบางอย่าง เช่น
-   โรคภูมิแพ้อาหาร (Adverse food reaction)
-   โรคแพ้ภูมิตัวเอง (atopic dermatitis)
-   การติดเชื้อไรในหู ไรขีเรื้อนเปียก ไรขี้เรื้อนแห้ง
-   การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคไข้หัดสุนัข
-   การติดเชื้อรา
-   โรคความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
-   โรคความผิดปกติที่ผิวหนัง เช่น ต่อมไขมันอักเสบ เป็นต้น

สาเหตุรอง (Secondary cause) คือ สาเหตุที่เกิดตามมาทีหลังจากเกิดความผิดปกติบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว เช่น

-   การติดเชื้อแบคทีเรีย
-   การติดเชื้อยีสต์
-   การทำความสะอาดหูมากเกินไปจนอักเสบ หรือแพ้น้ำยาล้างหู

การวินิจฉัย

   หากสงสัยว่าน้องหมาของเรามีอาการช่องหูอักเสบ ก็ควรจะรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน โดยสัตวแพทย์จะทำการตรวจภายนอกด้วยตาเปล่า ร่วมกับการเก็บเซลล์ในช่องหูไปส่องตรวจเพื่อวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งอาจจะส่องตรวจช่องหูด้วยเครื่องมือส่องตรวจหูโดยเฉพาะเพื่อตรวจดูเยื่อแก้วหู และสภาพช่องหูภายใน

การรักษา

การรักษาจะต้องทำการล้างช่องหูด้วยน้ำยาล้างหูทุกวัน เพื่อนำเอาเศษขี้หู หรือสิ่งสกปรกออกจากช่องหู และสัตวแพทย์จะให้ยาหยอดหู โดยขึ้นกับว่ามีการติดเชื้อชนิดใด เช่น เชื้อยีสต์, เชื้อไรในหู, เชื้อแบคทีเรีย และถ้าน้องหมามีอาการคันหูมาก และอักเสบรุนแรง อาจจำเป็นที่จะต้องได้รับยาลดอาการ ยาฆ่าเชื้อ และยาลดอักเสบแบบกินร่วมด้วย โดยระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนาน โดยมากมักจะดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจำเป็นต้องหยอดยาและกินยาต่อเนื่องจนกว่าจะหายดี

แหล่งที่มา
https://www.msdvetmanual.com/ear-disorders/otitis-externa/otitis-externa-in-animals
https://www.cliniciansbrief.com/article/top-5-keys-successful-management-otitis-externa


1118
โรคที่มักพบ / โรคหูอักเสบในสุนัข
« เมื่อ: 18 เม.ย. 64, 21:30:41น. »
โรคหูอักเสบในสุนัข

   โรคหูอักเสบในสุนัข เป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่น้องหมาอาจจะไม่ทันได้สังเกตุกัน บางตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือน้องเกาหูจนเป็นแผล รักษากันนานเลยทีเดียว โดยพบว่าสุนัขกว่า 15-20% ที่พบปัญหานี้ สุนัขสายพันธุ์รีทรฟเวอร์ และสายพันธุ์เทอร์เรียมีโอกาสเป็นโรคหูอักเสบได้มากกว่า (Breed predisposing)  และสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ หรือว่ายน้ำมักมีโอกาสเกิดโรคหูอักเสบมากกว่าสุนัขทั่วไป



ถ้าน้องหมาของใครเคยมีปัญหา สะบัดหูบ่อย ใบหูแดง มีขี้หูมากกว่าปกติ อาจจะพบขี้หูทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีเหลือง ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุจากอะไร และมักมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ บางตัวจะร้องเจ็บเวลาที่ไปโดนบริเวณหู หรือรอบๆหู ขนรอบใบหูร่วงเนื่องจากน้องหมาเกาเยอะจนขนร่วง หรือบางตัวเกาจนเกิดแผลหลุมลึกที่ผิดหนัง

สาเหตุโรคหูอักเสบในสุนัข

   สาเหตุหลัก (Primary Cause) คือ สาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติขึ้นในช่องหูด้วยสาเหตุบางอย่าง เช่น
-   โรคภูมิแพ้อาหาร (Adverse food reaction)
-   โรคแพ้ภูมิตัวเอง (atopic dermatitis)
-   การติดเชื้อไรในหู ไรขีเรื้อนเปียก ไรขี้เรื้อนแห้ง
-   การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคไข้หัดสุนัข
-   การติดเชื้อรา
-   โรคความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
-   โรคความผิดปกติที่ผิวหนัง เช่น ต่อมไขมันอักเสบ เป็นต้น

สาเหตุรอง (Secondary cause) คือ สาเหตุที่เกิดตามมาทีหลังจากเกิดความผิดปกติบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว เช่น

-   การติดเชื้อแบคทีเรีย
-   การติดเชื้อยีสต์
-   การทำความสะอาดหูมากเกินไปจนอักเสบ หรือแพ้น้ำยาล้างหู

การวินิจฉัย

   หากสงสัยว่าน้องหมาของเรามีอาการช่องหูอักเสบ ก็ควรจะรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน โดยสัตวแพทย์จะทำการตรวจภายนอกด้วยตาเปล่า ร่วมกับการเก็บเซลล์ในช่องหูไปส่องตรวจเพื่อวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งอาจจะส่องตรวจช่องหูด้วยเครื่องมือส่องตรวจหูโดยเฉพาะเพื่อตรวจดูเยื่อแก้วหู และสภาพช่องหูภายใน

การรักษา

การรักษาจะต้องทำการล้างช่องหูด้วยน้ำยาล้างหูทุกวัน เพื่อนำเอาเศษขี้หู หรือสิ่งสกปรกออกจากช่องหู และสัตวแพทย์จะให้ยาหยอดหู โดยขึ้นกับว่ามีการติดเชื้อชนิดใด เช่น เชื้อยีสต์, เชื้อไรในหู, เชื้อแบคทีเรีย และถ้าน้องหมามีอาการคันหูมาก และอักเสบรุนแรง อาจจำเป็นที่จะต้องได้รับยาลดอาการ ยาฆ่าเชื้อ และยาลดอักเสบแบบกินร่วมด้วย โดยระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนาน โดยมากมักจะดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจำเป็นต้องหยอดยาและกินยาต่อเนื่องจนกว่าจะหายดี

แหล่งที่มา
https://www.msdvetmanual.com/ear-disorders/otitis-externa/otitis-externa-in-animals
https://www.cliniciansbrief.com/article/top-5-keys-successful-management-otitis-externa


1119
โรคที่มักพบ / โรคหูอักเสบในสุนัข
« เมื่อ: 18 เม.ย. 64, 21:30:41น. »
โรคหูอักเสบในสุนัข

   โรคหูอักเสบในสุนัข เป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่น้องหมาอาจจะไม่ทันได้สังเกตุกัน บางตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือน้องเกาหูจนเป็นแผล รักษากันนานเลยทีเดียว โดยพบว่าสุนัขกว่า 15-20% ที่พบปัญหานี้ สุนัขสายพันธุ์รีทรฟเวอร์ และสายพันธุ์เทอร์เรียมีโอกาสเป็นโรคหูอักเสบได้มากกว่า (Breed predisposing)  และสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ หรือว่ายน้ำมักมีโอกาสเกิดโรคหูอักเสบมากกว่าสุนัขทั่วไป



ถ้าน้องหมาของใครเคยมีปัญหา สะบัดหูบ่อย ใบหูแดง มีขี้หูมากกว่าปกติ อาจจะพบขี้หูทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีเหลือง ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุจากอะไร และมักมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ บางตัวจะร้องเจ็บเวลาที่ไปโดนบริเวณหู หรือรอบๆหู ขนรอบใบหูร่วงเนื่องจากน้องหมาเกาเยอะจนขนร่วง หรือบางตัวเกาจนเกิดแผลหลุมลึกที่ผิดหนัง

สาเหตุโรคหูอักเสบในสุนัข

   สาเหตุหลัก (Primary Cause) คือ สาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติขึ้นในช่องหูด้วยสาเหตุบางอย่าง เช่น
-   โรคภูมิแพ้อาหาร (Adverse food reaction)
-   โรคแพ้ภูมิตัวเอง (atopic dermatitis)
-   การติดเชื้อไรในหู ไรขีเรื้อนเปียก ไรขี้เรื้อนแห้ง
-   การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคไข้หัดสุนัข
-   การติดเชื้อรา
-   โรคความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
-   โรคความผิดปกติที่ผิวหนัง เช่น ต่อมไขมันอักเสบ เป็นต้น

สาเหตุรอง (Secondary cause) คือ สาเหตุที่เกิดตามมาทีหลังจากเกิดความผิดปกติบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว เช่น

-   การติดเชื้อแบคทีเรีย
-   การติดเชื้อยีสต์
-   การทำความสะอาดหูมากเกินไปจนอักเสบ หรือแพ้น้ำยาล้างหู

การวินิจฉัย

   หากสงสัยว่าน้องหมาของเรามีอาการช่องหูอักเสบ ก็ควรจะรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน โดยสัตวแพทย์จะทำการตรวจภายนอกด้วยตาเปล่า ร่วมกับการเก็บเซลล์ในช่องหูไปส่องตรวจเพื่อวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งอาจจะส่องตรวจช่องหูด้วยเครื่องมือส่องตรวจหูโดยเฉพาะเพื่อตรวจดูเยื่อแก้วหู และสภาพช่องหูภายใน

การรักษา

การรักษาจะต้องทำการล้างช่องหูด้วยน้ำยาล้างหูทุกวัน เพื่อนำเอาเศษขี้หู หรือสิ่งสกปรกออกจากช่องหู และสัตวแพทย์จะให้ยาหยอดหู โดยขึ้นกับว่ามีการติดเชื้อชนิดใด เช่น เชื้อยีสต์, เชื้อไรในหู, เชื้อแบคทีเรีย และถ้าน้องหมามีอาการคันหูมาก และอักเสบรุนแรง อาจจำเป็นที่จะต้องได้รับยาลดอาการ ยาฆ่าเชื้อ และยาลดอักเสบแบบกินร่วมด้วย โดยระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนาน โดยมากมักจะดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจำเป็นต้องหยอดยาและกินยาต่อเนื่องจนกว่าจะหายดี

แหล่งที่มา
https://www.msdvetmanual.com/ear-disorders/otitis-externa/otitis-externa-in-animals
https://www.cliniciansbrief.com/article/top-5-keys-successful-management-otitis-externa


1120
โรคที่มักพบ / โรคหูอักเสบในสุนัข
« เมื่อ: 18 เม.ย. 64, 21:30:41น. »
โรคหูอักเสบในสุนัข

   โรคหูอักเสบในสุนัข เป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่น้องหมาอาจจะไม่ทันได้สังเกตุกัน บางตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือน้องเกาหูจนเป็นแผล รักษากันนานเลยทีเดียว โดยพบว่าสุนัขกว่า 15-20% ที่พบปัญหานี้ สุนัขสายพันธุ์รีทรฟเวอร์ และสายพันธุ์เทอร์เรียมีโอกาสเป็นโรคหูอักเสบได้มากกว่า (Breed predisposing)  และสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ หรือว่ายน้ำมักมีโอกาสเกิดโรคหูอักเสบมากกว่าสุนัขทั่วไป



ถ้าน้องหมาของใครเคยมีปัญหา สะบัดหูบ่อย ใบหูแดง มีขี้หูมากกว่าปกติ อาจจะพบขี้หูทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีเหลือง ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุจากอะไร และมักมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ บางตัวจะร้องเจ็บเวลาที่ไปโดนบริเวณหู หรือรอบๆหู ขนรอบใบหูร่วงเนื่องจากน้องหมาเกาเยอะจนขนร่วง หรือบางตัวเกาจนเกิดแผลหลุมลึกที่ผิดหนัง

สาเหตุโรคหูอักเสบในสุนัข

   สาเหตุหลัก (Primary Cause) คือ สาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติขึ้นในช่องหูด้วยสาเหตุบางอย่าง เช่น
-   โรคภูมิแพ้อาหาร (Adverse food reaction)
-   โรคแพ้ภูมิตัวเอง (atopic dermatitis)
-   การติดเชื้อไรในหู ไรขีเรื้อนเปียก ไรขี้เรื้อนแห้ง
-   การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคไข้หัดสุนัข
-   การติดเชื้อรา
-   โรคความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
-   โรคความผิดปกติที่ผิวหนัง เช่น ต่อมไขมันอักเสบ เป็นต้น

สาเหตุรอง (Secondary cause) คือ สาเหตุที่เกิดตามมาทีหลังจากเกิดความผิดปกติบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว เช่น

-   การติดเชื้อแบคทีเรีย
-   การติดเชื้อยีสต์
-   การทำความสะอาดหูมากเกินไปจนอักเสบ หรือแพ้น้ำยาล้างหู

การวินิจฉัย

   หากสงสัยว่าน้องหมาของเรามีอาการช่องหูอักเสบ ก็ควรจะรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน โดยสัตวแพทย์จะทำการตรวจภายนอกด้วยตาเปล่า ร่วมกับการเก็บเซลล์ในช่องหูไปส่องตรวจเพื่อวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งอาจจะส่องตรวจช่องหูด้วยเครื่องมือส่องตรวจหูโดยเฉพาะเพื่อตรวจดูเยื่อแก้วหู และสภาพช่องหูภายใน

การรักษา

การรักษาจะต้องทำการล้างช่องหูด้วยน้ำยาล้างหูทุกวัน เพื่อนำเอาเศษขี้หู หรือสิ่งสกปรกออกจากช่องหู และสัตวแพทย์จะให้ยาหยอดหู โดยขึ้นกับว่ามีการติดเชื้อชนิดใด เช่น เชื้อยีสต์, เชื้อไรในหู, เชื้อแบคทีเรีย และถ้าน้องหมามีอาการคันหูมาก และอักเสบรุนแรง อาจจำเป็นที่จะต้องได้รับยาลดอาการ ยาฆ่าเชื้อ และยาลดอักเสบแบบกินร่วมด้วย โดยระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนาน โดยมากมักจะดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจำเป็นต้องหยอดยาและกินยาต่อเนื่องจนกว่าจะหายดี

แหล่งที่มา
https://www.msdvetmanual.com/ear-disorders/otitis-externa/otitis-externa-in-animals
https://www.cliniciansbrief.com/article/top-5-keys-successful-management-otitis-externa


1121
แมวที่บ้านชอบอาเจียน หนักแค่ไหนถึงต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ?

   ทาสแมวทั้งหลายคงจะปวดหัวกับอาการอาเจียน หรือสำรอกอาหารของน้องแมวที่บ้านกันอยู่บ่อยๆ เราจะทราบได้อย่างไรว่าอาการอาเจียนที่พบเป็นอาการปกติที่อาจจะเจอได้ หรือเป็นอาการผิดปกติจำเป็นต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ก่อนที่เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรพาไปพบคุณหมอ เมื่อไหร่ดูแลอยู่บ้านได้ เจ้าของน้องแมวต้องเข้าใจก่อนว่า อาการที่พบเป็นอาการอาเจียนจริงๆ ?



อาการสำรอกก้อนขนและอาหาร VS อาการอาเจียน ?

   อาการสำรอกก้อนขน คือ อาการที่น้องแมวพยามยามขย้อนอะไรบ้างอย่างออกมา อาจจะโก่งตัวและสำรอกออกมา โดยอาจจะพบว่าไม่ได้สัมพันธ์กับอาหารที่กินเข้าไป อาจจะเกิดขึ้นได้ตอนไหนก็ได้ ซึ่งอาจจะพบได้มากกว่าในน้องแมวที่ชอบเลียขนตัวเอง ขนร่วงมากกว่าปกติ หรือแมวที่มีขนยาว โดยปกติน้องแมวอาจจะสำรอกได้นานๆที แต่ถ้าเจ้าของสังเกตุว่ามีการสำรอกบ่อยกว่าปกติ ร่วมกับอาการท้องผูก ถ่ายออกมาเป็นก้อนแข็งหรือมีเส้นขนปนออกมากับอุจจาระ แสดงว่าอาจจะมีขนอยู่ในทางเดินอาหารจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรอาหารสำหรับแก้ไขปัญหาท้องผูกจากปัญหาก้อนขน

อาการสำรอกอาหาร คือ อาการที่น้องแมวขย้อนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปออกมา ลักษณะของสิ่งที่สำรอกออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นรูปทรงยาวๆ อาหารจะยังไม่ย่อยเป็นรูปทรงเม็ดๆเหมือนกับที่กินเข้าไป ไม่มีน้ำย่อยปนออกมา เนื่องจากอาการสำรอกอาหารจะยังไม่ลงเข้าสู่กระเพาะ โดยมักจะพบหลังจากน้องแมวกินอาหารเร็วเกินไป หรือน้องแมวกินอาหารในปริมาณที่มากเกินไป โดยมักเกิดตามมาหลังจากมื้ออาหารประมาณ 15-30 นาที เป็นอาการที่สามารถพบได้ ไม่จำเป็นต้องพาน้องแมวไป   สัตวแพทย์ ควรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินโดยแบ่งอาหารให้เป็นมื้อเล็กลง หรือใส่ในภาชนะหรือชามแบบพิเศษที่ป้องกันน้องแมวกินเร็วเกินไป หรืออาจจะวางชามอาหารให้สูงกว่าระดับปกติ หรือวางไว้บนที่วางอาหาร ให้น้องแมวยกตัวเพื่อกินอาหาร ก็จะสามารถช่วยให้น้องกินอาหารช้าลงได้

อาการอาเจียน คือ จะมีอาการที่สำคัญสองช่วง เริ่มแรกน้องแมวมักจะแสดงอาการคลื่นไส้ โดยจะมีน้ำลายไหลมากกว่าปกติ หรือมีน้ำลายแตกฟองเต็มปาก อาจจะทำท่าเหมือนจะขย้อนแต่ก็ไม่มีอะไรออกมา จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่อาเจียน โดยอาการอาเจียนน้องแมวจะโก่งตัว เกร็งตัวอย่างมาก จากนั้นก็อาเจียนออกมา โดยมักมีอาการที่ดูรุนแรงกว่าอาการสำรอกทั่วไป โดยลักษณะของอาเจียนอาจจะเป็นอาหารที่ย่อยแล้ว และมักจะมีน้ำย่อยสีเหลืองปนอยู่ด้วยเสมอ หรือบางครั้งไม่มีอาหารเลย แต่จะมีลักษณะเป็นน้ำย่อยร่วมกับน้ำลาย
   
พาน้องแมวไปหาหมอ VS ดูอาการอยู่ที่บ้าน ?

อาการสำรอกก้อนขน และอาการสำรอกอาหาร สามารถอยู่ดูอาการที่บ้านได้ แต่ถ้าการสำรอกเกิดขึ้นบ่อย ร่วมกับมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ซึม การขับถ่ายผิดปกติ อาจจะเป็นต้องพาไปตรวจกับสัตวแพทย์ ส่วนอาการอาเจียนมักเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ แทบทุกโรค กล่าวคือไม่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร น้องแมวมักจะแสดงอาการเริ่ม ด้วยอาการอาเจียนแทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากแน่ใจว่าอาการที่พบเป็นอาการอาเจียนควรจะรีบพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์
 


1122
แมวที่บ้านชอบอาเจียน หนักแค่ไหนถึงต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ?

   ทาสแมวทั้งหลายคงจะปวดหัวกับอาการอาเจียน หรือสำรอกอาหารของน้องแมวที่บ้านกันอยู่บ่อยๆ เราจะทราบได้อย่างไรว่าอาการอาเจียนที่พบเป็นอาการปกติที่อาจจะเจอได้ หรือเป็นอาการผิดปกติจำเป็นต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ก่อนที่เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรพาไปพบคุณหมอ เมื่อไหร่ดูแลอยู่บ้านได้ เจ้าของน้องแมวต้องเข้าใจก่อนว่า อาการที่พบเป็นอาการอาเจียนจริงๆ ?



อาการสำรอกก้อนขนและอาหาร VS อาการอาเจียน ?

   อาการสำรอกก้อนขน คือ อาการที่น้องแมวพยามยามขย้อนอะไรบ้างอย่างออกมา อาจจะโก่งตัวและสำรอกออกมา โดยอาจจะพบว่าไม่ได้สัมพันธ์กับอาหารที่กินเข้าไป อาจจะเกิดขึ้นได้ตอนไหนก็ได้ ซึ่งอาจจะพบได้มากกว่าในน้องแมวที่ชอบเลียขนตัวเอง ขนร่วงมากกว่าปกติ หรือแมวที่มีขนยาว โดยปกติน้องแมวอาจจะสำรอกได้นานๆที แต่ถ้าเจ้าของสังเกตุว่ามีการสำรอกบ่อยกว่าปกติ ร่วมกับอาการท้องผูก ถ่ายออกมาเป็นก้อนแข็งหรือมีเส้นขนปนออกมากับอุจจาระ แสดงว่าอาจจะมีขนอยู่ในทางเดินอาหารจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรอาหารสำหรับแก้ไขปัญหาท้องผูกจากปัญหาก้อนขน

อาการสำรอกอาหาร คือ อาการที่น้องแมวขย้อนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปออกมา ลักษณะของสิ่งที่สำรอกออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นรูปทรงยาวๆ อาหารจะยังไม่ย่อยเป็นรูปทรงเม็ดๆเหมือนกับที่กินเข้าไป ไม่มีน้ำย่อยปนออกมา เนื่องจากอาการสำรอกอาหารจะยังไม่ลงเข้าสู่กระเพาะ โดยมักจะพบหลังจากน้องแมวกินอาหารเร็วเกินไป หรือน้องแมวกินอาหารในปริมาณที่มากเกินไป โดยมักเกิดตามมาหลังจากมื้ออาหารประมาณ 15-30 นาที เป็นอาการที่สามารถพบได้ ไม่จำเป็นต้องพาน้องแมวไป   สัตวแพทย์ ควรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินโดยแบ่งอาหารให้เป็นมื้อเล็กลง หรือใส่ในภาชนะหรือชามแบบพิเศษที่ป้องกันน้องแมวกินเร็วเกินไป หรืออาจจะวางชามอาหารให้สูงกว่าระดับปกติ หรือวางไว้บนที่วางอาหาร ให้น้องแมวยกตัวเพื่อกินอาหาร ก็จะสามารถช่วยให้น้องกินอาหารช้าลงได้

อาการอาเจียน คือ จะมีอาการที่สำคัญสองช่วง เริ่มแรกน้องแมวมักจะแสดงอาการคลื่นไส้ โดยจะมีน้ำลายไหลมากกว่าปกติ หรือมีน้ำลายแตกฟองเต็มปาก อาจจะทำท่าเหมือนจะขย้อนแต่ก็ไม่มีอะไรออกมา จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่อาเจียน โดยอาการอาเจียนน้องแมวจะโก่งตัว เกร็งตัวอย่างมาก จากนั้นก็อาเจียนออกมา โดยมักมีอาการที่ดูรุนแรงกว่าอาการสำรอกทั่วไป โดยลักษณะของอาเจียนอาจจะเป็นอาหารที่ย่อยแล้ว และมักจะมีน้ำย่อยสีเหลืองปนอยู่ด้วยเสมอ หรือบางครั้งไม่มีอาหารเลย แต่จะมีลักษณะเป็นน้ำย่อยร่วมกับน้ำลาย
   
พาน้องแมวไปหาหมอ VS ดูอาการอยู่ที่บ้าน ?

อาการสำรอกก้อนขน และอาการสำรอกอาหาร สามารถอยู่ดูอาการที่บ้านได้ แต่ถ้าการสำรอกเกิดขึ้นบ่อย ร่วมกับมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ซึม การขับถ่ายผิดปกติ อาจจะเป็นต้องพาไปตรวจกับสัตวแพทย์ ส่วนอาการอาเจียนมักเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ แทบทุกโรค กล่าวคือไม่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร น้องแมวมักจะแสดงอาการเริ่ม ด้วยอาการอาเจียนแทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากแน่ใจว่าอาการที่พบเป็นอาการอาเจียนควรจะรีบพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์
 


1123
แมวที่บ้านชอบอาเจียน หนักแค่ไหนถึงต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ?

   ทาสแมวทั้งหลายคงจะปวดหัวกับอาการอาเจียน หรือสำรอกอาหารของน้องแมวที่บ้านกันอยู่บ่อยๆ เราจะทราบได้อย่างไรว่าอาการอาเจียนที่พบเป็นอาการปกติที่อาจจะเจอได้ หรือเป็นอาการผิดปกติจำเป็นต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ก่อนที่เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรพาไปพบคุณหมอ เมื่อไหร่ดูแลอยู่บ้านได้ เจ้าของน้องแมวต้องเข้าใจก่อนว่า อาการที่พบเป็นอาการอาเจียนจริงๆ ?



อาการสำรอกก้อนขนและอาหาร VS อาการอาเจียน ?

   อาการสำรอกก้อนขน คือ อาการที่น้องแมวพยามยามขย้อนอะไรบ้างอย่างออกมา อาจจะโก่งตัวและสำรอกออกมา โดยอาจจะพบว่าไม่ได้สัมพันธ์กับอาหารที่กินเข้าไป อาจจะเกิดขึ้นได้ตอนไหนก็ได้ ซึ่งอาจจะพบได้มากกว่าในน้องแมวที่ชอบเลียขนตัวเอง ขนร่วงมากกว่าปกติ หรือแมวที่มีขนยาว โดยปกติน้องแมวอาจจะสำรอกได้นานๆที แต่ถ้าเจ้าของสังเกตุว่ามีการสำรอกบ่อยกว่าปกติ ร่วมกับอาการท้องผูก ถ่ายออกมาเป็นก้อนแข็งหรือมีเส้นขนปนออกมากับอุจจาระ แสดงว่าอาจจะมีขนอยู่ในทางเดินอาหารจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรอาหารสำหรับแก้ไขปัญหาท้องผูกจากปัญหาก้อนขน

อาการสำรอกอาหาร คือ อาการที่น้องแมวขย้อนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปออกมา ลักษณะของสิ่งที่สำรอกออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นรูปทรงยาวๆ อาหารจะยังไม่ย่อยเป็นรูปทรงเม็ดๆเหมือนกับที่กินเข้าไป ไม่มีน้ำย่อยปนออกมา เนื่องจากอาการสำรอกอาหารจะยังไม่ลงเข้าสู่กระเพาะ โดยมักจะพบหลังจากน้องแมวกินอาหารเร็วเกินไป หรือน้องแมวกินอาหารในปริมาณที่มากเกินไป โดยมักเกิดตามมาหลังจากมื้ออาหารประมาณ 15-30 นาที เป็นอาการที่สามารถพบได้ ไม่จำเป็นต้องพาน้องแมวไป   สัตวแพทย์ ควรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินโดยแบ่งอาหารให้เป็นมื้อเล็กลง หรือใส่ในภาชนะหรือชามแบบพิเศษที่ป้องกันน้องแมวกินเร็วเกินไป หรืออาจจะวางชามอาหารให้สูงกว่าระดับปกติ หรือวางไว้บนที่วางอาหาร ให้น้องแมวยกตัวเพื่อกินอาหาร ก็จะสามารถช่วยให้น้องกินอาหารช้าลงได้

อาการอาเจียน คือ จะมีอาการที่สำคัญสองช่วง เริ่มแรกน้องแมวมักจะแสดงอาการคลื่นไส้ โดยจะมีน้ำลายไหลมากกว่าปกติ หรือมีน้ำลายแตกฟองเต็มปาก อาจจะทำท่าเหมือนจะขย้อนแต่ก็ไม่มีอะไรออกมา จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่อาเจียน โดยอาการอาเจียนน้องแมวจะโก่งตัว เกร็งตัวอย่างมาก จากนั้นก็อาเจียนออกมา โดยมักมีอาการที่ดูรุนแรงกว่าอาการสำรอกทั่วไป โดยลักษณะของอาเจียนอาจจะเป็นอาหารที่ย่อยแล้ว และมักจะมีน้ำย่อยสีเหลืองปนอยู่ด้วยเสมอ หรือบางครั้งไม่มีอาหารเลย แต่จะมีลักษณะเป็นน้ำย่อยร่วมกับน้ำลาย
   
พาน้องแมวไปหาหมอ VS ดูอาการอยู่ที่บ้าน ?

อาการสำรอกก้อนขน และอาการสำรอกอาหาร สามารถอยู่ดูอาการที่บ้านได้ แต่ถ้าการสำรอกเกิดขึ้นบ่อย ร่วมกับมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ซึม การขับถ่ายผิดปกติ อาจจะเป็นต้องพาไปตรวจกับสัตวแพทย์ ส่วนอาการอาเจียนมักเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ แทบทุกโรค กล่าวคือไม่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร น้องแมวมักจะแสดงอาการเริ่ม ด้วยอาการอาเจียนแทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากแน่ใจว่าอาการที่พบเป็นอาการอาเจียนควรจะรีบพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์
 


1124
แมวที่บ้านชอบอาเจียน หนักแค่ไหนถึงต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ?

   ทาสแมวทั้งหลายคงจะปวดหัวกับอาการอาเจียน หรือสำรอกอาหารของน้องแมวที่บ้านกันอยู่บ่อยๆ เราจะทราบได้อย่างไรว่าอาการอาเจียนที่พบเป็นอาการปกติที่อาจจะเจอได้ หรือเป็นอาการผิดปกติจำเป็นต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ก่อนที่เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรพาไปพบคุณหมอ เมื่อไหร่ดูแลอยู่บ้านได้ เจ้าของน้องแมวต้องเข้าใจก่อนว่า อาการที่พบเป็นอาการอาเจียนจริงๆ ?



อาการสำรอกก้อนขนและอาหาร VS อาการอาเจียน ?

   อาการสำรอกก้อนขน คือ อาการที่น้องแมวพยามยามขย้อนอะไรบ้างอย่างออกมา อาจจะโก่งตัวและสำรอกออกมา โดยอาจจะพบว่าไม่ได้สัมพันธ์กับอาหารที่กินเข้าไป อาจจะเกิดขึ้นได้ตอนไหนก็ได้ ซึ่งอาจจะพบได้มากกว่าในน้องแมวที่ชอบเลียขนตัวเอง ขนร่วงมากกว่าปกติ หรือแมวที่มีขนยาว โดยปกติน้องแมวอาจจะสำรอกได้นานๆที แต่ถ้าเจ้าของสังเกตุว่ามีการสำรอกบ่อยกว่าปกติ ร่วมกับอาการท้องผูก ถ่ายออกมาเป็นก้อนแข็งหรือมีเส้นขนปนออกมากับอุจจาระ แสดงว่าอาจจะมีขนอยู่ในทางเดินอาหารจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรอาหารสำหรับแก้ไขปัญหาท้องผูกจากปัญหาก้อนขน

อาการสำรอกอาหาร คือ อาการที่น้องแมวขย้อนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปออกมา ลักษณะของสิ่งที่สำรอกออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นรูปทรงยาวๆ อาหารจะยังไม่ย่อยเป็นรูปทรงเม็ดๆเหมือนกับที่กินเข้าไป ไม่มีน้ำย่อยปนออกมา เนื่องจากอาการสำรอกอาหารจะยังไม่ลงเข้าสู่กระเพาะ โดยมักจะพบหลังจากน้องแมวกินอาหารเร็วเกินไป หรือน้องแมวกินอาหารในปริมาณที่มากเกินไป โดยมักเกิดตามมาหลังจากมื้ออาหารประมาณ 15-30 นาที เป็นอาการที่สามารถพบได้ ไม่จำเป็นต้องพาน้องแมวไป   สัตวแพทย์ ควรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินโดยแบ่งอาหารให้เป็นมื้อเล็กลง หรือใส่ในภาชนะหรือชามแบบพิเศษที่ป้องกันน้องแมวกินเร็วเกินไป หรืออาจจะวางชามอาหารให้สูงกว่าระดับปกติ หรือวางไว้บนที่วางอาหาร ให้น้องแมวยกตัวเพื่อกินอาหาร ก็จะสามารถช่วยให้น้องกินอาหารช้าลงได้

อาการอาเจียน คือ จะมีอาการที่สำคัญสองช่วง เริ่มแรกน้องแมวมักจะแสดงอาการคลื่นไส้ โดยจะมีน้ำลายไหลมากกว่าปกติ หรือมีน้ำลายแตกฟองเต็มปาก อาจจะทำท่าเหมือนจะขย้อนแต่ก็ไม่มีอะไรออกมา จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่อาเจียน โดยอาการอาเจียนน้องแมวจะโก่งตัว เกร็งตัวอย่างมาก จากนั้นก็อาเจียนออกมา โดยมักมีอาการที่ดูรุนแรงกว่าอาการสำรอกทั่วไป โดยลักษณะของอาเจียนอาจจะเป็นอาหารที่ย่อยแล้ว และมักจะมีน้ำย่อยสีเหลืองปนอยู่ด้วยเสมอ หรือบางครั้งไม่มีอาหารเลย แต่จะมีลักษณะเป็นน้ำย่อยร่วมกับน้ำลาย
   
พาน้องแมวไปหาหมอ VS ดูอาการอยู่ที่บ้าน ?

อาการสำรอกก้อนขน และอาการสำรอกอาหาร สามารถอยู่ดูอาการที่บ้านได้ แต่ถ้าการสำรอกเกิดขึ้นบ่อย ร่วมกับมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ซึม การขับถ่ายผิดปกติ อาจจะเป็นต้องพาไปตรวจกับสัตวแพทย์ ส่วนอาการอาเจียนมักเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ แทบทุกโรค กล่าวคือไม่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร น้องแมวมักจะแสดงอาการเริ่ม ด้วยอาการอาเจียนแทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากแน่ใจว่าอาการที่พบเป็นอาการอาเจียนควรจะรีบพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์
 


1125
ภาวะลมแดด หรือฮีทสโตรก (Heat stroke) ในแมว

   อากาศในประเทศไทยร้อนขึ้นทุกปี ยิ่งช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทั้งสุนัข และแมว ซึ่งหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในช่วงอากาศร้อนคือ ภาวะลมแดด หรือ ฮีทสโตรก น้องแมวเป็นสัตว์ที่เก็บอาการ ไม่ค่อยแสดงอาการเวลาไม่สบาย โรคลมแดดมีอาการตั้งแต่น้อยๆหรือบางตัวอาจจะหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นการรู้อาการตั้งแต่แรกเริ่ม จึงเป็นวิธีช่วยชีวิตน้องแมวที่ดีที่สุด



สาเหตุภาวะลมแดด

ภาวะฮีทสโตรก คือ ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 102.5 องศาฟาเรนไฮต์ หรือมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน เกิดจากสภาพอากาศร้อน อบอ้าว มีความชื้นในอากาศสูง หรืออยู่ในห้องปิดทึบ ไม่มีอากาศ อยู่ในรถในวันที่อากาศร้อน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ออกกำลังกายหรือเล่นจนทำให้เหนื่อยเกิดการระบายความร้อนไม่ทัน ทำให้น้องแมวระบายความร้อนได้ไม่ดี สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะน้องแมวนั้นมีต่อมเหงื่อที่ช่วยระบายความร้อนจำกัด โดยมีเพียงบริเวณอุ้งเท้าเท่านั้น จึงไม่สามารถเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อนแบบคนได้ น้องแมวสามารถระบายความร้อนผ่านทางการปาก การหายใจ ใบหู อุ้งเท้า และผิวหนังบริเวณที่ไม่มีขน ดังนั้นถ้าน้องแมวตัวไหนขนยาวก็อาจจะทำให้การระบายความร้อนได้ยากกว่าแมวขนสั้น

อาการฮีทสโตรกในแมว

   น้องแมวจะกระวนกระวาย พยายามอยู่ที่เย็นๆ ไม่ยอมนอน เดินไปเดินมา อาจจะกินน้ำมากขึ้น ถ้าเป็นหนักขึ้นจะพบว่ามีอาการอ้าปากหายใจ หรือพยายามยืดคอหายใจ แลบลิ้นออกมาเพื่อระบายความร้อน ลิ้นและเยื่อเมือกสีเข้มขึ้น ใบหูเป็นสีแดงกว่าปกติ ถ้าเจ้าของพบน้องช้าอาการอาจจะลุกลาม อาจจะพบอาการถ่ายเหลว อาเจียน พบจ้ำเลือดออกตามตัว ถ้าอุณหภูมิสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้หมดสติ หรือเรียกไม่ตื่น อ่อนแรง ชัก และอาจจะเสียชีวิตได้

วิธีการรักษาภาวะลมแดด

   หากเจ้าของน้องแมวพบอาการดังกล่าว ถ้าเป็นอาการเล็กน้อย คือเริ่มหอบกระวนกระวาย หอบหายใจ ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการเช็ดตัว หาน้ำเย็นให้กินหรือป้อนน้ำ  แต่ถ้าอาการหนัก อาจนำน้องแมวจุ่มในอ่างน้ำที่อุณหภูมิปกติ หรือในน้ำเย็นก็ได้ จากนั้นเปิดพัดลมให้พัดผ่านในหน้า ใบหู และท้อง และจากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

วิธีการป้องกันภาวะลมแดด

   ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน เจ้าของน้องแมวอาจจะตัดขนบริเวณท้องให้สั้นลง เพิ่มชามน้ำให้กับน้อง อาจจะใส่น้ำแข็งลงในชามน้ำได้ และคอยดูแลให้น้องแมวอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่เป็นห้องปิดทึบ หรือห้ามทิ้งน้องแมวไว้ในรถขณะอากาศร้อนเด็ดขาด และงดหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงที่อากาศร้อนเช่นช่วงเที่ยง ถึงบ่าย