แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

1066
5 อาการฉุกเฉินในสุนัขและแมว ที่ต้องพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

   อาการฉุกเฉินหลายๆ อาการเจ้าของสุนัขและแมวพอจะทราบ และสามารถรู้ได้ว่าเป็นอาการฉุกเฉินไม่สามารถรอได้ เช่น อาการเลือดออก ถูกรถชน ชัก หมดสติ ไม่มีแรง มีไข้สูง หรือถูกงูกัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆที่ยังถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินและจำเป็นต้องพาน้องหมา น้องแมวเข้าพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุดเช่นกัน



1.   หายใจติดขัด หายใจผิดปกติ

อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน คือ อาการหายใจลำบาก (Dyspnea) โดยน้องหมาน้องแมว จะแสดงอาการ อ้าปากหายใจ ยืดคอหรือแหงนหน้าพยายามจะหายใจ เยื่อเมือกบริเวณเหงือกและลิ้นมีสีคล้ำลง หรือเป็นสีม่วง อัตราการหายใจสูงกว่าปกติ (อัตราการหายใจปกติ 12-24 ครั้งต่อนาทีในสุนัข, 20-30 ครั้งต่อนาทีในแมว) เหนื่อยง่าย บางตัวจะกระวนกระวาย ไม่ยอมนอน เพราะว่าหายใจไม่ออก ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่พามาพบสัตวแพทย์ให้ทันเวลาอาจจะเกิดภาวะระบบทางเดินหายใจลิ้มเหลวเฉียบพลัน และเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ หากมีอาการหายใจลำบาก อาจจะมีได้หลายสาเหตุ ทั้งจากโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเอง เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดลมตีบ มีสิ่งอุดตันทางเดินหายใจ หรือโรคหัวใจ จึงควรรีบพาน้องหมาน้องแมวที่มีอาการไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคทันที

2.   ปัสสาวะไม่ออก ปวดเบ่งปัสสาวะ

อาการปัสสาวะไม่ออก ปวดเบ่งปัสสาวะ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินเช่นกัน หากปล่อยไว้อาจจะทำให้สุนัขและแมวเกิดภาวะ
ไตวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ โดยน้องแมวจะแสดงอาการ เข้าออกกระบะทรายบ่อย แต่ไม่พบปัสสาวะหรืออุจาระ ปัสสาวะนอกกระบะทราย หรือบริเวณรอบๆอวัยวะเพศจะเปียกปัสสาวะตลอด ส่วนน้องหมาก็จะพยายามเบ่งปัสสาวะ ยืนปัสสาวะนาน สุนัขตัวผู้อาจจะไม่ยกขาฉี่ แต่จะนั่งยองเหมือนน้องสุนัขเพศเมียแทน เนื่องจากเขาเบ่งปัสสาวะนาน แต่เบ่งไม่ออก

3.   เบ่งคลอด แต่ไม่มีลูกออกมา

โดยทั่วไปน้องหมาและน้องแมวจะตั้งท้องประมาณ 60 วัน ในช่วงวันใกล้คลอดอาจจะพยายามหาที่คลอดตามบริเวณที่เงียบสงบภายในบ้าน เจ้าของควรติดตามดูอาการคลอดใกล้ชิด หากพบว่าน้องหมาน้องแมวของเรามีการเบ่งคลอด แต่ไม่มีลูกออกมาภายใน 30 นาทีหลังแสดงอาการเบ่ง หรือระยะห่างของลูกแต่ละตัวเกิน 1 ชั่วโมง ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ อาจจะมีปัญหาลูกตัวใหญ่เกิน ลูกผิดท่า และถ้าปล่อยไว้นานๆแม่อาจจะหมดแรงเบ่ง ทำให้ลูกเสียชีวิตต่อมาได้

4.   อาเจียนติดต่อกันหลายครั้ง

อาการอาเจียนในสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในลูกสุนัขและลูกแมวติดต่อกันหลายๆครั้ง เป็นสาเหตุให้สูญเสียแร่ธาตุ และอิเล็คโตรไลท์เป็นจำนวนมาก หรือบางตัวอาจจะอาเจียนเพราะไปกินส่งแปลกปลอม หรือสารพิษเข้าไป ถ้าเป็นการกินสารพิษจำเป็นต้องได้รับการล้างท้องภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากกินเข้าไป หากอาเจียนหลายครั้งสุนัขและแมวอาจจะแสดงอาการไม่มีแรง เกิดภาวะขาดน้ำ เหงือกแห้ง จมูกแห้ง และบางตัวอาจเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ช็อคและเสียชีวิตได้ หากปล่อยไว้หลายวันอาจจะทำให้ยากต่อการรักษา อาการอาเจียนเป็นหนึ่งในอาการร่วมของหลายๆโรค ดังนั้นการพาน้องหมาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อทำการวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด

5.   เหงือกซีด ไม่มีแรง

อาการเหงือกซีด หมดแรง นอนไม่ลุก ไม่ขยับร่างกาย อาจจะบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำรุนแรงจากการไม่ได้กินอาหาร หรือกินน้ำมาหลายวัน หรือมีอาการอาเจียนถ่ายเหลวเป็นจำนวนมากทำให้เกิดการขาดน้ำ ปกติสีเหงือกของสุนัขชุ่มชื้นและเป็นสีชมพู  น้องแมวอาจจะมีสีเหงือกเป็นสีชมพูอ่อนกว่าในสุนัข ซึ่งเหงือกสีชมพูแสดงถึงการไหลเวียนของเลือดเป็นปกติดี หรือมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในน้ำเลือดระดับปกติ หากพบอาการเหงือกซีดเป็นสีขาว จึงอาจจะบ่งบอกถึงภาวะโลหิตจางรุนแรง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันจากการสูญเสียเลือดปริมาณมากหรือเกิดจากมีจำนวนเม็ดเลือดในน้ำเลือดน้อยกว่าปกติ

   หากเจ้าของน้องหมาและน้องแมวพบอาการเหล่านี้ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรดูแลอาการอย่างใกล้ชิดและพาน้องหมาน้องแมวของเราไปพบสัตวแพทย์ หรือปรึกษาอาการกับสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด


1067
5 อาการฉุกเฉินในสุนัขและแมว ที่ต้องพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

   อาการฉุกเฉินหลายๆ อาการเจ้าของสุนัขและแมวพอจะทราบ และสามารถรู้ได้ว่าเป็นอาการฉุกเฉินไม่สามารถรอได้ เช่น อาการเลือดออก ถูกรถชน ชัก หมดสติ ไม่มีแรง มีไข้สูง หรือถูกงูกัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆที่ยังถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินและจำเป็นต้องพาน้องหมา น้องแมวเข้าพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุดเช่นกัน



1.   หายใจติดขัด หายใจผิดปกติ

อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน คือ อาการหายใจลำบาก (Dyspnea) โดยน้องหมาน้องแมว จะแสดงอาการ อ้าปากหายใจ ยืดคอหรือแหงนหน้าพยายามจะหายใจ เยื่อเมือกบริเวณเหงือกและลิ้นมีสีคล้ำลง หรือเป็นสีม่วง อัตราการหายใจสูงกว่าปกติ (อัตราการหายใจปกติ 12-24 ครั้งต่อนาทีในสุนัข, 20-30 ครั้งต่อนาทีในแมว) เหนื่อยง่าย บางตัวจะกระวนกระวาย ไม่ยอมนอน เพราะว่าหายใจไม่ออก ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่พามาพบสัตวแพทย์ให้ทันเวลาอาจจะเกิดภาวะระบบทางเดินหายใจลิ้มเหลวเฉียบพลัน และเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ หากมีอาการหายใจลำบาก อาจจะมีได้หลายสาเหตุ ทั้งจากโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเอง เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดลมตีบ มีสิ่งอุดตันทางเดินหายใจ หรือโรคหัวใจ จึงควรรีบพาน้องหมาน้องแมวที่มีอาการไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคทันที

2.   ปัสสาวะไม่ออก ปวดเบ่งปัสสาวะ

อาการปัสสาวะไม่ออก ปวดเบ่งปัสสาวะ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินเช่นกัน หากปล่อยไว้อาจจะทำให้สุนัขและแมวเกิดภาวะ
ไตวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ โดยน้องแมวจะแสดงอาการ เข้าออกกระบะทรายบ่อย แต่ไม่พบปัสสาวะหรืออุจาระ ปัสสาวะนอกกระบะทราย หรือบริเวณรอบๆอวัยวะเพศจะเปียกปัสสาวะตลอด ส่วนน้องหมาก็จะพยายามเบ่งปัสสาวะ ยืนปัสสาวะนาน สุนัขตัวผู้อาจจะไม่ยกขาฉี่ แต่จะนั่งยองเหมือนน้องสุนัขเพศเมียแทน เนื่องจากเขาเบ่งปัสสาวะนาน แต่เบ่งไม่ออก

3.   เบ่งคลอด แต่ไม่มีลูกออกมา

โดยทั่วไปน้องหมาและน้องแมวจะตั้งท้องประมาณ 60 วัน ในช่วงวันใกล้คลอดอาจจะพยายามหาที่คลอดตามบริเวณที่เงียบสงบภายในบ้าน เจ้าของควรติดตามดูอาการคลอดใกล้ชิด หากพบว่าน้องหมาน้องแมวของเรามีการเบ่งคลอด แต่ไม่มีลูกออกมาภายใน 30 นาทีหลังแสดงอาการเบ่ง หรือระยะห่างของลูกแต่ละตัวเกิน 1 ชั่วโมง ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ อาจจะมีปัญหาลูกตัวใหญ่เกิน ลูกผิดท่า และถ้าปล่อยไว้นานๆแม่อาจจะหมดแรงเบ่ง ทำให้ลูกเสียชีวิตต่อมาได้

4.   อาเจียนติดต่อกันหลายครั้ง

อาการอาเจียนในสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในลูกสุนัขและลูกแมวติดต่อกันหลายๆครั้ง เป็นสาเหตุให้สูญเสียแร่ธาตุ และอิเล็คโตรไลท์เป็นจำนวนมาก หรือบางตัวอาจจะอาเจียนเพราะไปกินส่งแปลกปลอม หรือสารพิษเข้าไป ถ้าเป็นการกินสารพิษจำเป็นต้องได้รับการล้างท้องภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากกินเข้าไป หากอาเจียนหลายครั้งสุนัขและแมวอาจจะแสดงอาการไม่มีแรง เกิดภาวะขาดน้ำ เหงือกแห้ง จมูกแห้ง และบางตัวอาจเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ช็อคและเสียชีวิตได้ หากปล่อยไว้หลายวันอาจจะทำให้ยากต่อการรักษา อาการอาเจียนเป็นหนึ่งในอาการร่วมของหลายๆโรค ดังนั้นการพาน้องหมาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อทำการวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด

5.   เหงือกซีด ไม่มีแรง

อาการเหงือกซีด หมดแรง นอนไม่ลุก ไม่ขยับร่างกาย อาจจะบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำรุนแรงจากการไม่ได้กินอาหาร หรือกินน้ำมาหลายวัน หรือมีอาการอาเจียนถ่ายเหลวเป็นจำนวนมากทำให้เกิดการขาดน้ำ ปกติสีเหงือกของสุนัขชุ่มชื้นและเป็นสีชมพู  น้องแมวอาจจะมีสีเหงือกเป็นสีชมพูอ่อนกว่าในสุนัข ซึ่งเหงือกสีชมพูแสดงถึงการไหลเวียนของเลือดเป็นปกติดี หรือมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในน้ำเลือดระดับปกติ หากพบอาการเหงือกซีดเป็นสีขาว จึงอาจจะบ่งบอกถึงภาวะโลหิตจางรุนแรง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันจากการสูญเสียเลือดปริมาณมากหรือเกิดจากมีจำนวนเม็ดเลือดในน้ำเลือดน้อยกว่าปกติ

   หากเจ้าของน้องหมาและน้องแมวพบอาการเหล่านี้ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรดูแลอาการอย่างใกล้ชิดและพาน้องหมาน้องแมวของเราไปพบสัตวแพทย์ หรือปรึกษาอาการกับสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด


1068
5 อาการฉุกเฉินในสุนัขและแมว ที่ต้องพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

   อาการฉุกเฉินหลายๆ อาการเจ้าของสุนัขและแมวพอจะทราบ และสามารถรู้ได้ว่าเป็นอาการฉุกเฉินไม่สามารถรอได้ เช่น อาการเลือดออก ถูกรถชน ชัก หมดสติ ไม่มีแรง มีไข้สูง หรือถูกงูกัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆที่ยังถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินและจำเป็นต้องพาน้องหมา น้องแมวเข้าพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุดเช่นกัน



1.   หายใจติดขัด หายใจผิดปกติ

อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน คือ อาการหายใจลำบาก (Dyspnea) โดยน้องหมาน้องแมว จะแสดงอาการ อ้าปากหายใจ ยืดคอหรือแหงนหน้าพยายามจะหายใจ เยื่อเมือกบริเวณเหงือกและลิ้นมีสีคล้ำลง หรือเป็นสีม่วง อัตราการหายใจสูงกว่าปกติ (อัตราการหายใจปกติ 12-24 ครั้งต่อนาทีในสุนัข, 20-30 ครั้งต่อนาทีในแมว) เหนื่อยง่าย บางตัวจะกระวนกระวาย ไม่ยอมนอน เพราะว่าหายใจไม่ออก ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่พามาพบสัตวแพทย์ให้ทันเวลาอาจจะเกิดภาวะระบบทางเดินหายใจลิ้มเหลวเฉียบพลัน และเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ หากมีอาการหายใจลำบาก อาจจะมีได้หลายสาเหตุ ทั้งจากโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเอง เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดลมตีบ มีสิ่งอุดตันทางเดินหายใจ หรือโรคหัวใจ จึงควรรีบพาน้องหมาน้องแมวที่มีอาการไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคทันที

2.   ปัสสาวะไม่ออก ปวดเบ่งปัสสาวะ

อาการปัสสาวะไม่ออก ปวดเบ่งปัสสาวะ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินเช่นกัน หากปล่อยไว้อาจจะทำให้สุนัขและแมวเกิดภาวะ
ไตวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ โดยน้องแมวจะแสดงอาการ เข้าออกกระบะทรายบ่อย แต่ไม่พบปัสสาวะหรืออุจาระ ปัสสาวะนอกกระบะทราย หรือบริเวณรอบๆอวัยวะเพศจะเปียกปัสสาวะตลอด ส่วนน้องหมาก็จะพยายามเบ่งปัสสาวะ ยืนปัสสาวะนาน สุนัขตัวผู้อาจจะไม่ยกขาฉี่ แต่จะนั่งยองเหมือนน้องสุนัขเพศเมียแทน เนื่องจากเขาเบ่งปัสสาวะนาน แต่เบ่งไม่ออก

3.   เบ่งคลอด แต่ไม่มีลูกออกมา

โดยทั่วไปน้องหมาและน้องแมวจะตั้งท้องประมาณ 60 วัน ในช่วงวันใกล้คลอดอาจจะพยายามหาที่คลอดตามบริเวณที่เงียบสงบภายในบ้าน เจ้าของควรติดตามดูอาการคลอดใกล้ชิด หากพบว่าน้องหมาน้องแมวของเรามีการเบ่งคลอด แต่ไม่มีลูกออกมาภายใน 30 นาทีหลังแสดงอาการเบ่ง หรือระยะห่างของลูกแต่ละตัวเกิน 1 ชั่วโมง ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ อาจจะมีปัญหาลูกตัวใหญ่เกิน ลูกผิดท่า และถ้าปล่อยไว้นานๆแม่อาจจะหมดแรงเบ่ง ทำให้ลูกเสียชีวิตต่อมาได้

4.   อาเจียนติดต่อกันหลายครั้ง

อาการอาเจียนในสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในลูกสุนัขและลูกแมวติดต่อกันหลายๆครั้ง เป็นสาเหตุให้สูญเสียแร่ธาตุ และอิเล็คโตรไลท์เป็นจำนวนมาก หรือบางตัวอาจจะอาเจียนเพราะไปกินส่งแปลกปลอม หรือสารพิษเข้าไป ถ้าเป็นการกินสารพิษจำเป็นต้องได้รับการล้างท้องภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากกินเข้าไป หากอาเจียนหลายครั้งสุนัขและแมวอาจจะแสดงอาการไม่มีแรง เกิดภาวะขาดน้ำ เหงือกแห้ง จมูกแห้ง และบางตัวอาจเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ช็อคและเสียชีวิตได้ หากปล่อยไว้หลายวันอาจจะทำให้ยากต่อการรักษา อาการอาเจียนเป็นหนึ่งในอาการร่วมของหลายๆโรค ดังนั้นการพาน้องหมาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อทำการวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด

5.   เหงือกซีด ไม่มีแรง

อาการเหงือกซีด หมดแรง นอนไม่ลุก ไม่ขยับร่างกาย อาจจะบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำรุนแรงจากการไม่ได้กินอาหาร หรือกินน้ำมาหลายวัน หรือมีอาการอาเจียนถ่ายเหลวเป็นจำนวนมากทำให้เกิดการขาดน้ำ ปกติสีเหงือกของสุนัขชุ่มชื้นและเป็นสีชมพู  น้องแมวอาจจะมีสีเหงือกเป็นสีชมพูอ่อนกว่าในสุนัข ซึ่งเหงือกสีชมพูแสดงถึงการไหลเวียนของเลือดเป็นปกติดี หรือมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในน้ำเลือดระดับปกติ หากพบอาการเหงือกซีดเป็นสีขาว จึงอาจจะบ่งบอกถึงภาวะโลหิตจางรุนแรง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันจากการสูญเสียเลือดปริมาณมากหรือเกิดจากมีจำนวนเม็ดเลือดในน้ำเลือดน้อยกว่าปกติ

   หากเจ้าของน้องหมาและน้องแมวพบอาการเหล่านี้ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรดูแลอาการอย่างใกล้ชิดและพาน้องหมาน้องแมวของเราไปพบสัตวแพทย์ หรือปรึกษาอาการกับสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด


1069
อาการที่บ่งบอกว่าสุนัขปวดท้อง

    อาการปวดท้องในสุนัขเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบของอวัยวะต่างๆ การติดเชื้อ และเกิดเนื้องอกในอวัยวะนั้นๆ ยกตัวอย่าง โรคที่อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องในสุนัขได้



-   ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ โรคตับอักเสบ มะเร็งตับ หรือเนื้องอกม้าม เยื่อบุผนังช่องท้องอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น

-   ระบบทางเดินสืบพันธุ์ เช่น โรคมดลูกอักเสบเป็นหนอง ต่อมลูกหมากอักเสบ เป็นต้น

-   ระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคไตวาย กรวยไตอักเสบ เป็นต้น

   อาการปวดของอวัยวะต่างๆในช่องท้องจะแสดงตำแหน่งของบริเวณที่ปวดต่างกัน ดังนี้

-   ปวดบริเวณส่วนหน้าของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งของกระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ตับอ่อน และถุงน้ำดี

-   ปวดบริเวณส่วนกลางของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งลำไส้ ต่อมน้ำเหลืองในลำไส้

-   ปวดบริเวณส่วนท้ายของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และระบบทางเดินสืบพันธุ์ (มดลูก, ต่อมลูกหมาก)

-   ปวดบริเวณเหนือช่องท้อง ใกล้กับหลัง บ่องบอกถึงไต และต่อมหมวกไต

-   ปวดทั่วทั้งช่องท้อง อาจจะบ่งบอกถึงการติดเชื้อของเยื่อบุผนังช่องท้อง หรือมีการอักเสบหลายอวัยวะ

อาการที่สุนัขจะแสดงเมื่อมีอาการปวดท้อง

นอนไม่ลุก นอนขดตัว

น้องหมาที่มีอาการปวดท้อง อาจจะนอนมากกว่าปกติ ไม่อยากขยับร่างกาย เนื่องจากเวลาขยับอาจจะทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้น หรือบางตัวจะนอนขดตัว งอตัว เอาหน้ามาซุกบริเวณท้อง
 
นอนไม่ได้ ยืนนิ่งๆ ไม่ค่อยตอบสนองเวลาเรียก

   บางตัวอาจจะไม่ยอมนอนเพราะมีอาการปวดมาก อาจจะยืนนิ่งๆ เรียกก็ไม่หัน หรือตอบสนองช้ากว่าปกติ ไม่อยากนอน เพราะไม่อยากให้ท้องสัมผัสกับพื้น เพราะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น

เดินก้าวสั้นๆ หรือไม่ค่อยเดิน

   สุนัขที่มีอาการปวดท้อง อาจจะเดินก้าวสั้นลง หรือเดินช้าลง บางตัวอาจจะไม่ยอมขึ้นลงบันได นอนซึมมากกว่า หรืออาจจะไม่ยอมออกไปฉี่ในที่เดิน

ร้องเจ็บ เวลาอุ้ม หรือสัมผัสโดนท้อง

   ถ้ามีการอักเสบมาก จนทำให้ช่องท้องไวต่อการสัมผัส บางตัวแค่ลูบเบาๆที่ช่องท้องก็อาจจะร้องครางได้ หรือเวลาอุ้มแล้วไปโดนที่ท้องของเขาก็อาจจะทำให้ร้องเจ็บขึ้นมาได้

ซึม ไม่กินอาหาร ไม่มีความอยากอาหาร

   อาการซึมไม่กินอาหารเป็นหนึ่งในอาการแสดงที่พบได้ในหลายๆโรค ดังนั้นถ้าน้องหมาของเราไม่ยอมกินอาหาร ดูซึมลงกว่าปกติ อาจจะต้องนึกถึงว่าเขาอาจจะมีอาการปวดท้องอยู่ก็ได้

นอกจากนั้นสุนัขแต่ละตัวแสดงอาการปวดต่างกัน บางตัวมีอาการปวดหลัง หรือปวดบริเวณสะโพก อาจจะทำให้สับสนกับอาการปวดท้องได้ เจ้าของสุนัขจำเป็นจะต้องเข้าใจอาการที่แสดงออกมาเวลาปวดท้องของสุนัข เพื่อที่จะได้พาเขาไปตรวจวินิจฉัยได้รวดเร็ว โดยลองสังเกตุว่าสุนัขของเรามีอาการต่อไปนี้หรือไม่








   


1070
อาการที่บ่งบอกว่าสุนัขปวดท้อง

    อาการปวดท้องในสุนัขเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบของอวัยวะต่างๆ การติดเชื้อ และเกิดเนื้องอกในอวัยวะนั้นๆ ยกตัวอย่าง โรคที่อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องในสุนัขได้



-   ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ โรคตับอักเสบ มะเร็งตับ หรือเนื้องอกม้าม เยื่อบุผนังช่องท้องอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น

-   ระบบทางเดินสืบพันธุ์ เช่น โรคมดลูกอักเสบเป็นหนอง ต่อมลูกหมากอักเสบ เป็นต้น

-   ระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคไตวาย กรวยไตอักเสบ เป็นต้น

   อาการปวดของอวัยวะต่างๆในช่องท้องจะแสดงตำแหน่งของบริเวณที่ปวดต่างกัน ดังนี้

-   ปวดบริเวณส่วนหน้าของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งของกระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ตับอ่อน และถุงน้ำดี

-   ปวดบริเวณส่วนกลางของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งลำไส้ ต่อมน้ำเหลืองในลำไส้

-   ปวดบริเวณส่วนท้ายของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และระบบทางเดินสืบพันธุ์ (มดลูก, ต่อมลูกหมาก)

-   ปวดบริเวณเหนือช่องท้อง ใกล้กับหลัง บ่องบอกถึงไต และต่อมหมวกไต

-   ปวดทั่วทั้งช่องท้อง อาจจะบ่งบอกถึงการติดเชื้อของเยื่อบุผนังช่องท้อง หรือมีการอักเสบหลายอวัยวะ

อาการที่สุนัขจะแสดงเมื่อมีอาการปวดท้อง

นอนไม่ลุก นอนขดตัว

น้องหมาที่มีอาการปวดท้อง อาจจะนอนมากกว่าปกติ ไม่อยากขยับร่างกาย เนื่องจากเวลาขยับอาจจะทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้น หรือบางตัวจะนอนขดตัว งอตัว เอาหน้ามาซุกบริเวณท้อง
 
นอนไม่ได้ ยืนนิ่งๆ ไม่ค่อยตอบสนองเวลาเรียก

   บางตัวอาจจะไม่ยอมนอนเพราะมีอาการปวดมาก อาจจะยืนนิ่งๆ เรียกก็ไม่หัน หรือตอบสนองช้ากว่าปกติ ไม่อยากนอน เพราะไม่อยากให้ท้องสัมผัสกับพื้น เพราะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น

เดินก้าวสั้นๆ หรือไม่ค่อยเดิน

   สุนัขที่มีอาการปวดท้อง อาจจะเดินก้าวสั้นลง หรือเดินช้าลง บางตัวอาจจะไม่ยอมขึ้นลงบันได นอนซึมมากกว่า หรืออาจจะไม่ยอมออกไปฉี่ในที่เดิน

ร้องเจ็บ เวลาอุ้ม หรือสัมผัสโดนท้อง

   ถ้ามีการอักเสบมาก จนทำให้ช่องท้องไวต่อการสัมผัส บางตัวแค่ลูบเบาๆที่ช่องท้องก็อาจจะร้องครางได้ หรือเวลาอุ้มแล้วไปโดนที่ท้องของเขาก็อาจจะทำให้ร้องเจ็บขึ้นมาได้

ซึม ไม่กินอาหาร ไม่มีความอยากอาหาร

   อาการซึมไม่กินอาหารเป็นหนึ่งในอาการแสดงที่พบได้ในหลายๆโรค ดังนั้นถ้าน้องหมาของเราไม่ยอมกินอาหาร ดูซึมลงกว่าปกติ อาจจะต้องนึกถึงว่าเขาอาจจะมีอาการปวดท้องอยู่ก็ได้

นอกจากนั้นสุนัขแต่ละตัวแสดงอาการปวดต่างกัน บางตัวมีอาการปวดหลัง หรือปวดบริเวณสะโพก อาจจะทำให้สับสนกับอาการปวดท้องได้ เจ้าของสุนัขจำเป็นจะต้องเข้าใจอาการที่แสดงออกมาเวลาปวดท้องของสุนัข เพื่อที่จะได้พาเขาไปตรวจวินิจฉัยได้รวดเร็ว โดยลองสังเกตุว่าสุนัขของเรามีอาการต่อไปนี้หรือไม่








   


1071
อาการที่บ่งบอกว่าสุนัขปวดท้อง

    อาการปวดท้องในสุนัขเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบของอวัยวะต่างๆ การติดเชื้อ และเกิดเนื้องอกในอวัยวะนั้นๆ ยกตัวอย่าง โรคที่อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องในสุนัขได้



-   ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ โรคตับอักเสบ มะเร็งตับ หรือเนื้องอกม้าม เยื่อบุผนังช่องท้องอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น

-   ระบบทางเดินสืบพันธุ์ เช่น โรคมดลูกอักเสบเป็นหนอง ต่อมลูกหมากอักเสบ เป็นต้น

-   ระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคไตวาย กรวยไตอักเสบ เป็นต้น

   อาการปวดของอวัยวะต่างๆในช่องท้องจะแสดงตำแหน่งของบริเวณที่ปวดต่างกัน ดังนี้

-   ปวดบริเวณส่วนหน้าของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งของกระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ตับอ่อน และถุงน้ำดี

-   ปวดบริเวณส่วนกลางของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งลำไส้ ต่อมน้ำเหลืองในลำไส้

-   ปวดบริเวณส่วนท้ายของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และระบบทางเดินสืบพันธุ์ (มดลูก, ต่อมลูกหมาก)

-   ปวดบริเวณเหนือช่องท้อง ใกล้กับหลัง บ่องบอกถึงไต และต่อมหมวกไต

-   ปวดทั่วทั้งช่องท้อง อาจจะบ่งบอกถึงการติดเชื้อของเยื่อบุผนังช่องท้อง หรือมีการอักเสบหลายอวัยวะ

อาการที่สุนัขจะแสดงเมื่อมีอาการปวดท้อง

นอนไม่ลุก นอนขดตัว

น้องหมาที่มีอาการปวดท้อง อาจจะนอนมากกว่าปกติ ไม่อยากขยับร่างกาย เนื่องจากเวลาขยับอาจจะทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้น หรือบางตัวจะนอนขดตัว งอตัว เอาหน้ามาซุกบริเวณท้อง
 
นอนไม่ได้ ยืนนิ่งๆ ไม่ค่อยตอบสนองเวลาเรียก

   บางตัวอาจจะไม่ยอมนอนเพราะมีอาการปวดมาก อาจจะยืนนิ่งๆ เรียกก็ไม่หัน หรือตอบสนองช้ากว่าปกติ ไม่อยากนอน เพราะไม่อยากให้ท้องสัมผัสกับพื้น เพราะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น

เดินก้าวสั้นๆ หรือไม่ค่อยเดิน

   สุนัขที่มีอาการปวดท้อง อาจจะเดินก้าวสั้นลง หรือเดินช้าลง บางตัวอาจจะไม่ยอมขึ้นลงบันได นอนซึมมากกว่า หรืออาจจะไม่ยอมออกไปฉี่ในที่เดิน

ร้องเจ็บ เวลาอุ้ม หรือสัมผัสโดนท้อง

   ถ้ามีการอักเสบมาก จนทำให้ช่องท้องไวต่อการสัมผัส บางตัวแค่ลูบเบาๆที่ช่องท้องก็อาจจะร้องครางได้ หรือเวลาอุ้มแล้วไปโดนที่ท้องของเขาก็อาจจะทำให้ร้องเจ็บขึ้นมาได้

ซึม ไม่กินอาหาร ไม่มีความอยากอาหาร

   อาการซึมไม่กินอาหารเป็นหนึ่งในอาการแสดงที่พบได้ในหลายๆโรค ดังนั้นถ้าน้องหมาของเราไม่ยอมกินอาหาร ดูซึมลงกว่าปกติ อาจจะต้องนึกถึงว่าเขาอาจจะมีอาการปวดท้องอยู่ก็ได้

นอกจากนั้นสุนัขแต่ละตัวแสดงอาการปวดต่างกัน บางตัวมีอาการปวดหลัง หรือปวดบริเวณสะโพก อาจจะทำให้สับสนกับอาการปวดท้องได้ เจ้าของสุนัขจำเป็นจะต้องเข้าใจอาการที่แสดงออกมาเวลาปวดท้องของสุนัข เพื่อที่จะได้พาเขาไปตรวจวินิจฉัยได้รวดเร็ว โดยลองสังเกตุว่าสุนัขของเรามีอาการต่อไปนี้หรือไม่








   


1072
อาการที่บ่งบอกว่าสุนัขปวดท้อง

    อาการปวดท้องในสุนัขเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบของอวัยวะต่างๆ การติดเชื้อ และเกิดเนื้องอกในอวัยวะนั้นๆ ยกตัวอย่าง โรคที่อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องในสุนัขได้



-   ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ โรคตับอักเสบ มะเร็งตับ หรือเนื้องอกม้าม เยื่อบุผนังช่องท้องอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น

-   ระบบทางเดินสืบพันธุ์ เช่น โรคมดลูกอักเสบเป็นหนอง ต่อมลูกหมากอักเสบ เป็นต้น

-   ระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคไตวาย กรวยไตอักเสบ เป็นต้น

   อาการปวดของอวัยวะต่างๆในช่องท้องจะแสดงตำแหน่งของบริเวณที่ปวดต่างกัน ดังนี้

-   ปวดบริเวณส่วนหน้าของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งของกระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ตับอ่อน และถุงน้ำดี

-   ปวดบริเวณส่วนกลางของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งลำไส้ ต่อมน้ำเหลืองในลำไส้

-   ปวดบริเวณส่วนท้ายของช่องท้อง บ่งบอกถึงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และระบบทางเดินสืบพันธุ์ (มดลูก, ต่อมลูกหมาก)

-   ปวดบริเวณเหนือช่องท้อง ใกล้กับหลัง บ่องบอกถึงไต และต่อมหมวกไต

-   ปวดทั่วทั้งช่องท้อง อาจจะบ่งบอกถึงการติดเชื้อของเยื่อบุผนังช่องท้อง หรือมีการอักเสบหลายอวัยวะ

อาการที่สุนัขจะแสดงเมื่อมีอาการปวดท้อง

นอนไม่ลุก นอนขดตัว

น้องหมาที่มีอาการปวดท้อง อาจจะนอนมากกว่าปกติ ไม่อยากขยับร่างกาย เนื่องจากเวลาขยับอาจจะทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้น หรือบางตัวจะนอนขดตัว งอตัว เอาหน้ามาซุกบริเวณท้อง
 
นอนไม่ได้ ยืนนิ่งๆ ไม่ค่อยตอบสนองเวลาเรียก

   บางตัวอาจจะไม่ยอมนอนเพราะมีอาการปวดมาก อาจจะยืนนิ่งๆ เรียกก็ไม่หัน หรือตอบสนองช้ากว่าปกติ ไม่อยากนอน เพราะไม่อยากให้ท้องสัมผัสกับพื้น เพราะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น

เดินก้าวสั้นๆ หรือไม่ค่อยเดิน

   สุนัขที่มีอาการปวดท้อง อาจจะเดินก้าวสั้นลง หรือเดินช้าลง บางตัวอาจจะไม่ยอมขึ้นลงบันได นอนซึมมากกว่า หรืออาจจะไม่ยอมออกไปฉี่ในที่เดิน

ร้องเจ็บ เวลาอุ้ม หรือสัมผัสโดนท้อง

   ถ้ามีการอักเสบมาก จนทำให้ช่องท้องไวต่อการสัมผัส บางตัวแค่ลูบเบาๆที่ช่องท้องก็อาจจะร้องครางได้ หรือเวลาอุ้มแล้วไปโดนที่ท้องของเขาก็อาจจะทำให้ร้องเจ็บขึ้นมาได้

ซึม ไม่กินอาหาร ไม่มีความอยากอาหาร

   อาการซึมไม่กินอาหารเป็นหนึ่งในอาการแสดงที่พบได้ในหลายๆโรค ดังนั้นถ้าน้องหมาของเราไม่ยอมกินอาหาร ดูซึมลงกว่าปกติ อาจจะต้องนึกถึงว่าเขาอาจจะมีอาการปวดท้องอยู่ก็ได้

นอกจากนั้นสุนัขแต่ละตัวแสดงอาการปวดต่างกัน บางตัวมีอาการปวดหลัง หรือปวดบริเวณสะโพก อาจจะทำให้สับสนกับอาการปวดท้องได้ เจ้าของสุนัขจำเป็นจะต้องเข้าใจอาการที่แสดงออกมาเวลาปวดท้องของสุนัข เพื่อที่จะได้พาเขาไปตรวจวินิจฉัยได้รวดเร็ว โดยลองสังเกตุว่าสุนัขของเรามีอาการต่อไปนี้หรือไม่








   


1073
โรคติดเชื้อในน้องแมว ที่ทาสแมวต้องเข้าใจ ก่อนนำน้องแมวมาเลี้ยงด้วยกัน

   หลายๆครอบครัวที่เลี้ยงแมวคงคุ้นหูกับโรคติดเชื้อเหล่านี้มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หัดแมว โรคเอดส์แมว โรคลิวคีเมียในแมว และโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้าเลี้ยงน้องแมวเพียงหนึ่งตัวในบ้านคงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลแมวที่ป่วยร่วมกับแมวที่ไม่ป่วย เราควรทำอย่างไร ต้องแยกเลี้ยงหรือไม่ โรคไหนแยกเลี้ยงบ้าง เราต้องเข้าใจถึงวิธีการติดต่อ และระยะเวลาการปล่อยเชื้อของแต่ละโรค


   
โรคไข้หัดแมว (Feline Panleukopenia/Parvovirus Virus ; FPV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อจากอุจาระและสารคัดหลั่งอื่นๆ เช่น ปัสสาวะและน้ำลาย ผ่านการปนเปื้อนเชื้อเข้าทางปาก (Fecal oral route) และสามารถติดต่อทางอ้อมได้ ผ่านทางการกินข้าว กินน้ำในชามเดียวกัน หรือการใช้กระบะทรายร่วมกัน การเลียขนให้กัน

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : เชื้อไวรัสพาร์โวไวรัสจะติดเชื้อที่เซลล์เยื่อบุลำไส้ สามารถปล่อยผ่านออกมากับอุจจาระของน้องแมวที่แสดงอาการป่วย มีอาการถ่ายเหลว และน้องแมวที่หายจากโรคไข้หัด ไม่พบอาการถ่ายเหลวแล้ว ยังสามารถปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระและปัสสาวะได้นานถึง 6 สัปดาห์

การดูแล : โรคนี้จำเป็นต้องแยกเลี้ยงจนกว่าน้องแมวจะหายป่วยจากโรค หากตรวจพบว่าน้องแมวในบ้านมีอาการป่วยด้วยโรคนี้ ต้องแยกเลี้ยงและทำความสะอาดฆ่าเชื้อให้เร็วที่สุด หลังจากรักษาจนหายดีแล้วควรแยกเลี้ยงต่ออีกอย่างน้อย 1 เดือน และก่อนนำแมวกลับเข้ามาเลี้ยงด้วยกันควรมั่นใจว่าตัวอื่นๆได้รับการกระตุ้นวัคซีนไข้หัดตามกำหนด และทำการฆ่าเชื้อภายในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแล้ว

โรคหวัดแมว (Cat Flu)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวด้วยกันโดยตรงผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา) และติดต่อผ่านทางอ้อมผ่านชามน้ำ ชามอาหาร และจากมือคนที่สัมผัสแมวป่วยแต่ไม่ได้ล้างมือ

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : น้องแมวที่เป็นโรคหวัดแมวสามารถปล่อยเชื้อได้ในระหว่างที่ป่วย และหลังจากหายแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ แต่พบว่าแมวบางตัวมีการกลับมาเป็นซ้ำเนื่องจากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้ จึงอาจจะแพร่เชื้อได้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นอาจจำเป็นต้องแยกเลี้ยงกับแมวตัวอื่นหลังจากหายป่วยแล้วอย่างน้อย 1 เดือน และควรให้แมวตัวอื่นๆกระตุ้นวัคซีนไข้หวัดแมวเป็นประจำ และน้องแมวที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ควรแยกเลี้ยง และแยกอุปกรณ์ต่างๆ ชัดเจน

โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia Virus; FeLV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด อุจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก และน้ำลาย ซึ่งสามารถส่งผ่านเชื้อจากการที่น้องแมวใช้ชามน้ำชามอาหาร และกระบะทรายร่วมกัน เลี้ยงรวมกันมีการเลียขนให้กัน และยังสามารถติดต่อผ่านทางการกัดกันได้ แม่แมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียสามารถส่งผ่านเชื้อขณะตั้งท้องและขณะให้นมลูกได้
   
ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : แมวที่มีเชื้อไวรัสลิวคีเมีย มักจจะไม่แสดงอาการของโรค แต่สามารถปล่อยเชื้อได้ตลอดอายุขัย โดยปริมาณของเชื้อที่ปล่อยออกมาจะมากน้อยขึ้นกับระดับภูมิในช่วงเวลานั้น ดังนั้นต้องแยกเลี้ยงน้องแมวที่มีเชื้อลิวคีเมียกับตัวอื่นๆ แล้วควรทำหมันเพราะว่าน้องแมวสามารถส่งต่อเชื้อให้กับลูกได้

ควรเลี้ยงในระบบปิดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้น้องแมวส่งต่อเชื้อสู่ตัวอื่นๆ

3 โรคที่กล่าวถึงเป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีการระบาดเป็นประจำทุกปี ดังนั้นผู้เลี้ยงน้องแมวยังต้องมีความเข้าใจ เพื่อที่จะแยกเลี้ยงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นโรคติดในแมวที่พบได้อีกคือ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Feline infectious peritonitis; FIP) และโรคเอดส์แมว (Feline Immunodeficiency Virus; FIV) ซึ่งพบได้เป็นอันดับรองลงมา สำหรับโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เกิดจากเชื้อ Corona virus ที่กลายพันธุ์ มักพบในน้องแมวที่เลี้ยงรวมกันปริมาณมาก บางตัวมีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ส่วนโรคเอดส์แมวติดต่อผ่านทางเลือด และมีการแพร่เชื้อได้น้อยมาก แมวที่ป่วยเป็นโรคนี้สามารถเลี้ยงรวมกับแมวตัวอื่นได้
   

แหล่งที่มา
https://www.sciencedirect.com/topics/agricultural-and-biological-sciences/feline-parvovirus
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.vet.cornell.edu/departments-centers-and-institutes/cornell-feline-health-center/health-information/feline-health-topics/feline-immunodeficiency-virus-fiv








1074
โรคติดเชื้อในน้องแมว ที่ทาสแมวต้องเข้าใจ ก่อนนำน้องแมวมาเลี้ยงด้วยกัน

   หลายๆครอบครัวที่เลี้ยงแมวคงคุ้นหูกับโรคติดเชื้อเหล่านี้มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หัดแมว โรคเอดส์แมว โรคลิวคีเมียในแมว และโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้าเลี้ยงน้องแมวเพียงหนึ่งตัวในบ้านคงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลแมวที่ป่วยร่วมกับแมวที่ไม่ป่วย เราควรทำอย่างไร ต้องแยกเลี้ยงหรือไม่ โรคไหนแยกเลี้ยงบ้าง เราต้องเข้าใจถึงวิธีการติดต่อ และระยะเวลาการปล่อยเชื้อของแต่ละโรค


   
โรคไข้หัดแมว (Feline Panleukopenia/Parvovirus Virus ; FPV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อจากอุจาระและสารคัดหลั่งอื่นๆ เช่น ปัสสาวะและน้ำลาย ผ่านการปนเปื้อนเชื้อเข้าทางปาก (Fecal oral route) และสามารถติดต่อทางอ้อมได้ ผ่านทางการกินข้าว กินน้ำในชามเดียวกัน หรือการใช้กระบะทรายร่วมกัน การเลียขนให้กัน

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : เชื้อไวรัสพาร์โวไวรัสจะติดเชื้อที่เซลล์เยื่อบุลำไส้ สามารถปล่อยผ่านออกมากับอุจจาระของน้องแมวที่แสดงอาการป่วย มีอาการถ่ายเหลว และน้องแมวที่หายจากโรคไข้หัด ไม่พบอาการถ่ายเหลวแล้ว ยังสามารถปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระและปัสสาวะได้นานถึง 6 สัปดาห์

การดูแล : โรคนี้จำเป็นต้องแยกเลี้ยงจนกว่าน้องแมวจะหายป่วยจากโรค หากตรวจพบว่าน้องแมวในบ้านมีอาการป่วยด้วยโรคนี้ ต้องแยกเลี้ยงและทำความสะอาดฆ่าเชื้อให้เร็วที่สุด หลังจากรักษาจนหายดีแล้วควรแยกเลี้ยงต่ออีกอย่างน้อย 1 เดือน และก่อนนำแมวกลับเข้ามาเลี้ยงด้วยกันควรมั่นใจว่าตัวอื่นๆได้รับการกระตุ้นวัคซีนไข้หัดตามกำหนด และทำการฆ่าเชื้อภายในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแล้ว

โรคหวัดแมว (Cat Flu)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวด้วยกันโดยตรงผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา) และติดต่อผ่านทางอ้อมผ่านชามน้ำ ชามอาหาร และจากมือคนที่สัมผัสแมวป่วยแต่ไม่ได้ล้างมือ

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : น้องแมวที่เป็นโรคหวัดแมวสามารถปล่อยเชื้อได้ในระหว่างที่ป่วย และหลังจากหายแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ แต่พบว่าแมวบางตัวมีการกลับมาเป็นซ้ำเนื่องจากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้ จึงอาจจะแพร่เชื้อได้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นอาจจำเป็นต้องแยกเลี้ยงกับแมวตัวอื่นหลังจากหายป่วยแล้วอย่างน้อย 1 เดือน และควรให้แมวตัวอื่นๆกระตุ้นวัคซีนไข้หวัดแมวเป็นประจำ และน้องแมวที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ควรแยกเลี้ยง และแยกอุปกรณ์ต่างๆ ชัดเจน

โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia Virus; FeLV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด อุจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก และน้ำลาย ซึ่งสามารถส่งผ่านเชื้อจากการที่น้องแมวใช้ชามน้ำชามอาหาร และกระบะทรายร่วมกัน เลี้ยงรวมกันมีการเลียขนให้กัน และยังสามารถติดต่อผ่านทางการกัดกันได้ แม่แมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียสามารถส่งผ่านเชื้อขณะตั้งท้องและขณะให้นมลูกได้
   
ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : แมวที่มีเชื้อไวรัสลิวคีเมีย มักจจะไม่แสดงอาการของโรค แต่สามารถปล่อยเชื้อได้ตลอดอายุขัย โดยปริมาณของเชื้อที่ปล่อยออกมาจะมากน้อยขึ้นกับระดับภูมิในช่วงเวลานั้น ดังนั้นต้องแยกเลี้ยงน้องแมวที่มีเชื้อลิวคีเมียกับตัวอื่นๆ แล้วควรทำหมันเพราะว่าน้องแมวสามารถส่งต่อเชื้อให้กับลูกได้

ควรเลี้ยงในระบบปิดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้น้องแมวส่งต่อเชื้อสู่ตัวอื่นๆ

3 โรคที่กล่าวถึงเป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีการระบาดเป็นประจำทุกปี ดังนั้นผู้เลี้ยงน้องแมวยังต้องมีความเข้าใจ เพื่อที่จะแยกเลี้ยงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นโรคติดในแมวที่พบได้อีกคือ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Feline infectious peritonitis; FIP) และโรคเอดส์แมว (Feline Immunodeficiency Virus; FIV) ซึ่งพบได้เป็นอันดับรองลงมา สำหรับโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เกิดจากเชื้อ Corona virus ที่กลายพันธุ์ มักพบในน้องแมวที่เลี้ยงรวมกันปริมาณมาก บางตัวมีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ส่วนโรคเอดส์แมวติดต่อผ่านทางเลือด และมีการแพร่เชื้อได้น้อยมาก แมวที่ป่วยเป็นโรคนี้สามารถเลี้ยงรวมกับแมวตัวอื่นได้
   

แหล่งที่มา
https://www.sciencedirect.com/topics/agricultural-and-biological-sciences/feline-parvovirus
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.vet.cornell.edu/departments-centers-and-institutes/cornell-feline-health-center/health-information/feline-health-topics/feline-immunodeficiency-virus-fiv








1075
โรคติดเชื้อในน้องแมว ที่ทาสแมวต้องเข้าใจ ก่อนนำน้องแมวมาเลี้ยงด้วยกัน

   หลายๆครอบครัวที่เลี้ยงแมวคงคุ้นหูกับโรคติดเชื้อเหล่านี้มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หัดแมว โรคเอดส์แมว โรคลิวคีเมียในแมว และโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้าเลี้ยงน้องแมวเพียงหนึ่งตัวในบ้านคงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลแมวที่ป่วยร่วมกับแมวที่ไม่ป่วย เราควรทำอย่างไร ต้องแยกเลี้ยงหรือไม่ โรคไหนแยกเลี้ยงบ้าง เราต้องเข้าใจถึงวิธีการติดต่อ และระยะเวลาการปล่อยเชื้อของแต่ละโรค


   
โรคไข้หัดแมว (Feline Panleukopenia/Parvovirus Virus ; FPV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อจากอุจาระและสารคัดหลั่งอื่นๆ เช่น ปัสสาวะและน้ำลาย ผ่านการปนเปื้อนเชื้อเข้าทางปาก (Fecal oral route) และสามารถติดต่อทางอ้อมได้ ผ่านทางการกินข้าว กินน้ำในชามเดียวกัน หรือการใช้กระบะทรายร่วมกัน การเลียขนให้กัน

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : เชื้อไวรัสพาร์โวไวรัสจะติดเชื้อที่เซลล์เยื่อบุลำไส้ สามารถปล่อยผ่านออกมากับอุจจาระของน้องแมวที่แสดงอาการป่วย มีอาการถ่ายเหลว และน้องแมวที่หายจากโรคไข้หัด ไม่พบอาการถ่ายเหลวแล้ว ยังสามารถปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระและปัสสาวะได้นานถึง 6 สัปดาห์

การดูแล : โรคนี้จำเป็นต้องแยกเลี้ยงจนกว่าน้องแมวจะหายป่วยจากโรค หากตรวจพบว่าน้องแมวในบ้านมีอาการป่วยด้วยโรคนี้ ต้องแยกเลี้ยงและทำความสะอาดฆ่าเชื้อให้เร็วที่สุด หลังจากรักษาจนหายดีแล้วควรแยกเลี้ยงต่ออีกอย่างน้อย 1 เดือน และก่อนนำแมวกลับเข้ามาเลี้ยงด้วยกันควรมั่นใจว่าตัวอื่นๆได้รับการกระตุ้นวัคซีนไข้หัดตามกำหนด และทำการฆ่าเชื้อภายในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแล้ว

โรคหวัดแมว (Cat Flu)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวด้วยกันโดยตรงผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา) และติดต่อผ่านทางอ้อมผ่านชามน้ำ ชามอาหาร และจากมือคนที่สัมผัสแมวป่วยแต่ไม่ได้ล้างมือ

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : น้องแมวที่เป็นโรคหวัดแมวสามารถปล่อยเชื้อได้ในระหว่างที่ป่วย และหลังจากหายแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ แต่พบว่าแมวบางตัวมีการกลับมาเป็นซ้ำเนื่องจากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้ จึงอาจจะแพร่เชื้อได้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นอาจจำเป็นต้องแยกเลี้ยงกับแมวตัวอื่นหลังจากหายป่วยแล้วอย่างน้อย 1 เดือน และควรให้แมวตัวอื่นๆกระตุ้นวัคซีนไข้หวัดแมวเป็นประจำ และน้องแมวที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ควรแยกเลี้ยง และแยกอุปกรณ์ต่างๆ ชัดเจน

โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia Virus; FeLV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด อุจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก และน้ำลาย ซึ่งสามารถส่งผ่านเชื้อจากการที่น้องแมวใช้ชามน้ำชามอาหาร และกระบะทรายร่วมกัน เลี้ยงรวมกันมีการเลียขนให้กัน และยังสามารถติดต่อผ่านทางการกัดกันได้ แม่แมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียสามารถส่งผ่านเชื้อขณะตั้งท้องและขณะให้นมลูกได้
   
ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : แมวที่มีเชื้อไวรัสลิวคีเมีย มักจจะไม่แสดงอาการของโรค แต่สามารถปล่อยเชื้อได้ตลอดอายุขัย โดยปริมาณของเชื้อที่ปล่อยออกมาจะมากน้อยขึ้นกับระดับภูมิในช่วงเวลานั้น ดังนั้นต้องแยกเลี้ยงน้องแมวที่มีเชื้อลิวคีเมียกับตัวอื่นๆ แล้วควรทำหมันเพราะว่าน้องแมวสามารถส่งต่อเชื้อให้กับลูกได้

ควรเลี้ยงในระบบปิดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้น้องแมวส่งต่อเชื้อสู่ตัวอื่นๆ

3 โรคที่กล่าวถึงเป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีการระบาดเป็นประจำทุกปี ดังนั้นผู้เลี้ยงน้องแมวยังต้องมีความเข้าใจ เพื่อที่จะแยกเลี้ยงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นโรคติดในแมวที่พบได้อีกคือ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Feline infectious peritonitis; FIP) และโรคเอดส์แมว (Feline Immunodeficiency Virus; FIV) ซึ่งพบได้เป็นอันดับรองลงมา สำหรับโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เกิดจากเชื้อ Corona virus ที่กลายพันธุ์ มักพบในน้องแมวที่เลี้ยงรวมกันปริมาณมาก บางตัวมีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ส่วนโรคเอดส์แมวติดต่อผ่านทางเลือด และมีการแพร่เชื้อได้น้อยมาก แมวที่ป่วยเป็นโรคนี้สามารถเลี้ยงรวมกับแมวตัวอื่นได้
   

แหล่งที่มา
https://www.sciencedirect.com/topics/agricultural-and-biological-sciences/feline-parvovirus
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.vet.cornell.edu/departments-centers-and-institutes/cornell-feline-health-center/health-information/feline-health-topics/feline-immunodeficiency-virus-fiv








1076
โรคติดเชื้อในน้องแมว ที่ทาสแมวต้องเข้าใจ ก่อนนำน้องแมวมาเลี้ยงด้วยกัน

   หลายๆครอบครัวที่เลี้ยงแมวคงคุ้นหูกับโรคติดเชื้อเหล่านี้มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หัดแมว โรคเอดส์แมว โรคลิวคีเมียในแมว และโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้าเลี้ยงน้องแมวเพียงหนึ่งตัวในบ้านคงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลแมวที่ป่วยร่วมกับแมวที่ไม่ป่วย เราควรทำอย่างไร ต้องแยกเลี้ยงหรือไม่ โรคไหนแยกเลี้ยงบ้าง เราต้องเข้าใจถึงวิธีการติดต่อ และระยะเวลาการปล่อยเชื้อของแต่ละโรค


   
โรคไข้หัดแมว (Feline Panleukopenia/Parvovirus Virus ; FPV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อจากอุจาระและสารคัดหลั่งอื่นๆ เช่น ปัสสาวะและน้ำลาย ผ่านการปนเปื้อนเชื้อเข้าทางปาก (Fecal oral route) และสามารถติดต่อทางอ้อมได้ ผ่านทางการกินข้าว กินน้ำในชามเดียวกัน หรือการใช้กระบะทรายร่วมกัน การเลียขนให้กัน

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : เชื้อไวรัสพาร์โวไวรัสจะติดเชื้อที่เซลล์เยื่อบุลำไส้ สามารถปล่อยผ่านออกมากับอุจจาระของน้องแมวที่แสดงอาการป่วย มีอาการถ่ายเหลว และน้องแมวที่หายจากโรคไข้หัด ไม่พบอาการถ่ายเหลวแล้ว ยังสามารถปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระและปัสสาวะได้นานถึง 6 สัปดาห์

การดูแล : โรคนี้จำเป็นต้องแยกเลี้ยงจนกว่าน้องแมวจะหายป่วยจากโรค หากตรวจพบว่าน้องแมวในบ้านมีอาการป่วยด้วยโรคนี้ ต้องแยกเลี้ยงและทำความสะอาดฆ่าเชื้อให้เร็วที่สุด หลังจากรักษาจนหายดีแล้วควรแยกเลี้ยงต่ออีกอย่างน้อย 1 เดือน และก่อนนำแมวกลับเข้ามาเลี้ยงด้วยกันควรมั่นใจว่าตัวอื่นๆได้รับการกระตุ้นวัคซีนไข้หัดตามกำหนด และทำการฆ่าเชื้อภายในบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแล้ว

โรคหวัดแมว (Cat Flu)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวด้วยกันโดยตรงผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา) และติดต่อผ่านทางอ้อมผ่านชามน้ำ ชามอาหาร และจากมือคนที่สัมผัสแมวป่วยแต่ไม่ได้ล้างมือ

ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : น้องแมวที่เป็นโรคหวัดแมวสามารถปล่อยเชื้อได้ในระหว่างที่ป่วย และหลังจากหายแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ แต่พบว่าแมวบางตัวมีการกลับมาเป็นซ้ำเนื่องจากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้ จึงอาจจะแพร่เชื้อได้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นอาจจำเป็นต้องแยกเลี้ยงกับแมวตัวอื่นหลังจากหายป่วยแล้วอย่างน้อย 1 เดือน และควรให้แมวตัวอื่นๆกระตุ้นวัคซีนไข้หวัดแมวเป็นประจำ และน้องแมวที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ควรแยกเลี้ยง และแยกอุปกรณ์ต่างๆ ชัดเจน

โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia Virus; FeLV)

วิธีการติดต่อ : ติดต่อระหว่างแมวผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด อุจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก และน้ำลาย ซึ่งสามารถส่งผ่านเชื้อจากการที่น้องแมวใช้ชามน้ำชามอาหาร และกระบะทรายร่วมกัน เลี้ยงรวมกันมีการเลียขนให้กัน และยังสามารถติดต่อผ่านทางการกัดกันได้ แม่แมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียสามารถส่งผ่านเชื้อขณะตั้งท้องและขณะให้นมลูกได้
   
ระยะเวลาการปล่อยเชื้อ : แมวที่มีเชื้อไวรัสลิวคีเมีย มักจจะไม่แสดงอาการของโรค แต่สามารถปล่อยเชื้อได้ตลอดอายุขัย โดยปริมาณของเชื้อที่ปล่อยออกมาจะมากน้อยขึ้นกับระดับภูมิในช่วงเวลานั้น ดังนั้นต้องแยกเลี้ยงน้องแมวที่มีเชื้อลิวคีเมียกับตัวอื่นๆ แล้วควรทำหมันเพราะว่าน้องแมวสามารถส่งต่อเชื้อให้กับลูกได้

ควรเลี้ยงในระบบปิดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้น้องแมวส่งต่อเชื้อสู่ตัวอื่นๆ

3 โรคที่กล่าวถึงเป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีการระบาดเป็นประจำทุกปี ดังนั้นผู้เลี้ยงน้องแมวยังต้องมีความเข้าใจ เพื่อที่จะแยกเลี้ยงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นโรคติดในแมวที่พบได้อีกคือ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Feline infectious peritonitis; FIP) และโรคเอดส์แมว (Feline Immunodeficiency Virus; FIV) ซึ่งพบได้เป็นอันดับรองลงมา สำหรับโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เกิดจากเชื้อ Corona virus ที่กลายพันธุ์ มักพบในน้องแมวที่เลี้ยงรวมกันปริมาณมาก บางตัวมีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ส่วนโรคเอดส์แมวติดต่อผ่านทางเลือด และมีการแพร่เชื้อได้น้อยมาก แมวที่ป่วยเป็นโรคนี้สามารถเลี้ยงรวมกับแมวตัวอื่นได้
   

แหล่งที่มา
https://www.sciencedirect.com/topics/agricultural-and-biological-sciences/feline-parvovirus
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.msdvetmanual.com/cat-owners/disorders-affecting-multiple-body-systems-of-cats/feline-leukemia-virus-felv
https://www.vet.cornell.edu/departments-centers-and-institutes/cornell-feline-health-center/health-information/feline-health-topics/feline-immunodeficiency-virus-fiv








1077
โรคติดเชื้อรุนแรงถึงชีวิตในสุนัข ที่เจ้าของสามารถป้องกันได้
   
โรคลำไส้อักเสบสุนัข (Canine Parvoviral Enteritis)

   เจ้าของน้องหมาหลายๆคนคงรู้จักโรคนี้ หรือเคยได้ยินมาบ้าง โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่ติดจากเชื้อไวรัส พาร์โวไวรัส และเชื้อโคโรนาไวรัส (คนละสายพันธุ์กับที่ก่อให้เกิดโรค COVID 19) สามารถติดต่อกันผ่านทางการสัมผัส หรือน้องหมาไปเลียสิ่งแวดล้อมแล้วรับเชื้อนี้เข้าไป ทำให้เกิดอาการท้องเสียเป็นเลือดอย่างรุนแรง โดยมักเกิดการติดเชื้อและก่อความรุนแรงในลูกสุนัขอายุน้อย ตั้งแต่ 2 เดือน – 1 ปี หากสุนัขติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 30% และถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่มากที่สุดในลูกสุนัข โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ แต่น้องหมาอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหารตามมาจนโต โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉัดวัคซีนให้กับลูกสุนัขเมื่ออายุ 2 เดือน แต่ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อ คือ หากลูกสุนัขยังได้รับวัคซีนไม่ครบควรงดพาออกไปเล่นนอกสถานที่ หรือในสถานที่ที่มีสุนัขหลายตัว เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้



โรคไข้หัดสุนัข (Canin Distempervirus)

   โรคไขหัดสุนัขเป็นอีกโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในสุนัข พบว่าหากติดเชื้อนี้เมื่ออายุน้อยหรือยังเป็นลูกสุนัขมีโอกาสเสียชีวิต 80% หากติดเชื้อนี้ในสุนัขโตแล้วมีโอกาสเสียชีวิต 50% โรคนี้เป็นโรคที่มีการติดต่อผ่านทางการหายใจ หรือผ่านทางเดินอากาศ ทำให้มีอัตราการแพร่กระจายเชื้อสูง หากรับลูกสุนัขมาจากฟาร์มที่ไม่ได้มตราฐาน หรือซื้อลูกสุนัขมาจากสถานที่ที่เป็นแหล่งกักเชื้อ มีสุขอนามัยที่ไม่ดี ไม่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อเป็นประจำ โรคนี้เริ่มแรกอาจจะไม่แสดงอาการ ต่อมาจะพบว่ามีไข้ ซึม และมีอาการถ่ายเหลว จากนั้นจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาท คือ เริ่มร้องโดยไม่รู้ตัว ชักเกร็ง และอาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ที่แสดงอาการ โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ป้องกันได้โดยการพาน้องหมาไปรับวัคซีนป้องกัน

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

   โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรง และสามารถติดต่อสู่คนได้ โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนให้กับสุนัขเมื่ออายุ 3 เดือนและ 4 เดือน จากนั้นกระตุ้นวัคซีนทุกปี โดยโรคนี้จะติดต่อผ่านทางการกัดกัน ผ่านน้ำลาย ถ้าสุนัขที่มีเชื้อมากัดสุนัขของเราก็อาจจะเกิดการส่งต่อเชื้อได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนร่วมกับการป้องกันไม่ให้สุนัขของเราถูกสุนัขตัวอื่นกัด

โรคพยาธิเม็ดเลือด (Blood parasite)

   โรคพยาธิเม็ดเลือดเป็นโรคติดเชื้อโปรโตซัวที่เม็ดเลือด (มีเชื้อหลายชนิด เช่น Babesia, Ehrlichia, Hepatozoon, Anaplasma)  ซึ่งน้องหมาได้รับเชื้อเมื่อถูกเห็บกัดหรือกินเห็บเข้าไป สุนัขจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นๆลงๆ พบจุดเลือดออกตามตัว อ่อนแรง มีภาวะโลหิตจาง โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการดูแลไม่ให้เห็บขึ้นสุนัข โดยการใช้ยาป้องกันเห็บซึ่งมีทั้งรูปแบบยากิน ยาหยอดหลัง นอกจากนั้นยังต้องดูแลรักษาป้องกันเห็บในสิ่งแวดล้อม โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์เห็บเป็นประจำ
 


แหล่งที่มา
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7467068/
https://cwhl.vet.cornell.edu/system/files/public/CWHL%20Fact%20Sheets-CDV.pdf



1078
โรคติดเชื้อรุนแรงถึงชีวิตในสุนัข ที่เจ้าของสามารถป้องกันได้
   
โรคลำไส้อักเสบสุนัข (Canine Parvoviral Enteritis)

   เจ้าของน้องหมาหลายๆคนคงรู้จักโรคนี้ หรือเคยได้ยินมาบ้าง โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่ติดจากเชื้อไวรัส พาร์โวไวรัส และเชื้อโคโรนาไวรัส (คนละสายพันธุ์กับที่ก่อให้เกิดโรค COVID 19) สามารถติดต่อกันผ่านทางการสัมผัส หรือน้องหมาไปเลียสิ่งแวดล้อมแล้วรับเชื้อนี้เข้าไป ทำให้เกิดอาการท้องเสียเป็นเลือดอย่างรุนแรง โดยมักเกิดการติดเชื้อและก่อความรุนแรงในลูกสุนัขอายุน้อย ตั้งแต่ 2 เดือน – 1 ปี หากสุนัขติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 30% และถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่มากที่สุดในลูกสุนัข โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ แต่น้องหมาอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหารตามมาจนโต โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉัดวัคซีนให้กับลูกสุนัขเมื่ออายุ 2 เดือน แต่ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อ คือ หากลูกสุนัขยังได้รับวัคซีนไม่ครบควรงดพาออกไปเล่นนอกสถานที่ หรือในสถานที่ที่มีสุนัขหลายตัว เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้



โรคไข้หัดสุนัข (Canin Distempervirus)

   โรคไขหัดสุนัขเป็นอีกโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในสุนัข พบว่าหากติดเชื้อนี้เมื่ออายุน้อยหรือยังเป็นลูกสุนัขมีโอกาสเสียชีวิต 80% หากติดเชื้อนี้ในสุนัขโตแล้วมีโอกาสเสียชีวิต 50% โรคนี้เป็นโรคที่มีการติดต่อผ่านทางการหายใจ หรือผ่านทางเดินอากาศ ทำให้มีอัตราการแพร่กระจายเชื้อสูง หากรับลูกสุนัขมาจากฟาร์มที่ไม่ได้มตราฐาน หรือซื้อลูกสุนัขมาจากสถานที่ที่เป็นแหล่งกักเชื้อ มีสุขอนามัยที่ไม่ดี ไม่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อเป็นประจำ โรคนี้เริ่มแรกอาจจะไม่แสดงอาการ ต่อมาจะพบว่ามีไข้ ซึม และมีอาการถ่ายเหลว จากนั้นจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาท คือ เริ่มร้องโดยไม่รู้ตัว ชักเกร็ง และอาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ที่แสดงอาการ โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ป้องกันได้โดยการพาน้องหมาไปรับวัคซีนป้องกัน

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

   โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรง และสามารถติดต่อสู่คนได้ โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนให้กับสุนัขเมื่ออายุ 3 เดือนและ 4 เดือน จากนั้นกระตุ้นวัคซีนทุกปี โดยโรคนี้จะติดต่อผ่านทางการกัดกัน ผ่านน้ำลาย ถ้าสุนัขที่มีเชื้อมากัดสุนัขของเราก็อาจจะเกิดการส่งต่อเชื้อได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนร่วมกับการป้องกันไม่ให้สุนัขของเราถูกสุนัขตัวอื่นกัด

โรคพยาธิเม็ดเลือด (Blood parasite)

   โรคพยาธิเม็ดเลือดเป็นโรคติดเชื้อโปรโตซัวที่เม็ดเลือด (มีเชื้อหลายชนิด เช่น Babesia, Ehrlichia, Hepatozoon, Anaplasma)  ซึ่งน้องหมาได้รับเชื้อเมื่อถูกเห็บกัดหรือกินเห็บเข้าไป สุนัขจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นๆลงๆ พบจุดเลือดออกตามตัว อ่อนแรง มีภาวะโลหิตจาง โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการดูแลไม่ให้เห็บขึ้นสุนัข โดยการใช้ยาป้องกันเห็บซึ่งมีทั้งรูปแบบยากิน ยาหยอดหลัง นอกจากนั้นยังต้องดูแลรักษาป้องกันเห็บในสิ่งแวดล้อม โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์เห็บเป็นประจำ
 


แหล่งที่มา
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7467068/
https://cwhl.vet.cornell.edu/system/files/public/CWHL%20Fact%20Sheets-CDV.pdf



1079
โรคติดเชื้อรุนแรงถึงชีวิตในสุนัข ที่เจ้าของสามารถป้องกันได้
   
โรคลำไส้อักเสบสุนัข (Canine Parvoviral Enteritis)

   เจ้าของน้องหมาหลายๆคนคงรู้จักโรคนี้ หรือเคยได้ยินมาบ้าง โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่ติดจากเชื้อไวรัส พาร์โวไวรัส และเชื้อโคโรนาไวรัส (คนละสายพันธุ์กับที่ก่อให้เกิดโรค COVID 19) สามารถติดต่อกันผ่านทางการสัมผัส หรือน้องหมาไปเลียสิ่งแวดล้อมแล้วรับเชื้อนี้เข้าไป ทำให้เกิดอาการท้องเสียเป็นเลือดอย่างรุนแรง โดยมักเกิดการติดเชื้อและก่อความรุนแรงในลูกสุนัขอายุน้อย ตั้งแต่ 2 เดือน – 1 ปี หากสุนัขติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 30% และถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่มากที่สุดในลูกสุนัข โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ แต่น้องหมาอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหารตามมาจนโต โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉัดวัคซีนให้กับลูกสุนัขเมื่ออายุ 2 เดือน แต่ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อ คือ หากลูกสุนัขยังได้รับวัคซีนไม่ครบควรงดพาออกไปเล่นนอกสถานที่ หรือในสถานที่ที่มีสุนัขหลายตัว เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้



โรคไข้หัดสุนัข (Canin Distempervirus)

   โรคไขหัดสุนัขเป็นอีกโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในสุนัข พบว่าหากติดเชื้อนี้เมื่ออายุน้อยหรือยังเป็นลูกสุนัขมีโอกาสเสียชีวิต 80% หากติดเชื้อนี้ในสุนัขโตแล้วมีโอกาสเสียชีวิต 50% โรคนี้เป็นโรคที่มีการติดต่อผ่านทางการหายใจ หรือผ่านทางเดินอากาศ ทำให้มีอัตราการแพร่กระจายเชื้อสูง หากรับลูกสุนัขมาจากฟาร์มที่ไม่ได้มตราฐาน หรือซื้อลูกสุนัขมาจากสถานที่ที่เป็นแหล่งกักเชื้อ มีสุขอนามัยที่ไม่ดี ไม่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อเป็นประจำ โรคนี้เริ่มแรกอาจจะไม่แสดงอาการ ต่อมาจะพบว่ามีไข้ ซึม และมีอาการถ่ายเหลว จากนั้นจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาท คือ เริ่มร้องโดยไม่รู้ตัว ชักเกร็ง และอาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ที่แสดงอาการ โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ป้องกันได้โดยการพาน้องหมาไปรับวัคซีนป้องกัน

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

   โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรง และสามารถติดต่อสู่คนได้ โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนให้กับสุนัขเมื่ออายุ 3 เดือนและ 4 เดือน จากนั้นกระตุ้นวัคซีนทุกปี โดยโรคนี้จะติดต่อผ่านทางการกัดกัน ผ่านน้ำลาย ถ้าสุนัขที่มีเชื้อมากัดสุนัขของเราก็อาจจะเกิดการส่งต่อเชื้อได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนร่วมกับการป้องกันไม่ให้สุนัขของเราถูกสุนัขตัวอื่นกัด

โรคพยาธิเม็ดเลือด (Blood parasite)

   โรคพยาธิเม็ดเลือดเป็นโรคติดเชื้อโปรโตซัวที่เม็ดเลือด (มีเชื้อหลายชนิด เช่น Babesia, Ehrlichia, Hepatozoon, Anaplasma)  ซึ่งน้องหมาได้รับเชื้อเมื่อถูกเห็บกัดหรือกินเห็บเข้าไป สุนัขจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นๆลงๆ พบจุดเลือดออกตามตัว อ่อนแรง มีภาวะโลหิตจาง โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการดูแลไม่ให้เห็บขึ้นสุนัข โดยการใช้ยาป้องกันเห็บซึ่งมีทั้งรูปแบบยากิน ยาหยอดหลัง นอกจากนั้นยังต้องดูแลรักษาป้องกันเห็บในสิ่งแวดล้อม โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์เห็บเป็นประจำ
 


แหล่งที่มา
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7467068/
https://cwhl.vet.cornell.edu/system/files/public/CWHL%20Fact%20Sheets-CDV.pdf



1080
โรคติดเชื้อรุนแรงถึงชีวิตในสุนัข ที่เจ้าของสามารถป้องกันได้
   
โรคลำไส้อักเสบสุนัข (Canine Parvoviral Enteritis)

   เจ้าของน้องหมาหลายๆคนคงรู้จักโรคนี้ หรือเคยได้ยินมาบ้าง โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่ติดจากเชื้อไวรัส พาร์โวไวรัส และเชื้อโคโรนาไวรัส (คนละสายพันธุ์กับที่ก่อให้เกิดโรค COVID 19) สามารถติดต่อกันผ่านทางการสัมผัส หรือน้องหมาไปเลียสิ่งแวดล้อมแล้วรับเชื้อนี้เข้าไป ทำให้เกิดอาการท้องเสียเป็นเลือดอย่างรุนแรง โดยมักเกิดการติดเชื้อและก่อความรุนแรงในลูกสุนัขอายุน้อย ตั้งแต่ 2 เดือน – 1 ปี หากสุนัขติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 30% และถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่มากที่สุดในลูกสุนัข โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ แต่น้องหมาอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหารตามมาจนโต โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉัดวัคซีนให้กับลูกสุนัขเมื่ออายุ 2 เดือน แต่ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อ คือ หากลูกสุนัขยังได้รับวัคซีนไม่ครบควรงดพาออกไปเล่นนอกสถานที่ หรือในสถานที่ที่มีสุนัขหลายตัว เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้



โรคไข้หัดสุนัข (Canin Distempervirus)

   โรคไขหัดสุนัขเป็นอีกโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในสุนัข พบว่าหากติดเชื้อนี้เมื่ออายุน้อยหรือยังเป็นลูกสุนัขมีโอกาสเสียชีวิต 80% หากติดเชื้อนี้ในสุนัขโตแล้วมีโอกาสเสียชีวิต 50% โรคนี้เป็นโรคที่มีการติดต่อผ่านทางการหายใจ หรือผ่านทางเดินอากาศ ทำให้มีอัตราการแพร่กระจายเชื้อสูง หากรับลูกสุนัขมาจากฟาร์มที่ไม่ได้มตราฐาน หรือซื้อลูกสุนัขมาจากสถานที่ที่เป็นแหล่งกักเชื้อ มีสุขอนามัยที่ไม่ดี ไม่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อเป็นประจำ โรคนี้เริ่มแรกอาจจะไม่แสดงอาการ ต่อมาจะพบว่ามีไข้ ซึม และมีอาการถ่ายเหลว จากนั้นจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาท คือ เริ่มร้องโดยไม่รู้ตัว ชักเกร็ง และอาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ที่แสดงอาการ โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ป้องกันได้โดยการพาน้องหมาไปรับวัคซีนป้องกัน

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

   โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรง และสามารถติดต่อสู่คนได้ โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนให้กับสุนัขเมื่ออายุ 3 เดือนและ 4 เดือน จากนั้นกระตุ้นวัคซีนทุกปี โดยโรคนี้จะติดต่อผ่านทางการกัดกัน ผ่านน้ำลาย ถ้าสุนัขที่มีเชื้อมากัดสุนัขของเราก็อาจจะเกิดการส่งต่อเชื้อได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนร่วมกับการป้องกันไม่ให้สุนัขของเราถูกสุนัขตัวอื่นกัด

โรคพยาธิเม็ดเลือด (Blood parasite)

   โรคพยาธิเม็ดเลือดเป็นโรคติดเชื้อโปรโตซัวที่เม็ดเลือด (มีเชื้อหลายชนิด เช่น Babesia, Ehrlichia, Hepatozoon, Anaplasma)  ซึ่งน้องหมาได้รับเชื้อเมื่อถูกเห็บกัดหรือกินเห็บเข้าไป สุนัขจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นๆลงๆ พบจุดเลือดออกตามตัว อ่อนแรง มีภาวะโลหิตจาง โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการดูแลไม่ให้เห็บขึ้นสุนัข โดยการใช้ยาป้องกันเห็บซึ่งมีทั้งรูปแบบยากิน ยาหยอดหลัง นอกจากนั้นยังต้องดูแลรักษาป้องกันเห็บในสิ่งแวดล้อม โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์เห็บเป็นประจำ
 


แหล่งที่มา
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7467068/
https://cwhl.vet.cornell.edu/system/files/public/CWHL%20Fact%20Sheets-CDV.pdf