แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

1036
ปริมาณน้ำที่เหมาะสมสำหรับสุนัข น้องหมาของเรากินน้ำน้อยเกินไปหรือป่าว ?

   น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุนัขไม่ต่างไปกับในคนเอง เพื่อช่วยให้สุขภาพภายในแข็งแรงการได้รับน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญ การดูแลเรื่องอาหารและการกินน้ำเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องเข้าใจ เพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพน้องหมาของเราให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ปริมาณความต้องการน้ำของน้องหมาต่างกันไป ดังนี้



น้ำหนักตัว

น้องหมามีปริมาณความต้องการน้ำสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว ช่วงอายุ กิจกรรมที่ทำแต่ละวัน ประเภทอาหารที่กิน และสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ด้วย โดยทั่วไปน้องหมาต้องการน้ำที่วันละ 30-50 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

อายุ

ถ้าสุนัขอายุน้อยยังอยู่ในช่วงที่กินนม หรือเพิ่งเริ่มกินอาหารจะมีความต้องการน้ำต่อครั้งไม่มาก แต่จะกินบ่อยครั้งมากกว่าสุนัขที่โตแล้ว โดยมักจะกินทีละน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง

ชนิดของอาหารที่ทาน

   สุนัขที่กินอาหารเม็ด จะมีความต้องการน้ำมากกว่าสุนัขที่กินอาหารเปียก อาหารกระป๋อง หรืออาหารปรุงเองที่ส่วนประกอบของน้ำผสมอยู่ ดังนั้นถ้าน้องหมาที่บ้านของเรากินอาหารเม็ด ควรมั่นใจว่าเราได้ให้น้ำสะอาดเพียงพอ

กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน

   สุนัขที่อยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่มีกิจจกรรมการเล่นหรือออกกำลังกาย ย่อมมีความต้องการน้ำน้อยกว่าสุนัขที่ออกไปเล่นนอกบ้าน วิ่งในสนาม หรือไปว่ายน้ำ

สภาพอากาศ

   ในสภาพอากาศร้อน หรือช่วงหน้าร้อน ไม่มีฝนตก สุนัขจะต้องการน้ำปริมาณมากกว่าปกติ และถี่กว่าปกติ บางตัวอาจจะร้อนมากจนถึงขั้นใช้เท้าควักน้ำขึ้นมาเล่น ดังนั้นในช่วงหน้าร้อนหรือวันที่อากาศอบอ้าวควรเพิ่มปริมาณและเพิ่มขนาดชามน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ

โรคประจำตัว

สุนัขที่เป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคมะเร็ง โรคความผิดปกติของฮอร์โมน หรือมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลว อาจจะส่งผลต่อการกินน้ำทำให้กินน้ำมากขึ้น และปัสสาวะบ่อยขึ้น ควรปรึกษาสัตวแพทย์หากสังเกตุว่าน้องหมาของเรากินน้ำมากกว่าปกติ หรือถ้าไม่แน่ใจว่ากินน้ำมากเกินไป ให้ลองวัดปริมาณน้ำที่กินในแต่ละวัน แต่ถ้ากินน้อยเกินไป หรือไม่กินเลยก็ไม่ใช่เรื่องปกติ

การได้รับยาบางชนิด

   การได้รับยาบางชนิดส่งผลให้มีการกระหายน้ำมากขึ้น เช่น กลุ่มยาลดอักเสบที่เป็นเสตียรอยด์ (เช่น Prednisolone) กลุ่มยารักษาโรคหัวใจ หรือยาขับน้ำ (เช่น Furosemide) และกลุ่มยาระงับอาการชัก (Phenobarbital) เจ้าของควรปรึกษาสัตวแพทย์และทำความเข้าใจถึงผลข้างเคียงของยาก่อน หากน้องหมาของเราจำเป็นต้องได้รับยาเหล่านี้

   


1037
คุณแน่ใจหรือไม่ ว่าให้อาหารแมวถูกวิธี ? อาหารเปียก อาหารเม็ดให้อย่างไรจึงเหมาะสม

แมวกินอาหารบ่อยแค่ไหน ?

   แมวทั่วไปที่หากินเองตามธรรมชาติ จะกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆหลายๆมื้อต่อวัน กินตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ขึ้นกับอาหารที่หาได้ หรือเฉลี่ยแมวกินอาหาร 12-20 มื้อต่อวัน แต่เมื่อถูกนำมาเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด อาหารเปียก น้องแมวอาจจะกินอาหารมื้อใหญ่ 1-3 มื้อต่อวันก็เพียงพอ



แมวชอบกินอาหารแบบไหน ?

แมวมักจะมีนิสัยที่เลือกกินอาหาร และแต่ละตัวมีความชอบแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับความน่ากินของอาหาร ลักษณะของอาหาร กลิ่น อุณหภูมิ รสชาติ ของอาหาร มีผลต่อความอยากอาหารของน้องแมวทั้งนั้น โดยพบว่าน้องแมวจะชอบอาหารเม็ดที่มีผิวสัมผัสเป็นลักษณะเฉพาะ  หรือรูปร่างที่แตกต่างกัน และชอบกินอาหารที่มีกลิ่นหอมรุนแรงมากกว่า อุณหภูมิของอาหารก็ส่งผลต่อความอยากกินเช่นกัน โดยพบว่า อาหารที่ถูกอุ่นแล้วทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น จะช่วยให้น้องมวกินอาหารง่ายขึ้น ดังนั้นเจ้าของแมวอาจจะนำอาหารไปอุ่นเพื่อให้ในน้งแมวที่มีอาการป่วยอยู่ เพื่อให้น้องแมวกินอาหารได้ดีขึ้น นอกจากอาหารแล้ว ต้องอย่าลืมจัดหาน้ำที่สะอาดไว้ให้น้องแมวเสมอ และควรเปลี่ยนน้ำให้สะอาด เพื่อให้น้องแมวกินน้ำได้มากขึ้น

   สำหรับลูกแมวนั้นในช่วงระยะเวลาแรกเกิดถึง 2 เดือนจะกินนมเป็นอาหารหลัก ซึ่งอาจจะกินทุกๆ 1-2 ชั่วโมง หากเริ่มอายุมากขึ้นสามารถกินห่างขึ้นได้ และลูกแมวจะเริ่มกินอาหารเมื่อายุ 1.5-2 เดือน โดยควรให้อาหารสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ เนื่องจากจมีปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมมากกว่า ลูกแมวต้องการพลังงานเพื่อใช้ในการเจิรญเติบโตค่อนข้างมากในช่วงขวบปีแรก โดยสามารถแบ่งมื้ออาหารให้ 4-6 มื้อต่อวัน ถ้าลูกแมวอายุ 6 เดือนไปแล้วควรค่อยๆปรับลดอาหารลูกแมวลง และเพิ่มอาหารสูตรแมวโตให้ทาน โดยอัตราส่วนควรค่อยๆปรับภายในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ จนเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรแมวโตทั้งหมด โดยมากลูกแมวจะโตเต็มวัยเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน บางสายพันธุ์หรือแมวพันธุ์ใหญ่ จะโตเต็มวัยที่ 8-10 เดือน

   สำหรับแมวโตสามารถให้อาหารวันละ 2 มื้อ บางบ้านอาจจะให้อาหารเปียกร่วมด้วยในแต่ละวัน แต่ต้องมั่นใจว่าปริมาณแคลรอรี่ที่ให้เหมาะสมกับแมว โดยสามารถดูปริมาณอาหารที่ต้องให้ได้ที่บรรจุภัณฑ์ เนื่องจากถ้าให้อาหารในปริมาณมากเกินความต้องการ หรือแมวมีกิจกรรมที่ใช้พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับ จะทำให้น้องแมวมีภาวะน้ำหนักเกิน และการลดน้ำหนักในน้องแมวทำได้ยาก เพราะฉะนั้นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงง่ายกว่า
   
แมวจำเป็นต้องกินนมหรือไม่ ?

ลูกแมวอายุแรกเกิดถึง 2 เดือน ยังต้องการนมเป็นอาหารหลัก แต่ต้องเป็นนมที่เป็นนมเฉพาะสำหรับลูกแมว หรือนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เนื่องจากแมวไม่สามารถย่อยได้ และอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืดและท้องเสียตามมา ส่วนแมวโตแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้กินนม ถ้าน้องแมวกินอาหารเม็ดที่มีโภชนาการถูกต้องและปริมาณเหมาะสม   
   
อาหารสำหรับแมวมีหลากหลายยี่ห้อ และหลากหลายรูปแบบมาก การอ่านฉลากส่วนปรกกอบของผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะเลือกอาหารที่เหมาะสมหรือน้องแมวยอมกิน เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการให้อาหารและให้อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ และไลฟสไตล์ของน้องแมวเพื่อให้น้องแมวมีสุขภาพที่ดี

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/nutrition-feeding-guidelines-for-cats


1038
คุณแน่ใจหรือไม่ ว่าให้อาหารแมวถูกวิธี ? อาหารเปียก อาหารเม็ดให้อย่างไรจึงเหมาะสม

แมวกินอาหารบ่อยแค่ไหน ?

   แมวทั่วไปที่หากินเองตามธรรมชาติ จะกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆหลายๆมื้อต่อวัน กินตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ขึ้นกับอาหารที่หาได้ หรือเฉลี่ยแมวกินอาหาร 12-20 มื้อต่อวัน แต่เมื่อถูกนำมาเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด อาหารเปียก น้องแมวอาจจะกินอาหารมื้อใหญ่ 1-3 มื้อต่อวันก็เพียงพอ



แมวชอบกินอาหารแบบไหน ?

แมวมักจะมีนิสัยที่เลือกกินอาหาร และแต่ละตัวมีความชอบแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับความน่ากินของอาหาร ลักษณะของอาหาร กลิ่น อุณหภูมิ รสชาติ ของอาหาร มีผลต่อความอยากอาหารของน้องแมวทั้งนั้น โดยพบว่าน้องแมวจะชอบอาหารเม็ดที่มีผิวสัมผัสเป็นลักษณะเฉพาะ  หรือรูปร่างที่แตกต่างกัน และชอบกินอาหารที่มีกลิ่นหอมรุนแรงมากกว่า อุณหภูมิของอาหารก็ส่งผลต่อความอยากกินเช่นกัน โดยพบว่า อาหารที่ถูกอุ่นแล้วทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น จะช่วยให้น้องมวกินอาหารง่ายขึ้น ดังนั้นเจ้าของแมวอาจจะนำอาหารไปอุ่นเพื่อให้ในน้งแมวที่มีอาการป่วยอยู่ เพื่อให้น้องแมวกินอาหารได้ดีขึ้น นอกจากอาหารแล้ว ต้องอย่าลืมจัดหาน้ำที่สะอาดไว้ให้น้องแมวเสมอ และควรเปลี่ยนน้ำให้สะอาด เพื่อให้น้องแมวกินน้ำได้มากขึ้น

   สำหรับลูกแมวนั้นในช่วงระยะเวลาแรกเกิดถึง 2 เดือนจะกินนมเป็นอาหารหลัก ซึ่งอาจจะกินทุกๆ 1-2 ชั่วโมง หากเริ่มอายุมากขึ้นสามารถกินห่างขึ้นได้ และลูกแมวจะเริ่มกินอาหารเมื่อายุ 1.5-2 เดือน โดยควรให้อาหารสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ เนื่องจากจมีปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมมากกว่า ลูกแมวต้องการพลังงานเพื่อใช้ในการเจิรญเติบโตค่อนข้างมากในช่วงขวบปีแรก โดยสามารถแบ่งมื้ออาหารให้ 4-6 มื้อต่อวัน ถ้าลูกแมวอายุ 6 เดือนไปแล้วควรค่อยๆปรับลดอาหารลูกแมวลง และเพิ่มอาหารสูตรแมวโตให้ทาน โดยอัตราส่วนควรค่อยๆปรับภายในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ จนเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรแมวโตทั้งหมด โดยมากลูกแมวจะโตเต็มวัยเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน บางสายพันธุ์หรือแมวพันธุ์ใหญ่ จะโตเต็มวัยที่ 8-10 เดือน

   สำหรับแมวโตสามารถให้อาหารวันละ 2 มื้อ บางบ้านอาจจะให้อาหารเปียกร่วมด้วยในแต่ละวัน แต่ต้องมั่นใจว่าปริมาณแคลรอรี่ที่ให้เหมาะสมกับแมว โดยสามารถดูปริมาณอาหารที่ต้องให้ได้ที่บรรจุภัณฑ์ เนื่องจากถ้าให้อาหารในปริมาณมากเกินความต้องการ หรือแมวมีกิจกรรมที่ใช้พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับ จะทำให้น้องแมวมีภาวะน้ำหนักเกิน และการลดน้ำหนักในน้องแมวทำได้ยาก เพราะฉะนั้นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงง่ายกว่า
   
แมวจำเป็นต้องกินนมหรือไม่ ?

ลูกแมวอายุแรกเกิดถึง 2 เดือน ยังต้องการนมเป็นอาหารหลัก แต่ต้องเป็นนมที่เป็นนมเฉพาะสำหรับลูกแมว หรือนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เนื่องจากแมวไม่สามารถย่อยได้ และอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืดและท้องเสียตามมา ส่วนแมวโตแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้กินนม ถ้าน้องแมวกินอาหารเม็ดที่มีโภชนาการถูกต้องและปริมาณเหมาะสม   
   
อาหารสำหรับแมวมีหลากหลายยี่ห้อ และหลากหลายรูปแบบมาก การอ่านฉลากส่วนปรกกอบของผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะเลือกอาหารที่เหมาะสมหรือน้องแมวยอมกิน เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการให้อาหารและให้อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ และไลฟสไตล์ของน้องแมวเพื่อให้น้องแมวมีสุขภาพที่ดี

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/nutrition-feeding-guidelines-for-cats


1039
คุณแน่ใจหรือไม่ ว่าให้อาหารแมวถูกวิธี ? อาหารเปียก อาหารเม็ดให้อย่างไรจึงเหมาะสม

แมวกินอาหารบ่อยแค่ไหน ?

   แมวทั่วไปที่หากินเองตามธรรมชาติ จะกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆหลายๆมื้อต่อวัน กินตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ขึ้นกับอาหารที่หาได้ หรือเฉลี่ยแมวกินอาหาร 12-20 มื้อต่อวัน แต่เมื่อถูกนำมาเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด อาหารเปียก น้องแมวอาจจะกินอาหารมื้อใหญ่ 1-3 มื้อต่อวันก็เพียงพอ



แมวชอบกินอาหารแบบไหน ?

แมวมักจะมีนิสัยที่เลือกกินอาหาร และแต่ละตัวมีความชอบแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับความน่ากินของอาหาร ลักษณะของอาหาร กลิ่น อุณหภูมิ รสชาติ ของอาหาร มีผลต่อความอยากอาหารของน้องแมวทั้งนั้น โดยพบว่าน้องแมวจะชอบอาหารเม็ดที่มีผิวสัมผัสเป็นลักษณะเฉพาะ  หรือรูปร่างที่แตกต่างกัน และชอบกินอาหารที่มีกลิ่นหอมรุนแรงมากกว่า อุณหภูมิของอาหารก็ส่งผลต่อความอยากกินเช่นกัน โดยพบว่า อาหารที่ถูกอุ่นแล้วทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น จะช่วยให้น้องมวกินอาหารง่ายขึ้น ดังนั้นเจ้าของแมวอาจจะนำอาหารไปอุ่นเพื่อให้ในน้งแมวที่มีอาการป่วยอยู่ เพื่อให้น้องแมวกินอาหารได้ดีขึ้น นอกจากอาหารแล้ว ต้องอย่าลืมจัดหาน้ำที่สะอาดไว้ให้น้องแมวเสมอ และควรเปลี่ยนน้ำให้สะอาด เพื่อให้น้องแมวกินน้ำได้มากขึ้น

   สำหรับลูกแมวนั้นในช่วงระยะเวลาแรกเกิดถึง 2 เดือนจะกินนมเป็นอาหารหลัก ซึ่งอาจจะกินทุกๆ 1-2 ชั่วโมง หากเริ่มอายุมากขึ้นสามารถกินห่างขึ้นได้ และลูกแมวจะเริ่มกินอาหารเมื่อายุ 1.5-2 เดือน โดยควรให้อาหารสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ เนื่องจากจมีปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมมากกว่า ลูกแมวต้องการพลังงานเพื่อใช้ในการเจิรญเติบโตค่อนข้างมากในช่วงขวบปีแรก โดยสามารถแบ่งมื้ออาหารให้ 4-6 มื้อต่อวัน ถ้าลูกแมวอายุ 6 เดือนไปแล้วควรค่อยๆปรับลดอาหารลูกแมวลง และเพิ่มอาหารสูตรแมวโตให้ทาน โดยอัตราส่วนควรค่อยๆปรับภายในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ จนเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรแมวโตทั้งหมด โดยมากลูกแมวจะโตเต็มวัยเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน บางสายพันธุ์หรือแมวพันธุ์ใหญ่ จะโตเต็มวัยที่ 8-10 เดือน

   สำหรับแมวโตสามารถให้อาหารวันละ 2 มื้อ บางบ้านอาจจะให้อาหารเปียกร่วมด้วยในแต่ละวัน แต่ต้องมั่นใจว่าปริมาณแคลรอรี่ที่ให้เหมาะสมกับแมว โดยสามารถดูปริมาณอาหารที่ต้องให้ได้ที่บรรจุภัณฑ์ เนื่องจากถ้าให้อาหารในปริมาณมากเกินความต้องการ หรือแมวมีกิจกรรมที่ใช้พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับ จะทำให้น้องแมวมีภาวะน้ำหนักเกิน และการลดน้ำหนักในน้องแมวทำได้ยาก เพราะฉะนั้นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงง่ายกว่า
   
แมวจำเป็นต้องกินนมหรือไม่ ?

ลูกแมวอายุแรกเกิดถึง 2 เดือน ยังต้องการนมเป็นอาหารหลัก แต่ต้องเป็นนมที่เป็นนมเฉพาะสำหรับลูกแมว หรือนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เนื่องจากแมวไม่สามารถย่อยได้ และอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืดและท้องเสียตามมา ส่วนแมวโตแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้กินนม ถ้าน้องแมวกินอาหารเม็ดที่มีโภชนาการถูกต้องและปริมาณเหมาะสม   
   
อาหารสำหรับแมวมีหลากหลายยี่ห้อ และหลากหลายรูปแบบมาก การอ่านฉลากส่วนปรกกอบของผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะเลือกอาหารที่เหมาะสมหรือน้องแมวยอมกิน เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการให้อาหารและให้อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ และไลฟสไตล์ของน้องแมวเพื่อให้น้องแมวมีสุขภาพที่ดี

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/nutrition-feeding-guidelines-for-cats


1040
คุณแน่ใจหรือไม่ ว่าให้อาหารแมวถูกวิธี ? อาหารเปียก อาหารเม็ดให้อย่างไรจึงเหมาะสม

แมวกินอาหารบ่อยแค่ไหน ?

   แมวทั่วไปที่หากินเองตามธรรมชาติ จะกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆหลายๆมื้อต่อวัน กินตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ขึ้นกับอาหารที่หาได้ หรือเฉลี่ยแมวกินอาหาร 12-20 มื้อต่อวัน แต่เมื่อถูกนำมาเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด อาหารเปียก น้องแมวอาจจะกินอาหารมื้อใหญ่ 1-3 มื้อต่อวันก็เพียงพอ



แมวชอบกินอาหารแบบไหน ?

แมวมักจะมีนิสัยที่เลือกกินอาหาร และแต่ละตัวมีความชอบแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับความน่ากินของอาหาร ลักษณะของอาหาร กลิ่น อุณหภูมิ รสชาติ ของอาหาร มีผลต่อความอยากอาหารของน้องแมวทั้งนั้น โดยพบว่าน้องแมวจะชอบอาหารเม็ดที่มีผิวสัมผัสเป็นลักษณะเฉพาะ  หรือรูปร่างที่แตกต่างกัน และชอบกินอาหารที่มีกลิ่นหอมรุนแรงมากกว่า อุณหภูมิของอาหารก็ส่งผลต่อความอยากกินเช่นกัน โดยพบว่า อาหารที่ถูกอุ่นแล้วทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น จะช่วยให้น้องมวกินอาหารง่ายขึ้น ดังนั้นเจ้าของแมวอาจจะนำอาหารไปอุ่นเพื่อให้ในน้งแมวที่มีอาการป่วยอยู่ เพื่อให้น้องแมวกินอาหารได้ดีขึ้น นอกจากอาหารแล้ว ต้องอย่าลืมจัดหาน้ำที่สะอาดไว้ให้น้องแมวเสมอ และควรเปลี่ยนน้ำให้สะอาด เพื่อให้น้องแมวกินน้ำได้มากขึ้น

   สำหรับลูกแมวนั้นในช่วงระยะเวลาแรกเกิดถึง 2 เดือนจะกินนมเป็นอาหารหลัก ซึ่งอาจจะกินทุกๆ 1-2 ชั่วโมง หากเริ่มอายุมากขึ้นสามารถกินห่างขึ้นได้ และลูกแมวจะเริ่มกินอาหารเมื่อายุ 1.5-2 เดือน โดยควรให้อาหารสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ เนื่องจากจมีปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมมากกว่า ลูกแมวต้องการพลังงานเพื่อใช้ในการเจิรญเติบโตค่อนข้างมากในช่วงขวบปีแรก โดยสามารถแบ่งมื้ออาหารให้ 4-6 มื้อต่อวัน ถ้าลูกแมวอายุ 6 เดือนไปแล้วควรค่อยๆปรับลดอาหารลูกแมวลง และเพิ่มอาหารสูตรแมวโตให้ทาน โดยอัตราส่วนควรค่อยๆปรับภายในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ จนเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรแมวโตทั้งหมด โดยมากลูกแมวจะโตเต็มวัยเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน บางสายพันธุ์หรือแมวพันธุ์ใหญ่ จะโตเต็มวัยที่ 8-10 เดือน

   สำหรับแมวโตสามารถให้อาหารวันละ 2 มื้อ บางบ้านอาจจะให้อาหารเปียกร่วมด้วยในแต่ละวัน แต่ต้องมั่นใจว่าปริมาณแคลรอรี่ที่ให้เหมาะสมกับแมว โดยสามารถดูปริมาณอาหารที่ต้องให้ได้ที่บรรจุภัณฑ์ เนื่องจากถ้าให้อาหารในปริมาณมากเกินความต้องการ หรือแมวมีกิจกรรมที่ใช้พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับ จะทำให้น้องแมวมีภาวะน้ำหนักเกิน และการลดน้ำหนักในน้องแมวทำได้ยาก เพราะฉะนั้นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงง่ายกว่า
   
แมวจำเป็นต้องกินนมหรือไม่ ?

ลูกแมวอายุแรกเกิดถึง 2 เดือน ยังต้องการนมเป็นอาหารหลัก แต่ต้องเป็นนมที่เป็นนมเฉพาะสำหรับลูกแมว หรือนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เนื่องจากแมวไม่สามารถย่อยได้ และอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืดและท้องเสียตามมา ส่วนแมวโตแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้กินนม ถ้าน้องแมวกินอาหารเม็ดที่มีโภชนาการถูกต้องและปริมาณเหมาะสม   
   
อาหารสำหรับแมวมีหลากหลายยี่ห้อ และหลากหลายรูปแบบมาก การอ่านฉลากส่วนปรกกอบของผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะเลือกอาหารที่เหมาะสมหรือน้องแมวยอมกิน เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการให้อาหารและให้อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ และไลฟสไตล์ของน้องแมวเพื่อให้น้องแมวมีสุขภาพที่ดี

แหล่งที่มา

https://vcahospitals.com/know-your-pet/nutrition-feeding-guidelines-for-cats


1041
เพลงคลายเครียดให้กับสุนัข น้องหมาชอบฟังเพลงแบบไหนกันนะ

   สุนัขมีการตอบสนองต่อเสียงที่แตกต่างๆกันออกไป บางตัวจะเห่า หอนรับ หรือตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินเสียงรถกับข้าวหรือรถขายของที่ใช้เครื่องขยายเสียงดังๆขับผ่านหน้าบ้าน หรือเมื่อมีการเล่นเครื่องดนตรีให้เขาฟัง หรือบางตัวมีอาการกลัวเสียงฟ้าร้อง หรือเสียงพลุเป็นพิเศษ เสียงที่ดังและมีโทนเสียงที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสุนัขได้ หรือเจ้าของสุนัขบางคนอาจจะเคยเห็นว่าน้องหมาของเรานั่งดูทีวี หรือนอนหลับมากขึ้นเวลาเราเปิดเพลง หรือพูดคุยกับเขา มีการวิจัยมากขึ้นเกี่ยวกับการตอบสนองของสุนัขต่อเสียงต่างๆ



   หลายๆคนอาจจะคิดว่าน้องหมานั้นอาจจะไม่มีรสนิยมด้านดนตรี แต่จริงๆแล้วคุณคิดผิด ขณะนี้ยังมีงานวิจัยออกมาไม่มากนักแต่เราก็ได้รู้กันมากขึ้นว่าจริงๆแล้วการเปิดเพลงช่วยคลายความวิตกกังวล และความเครียดให้สุนัขได้จริง

   มีรายงานจากมหาวิทยาลัย Queen ประเทศไอร์แลนด์พบว่าสุนัขมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆไม่เหมือนกัน โดยงานวิจัยนี้ได้ทดลองเปิดเพลงหลากหลายแนวในสถานรับเลี้ยงสุนัข (Animal Shelter) เช่นเพลงของ บริทนีย์ สเปียร์ (เพลงป๊อป) บ๊อบ มาร์เลย์ (เพลงเรกเก้) ร็อบบี้ วิลเลี่ยม (ป๊อปและซอฟท์ร็อค) Metallica (เฮฟวี่ เมทัล) และแนวเพลงคลาสสิกชื่อดังของบีโธเฟ่น อย่างเพลง Ode to Joy (ส่วนหนึ่งของเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 นั่นเอง) ในงานวิจัยยังได้เปิดเสียงบทสนธนาของคน และมีการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เปิดเพลง เพื่อทดสอบว่าสุนัขมีการฟังเพลงจริงๆหรือไม่ ผลงานวิจัยนี้พบว่า สุนัขไม่ค่อยชอบเพลงเฮฟวี่เมทัลเนื่องจากมีการแสดงพฤติกรรมตื่นเต้นอย่างมาก และเห่ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแนวเพลงป๊อปและเสียงบทสนธนาของมนุษย์ไม่ได้ทำให้สุนัขเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม และพบว่าสุนัขมีอาการสงบ และนอนมากขึ้นเมื่อเปิดเพลงคลาสสิกให้ฟัง
 
   นอกจากนั้นมีการศึกษาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัย Glasglow ประเทศอังกฤษ นักวิจัยได้ทำการทดลองเปิดเพลงในแนวเพลงต่างๆ ได้แก่ คลาสสิก, ซอฟต์ร็อค, ป๊อป เรกเก้, โมทาวน์ (Blue หรือ R&B) ให้กับสุนัข 38 ตัวในสถานรับเลี้ยงสุนัขเป็นระยะเวลา 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยมีการบันทึกพฤติกรรม อัตราการเต้นของหัวใจ และตรวจระดับฮอร์โมนความเครียด จากผลงานวิจัยพบว่าทุกแนวเพลงส่งผลสุนัขผ่อนคลายได้ โดยพบว่าสุนัขนอนมากขึ้น และยืนเฉยๆโดยไม่เห่าได้เมื่อมีการเปิดเพลง แต่พบว่าอัตราการเห่าไม่แตกต่างกันระหว่างแนวเพลงต่างๆ และสุนัขจะเห่าทันทีเมื่อปิดเพลงลง นอกจากนั้นยังพบว่าแนวเพลงเรกเก้ และซอฟท์ร็อค ส่งผลทำให้น้องหมาผ่อนคลาย ลดความเครียดได้มากที่สุด และนักวิจัยได้กล่าวอีกว่า สุนัขแต่ละตัวมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆ คนละแบบนั่นหมายถึงน้องหมาก็น่าจะมีความชอบส่วนตัวเหมือนกัน

   เพราะฉะนั้นความรู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆบ้านที่จะต้องปล่อยน้องหมาไว้ที่บ้านคนเดียวในตอนกลางวัน หรืออยากจะให้น้องหมาหลับนานขึ้นในช่วงกลางคืน อาจจะลองเปิดเพลงแนวเรกเก้ ซอฟร็อค และแนวคลาสสิก เพื่อเป็นการคลายเครียดในระหว่างที่เจ้าของไม่อยู่บ้านดูก็ได้



แหล่งที่มา
https://www.dogtagart.com/blog/what-kind-music-do-dogs-best
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-38757761
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-31695766



1042
เพลงคลายเครียดให้กับสุนัข น้องหมาชอบฟังเพลงแบบไหนกันนะ

   สุนัขมีการตอบสนองต่อเสียงที่แตกต่างๆกันออกไป บางตัวจะเห่า หอนรับ หรือตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินเสียงรถกับข้าวหรือรถขายของที่ใช้เครื่องขยายเสียงดังๆขับผ่านหน้าบ้าน หรือเมื่อมีการเล่นเครื่องดนตรีให้เขาฟัง หรือบางตัวมีอาการกลัวเสียงฟ้าร้อง หรือเสียงพลุเป็นพิเศษ เสียงที่ดังและมีโทนเสียงที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสุนัขได้ หรือเจ้าของสุนัขบางคนอาจจะเคยเห็นว่าน้องหมาของเรานั่งดูทีวี หรือนอนหลับมากขึ้นเวลาเราเปิดเพลง หรือพูดคุยกับเขา มีการวิจัยมากขึ้นเกี่ยวกับการตอบสนองของสุนัขต่อเสียงต่างๆ



   หลายๆคนอาจจะคิดว่าน้องหมานั้นอาจจะไม่มีรสนิยมด้านดนตรี แต่จริงๆแล้วคุณคิดผิด ขณะนี้ยังมีงานวิจัยออกมาไม่มากนักแต่เราก็ได้รู้กันมากขึ้นว่าจริงๆแล้วการเปิดเพลงช่วยคลายความวิตกกังวล และความเครียดให้สุนัขได้จริง

   มีรายงานจากมหาวิทยาลัย Queen ประเทศไอร์แลนด์พบว่าสุนัขมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆไม่เหมือนกัน โดยงานวิจัยนี้ได้ทดลองเปิดเพลงหลากหลายแนวในสถานรับเลี้ยงสุนัข (Animal Shelter) เช่นเพลงของ บริทนีย์ สเปียร์ (เพลงป๊อป) บ๊อบ มาร์เลย์ (เพลงเรกเก้) ร็อบบี้ วิลเลี่ยม (ป๊อปและซอฟท์ร็อค) Metallica (เฮฟวี่ เมทัล) และแนวเพลงคลาสสิกชื่อดังของบีโธเฟ่น อย่างเพลง Ode to Joy (ส่วนหนึ่งของเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 นั่นเอง) ในงานวิจัยยังได้เปิดเสียงบทสนธนาของคน และมีการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เปิดเพลง เพื่อทดสอบว่าสุนัขมีการฟังเพลงจริงๆหรือไม่ ผลงานวิจัยนี้พบว่า สุนัขไม่ค่อยชอบเพลงเฮฟวี่เมทัลเนื่องจากมีการแสดงพฤติกรรมตื่นเต้นอย่างมาก และเห่ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแนวเพลงป๊อปและเสียงบทสนธนาของมนุษย์ไม่ได้ทำให้สุนัขเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม และพบว่าสุนัขมีอาการสงบ และนอนมากขึ้นเมื่อเปิดเพลงคลาสสิกให้ฟัง
 
   นอกจากนั้นมีการศึกษาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัย Glasglow ประเทศอังกฤษ นักวิจัยได้ทำการทดลองเปิดเพลงในแนวเพลงต่างๆ ได้แก่ คลาสสิก, ซอฟต์ร็อค, ป๊อป เรกเก้, โมทาวน์ (Blue หรือ R&B) ให้กับสุนัข 38 ตัวในสถานรับเลี้ยงสุนัขเป็นระยะเวลา 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยมีการบันทึกพฤติกรรม อัตราการเต้นของหัวใจ และตรวจระดับฮอร์โมนความเครียด จากผลงานวิจัยพบว่าทุกแนวเพลงส่งผลสุนัขผ่อนคลายได้ โดยพบว่าสุนัขนอนมากขึ้น และยืนเฉยๆโดยไม่เห่าได้เมื่อมีการเปิดเพลง แต่พบว่าอัตราการเห่าไม่แตกต่างกันระหว่างแนวเพลงต่างๆ และสุนัขจะเห่าทันทีเมื่อปิดเพลงลง นอกจากนั้นยังพบว่าแนวเพลงเรกเก้ และซอฟท์ร็อค ส่งผลทำให้น้องหมาผ่อนคลาย ลดความเครียดได้มากที่สุด และนักวิจัยได้กล่าวอีกว่า สุนัขแต่ละตัวมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆ คนละแบบนั่นหมายถึงน้องหมาก็น่าจะมีความชอบส่วนตัวเหมือนกัน

   เพราะฉะนั้นความรู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆบ้านที่จะต้องปล่อยน้องหมาไว้ที่บ้านคนเดียวในตอนกลางวัน หรืออยากจะให้น้องหมาหลับนานขึ้นในช่วงกลางคืน อาจจะลองเปิดเพลงแนวเรกเก้ ซอฟร็อค และแนวคลาสสิก เพื่อเป็นการคลายเครียดในระหว่างที่เจ้าของไม่อยู่บ้านดูก็ได้



แหล่งที่มา
https://www.dogtagart.com/blog/what-kind-music-do-dogs-best
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-38757761
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-31695766



1043
เพลงคลายเครียดให้กับสุนัข น้องหมาชอบฟังเพลงแบบไหนกันนะ

   สุนัขมีการตอบสนองต่อเสียงที่แตกต่างๆกันออกไป บางตัวจะเห่า หอนรับ หรือตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินเสียงรถกับข้าวหรือรถขายของที่ใช้เครื่องขยายเสียงดังๆขับผ่านหน้าบ้าน หรือเมื่อมีการเล่นเครื่องดนตรีให้เขาฟัง หรือบางตัวมีอาการกลัวเสียงฟ้าร้อง หรือเสียงพลุเป็นพิเศษ เสียงที่ดังและมีโทนเสียงที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสุนัขได้ หรือเจ้าของสุนัขบางคนอาจจะเคยเห็นว่าน้องหมาของเรานั่งดูทีวี หรือนอนหลับมากขึ้นเวลาเราเปิดเพลง หรือพูดคุยกับเขา มีการวิจัยมากขึ้นเกี่ยวกับการตอบสนองของสุนัขต่อเสียงต่างๆ



   หลายๆคนอาจจะคิดว่าน้องหมานั้นอาจจะไม่มีรสนิยมด้านดนตรี แต่จริงๆแล้วคุณคิดผิด ขณะนี้ยังมีงานวิจัยออกมาไม่มากนักแต่เราก็ได้รู้กันมากขึ้นว่าจริงๆแล้วการเปิดเพลงช่วยคลายความวิตกกังวล และความเครียดให้สุนัขได้จริง

   มีรายงานจากมหาวิทยาลัย Queen ประเทศไอร์แลนด์พบว่าสุนัขมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆไม่เหมือนกัน โดยงานวิจัยนี้ได้ทดลองเปิดเพลงหลากหลายแนวในสถานรับเลี้ยงสุนัข (Animal Shelter) เช่นเพลงของ บริทนีย์ สเปียร์ (เพลงป๊อป) บ๊อบ มาร์เลย์ (เพลงเรกเก้) ร็อบบี้ วิลเลี่ยม (ป๊อปและซอฟท์ร็อค) Metallica (เฮฟวี่ เมทัล) และแนวเพลงคลาสสิกชื่อดังของบีโธเฟ่น อย่างเพลง Ode to Joy (ส่วนหนึ่งของเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 นั่นเอง) ในงานวิจัยยังได้เปิดเสียงบทสนธนาของคน และมีการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เปิดเพลง เพื่อทดสอบว่าสุนัขมีการฟังเพลงจริงๆหรือไม่ ผลงานวิจัยนี้พบว่า สุนัขไม่ค่อยชอบเพลงเฮฟวี่เมทัลเนื่องจากมีการแสดงพฤติกรรมตื่นเต้นอย่างมาก และเห่ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแนวเพลงป๊อปและเสียงบทสนธนาของมนุษย์ไม่ได้ทำให้สุนัขเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม และพบว่าสุนัขมีอาการสงบ และนอนมากขึ้นเมื่อเปิดเพลงคลาสสิกให้ฟัง
 
   นอกจากนั้นมีการศึกษาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัย Glasglow ประเทศอังกฤษ นักวิจัยได้ทำการทดลองเปิดเพลงในแนวเพลงต่างๆ ได้แก่ คลาสสิก, ซอฟต์ร็อค, ป๊อป เรกเก้, โมทาวน์ (Blue หรือ R&B) ให้กับสุนัข 38 ตัวในสถานรับเลี้ยงสุนัขเป็นระยะเวลา 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยมีการบันทึกพฤติกรรม อัตราการเต้นของหัวใจ และตรวจระดับฮอร์โมนความเครียด จากผลงานวิจัยพบว่าทุกแนวเพลงส่งผลสุนัขผ่อนคลายได้ โดยพบว่าสุนัขนอนมากขึ้น และยืนเฉยๆโดยไม่เห่าได้เมื่อมีการเปิดเพลง แต่พบว่าอัตราการเห่าไม่แตกต่างกันระหว่างแนวเพลงต่างๆ และสุนัขจะเห่าทันทีเมื่อปิดเพลงลง นอกจากนั้นยังพบว่าแนวเพลงเรกเก้ และซอฟท์ร็อค ส่งผลทำให้น้องหมาผ่อนคลาย ลดความเครียดได้มากที่สุด และนักวิจัยได้กล่าวอีกว่า สุนัขแต่ละตัวมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆ คนละแบบนั่นหมายถึงน้องหมาก็น่าจะมีความชอบส่วนตัวเหมือนกัน

   เพราะฉะนั้นความรู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆบ้านที่จะต้องปล่อยน้องหมาไว้ที่บ้านคนเดียวในตอนกลางวัน หรืออยากจะให้น้องหมาหลับนานขึ้นในช่วงกลางคืน อาจจะลองเปิดเพลงแนวเรกเก้ ซอฟร็อค และแนวคลาสสิก เพื่อเป็นการคลายเครียดในระหว่างที่เจ้าของไม่อยู่บ้านดูก็ได้



แหล่งที่มา
https://www.dogtagart.com/blog/what-kind-music-do-dogs-best
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-38757761
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-31695766



1044
เพลงคลายเครียดให้กับสุนัข น้องหมาชอบฟังเพลงแบบไหนกันนะ

   สุนัขมีการตอบสนองต่อเสียงที่แตกต่างๆกันออกไป บางตัวจะเห่า หอนรับ หรือตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินเสียงรถกับข้าวหรือรถขายของที่ใช้เครื่องขยายเสียงดังๆขับผ่านหน้าบ้าน หรือเมื่อมีการเล่นเครื่องดนตรีให้เขาฟัง หรือบางตัวมีอาการกลัวเสียงฟ้าร้อง หรือเสียงพลุเป็นพิเศษ เสียงที่ดังและมีโทนเสียงที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสุนัขได้ หรือเจ้าของสุนัขบางคนอาจจะเคยเห็นว่าน้องหมาของเรานั่งดูทีวี หรือนอนหลับมากขึ้นเวลาเราเปิดเพลง หรือพูดคุยกับเขา มีการวิจัยมากขึ้นเกี่ยวกับการตอบสนองของสุนัขต่อเสียงต่างๆ



   หลายๆคนอาจจะคิดว่าน้องหมานั้นอาจจะไม่มีรสนิยมด้านดนตรี แต่จริงๆแล้วคุณคิดผิด ขณะนี้ยังมีงานวิจัยออกมาไม่มากนักแต่เราก็ได้รู้กันมากขึ้นว่าจริงๆแล้วการเปิดเพลงช่วยคลายความวิตกกังวล และความเครียดให้สุนัขได้จริง

   มีรายงานจากมหาวิทยาลัย Queen ประเทศไอร์แลนด์พบว่าสุนัขมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆไม่เหมือนกัน โดยงานวิจัยนี้ได้ทดลองเปิดเพลงหลากหลายแนวในสถานรับเลี้ยงสุนัข (Animal Shelter) เช่นเพลงของ บริทนีย์ สเปียร์ (เพลงป๊อป) บ๊อบ มาร์เลย์ (เพลงเรกเก้) ร็อบบี้ วิลเลี่ยม (ป๊อปและซอฟท์ร็อค) Metallica (เฮฟวี่ เมทัล) และแนวเพลงคลาสสิกชื่อดังของบีโธเฟ่น อย่างเพลง Ode to Joy (ส่วนหนึ่งของเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 นั่นเอง) ในงานวิจัยยังได้เปิดเสียงบทสนธนาของคน และมีการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เปิดเพลง เพื่อทดสอบว่าสุนัขมีการฟังเพลงจริงๆหรือไม่ ผลงานวิจัยนี้พบว่า สุนัขไม่ค่อยชอบเพลงเฮฟวี่เมทัลเนื่องจากมีการแสดงพฤติกรรมตื่นเต้นอย่างมาก และเห่ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแนวเพลงป๊อปและเสียงบทสนธนาของมนุษย์ไม่ได้ทำให้สุนัขเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม และพบว่าสุนัขมีอาการสงบ และนอนมากขึ้นเมื่อเปิดเพลงคลาสสิกให้ฟัง
 
   นอกจากนั้นมีการศึกษาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัย Glasglow ประเทศอังกฤษ นักวิจัยได้ทำการทดลองเปิดเพลงในแนวเพลงต่างๆ ได้แก่ คลาสสิก, ซอฟต์ร็อค, ป๊อป เรกเก้, โมทาวน์ (Blue หรือ R&B) ให้กับสุนัข 38 ตัวในสถานรับเลี้ยงสุนัขเป็นระยะเวลา 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยมีการบันทึกพฤติกรรม อัตราการเต้นของหัวใจ และตรวจระดับฮอร์โมนความเครียด จากผลงานวิจัยพบว่าทุกแนวเพลงส่งผลสุนัขผ่อนคลายได้ โดยพบว่าสุนัขนอนมากขึ้น และยืนเฉยๆโดยไม่เห่าได้เมื่อมีการเปิดเพลง แต่พบว่าอัตราการเห่าไม่แตกต่างกันระหว่างแนวเพลงต่างๆ และสุนัขจะเห่าทันทีเมื่อปิดเพลงลง นอกจากนั้นยังพบว่าแนวเพลงเรกเก้ และซอฟท์ร็อค ส่งผลทำให้น้องหมาผ่อนคลาย ลดความเครียดได้มากที่สุด และนักวิจัยได้กล่าวอีกว่า สุนัขแต่ละตัวมีการตอบสนองต่อแนวเพลงต่างๆ คนละแบบนั่นหมายถึงน้องหมาก็น่าจะมีความชอบส่วนตัวเหมือนกัน

   เพราะฉะนั้นความรู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆบ้านที่จะต้องปล่อยน้องหมาไว้ที่บ้านคนเดียวในตอนกลางวัน หรืออยากจะให้น้องหมาหลับนานขึ้นในช่วงกลางคืน อาจจะลองเปิดเพลงแนวเรกเก้ ซอฟร็อค และแนวคลาสสิก เพื่อเป็นการคลายเครียดในระหว่างที่เจ้าของไม่อยู่บ้านดูก็ได้



แหล่งที่มา
https://www.dogtagart.com/blog/what-kind-music-do-dogs-best
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-38757761
https://www.bbc.com/news/uk-scotland-glasgow-west-31695766



1045
5 อาการที่บ่งบอกว่าน้องแมวเบื่อ กินมากไป เลียขนบ่อย อาจไม่ใช่เรื่องดี !

   “อาการเบื่อ” หมายถึงมีบางสิ่งบางอย่างที่เราอยากทำ แต่เราไม่ได้ทำหรือไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าคนเราเบื่อ เช่น ทำงานเดิมๆมาทั้งสัปดาห์ เกิดอาการเบื่องาน เพราะอาจจะอยากออกไปเที่ยวมากกว่า น้องแมวที่ต้องทำกิจกรรมเดิมๆซ้ำทุกวัน เล่นของเล่นชิ้นเดิม หรือต้องอยู่ตัวเดียวทั้งวัน ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ก็เกิดอาการเบื่อได้เช่นกัน



   ทำไมการสังเกตุ “อาการเบื่อ” จึงสำคัญสำหรับผู้ที่เลี้ยงน้องแมว เพราะว่าถ้าเราปล่อยให้น้องแมวมีอาการเบื่อต่อเนื่องนานๆอาจจะนำไปสู่อาการเครียดได้ และอาการเครียดนั้นอาจจะส่งผลต่อสุขภาพตามมาได้ เช่น อาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันตก ป่วยง่าย เป็นหวัดเรื้อรัง หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสาว มีอาการปัสสาวะลำบาก หรือบางตัวเกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน ถ้ามีปล่อยให้น้องแมวอ้วนมากเกินไปก็อาจจะนำไปสู่โรคเบาหวาน หรือโรคตับ โรคไตไวกว่าที่ควรจะเป็นได้

อาการที่ 1 เลียขนบ่อยขึ้นกว่าปกติ

   น้องแมวที่เลียขนบ่อยกว่าปกติ หรือวันๆเอาแต่เลียขน ไม่ทำอย่างอื่นๆ จนบางครั้งถีงขั้นกัดแทะจนขนบริเวณนั้นหายไป ถ้ามั่นใจว่าไม่ใช่การติดเชื้อที่ผิวหนัง แต่เป็นปัญหาพฤติกรรม ก็แสดงว่าน้องแมวของคุณกำลังเบื่อสุดๆ การเลียขนมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหาก้อนขนอุดตันทางเดินอาหารตามมาได้

อาการที่ 2 เริ่มมีอาการก้าวร้าวกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ หรือกับเราเอง

   ถ้าน้องแมวที่บ้านเริ่มมีอาการก้าวร้าว ขู่ใส่น้องแมวตัวอื่นๆ หรือแม้กระทั่งกับสุนัข เป็นหนึ่งในอาการของความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากความเบื่อและกลายเป็นความเครียดสะสม ทำให้น้องแมวแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมานั่นเอง

อาการที่ 3 นอนทั้งวัน ไม่ทำอย่างอื่นๆเลย

   โดยทั่วไปน้องแมวจะนอนเฉลี่ยอยู่ที่ 16-18 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับแต่ละตัว แต่ถ้าน้องแมวเริ่มนอนทั้งวัน ไม่ขยับเปลี่ยนที่นอน ลุกเดินเฉพาะเวลาที่มากินอาหารเท่านั้น อาจจะเป็นสัญญาบ่งบอกว่า ในบ้านนี้ไม่มีอะไรให้เขาทำก็ได้

อาการที่ 4 กินมากกว่าปกติ

   น้องแมวที่สวาปามอาหารทุกเม็ด ร้องขอขนมทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถุงอาหาร การร้องขออาหารทั้งๆที่เขาไม่ได้หิว ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขามีอาการเบื่อ ก็เหมือนกันคนเราที่มักจะกินมากขึ้นเมื่ออยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำอะไร หากน้องแมวเริ่มมีน้ำหนักตัวเกิน เอวหายไป พุงเริ่มย้อย เจ้าของน้องแมวควรจะต้องคำนึงแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และควรแก้ไข

อาการที่ 5 ชวนเล่นก็ไม่เล่น ไม่สนใจของเล่นที่เคยสนใจ


   ถ้าน้องแมวเลิกสนใจของเล่น ไม่ยอมเล่นของเล่นชิ้นโปรดอีกแล้ว เป็นสัญญาณเตือนของความเบื่อขั้นสุดแล้ว ทาสแมวทั้งหลายต้องรีบเตรียมตัวจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านใหม่อย่างเร่งด่วน หรือพาน้องแมวออกไปเที่ยว สร้างกิจจกรรมหรือความท้าทายใหม่ๆให้กับเขา

   สังเกตุอาการเหล่านี้ แล้วอย่าลืมหาทางแก้ไข ปรับสภาพแวดล้อมเอาใจน้องแมว เพื่อให้เขาเป็นแมวที่มีความสุข และสุขภาพดี จะได้อยู่กับเราไปนานๆ   


1046
5 อาการที่บ่งบอกว่าน้องแมวเบื่อ กินมากไป เลียขนบ่อย อาจไม่ใช่เรื่องดี !

   “อาการเบื่อ” หมายถึงมีบางสิ่งบางอย่างที่เราอยากทำ แต่เราไม่ได้ทำหรือไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าคนเราเบื่อ เช่น ทำงานเดิมๆมาทั้งสัปดาห์ เกิดอาการเบื่องาน เพราะอาจจะอยากออกไปเที่ยวมากกว่า น้องแมวที่ต้องทำกิจกรรมเดิมๆซ้ำทุกวัน เล่นของเล่นชิ้นเดิม หรือต้องอยู่ตัวเดียวทั้งวัน ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ก็เกิดอาการเบื่อได้เช่นกัน



   ทำไมการสังเกตุ “อาการเบื่อ” จึงสำคัญสำหรับผู้ที่เลี้ยงน้องแมว เพราะว่าถ้าเราปล่อยให้น้องแมวมีอาการเบื่อต่อเนื่องนานๆอาจจะนำไปสู่อาการเครียดได้ และอาการเครียดนั้นอาจจะส่งผลต่อสุขภาพตามมาได้ เช่น อาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันตก ป่วยง่าย เป็นหวัดเรื้อรัง หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสาว มีอาการปัสสาวะลำบาก หรือบางตัวเกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน ถ้ามีปล่อยให้น้องแมวอ้วนมากเกินไปก็อาจจะนำไปสู่โรคเบาหวาน หรือโรคตับ โรคไตไวกว่าที่ควรจะเป็นได้

อาการที่ 1 เลียขนบ่อยขึ้นกว่าปกติ

   น้องแมวที่เลียขนบ่อยกว่าปกติ หรือวันๆเอาแต่เลียขน ไม่ทำอย่างอื่นๆ จนบางครั้งถีงขั้นกัดแทะจนขนบริเวณนั้นหายไป ถ้ามั่นใจว่าไม่ใช่การติดเชื้อที่ผิวหนัง แต่เป็นปัญหาพฤติกรรม ก็แสดงว่าน้องแมวของคุณกำลังเบื่อสุดๆ การเลียขนมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหาก้อนขนอุดตันทางเดินอาหารตามมาได้

อาการที่ 2 เริ่มมีอาการก้าวร้าวกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ หรือกับเราเอง

   ถ้าน้องแมวที่บ้านเริ่มมีอาการก้าวร้าว ขู่ใส่น้องแมวตัวอื่นๆ หรือแม้กระทั่งกับสุนัข เป็นหนึ่งในอาการของความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากความเบื่อและกลายเป็นความเครียดสะสม ทำให้น้องแมวแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมานั่นเอง

อาการที่ 3 นอนทั้งวัน ไม่ทำอย่างอื่นๆเลย

   โดยทั่วไปน้องแมวจะนอนเฉลี่ยอยู่ที่ 16-18 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับแต่ละตัว แต่ถ้าน้องแมวเริ่มนอนทั้งวัน ไม่ขยับเปลี่ยนที่นอน ลุกเดินเฉพาะเวลาที่มากินอาหารเท่านั้น อาจจะเป็นสัญญาบ่งบอกว่า ในบ้านนี้ไม่มีอะไรให้เขาทำก็ได้

อาการที่ 4 กินมากกว่าปกติ

   น้องแมวที่สวาปามอาหารทุกเม็ด ร้องขอขนมทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถุงอาหาร การร้องขออาหารทั้งๆที่เขาไม่ได้หิว ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขามีอาการเบื่อ ก็เหมือนกันคนเราที่มักจะกินมากขึ้นเมื่ออยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำอะไร หากน้องแมวเริ่มมีน้ำหนักตัวเกิน เอวหายไป พุงเริ่มย้อย เจ้าของน้องแมวควรจะต้องคำนึงแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และควรแก้ไข

อาการที่ 5 ชวนเล่นก็ไม่เล่น ไม่สนใจของเล่นที่เคยสนใจ


   ถ้าน้องแมวเลิกสนใจของเล่น ไม่ยอมเล่นของเล่นชิ้นโปรดอีกแล้ว เป็นสัญญาณเตือนของความเบื่อขั้นสุดแล้ว ทาสแมวทั้งหลายต้องรีบเตรียมตัวจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านใหม่อย่างเร่งด่วน หรือพาน้องแมวออกไปเที่ยว สร้างกิจจกรรมหรือความท้าทายใหม่ๆให้กับเขา

   สังเกตุอาการเหล่านี้ แล้วอย่าลืมหาทางแก้ไข ปรับสภาพแวดล้อมเอาใจน้องแมว เพื่อให้เขาเป็นแมวที่มีความสุข และสุขภาพดี จะได้อยู่กับเราไปนานๆ   


1047
5 อาการที่บ่งบอกว่าน้องแมวเบื่อ กินมากไป เลียขนบ่อย อาจไม่ใช่เรื่องดี !

   “อาการเบื่อ” หมายถึงมีบางสิ่งบางอย่างที่เราอยากทำ แต่เราไม่ได้ทำหรือไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าคนเราเบื่อ เช่น ทำงานเดิมๆมาทั้งสัปดาห์ เกิดอาการเบื่องาน เพราะอาจจะอยากออกไปเที่ยวมากกว่า น้องแมวที่ต้องทำกิจกรรมเดิมๆซ้ำทุกวัน เล่นของเล่นชิ้นเดิม หรือต้องอยู่ตัวเดียวทั้งวัน ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ก็เกิดอาการเบื่อได้เช่นกัน



   ทำไมการสังเกตุ “อาการเบื่อ” จึงสำคัญสำหรับผู้ที่เลี้ยงน้องแมว เพราะว่าถ้าเราปล่อยให้น้องแมวมีอาการเบื่อต่อเนื่องนานๆอาจจะนำไปสู่อาการเครียดได้ และอาการเครียดนั้นอาจจะส่งผลต่อสุขภาพตามมาได้ เช่น อาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันตก ป่วยง่าย เป็นหวัดเรื้อรัง หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสาว มีอาการปัสสาวะลำบาก หรือบางตัวเกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน ถ้ามีปล่อยให้น้องแมวอ้วนมากเกินไปก็อาจจะนำไปสู่โรคเบาหวาน หรือโรคตับ โรคไตไวกว่าที่ควรจะเป็นได้

อาการที่ 1 เลียขนบ่อยขึ้นกว่าปกติ

   น้องแมวที่เลียขนบ่อยกว่าปกติ หรือวันๆเอาแต่เลียขน ไม่ทำอย่างอื่นๆ จนบางครั้งถีงขั้นกัดแทะจนขนบริเวณนั้นหายไป ถ้ามั่นใจว่าไม่ใช่การติดเชื้อที่ผิวหนัง แต่เป็นปัญหาพฤติกรรม ก็แสดงว่าน้องแมวของคุณกำลังเบื่อสุดๆ การเลียขนมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหาก้อนขนอุดตันทางเดินอาหารตามมาได้

อาการที่ 2 เริ่มมีอาการก้าวร้าวกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ หรือกับเราเอง

   ถ้าน้องแมวที่บ้านเริ่มมีอาการก้าวร้าว ขู่ใส่น้องแมวตัวอื่นๆ หรือแม้กระทั่งกับสุนัข เป็นหนึ่งในอาการของความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากความเบื่อและกลายเป็นความเครียดสะสม ทำให้น้องแมวแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมานั่นเอง

อาการที่ 3 นอนทั้งวัน ไม่ทำอย่างอื่นๆเลย

   โดยทั่วไปน้องแมวจะนอนเฉลี่ยอยู่ที่ 16-18 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับแต่ละตัว แต่ถ้าน้องแมวเริ่มนอนทั้งวัน ไม่ขยับเปลี่ยนที่นอน ลุกเดินเฉพาะเวลาที่มากินอาหารเท่านั้น อาจจะเป็นสัญญาบ่งบอกว่า ในบ้านนี้ไม่มีอะไรให้เขาทำก็ได้

อาการที่ 4 กินมากกว่าปกติ

   น้องแมวที่สวาปามอาหารทุกเม็ด ร้องขอขนมทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถุงอาหาร การร้องขออาหารทั้งๆที่เขาไม่ได้หิว ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขามีอาการเบื่อ ก็เหมือนกันคนเราที่มักจะกินมากขึ้นเมื่ออยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำอะไร หากน้องแมวเริ่มมีน้ำหนักตัวเกิน เอวหายไป พุงเริ่มย้อย เจ้าของน้องแมวควรจะต้องคำนึงแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และควรแก้ไข

อาการที่ 5 ชวนเล่นก็ไม่เล่น ไม่สนใจของเล่นที่เคยสนใจ


   ถ้าน้องแมวเลิกสนใจของเล่น ไม่ยอมเล่นของเล่นชิ้นโปรดอีกแล้ว เป็นสัญญาณเตือนของความเบื่อขั้นสุดแล้ว ทาสแมวทั้งหลายต้องรีบเตรียมตัวจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านใหม่อย่างเร่งด่วน หรือพาน้องแมวออกไปเที่ยว สร้างกิจจกรรมหรือความท้าทายใหม่ๆให้กับเขา

   สังเกตุอาการเหล่านี้ แล้วอย่าลืมหาทางแก้ไข ปรับสภาพแวดล้อมเอาใจน้องแมว เพื่อให้เขาเป็นแมวที่มีความสุข และสุขภาพดี จะได้อยู่กับเราไปนานๆ   


1048
5 อาการที่บ่งบอกว่าน้องแมวเบื่อ กินมากไป เลียขนบ่อย อาจไม่ใช่เรื่องดี !

   “อาการเบื่อ” หมายถึงมีบางสิ่งบางอย่างที่เราอยากทำ แต่เราไม่ได้ทำหรือไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าคนเราเบื่อ เช่น ทำงานเดิมๆมาทั้งสัปดาห์ เกิดอาการเบื่องาน เพราะอาจจะอยากออกไปเที่ยวมากกว่า น้องแมวที่ต้องทำกิจกรรมเดิมๆซ้ำทุกวัน เล่นของเล่นชิ้นเดิม หรือต้องอยู่ตัวเดียวทั้งวัน ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ก็เกิดอาการเบื่อได้เช่นกัน



   ทำไมการสังเกตุ “อาการเบื่อ” จึงสำคัญสำหรับผู้ที่เลี้ยงน้องแมว เพราะว่าถ้าเราปล่อยให้น้องแมวมีอาการเบื่อต่อเนื่องนานๆอาจจะนำไปสู่อาการเครียดได้ และอาการเครียดนั้นอาจจะส่งผลต่อสุขภาพตามมาได้ เช่น อาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันตก ป่วยง่าย เป็นหวัดเรื้อรัง หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสาว มีอาการปัสสาวะลำบาก หรือบางตัวเกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน ถ้ามีปล่อยให้น้องแมวอ้วนมากเกินไปก็อาจจะนำไปสู่โรคเบาหวาน หรือโรคตับ โรคไตไวกว่าที่ควรจะเป็นได้

อาการที่ 1 เลียขนบ่อยขึ้นกว่าปกติ

   น้องแมวที่เลียขนบ่อยกว่าปกติ หรือวันๆเอาแต่เลียขน ไม่ทำอย่างอื่นๆ จนบางครั้งถีงขั้นกัดแทะจนขนบริเวณนั้นหายไป ถ้ามั่นใจว่าไม่ใช่การติดเชื้อที่ผิวหนัง แต่เป็นปัญหาพฤติกรรม ก็แสดงว่าน้องแมวของคุณกำลังเบื่อสุดๆ การเลียขนมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหาก้อนขนอุดตันทางเดินอาหารตามมาได้

อาการที่ 2 เริ่มมีอาการก้าวร้าวกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ หรือกับเราเอง

   ถ้าน้องแมวที่บ้านเริ่มมีอาการก้าวร้าว ขู่ใส่น้องแมวตัวอื่นๆ หรือแม้กระทั่งกับสุนัข เป็นหนึ่งในอาการของความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากความเบื่อและกลายเป็นความเครียดสะสม ทำให้น้องแมวแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมานั่นเอง

อาการที่ 3 นอนทั้งวัน ไม่ทำอย่างอื่นๆเลย

   โดยทั่วไปน้องแมวจะนอนเฉลี่ยอยู่ที่ 16-18 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับแต่ละตัว แต่ถ้าน้องแมวเริ่มนอนทั้งวัน ไม่ขยับเปลี่ยนที่นอน ลุกเดินเฉพาะเวลาที่มากินอาหารเท่านั้น อาจจะเป็นสัญญาบ่งบอกว่า ในบ้านนี้ไม่มีอะไรให้เขาทำก็ได้

อาการที่ 4 กินมากกว่าปกติ

   น้องแมวที่สวาปามอาหารทุกเม็ด ร้องขอขนมทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถุงอาหาร การร้องขออาหารทั้งๆที่เขาไม่ได้หิว ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขามีอาการเบื่อ ก็เหมือนกันคนเราที่มักจะกินมากขึ้นเมื่ออยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำอะไร หากน้องแมวเริ่มมีน้ำหนักตัวเกิน เอวหายไป พุงเริ่มย้อย เจ้าของน้องแมวควรจะต้องคำนึงแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และควรแก้ไข

อาการที่ 5 ชวนเล่นก็ไม่เล่น ไม่สนใจของเล่นที่เคยสนใจ


   ถ้าน้องแมวเลิกสนใจของเล่น ไม่ยอมเล่นของเล่นชิ้นโปรดอีกแล้ว เป็นสัญญาณเตือนของความเบื่อขั้นสุดแล้ว ทาสแมวทั้งหลายต้องรีบเตรียมตัวจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านใหม่อย่างเร่งด่วน หรือพาน้องแมวออกไปเที่ยว สร้างกิจจกรรมหรือความท้าทายใหม่ๆให้กับเขา

   สังเกตุอาการเหล่านี้ แล้วอย่าลืมหาทางแก้ไข ปรับสภาพแวดล้อมเอาใจน้องแมว เพื่อให้เขาเป็นแมวที่มีความสุข และสุขภาพดี จะได้อยู่กับเราไปนานๆ   


1049
5 เคล็ดลับ ลดความเครียดให้กับน้องแมว

   น้องแมวที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวก็เกิดอาการเครียด เหงาๆ เบื่อๆได้เหมือนกัน ใครๆที่คิดว่าแมวเป็นสัตว์ที่สันโดษ ชอบอยู่คนเดียวอาจจะไม่ใช่เสมอไป น้องแมวทุกตัวต้องการการเล่น การปลดปล่อยพลังงาน แมวก็อยากหาอะไรทำตามประสาแมวๆเช่นกัน
หากน้องแมวที่บ้านไหนแสดงอาการ ฉี่ไม่เป็นที่ จากที่เคยฉี่ในกระบะทราย ก็ออกมาฉี่ทั่วไปตามผนังหรือชั้นวางของ โดยที่ไม่ใช่อาการป่วย หรือถ้าน้องแมวบ้านไหน ที่แอบกัดแทะสิ่งของตั้งแต่บนชั้นวางของในห้องนั่งเล่น ไปจนถึงกระดาษชำระในห้องน้ำแล้วล่ะก็ น้องแมวของเราอาจจะกำลังส่งสัญญาณเรียกร้องว่าเขาเครียด หรือเบื่ออยู่ก็ได้ มาลองดู 5 วิธีลดความเครียด สร้างสีสันให้กับชีวิตเหมียวๆกันเถอะ !



เคล็ดลับที่ 1 เปิดหน้าต่างภายในบ้าน เปิดรับอากาศ และเสียงนกร้อง !

   น้องแมวเป็นสัตว์ที่มีความเป็นสัตว์ป่าอยู่ในตัวไม่น้อย น้องแมวจะมีความสุขกับการมองดูต้นไม้พัดไหว ฟังเสียงนกร้องในตอนเช้า มองการเคลื่อนไหวของนก หรือแม้กระทั่งมองดูน้ำตกจำลองเล็กๆนอกบ้าน ลองเปิดหน้าต่าง และจัดมุมสบายๆให้น้องแมวได้มองธรรมชาติภายนอก รับรองว่าเจ้าเหมียวจะนั่งติดจอเหมือนพวกเราที่ติดซีรีย์เน็ตฟลิกซ์กันเลยทีเดียว แต่ต้องมั่นใจว่าหน้าต่างของเราแน่นหนาเพียงพอที่จะไม่เกิดอันตรายหากน้องแมวปีนป่ายขึ้นไป

เคล็ดลับที่ 2 ลองเปลี่ยนชามน้ำธรรมดาที่บ้าน ให้กลายเป็นน้ำพุสำหรับแมว !

   น้องแมวชอบกินน้ำที่สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แม้กระทั่งกลิ่นคลอรีนก็อาจจะทำให้น้องแมวเบือนหน้าหนีได้ ถ้าอยากเพิ่มความสุขเล็กๆให้กับเจ้าเหมียวของเรา ลองเปลี่ยนชามน้ำธรรมดาเป็นน้ำพุ หรือน้ำตกสำหรับแมว แล้วลองสังเกตุการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินน้ำของเจ้าแมวดู รับรองว่าน้องแมวจะวนเวียนกินน้ำมากขึ้น มีความสุขกว่าเดิมแน่นอน

เคล็ดลับที่ 3 เพิ่มที่นอนสงบๆ มุมสูงภายในบ้าน เปลี่ยนที่นอนดูบ้างก็แก้เบื่อได้ !

   น้องแมวชอบนอนที่สูงๆ เพราะเขามีความเป็นสัตว์นักล่าภายในตัว การได้นอนมองเหยื่อ หรือมองสิ่งแวดล้อมจากมุมสูงเป็นอะไรที่ทำให้น้องแมวรู้สึกปลอดภัย และมีความสุขมากขึ้น เริ่มจากการวางกล่องกระดาษธรรมดาไว้ที่หลังตู้หนังสือ หรือทำขั้นบันไดให้น้องแมวได้เดินขึ้นไปสูงๆรอบบ้านดูก็ได้

เคล็ดลับที่ 4 เพิ่มมุมสีเขียวในบ้าน เท่ากับเพิ่มความสุขให้กับน้องแมว !

   อย่างที่ได้บอกไปว่าน้องแมวชอบการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ลองเพิ่มพื้นที่สีเขียว มุมต้นไม้ภายในบ้าน อาจจะเพิ่มต้นไม้บริเวณใกล้ๆกับกระบะทรายของน้องแมว หรือบริเวณใกล้ๆกับที่นอนน้องแมวก็ได้

เคล็ดลับที่ 5 ลองเปิดสารคดีสัตว์โลก สารคดีนก หรือเปิดเสียงธรรมชาติ !

   ถ้าบ้านไหนอยู่ในเมือง จะหาเปิดหน้าต่างให้ดูนก ดูต้นไม้ก็อาจจะยากเกินไป ลองเปิดทีวี โดยเปิดเป็นสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่า สารคดีนก หรือใต้ทะเลให้กับน้องแมว น้องแมวบางตัวก็ดูเพลินกันเป็นชั่วโมงทีเดียว หรืออาจจะเปิดคลอเสียงธรรมชาติ เสียงน้ำตก หรือเสียงนกร้องในป่า แต่ไม่ควรเปิดเสียงดังเกินไป อาจจะเปิดคลอเบาๆไว้ให้น้องแมว เวลาทีเราไม่อยู่บ้านก็ได้





1050
5 เคล็ดลับ ลดความเครียดให้กับน้องแมว

   น้องแมวที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวก็เกิดอาการเครียด เหงาๆ เบื่อๆได้เหมือนกัน ใครๆที่คิดว่าแมวเป็นสัตว์ที่สันโดษ ชอบอยู่คนเดียวอาจจะไม่ใช่เสมอไป น้องแมวทุกตัวต้องการการเล่น การปลดปล่อยพลังงาน แมวก็อยากหาอะไรทำตามประสาแมวๆเช่นกัน
หากน้องแมวที่บ้านไหนแสดงอาการ ฉี่ไม่เป็นที่ จากที่เคยฉี่ในกระบะทราย ก็ออกมาฉี่ทั่วไปตามผนังหรือชั้นวางของ โดยที่ไม่ใช่อาการป่วย หรือถ้าน้องแมวบ้านไหน ที่แอบกัดแทะสิ่งของตั้งแต่บนชั้นวางของในห้องนั่งเล่น ไปจนถึงกระดาษชำระในห้องน้ำแล้วล่ะก็ น้องแมวของเราอาจจะกำลังส่งสัญญาณเรียกร้องว่าเขาเครียด หรือเบื่ออยู่ก็ได้ มาลองดู 5 วิธีลดความเครียด สร้างสีสันให้กับชีวิตเหมียวๆกันเถอะ !



เคล็ดลับที่ 1 เปิดหน้าต่างภายในบ้าน เปิดรับอากาศ และเสียงนกร้อง !

   น้องแมวเป็นสัตว์ที่มีความเป็นสัตว์ป่าอยู่ในตัวไม่น้อย น้องแมวจะมีความสุขกับการมองดูต้นไม้พัดไหว ฟังเสียงนกร้องในตอนเช้า มองการเคลื่อนไหวของนก หรือแม้กระทั่งมองดูน้ำตกจำลองเล็กๆนอกบ้าน ลองเปิดหน้าต่าง และจัดมุมสบายๆให้น้องแมวได้มองธรรมชาติภายนอก รับรองว่าเจ้าเหมียวจะนั่งติดจอเหมือนพวกเราที่ติดซีรีย์เน็ตฟลิกซ์กันเลยทีเดียว แต่ต้องมั่นใจว่าหน้าต่างของเราแน่นหนาเพียงพอที่จะไม่เกิดอันตรายหากน้องแมวปีนป่ายขึ้นไป

เคล็ดลับที่ 2 ลองเปลี่ยนชามน้ำธรรมดาที่บ้าน ให้กลายเป็นน้ำพุสำหรับแมว !

   น้องแมวชอบกินน้ำที่สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แม้กระทั่งกลิ่นคลอรีนก็อาจจะทำให้น้องแมวเบือนหน้าหนีได้ ถ้าอยากเพิ่มความสุขเล็กๆให้กับเจ้าเหมียวของเรา ลองเปลี่ยนชามน้ำธรรมดาเป็นน้ำพุ หรือน้ำตกสำหรับแมว แล้วลองสังเกตุการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินน้ำของเจ้าแมวดู รับรองว่าน้องแมวจะวนเวียนกินน้ำมากขึ้น มีความสุขกว่าเดิมแน่นอน

เคล็ดลับที่ 3 เพิ่มที่นอนสงบๆ มุมสูงภายในบ้าน เปลี่ยนที่นอนดูบ้างก็แก้เบื่อได้ !

   น้องแมวชอบนอนที่สูงๆ เพราะเขามีความเป็นสัตว์นักล่าภายในตัว การได้นอนมองเหยื่อ หรือมองสิ่งแวดล้อมจากมุมสูงเป็นอะไรที่ทำให้น้องแมวรู้สึกปลอดภัย และมีความสุขมากขึ้น เริ่มจากการวางกล่องกระดาษธรรมดาไว้ที่หลังตู้หนังสือ หรือทำขั้นบันไดให้น้องแมวได้เดินขึ้นไปสูงๆรอบบ้านดูก็ได้

เคล็ดลับที่ 4 เพิ่มมุมสีเขียวในบ้าน เท่ากับเพิ่มความสุขให้กับน้องแมว !

   อย่างที่ได้บอกไปว่าน้องแมวชอบการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ลองเพิ่มพื้นที่สีเขียว มุมต้นไม้ภายในบ้าน อาจจะเพิ่มต้นไม้บริเวณใกล้ๆกับกระบะทรายของน้องแมว หรือบริเวณใกล้ๆกับที่นอนน้องแมวก็ได้

เคล็ดลับที่ 5 ลองเปิดสารคดีสัตว์โลก สารคดีนก หรือเปิดเสียงธรรมชาติ !

   ถ้าบ้านไหนอยู่ในเมือง จะหาเปิดหน้าต่างให้ดูนก ดูต้นไม้ก็อาจจะยากเกินไป ลองเปิดทีวี โดยเปิดเป็นสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่า สารคดีนก หรือใต้ทะเลให้กับน้องแมว น้องแมวบางตัวก็ดูเพลินกันเป็นชั่วโมงทีเดียว หรืออาจจะเปิดคลอเสียงธรรมชาติ เสียงน้ำตก หรือเสียงนกร้องในป่า แต่ไม่ควรเปิดเสียงดังเกินไป อาจจะเปิดคลอเบาๆไว้ให้น้องแมว เวลาทีเราไม่อยู่บ้านก็ได้