แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายหมา

1021
DO & DON’T เคล็ดลับพาน้องหมาไปหาคุณหมอ

      การดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นสุนัขและแมว หรือแม้กระทั้งสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ คงหลีกเลี่ยงการพาเด็กๆไปพบสัตวแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพาน้องไปฉีดวัคซีน ถ่ายพยาธิ หรือรักษาอาการเจ็บป่วย หรือการตรวจสุขภาพทั่วไป ถ้าน้องหมาจะต้องกลัวและตื่นตระหนกทุกครั้งในการที่จะต้องเดินทางไปโรงพยาบาลคงจะไม่ดีแน่ๆ วันนี้ขอแนะนำเคล็ดไม่ลับ ที่จะช่วยลดความเครียด และสร้างแรงกระตุ้นที่ดีให้กับน้องหมาของเรากัน



DO   ก้าวแรก เป็นสิ่งสำคัญ! ในช่วงวัยที่ลูกสุนัขกำลังเรียนรู้การเข้าสังคมและสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ประมาณ 2 เดือนจนถึง 1 ปี ต้องฝึกให้น้องหมาได้ไปเจอสถานะการณ์หรือสถานที่ที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน และไม่กลัวการไปพบคุณหมอ

DON’T   เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าพาออกไปไหน ถ้าลูกสุนัขทำวัคซีนเรียบร้อยและมั่นใจว่าสุขภาพแข็งแรงดี ก็ไม่ควรให้เขาอยู่ตัวเดียวในบ้าน

DO   พกขนมและให้เป็นรางวัลเมื่อเขาทำพฤติกรรมที่ดี เช่น เมื่อเขาสามารถนั่งรอหรืออยู่เฉยๆขณะชั่งน้ำหนักได้ เมื่อพบคุณหมอแล้วยอมให้คุณหมอตรวจร่างกายและเลือด

DON’T    งดให้อาหารมื้อใหญ่ก่อนการเดินทาง เพราะเวลาที่น้องหมานั่งรถอาจจะเกิดอาการเมารถและอาเจียนตามมาได้

DO   นัดหมายคุณหมอล่วงหน้าก่อนพาไป จะได้ไม่รอนาน พยายามลดระยะเวลาการนั่งรอตรวจให้น้อยที่สุด เพื่อให้ลดอาการวิตกกังวล

DON’T   เจ้าของไม่ควรเป็นง่ายวิตกกังวลเสียเอง ไม่ควรตระหนกตกใจ หรือสร้างอารมณ์เชิงลบในขณะที่พบคุณหมอ เพราะน้องหมาจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้าของได้ด้วย ควรให้พื้นที่กับคุณหมอได้ทำงาน เพื่อให้การตรวจสำเร็จอย่างเร็วที่สุด

DO   พาน้องหมาไปเที่ยวที่อื่นบ้าง พาไปนั่งรถเล่น พาไปสวนสาธารณะ หรือวิ่งเล่นในที่แปลกๆใหม่ที่เต็มไปด้วยความสนุก อย่าสร้างภาพจำให้กับเขาว่าการนั่งรถคือการไปพบคุณหมอ

DON’T   หลีกเลี่ยงการพาน้องหมาไปหาคุณหมอเฉพาะเวลาที่ป่วย หาสัตวแพทย์ที่ใช่ โดนใจเจ้าของ และถูกใจน้องหมา ควรเป็นสถานที่ที่เป็น Dog Friendly สุนัขจะได้เชื่อมโยงโรงพยาบาลกับความรู้สึกดีๆ

DO   ให้ขนมหรือาหารเสริมที่มีส่วนประกอบสารช่วยลดความเครียด (Calming Supplement) โดยให้ก่อนการเดินทางประมาณ 30 นาที โดยมากสามารถช่วยให้สุนัขสงบได้ต่อเนื่องถึง 4 ชั่วโมงหลังกิน

DON’T   อย่าพาน้องหมาไปหาคุณหมอโดยปราศจากสายจูง หรือตะกร้า ควรมั่นใจเสมอว่าสุนัขของเราอยู่ในสายจูงอย่างปลอดภัย เพราะน้องหมาบางตัวที่ตื่นตกใจมากๆ อาจจะวิ่งเตลิดออกจากโรงพยาบาลและเกิดอุบัติเหตุได้


แหล่งที่มา

https://www.vetriscience.com/blog/2017/11/5-tips-for-reducing-your-dogs-stress-during-vet-visits/



1022
DO & DON’T เคล็ดลับพาน้องหมาไปหาคุณหมอ

      การดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นสุนัขและแมว หรือแม้กระทั้งสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ คงหลีกเลี่ยงการพาเด็กๆไปพบสัตวแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพาน้องไปฉีดวัคซีน ถ่ายพยาธิ หรือรักษาอาการเจ็บป่วย หรือการตรวจสุขภาพทั่วไป ถ้าน้องหมาจะต้องกลัวและตื่นตระหนกทุกครั้งในการที่จะต้องเดินทางไปโรงพยาบาลคงจะไม่ดีแน่ๆ วันนี้ขอแนะนำเคล็ดไม่ลับ ที่จะช่วยลดความเครียด และสร้างแรงกระตุ้นที่ดีให้กับน้องหมาของเรากัน



DO   ก้าวแรก เป็นสิ่งสำคัญ! ในช่วงวัยที่ลูกสุนัขกำลังเรียนรู้การเข้าสังคมและสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ประมาณ 2 เดือนจนถึง 1 ปี ต้องฝึกให้น้องหมาได้ไปเจอสถานะการณ์หรือสถานที่ที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน และไม่กลัวการไปพบคุณหมอ

DON’T   เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าพาออกไปไหน ถ้าลูกสุนัขทำวัคซีนเรียบร้อยและมั่นใจว่าสุขภาพแข็งแรงดี ก็ไม่ควรให้เขาอยู่ตัวเดียวในบ้าน

DO   พกขนมและให้เป็นรางวัลเมื่อเขาทำพฤติกรรมที่ดี เช่น เมื่อเขาสามารถนั่งรอหรืออยู่เฉยๆขณะชั่งน้ำหนักได้ เมื่อพบคุณหมอแล้วยอมให้คุณหมอตรวจร่างกายและเลือด

DON’T    งดให้อาหารมื้อใหญ่ก่อนการเดินทาง เพราะเวลาที่น้องหมานั่งรถอาจจะเกิดอาการเมารถและอาเจียนตามมาได้

DO   นัดหมายคุณหมอล่วงหน้าก่อนพาไป จะได้ไม่รอนาน พยายามลดระยะเวลาการนั่งรอตรวจให้น้อยที่สุด เพื่อให้ลดอาการวิตกกังวล

DON’T   เจ้าของไม่ควรเป็นง่ายวิตกกังวลเสียเอง ไม่ควรตระหนกตกใจ หรือสร้างอารมณ์เชิงลบในขณะที่พบคุณหมอ เพราะน้องหมาจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้าของได้ด้วย ควรให้พื้นที่กับคุณหมอได้ทำงาน เพื่อให้การตรวจสำเร็จอย่างเร็วที่สุด

DO   พาน้องหมาไปเที่ยวที่อื่นบ้าง พาไปนั่งรถเล่น พาไปสวนสาธารณะ หรือวิ่งเล่นในที่แปลกๆใหม่ที่เต็มไปด้วยความสนุก อย่าสร้างภาพจำให้กับเขาว่าการนั่งรถคือการไปพบคุณหมอ

DON’T   หลีกเลี่ยงการพาน้องหมาไปหาคุณหมอเฉพาะเวลาที่ป่วย หาสัตวแพทย์ที่ใช่ โดนใจเจ้าของ และถูกใจน้องหมา ควรเป็นสถานที่ที่เป็น Dog Friendly สุนัขจะได้เชื่อมโยงโรงพยาบาลกับความรู้สึกดีๆ

DO   ให้ขนมหรือาหารเสริมที่มีส่วนประกอบสารช่วยลดความเครียด (Calming Supplement) โดยให้ก่อนการเดินทางประมาณ 30 นาที โดยมากสามารถช่วยให้สุนัขสงบได้ต่อเนื่องถึง 4 ชั่วโมงหลังกิน

DON’T   อย่าพาน้องหมาไปหาคุณหมอโดยปราศจากสายจูง หรือตะกร้า ควรมั่นใจเสมอว่าสุนัขของเราอยู่ในสายจูงอย่างปลอดภัย เพราะน้องหมาบางตัวที่ตื่นตกใจมากๆ อาจจะวิ่งเตลิดออกจากโรงพยาบาลและเกิดอุบัติเหตุได้


แหล่งที่มา

https://www.vetriscience.com/blog/2017/11/5-tips-for-reducing-your-dogs-stress-during-vet-visits/



1023
DO & DON’T เคล็ดลับพาน้องหมาไปหาคุณหมอ

      การดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นสุนัขและแมว หรือแม้กระทั้งสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ คงหลีกเลี่ยงการพาเด็กๆไปพบสัตวแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพาน้องไปฉีดวัคซีน ถ่ายพยาธิ หรือรักษาอาการเจ็บป่วย หรือการตรวจสุขภาพทั่วไป ถ้าน้องหมาจะต้องกลัวและตื่นตระหนกทุกครั้งในการที่จะต้องเดินทางไปโรงพยาบาลคงจะไม่ดีแน่ๆ วันนี้ขอแนะนำเคล็ดไม่ลับ ที่จะช่วยลดความเครียด และสร้างแรงกระตุ้นที่ดีให้กับน้องหมาของเรากัน



DO   ก้าวแรก เป็นสิ่งสำคัญ! ในช่วงวัยที่ลูกสุนัขกำลังเรียนรู้การเข้าสังคมและสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ประมาณ 2 เดือนจนถึง 1 ปี ต้องฝึกให้น้องหมาได้ไปเจอสถานะการณ์หรือสถานที่ที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน และไม่กลัวการไปพบคุณหมอ

DON’T   เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าพาออกไปไหน ถ้าลูกสุนัขทำวัคซีนเรียบร้อยและมั่นใจว่าสุขภาพแข็งแรงดี ก็ไม่ควรให้เขาอยู่ตัวเดียวในบ้าน

DO   พกขนมและให้เป็นรางวัลเมื่อเขาทำพฤติกรรมที่ดี เช่น เมื่อเขาสามารถนั่งรอหรืออยู่เฉยๆขณะชั่งน้ำหนักได้ เมื่อพบคุณหมอแล้วยอมให้คุณหมอตรวจร่างกายและเลือด

DON’T    งดให้อาหารมื้อใหญ่ก่อนการเดินทาง เพราะเวลาที่น้องหมานั่งรถอาจจะเกิดอาการเมารถและอาเจียนตามมาได้

DO   นัดหมายคุณหมอล่วงหน้าก่อนพาไป จะได้ไม่รอนาน พยายามลดระยะเวลาการนั่งรอตรวจให้น้อยที่สุด เพื่อให้ลดอาการวิตกกังวล

DON’T   เจ้าของไม่ควรเป็นง่ายวิตกกังวลเสียเอง ไม่ควรตระหนกตกใจ หรือสร้างอารมณ์เชิงลบในขณะที่พบคุณหมอ เพราะน้องหมาจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้าของได้ด้วย ควรให้พื้นที่กับคุณหมอได้ทำงาน เพื่อให้การตรวจสำเร็จอย่างเร็วที่สุด

DO   พาน้องหมาไปเที่ยวที่อื่นบ้าง พาไปนั่งรถเล่น พาไปสวนสาธารณะ หรือวิ่งเล่นในที่แปลกๆใหม่ที่เต็มไปด้วยความสนุก อย่าสร้างภาพจำให้กับเขาว่าการนั่งรถคือการไปพบคุณหมอ

DON’T   หลีกเลี่ยงการพาน้องหมาไปหาคุณหมอเฉพาะเวลาที่ป่วย หาสัตวแพทย์ที่ใช่ โดนใจเจ้าของ และถูกใจน้องหมา ควรเป็นสถานที่ที่เป็น Dog Friendly สุนัขจะได้เชื่อมโยงโรงพยาบาลกับความรู้สึกดีๆ

DO   ให้ขนมหรือาหารเสริมที่มีส่วนประกอบสารช่วยลดความเครียด (Calming Supplement) โดยให้ก่อนการเดินทางประมาณ 30 นาที โดยมากสามารถช่วยให้สุนัขสงบได้ต่อเนื่องถึง 4 ชั่วโมงหลังกิน

DON’T   อย่าพาน้องหมาไปหาคุณหมอโดยปราศจากสายจูง หรือตะกร้า ควรมั่นใจเสมอว่าสุนัขของเราอยู่ในสายจูงอย่างปลอดภัย เพราะน้องหมาบางตัวที่ตื่นตกใจมากๆ อาจจะวิ่งเตลิดออกจากโรงพยาบาลและเกิดอุบัติเหตุได้


แหล่งที่มา

https://www.vetriscience.com/blog/2017/11/5-tips-for-reducing-your-dogs-stress-during-vet-visits/



1024
DO & DON’T เคล็ดลับพาน้องหมาไปหาคุณหมอ

      การดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นสุนัขและแมว หรือแม้กระทั้งสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ คงหลีกเลี่ยงการพาเด็กๆไปพบสัตวแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพาน้องไปฉีดวัคซีน ถ่ายพยาธิ หรือรักษาอาการเจ็บป่วย หรือการตรวจสุขภาพทั่วไป ถ้าน้องหมาจะต้องกลัวและตื่นตระหนกทุกครั้งในการที่จะต้องเดินทางไปโรงพยาบาลคงจะไม่ดีแน่ๆ วันนี้ขอแนะนำเคล็ดไม่ลับ ที่จะช่วยลดความเครียด และสร้างแรงกระตุ้นที่ดีให้กับน้องหมาของเรากัน



DO   ก้าวแรก เป็นสิ่งสำคัญ! ในช่วงวัยที่ลูกสุนัขกำลังเรียนรู้การเข้าสังคมและสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ประมาณ 2 เดือนจนถึง 1 ปี ต้องฝึกให้น้องหมาได้ไปเจอสถานะการณ์หรือสถานที่ที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน และไม่กลัวการไปพบคุณหมอ

DON’T   เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าพาออกไปไหน ถ้าลูกสุนัขทำวัคซีนเรียบร้อยและมั่นใจว่าสุขภาพแข็งแรงดี ก็ไม่ควรให้เขาอยู่ตัวเดียวในบ้าน

DO   พกขนมและให้เป็นรางวัลเมื่อเขาทำพฤติกรรมที่ดี เช่น เมื่อเขาสามารถนั่งรอหรืออยู่เฉยๆขณะชั่งน้ำหนักได้ เมื่อพบคุณหมอแล้วยอมให้คุณหมอตรวจร่างกายและเลือด

DON’T    งดให้อาหารมื้อใหญ่ก่อนการเดินทาง เพราะเวลาที่น้องหมานั่งรถอาจจะเกิดอาการเมารถและอาเจียนตามมาได้

DO   นัดหมายคุณหมอล่วงหน้าก่อนพาไป จะได้ไม่รอนาน พยายามลดระยะเวลาการนั่งรอตรวจให้น้อยที่สุด เพื่อให้ลดอาการวิตกกังวล

DON’T   เจ้าของไม่ควรเป็นง่ายวิตกกังวลเสียเอง ไม่ควรตระหนกตกใจ หรือสร้างอารมณ์เชิงลบในขณะที่พบคุณหมอ เพราะน้องหมาจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้าของได้ด้วย ควรให้พื้นที่กับคุณหมอได้ทำงาน เพื่อให้การตรวจสำเร็จอย่างเร็วที่สุด

DO   พาน้องหมาไปเที่ยวที่อื่นบ้าง พาไปนั่งรถเล่น พาไปสวนสาธารณะ หรือวิ่งเล่นในที่แปลกๆใหม่ที่เต็มไปด้วยความสนุก อย่าสร้างภาพจำให้กับเขาว่าการนั่งรถคือการไปพบคุณหมอ

DON’T   หลีกเลี่ยงการพาน้องหมาไปหาคุณหมอเฉพาะเวลาที่ป่วย หาสัตวแพทย์ที่ใช่ โดนใจเจ้าของ และถูกใจน้องหมา ควรเป็นสถานที่ที่เป็น Dog Friendly สุนัขจะได้เชื่อมโยงโรงพยาบาลกับความรู้สึกดีๆ

DO   ให้ขนมหรือาหารเสริมที่มีส่วนประกอบสารช่วยลดความเครียด (Calming Supplement) โดยให้ก่อนการเดินทางประมาณ 30 นาที โดยมากสามารถช่วยให้สุนัขสงบได้ต่อเนื่องถึง 4 ชั่วโมงหลังกิน

DON’T   อย่าพาน้องหมาไปหาคุณหมอโดยปราศจากสายจูง หรือตะกร้า ควรมั่นใจเสมอว่าสุนัขของเราอยู่ในสายจูงอย่างปลอดภัย เพราะน้องหมาบางตัวที่ตื่นตกใจมากๆ อาจจะวิ่งเตลิดออกจากโรงพยาบาลและเกิดอุบัติเหตุได้


แหล่งที่มา

https://www.vetriscience.com/blog/2017/11/5-tips-for-reducing-your-dogs-stress-during-vet-visits/



1025
การดูแลลูกแมวแรกเกิด จนอายุ 1 ปี นอกจากอาหาร ลูกแมวต้องการอะไรอีกนะ ?

   ปัจจุบันคนเริ่มหันมาเลี้ยงน้องแมวกันมากขึ้น ด้วยความที่น้องแมวตัวไม่ใหญ่ ไม่ได้ต้องการพื้นที่ในการเลี้ยงเท่าน้องหมา เหมาะกับครอบครัวในเมือง เลี้ยงในคอนโด นอกจากนั้นยังมีทาสแมวจำนวนมากที่หลวมตัวมาเลี้ยงน้องแมวโดยบังเอิญจากการที่มีแม่แมวมาคลอดใกล้ๆบ้าน หรืออาจจะบังเอิญไปช่วยลูกแมวแรกเกิดมา น้องแมวแต่ละช่วงอายุมีความต้องการที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะพูดถึงการเลี้ยงดูน้องแมวแรกที่ทาสแมวมือใหม่จำเป็นต้องรู้



การดูแลอุณหภูมิให้เหมาะสม

   ลูกแมวแรกเกิดจะยังมีระบบการควบคุมอุณหภูมิของเรากายได้ไม่ดีเหมือนแมวที่โตแล้ว ถ้าลูกแมวแรกเกิดถูกเลี้ยงโดยแม่แมวก็จะได้รับความอบอุ่นจากแม่แมว แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลลูกแมวแรกเกิดเอง เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องดูแลสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่ให้เย็นเกินไป ควรเลี้ยงน้องในที่ที่มีอากาศถ่ายเท แต่ต้องไม่มีลมโกรก โดยเพิ่มความอบอุ่นด้วยกระเป๋าน้ำร้อนรองด้วยผ้าเช็ดตัว หรือใช้ไฟกกลูกสัตว์ หรือหลอดไฟทั่วไปแต่ควรเป็นหลอดไฟที่ให้ความร้อนได้ โดยควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 100 – 103 ฟาเรนต์ไฮต์ (หรือ 38-39 เซลเซียส) แนะนำให้กกไฟลูกแมวตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 6 สัปดาห์ เมื่อน้องแมวอายุมากขึ้น เราอาจจะเพิ่มขนาดกรงเลี้ยง โดยแบ่งให้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีความอบอุ่น น้องแมวจะเลือกนอนในบริเวณที่รู้สึกอบอุ่นสบายตัวได้

การให้อาหารลูกแมว

   นมที่ให้ลูกแมวจำเป็นต้องเป็นนมสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ ถ้าไม่สามารถหาได้อาจจะใช้นมแพะได้ ห้ามให้ลูกแมวกินนมวัวเนื่องจากจะไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวได้ และอาจจะทำให้ท้องอืดหรือถ่ายเหลว หากใช้นมผงควรผสมครั้งต่อครั้งเพื่อไม่ให้เสียง่าย โดยผสมในอัตราส่วนตามข้อแนะนำของผลิตภัณฑ์ ไม่ควรผสมทิ้งไว้เนื่องจากนมอาจจะบูดได้ง่าย สำหรับปริมาณการให้นมนั้นจะแปรผันตามน้ำหนักตัว ปริมาณการให้นมที่เหมาะสมคือประมาณ 30 มิลลิลิตร (หรือ 2 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำหนักตัว 113 กรัม โดยแบ่งให้ตลอดทั้งวัน ถ้าลูกแมวอายุน้อยกว่า 2 สัปดาห์ ควรแบ่งปริมาณนมให้กินทุกๆ 2 ชั่วโมง และหากอายุมากขึ้น สามารถให้นมในระยะเวลาที่ห่างขึ้นได้ ประมาณทุก 3 – 4 ชั่วโมง ถ้าลูกแมวได้รับปริมาณอาหารเหมาะสมควรจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นวันละ 14 กรัม หรือ ประมาณ 113 กรัมต่อสัปดาห์

การดูแลการขับถ่าย

   โดยทั่วไปแม่แมวจะคอยเลียขนทำความสะอาด รวมทั้งคอยเลียบริเวณอวัยวะเพศเหมือนเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย แต่ถ้าเราต้องเลี้ยงดูน้องแมวเองแนะนำให้เลียนแบบพฤติกรรมนี้โดยการใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณอวัยเพศเพื่อให้เกิดการขับถ่ายทุกครั้งที่ป้อนนม เพื่อให้ลูกแมวขับถ่ายได้ปกติ ป้องกันการท้องอืด ปวดท้อง ซึ่งโดยมากแล้วลูกแมวจะปัสสาวะและอุจาระบ่อย อาจจะมีลักษณะนิ่มกว่าอุจาระทั่วไปเนื่องจากกินนมเป็นอาหาร

แหล่งที่มา
https://www.uwsheltermedicine.com/library/guidebooks/guide-to-raising-underage-kittens/caring-for-kittens-from-birth-to-eight-weeks

1026
การดูแลลูกแมวแรกเกิด จนอายุ 1 ปี นอกจากอาหาร ลูกแมวต้องการอะไรอีกนะ ?

   ปัจจุบันคนเริ่มหันมาเลี้ยงน้องแมวกันมากขึ้น ด้วยความที่น้องแมวตัวไม่ใหญ่ ไม่ได้ต้องการพื้นที่ในการเลี้ยงเท่าน้องหมา เหมาะกับครอบครัวในเมือง เลี้ยงในคอนโด นอกจากนั้นยังมีทาสแมวจำนวนมากที่หลวมตัวมาเลี้ยงน้องแมวโดยบังเอิญจากการที่มีแม่แมวมาคลอดใกล้ๆบ้าน หรืออาจจะบังเอิญไปช่วยลูกแมวแรกเกิดมา น้องแมวแต่ละช่วงอายุมีความต้องการที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะพูดถึงการเลี้ยงดูน้องแมวแรกที่ทาสแมวมือใหม่จำเป็นต้องรู้



การดูแลอุณหภูมิให้เหมาะสม

   ลูกแมวแรกเกิดจะยังมีระบบการควบคุมอุณหภูมิของเรากายได้ไม่ดีเหมือนแมวที่โตแล้ว ถ้าลูกแมวแรกเกิดถูกเลี้ยงโดยแม่แมวก็จะได้รับความอบอุ่นจากแม่แมว แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลลูกแมวแรกเกิดเอง เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องดูแลสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่ให้เย็นเกินไป ควรเลี้ยงน้องในที่ที่มีอากาศถ่ายเท แต่ต้องไม่มีลมโกรก โดยเพิ่มความอบอุ่นด้วยกระเป๋าน้ำร้อนรองด้วยผ้าเช็ดตัว หรือใช้ไฟกกลูกสัตว์ หรือหลอดไฟทั่วไปแต่ควรเป็นหลอดไฟที่ให้ความร้อนได้ โดยควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 100 – 103 ฟาเรนต์ไฮต์ (หรือ 38-39 เซลเซียส) แนะนำให้กกไฟลูกแมวตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 6 สัปดาห์ เมื่อน้องแมวอายุมากขึ้น เราอาจจะเพิ่มขนาดกรงเลี้ยง โดยแบ่งให้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีความอบอุ่น น้องแมวจะเลือกนอนในบริเวณที่รู้สึกอบอุ่นสบายตัวได้

การให้อาหารลูกแมว

   นมที่ให้ลูกแมวจำเป็นต้องเป็นนมสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ ถ้าไม่สามารถหาได้อาจจะใช้นมแพะได้ ห้ามให้ลูกแมวกินนมวัวเนื่องจากจะไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวได้ และอาจจะทำให้ท้องอืดหรือถ่ายเหลว หากใช้นมผงควรผสมครั้งต่อครั้งเพื่อไม่ให้เสียง่าย โดยผสมในอัตราส่วนตามข้อแนะนำของผลิตภัณฑ์ ไม่ควรผสมทิ้งไว้เนื่องจากนมอาจจะบูดได้ง่าย สำหรับปริมาณการให้นมนั้นจะแปรผันตามน้ำหนักตัว ปริมาณการให้นมที่เหมาะสมคือประมาณ 30 มิลลิลิตร (หรือ 2 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำหนักตัว 113 กรัม โดยแบ่งให้ตลอดทั้งวัน ถ้าลูกแมวอายุน้อยกว่า 2 สัปดาห์ ควรแบ่งปริมาณนมให้กินทุกๆ 2 ชั่วโมง และหากอายุมากขึ้น สามารถให้นมในระยะเวลาที่ห่างขึ้นได้ ประมาณทุก 3 – 4 ชั่วโมง ถ้าลูกแมวได้รับปริมาณอาหารเหมาะสมควรจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นวันละ 14 กรัม หรือ ประมาณ 113 กรัมต่อสัปดาห์

การดูแลการขับถ่าย

   โดยทั่วไปแม่แมวจะคอยเลียขนทำความสะอาด รวมทั้งคอยเลียบริเวณอวัยวะเพศเหมือนเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย แต่ถ้าเราต้องเลี้ยงดูน้องแมวเองแนะนำให้เลียนแบบพฤติกรรมนี้โดยการใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณอวัยเพศเพื่อให้เกิดการขับถ่ายทุกครั้งที่ป้อนนม เพื่อให้ลูกแมวขับถ่ายได้ปกติ ป้องกันการท้องอืด ปวดท้อง ซึ่งโดยมากแล้วลูกแมวจะปัสสาวะและอุจาระบ่อย อาจจะมีลักษณะนิ่มกว่าอุจาระทั่วไปเนื่องจากกินนมเป็นอาหาร

แหล่งที่มา
https://www.uwsheltermedicine.com/library/guidebooks/guide-to-raising-underage-kittens/caring-for-kittens-from-birth-to-eight-weeks

1027
การดูแลลูกแมวแรกเกิด จนอายุ 1 ปี นอกจากอาหาร ลูกแมวต้องการอะไรอีกนะ ?

   ปัจจุบันคนเริ่มหันมาเลี้ยงน้องแมวกันมากขึ้น ด้วยความที่น้องแมวตัวไม่ใหญ่ ไม่ได้ต้องการพื้นที่ในการเลี้ยงเท่าน้องหมา เหมาะกับครอบครัวในเมือง เลี้ยงในคอนโด นอกจากนั้นยังมีทาสแมวจำนวนมากที่หลวมตัวมาเลี้ยงน้องแมวโดยบังเอิญจากการที่มีแม่แมวมาคลอดใกล้ๆบ้าน หรืออาจจะบังเอิญไปช่วยลูกแมวแรกเกิดมา น้องแมวแต่ละช่วงอายุมีความต้องการที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะพูดถึงการเลี้ยงดูน้องแมวแรกที่ทาสแมวมือใหม่จำเป็นต้องรู้



การดูแลอุณหภูมิให้เหมาะสม

   ลูกแมวแรกเกิดจะยังมีระบบการควบคุมอุณหภูมิของเรากายได้ไม่ดีเหมือนแมวที่โตแล้ว ถ้าลูกแมวแรกเกิดถูกเลี้ยงโดยแม่แมวก็จะได้รับความอบอุ่นจากแม่แมว แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลลูกแมวแรกเกิดเอง เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องดูแลสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่ให้เย็นเกินไป ควรเลี้ยงน้องในที่ที่มีอากาศถ่ายเท แต่ต้องไม่มีลมโกรก โดยเพิ่มความอบอุ่นด้วยกระเป๋าน้ำร้อนรองด้วยผ้าเช็ดตัว หรือใช้ไฟกกลูกสัตว์ หรือหลอดไฟทั่วไปแต่ควรเป็นหลอดไฟที่ให้ความร้อนได้ โดยควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 100 – 103 ฟาเรนต์ไฮต์ (หรือ 38-39 เซลเซียส) แนะนำให้กกไฟลูกแมวตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 6 สัปดาห์ เมื่อน้องแมวอายุมากขึ้น เราอาจจะเพิ่มขนาดกรงเลี้ยง โดยแบ่งให้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีความอบอุ่น น้องแมวจะเลือกนอนในบริเวณที่รู้สึกอบอุ่นสบายตัวได้

การให้อาหารลูกแมว

   นมที่ให้ลูกแมวจำเป็นต้องเป็นนมสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ ถ้าไม่สามารถหาได้อาจจะใช้นมแพะได้ ห้ามให้ลูกแมวกินนมวัวเนื่องจากจะไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวได้ และอาจจะทำให้ท้องอืดหรือถ่ายเหลว หากใช้นมผงควรผสมครั้งต่อครั้งเพื่อไม่ให้เสียง่าย โดยผสมในอัตราส่วนตามข้อแนะนำของผลิตภัณฑ์ ไม่ควรผสมทิ้งไว้เนื่องจากนมอาจจะบูดได้ง่าย สำหรับปริมาณการให้นมนั้นจะแปรผันตามน้ำหนักตัว ปริมาณการให้นมที่เหมาะสมคือประมาณ 30 มิลลิลิตร (หรือ 2 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำหนักตัว 113 กรัม โดยแบ่งให้ตลอดทั้งวัน ถ้าลูกแมวอายุน้อยกว่า 2 สัปดาห์ ควรแบ่งปริมาณนมให้กินทุกๆ 2 ชั่วโมง และหากอายุมากขึ้น สามารถให้นมในระยะเวลาที่ห่างขึ้นได้ ประมาณทุก 3 – 4 ชั่วโมง ถ้าลูกแมวได้รับปริมาณอาหารเหมาะสมควรจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นวันละ 14 กรัม หรือ ประมาณ 113 กรัมต่อสัปดาห์

การดูแลการขับถ่าย

   โดยทั่วไปแม่แมวจะคอยเลียขนทำความสะอาด รวมทั้งคอยเลียบริเวณอวัยวะเพศเหมือนเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย แต่ถ้าเราต้องเลี้ยงดูน้องแมวเองแนะนำให้เลียนแบบพฤติกรรมนี้โดยการใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณอวัยเพศเพื่อให้เกิดการขับถ่ายทุกครั้งที่ป้อนนม เพื่อให้ลูกแมวขับถ่ายได้ปกติ ป้องกันการท้องอืด ปวดท้อง ซึ่งโดยมากแล้วลูกแมวจะปัสสาวะและอุจาระบ่อย อาจจะมีลักษณะนิ่มกว่าอุจาระทั่วไปเนื่องจากกินนมเป็นอาหาร

แหล่งที่มา
https://www.uwsheltermedicine.com/library/guidebooks/guide-to-raising-underage-kittens/caring-for-kittens-from-birth-to-eight-weeks

1028
การดูแลลูกแมวแรกเกิด จนอายุ 1 ปี นอกจากอาหาร ลูกแมวต้องการอะไรอีกนะ ?

   ปัจจุบันคนเริ่มหันมาเลี้ยงน้องแมวกันมากขึ้น ด้วยความที่น้องแมวตัวไม่ใหญ่ ไม่ได้ต้องการพื้นที่ในการเลี้ยงเท่าน้องหมา เหมาะกับครอบครัวในเมือง เลี้ยงในคอนโด นอกจากนั้นยังมีทาสแมวจำนวนมากที่หลวมตัวมาเลี้ยงน้องแมวโดยบังเอิญจากการที่มีแม่แมวมาคลอดใกล้ๆบ้าน หรืออาจจะบังเอิญไปช่วยลูกแมวแรกเกิดมา น้องแมวแต่ละช่วงอายุมีความต้องการที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะพูดถึงการเลี้ยงดูน้องแมวแรกที่ทาสแมวมือใหม่จำเป็นต้องรู้



การดูแลอุณหภูมิให้เหมาะสม

   ลูกแมวแรกเกิดจะยังมีระบบการควบคุมอุณหภูมิของเรากายได้ไม่ดีเหมือนแมวที่โตแล้ว ถ้าลูกแมวแรกเกิดถูกเลี้ยงโดยแม่แมวก็จะได้รับความอบอุ่นจากแม่แมว แต่ถ้าเราจำเป็นต้องดูแลลูกแมวแรกเกิดเอง เจ้าของน้องแมวจำเป็นต้องดูแลสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่ให้เย็นเกินไป ควรเลี้ยงน้องในที่ที่มีอากาศถ่ายเท แต่ต้องไม่มีลมโกรก โดยเพิ่มความอบอุ่นด้วยกระเป๋าน้ำร้อนรองด้วยผ้าเช็ดตัว หรือใช้ไฟกกลูกสัตว์ หรือหลอดไฟทั่วไปแต่ควรเป็นหลอดไฟที่ให้ความร้อนได้ โดยควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 100 – 103 ฟาเรนต์ไฮต์ (หรือ 38-39 เซลเซียส) แนะนำให้กกไฟลูกแมวตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 6 สัปดาห์ เมื่อน้องแมวอายุมากขึ้น เราอาจจะเพิ่มขนาดกรงเลี้ยง โดยแบ่งให้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีความอบอุ่น น้องแมวจะเลือกนอนในบริเวณที่รู้สึกอบอุ่นสบายตัวได้

การให้อาหารลูกแมว

   นมที่ให้ลูกแมวจำเป็นต้องเป็นนมสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ ถ้าไม่สามารถหาได้อาจจะใช้นมแพะได้ ห้ามให้ลูกแมวกินนมวัวเนื่องจากจะไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวได้ และอาจจะทำให้ท้องอืดหรือถ่ายเหลว หากใช้นมผงควรผสมครั้งต่อครั้งเพื่อไม่ให้เสียง่าย โดยผสมในอัตราส่วนตามข้อแนะนำของผลิตภัณฑ์ ไม่ควรผสมทิ้งไว้เนื่องจากนมอาจจะบูดได้ง่าย สำหรับปริมาณการให้นมนั้นจะแปรผันตามน้ำหนักตัว ปริมาณการให้นมที่เหมาะสมคือประมาณ 30 มิลลิลิตร (หรือ 2 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำหนักตัว 113 กรัม โดยแบ่งให้ตลอดทั้งวัน ถ้าลูกแมวอายุน้อยกว่า 2 สัปดาห์ ควรแบ่งปริมาณนมให้กินทุกๆ 2 ชั่วโมง และหากอายุมากขึ้น สามารถให้นมในระยะเวลาที่ห่างขึ้นได้ ประมาณทุก 3 – 4 ชั่วโมง ถ้าลูกแมวได้รับปริมาณอาหารเหมาะสมควรจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นวันละ 14 กรัม หรือ ประมาณ 113 กรัมต่อสัปดาห์

การดูแลการขับถ่าย

   โดยทั่วไปแม่แมวจะคอยเลียขนทำความสะอาด รวมทั้งคอยเลียบริเวณอวัยวะเพศเหมือนเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย แต่ถ้าเราต้องเลี้ยงดูน้องแมวเองแนะนำให้เลียนแบบพฤติกรรมนี้โดยการใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณอวัยเพศเพื่อให้เกิดการขับถ่ายทุกครั้งที่ป้อนนม เพื่อให้ลูกแมวขับถ่ายได้ปกติ ป้องกันการท้องอืด ปวดท้อง ซึ่งโดยมากแล้วลูกแมวจะปัสสาวะและอุจาระบ่อย อาจจะมีลักษณะนิ่มกว่าอุจาระทั่วไปเนื่องจากกินนมเป็นอาหาร

แหล่งที่มา
https://www.uwsheltermedicine.com/library/guidebooks/guide-to-raising-underage-kittens/caring-for-kittens-from-birth-to-eight-weeks

1029
5 ชายหาด ที่น่าพาน้องหมาไปเที่ยว หาดคนน้อย ปลดสายจูง ปล่อยวิ่งเล่นได้

   ถ้าครอบครัวไหนยังไม่เคยพาน้องหมาที่บ้านไปเที่ยวทะเล ต้องลองพาไปสักครั้ง เพราะว่าน้องหมาของเราจะได้ปลดปล่อยพลังงาน และวิ่งเล่นสนุกสุดเหวี่ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความตื่นเต้นคงเริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มใส่สายจูงและพาขึ้นรถกันเลยทีเดียว วันนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่มีเจ้าสี่ขา และที่สำคัญเป็นหาดคนน้อย ไม่ไกลจากกรุงเทพ จะไปเช้าเย็นกลับก็ยังไหว



1.   หาดบ้านอำเภอ (Google Map: https://goo.gl/maps/GZUQkY9v6t4TgF5J6)

หาดบ้านอำเภอ ตั้งอยู่ที่อำเภอนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นหาดที่อยู่ถัดจากหาดจอมเทียน
พัทยา มาไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพไม่เกิน 1 ชั่วโมง 30 นาที เป็นหาดที่น่ารัก บรรยากาศดี หาดอาจจะไม่กว้างใหญ่มากแต่ใหญ่เพียงพอที่จะให้เพื่อนสี่ขาของเราได้ปล่อยพลัง ร้านอาหารที่นี่ราคาเป็นกันเอง แม้ว่าจะไม่ใช่หาดชื่อดังแต่เป็นหาดคนน้อยที่เงียบสงบน่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง

2.   หาดดงตาล (Google Map: https://goo.gl/maps/yeLuFGj7ouD57cq66)

หาดดงตาล ตั้งอยู่ในฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื่องจากอยู่ในความดูแลของพี่ๆทหาร ชายหาด
และน้ำทะเลที่นี่จึงรับรองว่าสะอาด ปลอดภัย ทรายขาว น้ำใส มีร้านค้าให้บริการและเก้าอี้ชายหาด และรับรองว่าคนน้อย ปล่อยน้องหมาออกจากสายจูงได้อย่างสบายใจ

3.   หาดบางเสร่ (Google Map: https://goo.gl/maps/jbgyzAscrB1xmkrK9)

หาดบางเสร่ตั้งอยู่ที่ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อยู่เลยจากพัทยามาไม่ไกลนักประมาณ 30 นาที ถ้าขับรถจากกรุงเทพไม่เกิน 2 ชั่วโมง (ประมาณ 150 กิโลเมตร) เป็นหาดที่คนไม่พลุกพล่าน สะอาด มีร้านอาหารทะเลราคาไม่แพง เนื่องจากมีท่าเรือของชาวประมงอยู่บริเวณนั้น ชายหาดกว้าง และน้ำไม่ลึกมาก เหมาะกับการนั่งชิลดูพระอาทิตย์ตกดินกับเพื่อนสี่ขาขนฟูของเรา เนื่องจากเป็นชายหาดที่คนไม่พลุกพล่าน เราจึงสามารถปล่อยน้องหมาของเราให้วิ่งเล่นได้ อย่างสบายใจ

4.   หาดปราณบุรี (Google Map: https://goo.gl/maps/SVF5ZJB3Pq4kkaFX9)

หาดปราณบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ถัดจากหัวหินมาประมาณไม่เกิน
20 นาที ใช้ระยะเวลาขับรถจากรกุงเทพประมาณ 3 ชั่วโมง (ประมาณ 230 กิโลเมตร) เป็นชายหาดที่สวยงาม หาดทรายกว้าง คลื่นลมสงบ ระดับน้ำประมาณหัวเข่าถึงช่วงเอว มีช่วงน้ำขึ้นน้ำลงทำให้หาดมีความหลากหลาย มีจุดชมวิวบนยอดเขากะโหลก (Google Map : https://goo.gl/maps/fC7UbQQ4oAHFBcgJ7) ที่สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ไม่ไกล มีร้านอาหารทะเลริมทะเล และคาเฟ่สวยๆหลายที่เหมาะกับการหาเวลาไปพักร่างกายพักใจกับครอบครัวและน้องหมาเป็นอย่างยิ่ง

5.   หาดสามร้อยยอด (Google Map: https://goo.gl/maps/rynuBkqvtXWZxkaS9)

หาดสามร้อยยอดตั้งอยู่ที่ตำบลสามร้อยยอด อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อาจจะเริ่มไกลจากกรุงเทพ
มาสักหน่อย แต่รับรองว่าความสวยงามมันคุ้มค่ากับการเดินทางแน่นอน ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที (ประมาณ 250 กิโลเมตร) เหมาะกับการมาพักสัก 1-2 คืน ที่นี่มีจุดกางเตนท์ให้บริการ ชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นสน ยาวตลอดทางสอดรับการแสงแดดยามเช้า และที่นี่ไม่ใช่แค่วิวทะเลอย่างเดียว แต่ท่านจะได้ชื่นชมภาพพระทิตย์ขึ้นผ่านความสลับซับซ้อนของภูเขาที่สวยงาม นอกจากพาน้องหมาของเรามาแคมปปิ้งได้แล้ว ยังสามารถปั่นจักรยานลัดเลาะตามชายหาดได้อีกด้วย หรืออยากจะเหมาเรือไปชมความสวยงามของเกาะต่างๆโดยรอบก็ราคาน่ารักอีกด้วย




1030
5 ชายหาด ที่น่าพาน้องหมาไปเที่ยว หาดคนน้อย ปลดสายจูง ปล่อยวิ่งเล่นได้

   ถ้าครอบครัวไหนยังไม่เคยพาน้องหมาที่บ้านไปเที่ยวทะเล ต้องลองพาไปสักครั้ง เพราะว่าน้องหมาของเราจะได้ปลดปล่อยพลังงาน และวิ่งเล่นสนุกสุดเหวี่ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความตื่นเต้นคงเริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มใส่สายจูงและพาขึ้นรถกันเลยทีเดียว วันนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่มีเจ้าสี่ขา และที่สำคัญเป็นหาดคนน้อย ไม่ไกลจากกรุงเทพ จะไปเช้าเย็นกลับก็ยังไหว



1.   หาดบ้านอำเภอ (Google Map: https://goo.gl/maps/GZUQkY9v6t4TgF5J6)

หาดบ้านอำเภอ ตั้งอยู่ที่อำเภอนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นหาดที่อยู่ถัดจากหาดจอมเทียน
พัทยา มาไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพไม่เกิน 1 ชั่วโมง 30 นาที เป็นหาดที่น่ารัก บรรยากาศดี หาดอาจจะไม่กว้างใหญ่มากแต่ใหญ่เพียงพอที่จะให้เพื่อนสี่ขาของเราได้ปล่อยพลัง ร้านอาหารที่นี่ราคาเป็นกันเอง แม้ว่าจะไม่ใช่หาดชื่อดังแต่เป็นหาดคนน้อยที่เงียบสงบน่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง

2.   หาดดงตาล (Google Map: https://goo.gl/maps/yeLuFGj7ouD57cq66)

หาดดงตาล ตั้งอยู่ในฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื่องจากอยู่ในความดูแลของพี่ๆทหาร ชายหาด
และน้ำทะเลที่นี่จึงรับรองว่าสะอาด ปลอดภัย ทรายขาว น้ำใส มีร้านค้าให้บริการและเก้าอี้ชายหาด และรับรองว่าคนน้อย ปล่อยน้องหมาออกจากสายจูงได้อย่างสบายใจ

3.   หาดบางเสร่ (Google Map: https://goo.gl/maps/jbgyzAscrB1xmkrK9)

หาดบางเสร่ตั้งอยู่ที่ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อยู่เลยจากพัทยามาไม่ไกลนักประมาณ 30 นาที ถ้าขับรถจากกรุงเทพไม่เกิน 2 ชั่วโมง (ประมาณ 150 กิโลเมตร) เป็นหาดที่คนไม่พลุกพล่าน สะอาด มีร้านอาหารทะเลราคาไม่แพง เนื่องจากมีท่าเรือของชาวประมงอยู่บริเวณนั้น ชายหาดกว้าง และน้ำไม่ลึกมาก เหมาะกับการนั่งชิลดูพระอาทิตย์ตกดินกับเพื่อนสี่ขาขนฟูของเรา เนื่องจากเป็นชายหาดที่คนไม่พลุกพล่าน เราจึงสามารถปล่อยน้องหมาของเราให้วิ่งเล่นได้ อย่างสบายใจ

4.   หาดปราณบุรี (Google Map: https://goo.gl/maps/SVF5ZJB3Pq4kkaFX9)

หาดปราณบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ถัดจากหัวหินมาประมาณไม่เกิน
20 นาที ใช้ระยะเวลาขับรถจากรกุงเทพประมาณ 3 ชั่วโมง (ประมาณ 230 กิโลเมตร) เป็นชายหาดที่สวยงาม หาดทรายกว้าง คลื่นลมสงบ ระดับน้ำประมาณหัวเข่าถึงช่วงเอว มีช่วงน้ำขึ้นน้ำลงทำให้หาดมีความหลากหลาย มีจุดชมวิวบนยอดเขากะโหลก (Google Map : https://goo.gl/maps/fC7UbQQ4oAHFBcgJ7) ที่สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ไม่ไกล มีร้านอาหารทะเลริมทะเล และคาเฟ่สวยๆหลายที่เหมาะกับการหาเวลาไปพักร่างกายพักใจกับครอบครัวและน้องหมาเป็นอย่างยิ่ง

5.   หาดสามร้อยยอด (Google Map: https://goo.gl/maps/rynuBkqvtXWZxkaS9)

หาดสามร้อยยอดตั้งอยู่ที่ตำบลสามร้อยยอด อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อาจจะเริ่มไกลจากกรุงเทพ
มาสักหน่อย แต่รับรองว่าความสวยงามมันคุ้มค่ากับการเดินทางแน่นอน ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที (ประมาณ 250 กิโลเมตร) เหมาะกับการมาพักสัก 1-2 คืน ที่นี่มีจุดกางเตนท์ให้บริการ ชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นสน ยาวตลอดทางสอดรับการแสงแดดยามเช้า และที่นี่ไม่ใช่แค่วิวทะเลอย่างเดียว แต่ท่านจะได้ชื่นชมภาพพระทิตย์ขึ้นผ่านความสลับซับซ้อนของภูเขาที่สวยงาม นอกจากพาน้องหมาของเรามาแคมปปิ้งได้แล้ว ยังสามารถปั่นจักรยานลัดเลาะตามชายหาดได้อีกด้วย หรืออยากจะเหมาเรือไปชมความสวยงามของเกาะต่างๆโดยรอบก็ราคาน่ารักอีกด้วย




1031
5 ชายหาด ที่น่าพาน้องหมาไปเที่ยว หาดคนน้อย ปลดสายจูง ปล่อยวิ่งเล่นได้

   ถ้าครอบครัวไหนยังไม่เคยพาน้องหมาที่บ้านไปเที่ยวทะเล ต้องลองพาไปสักครั้ง เพราะว่าน้องหมาของเราจะได้ปลดปล่อยพลังงาน และวิ่งเล่นสนุกสุดเหวี่ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความตื่นเต้นคงเริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มใส่สายจูงและพาขึ้นรถกันเลยทีเดียว วันนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่มีเจ้าสี่ขา และที่สำคัญเป็นหาดคนน้อย ไม่ไกลจากกรุงเทพ จะไปเช้าเย็นกลับก็ยังไหว



1.   หาดบ้านอำเภอ (Google Map: https://goo.gl/maps/GZUQkY9v6t4TgF5J6)

หาดบ้านอำเภอ ตั้งอยู่ที่อำเภอนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นหาดที่อยู่ถัดจากหาดจอมเทียน
พัทยา มาไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพไม่เกิน 1 ชั่วโมง 30 นาที เป็นหาดที่น่ารัก บรรยากาศดี หาดอาจจะไม่กว้างใหญ่มากแต่ใหญ่เพียงพอที่จะให้เพื่อนสี่ขาของเราได้ปล่อยพลัง ร้านอาหารที่นี่ราคาเป็นกันเอง แม้ว่าจะไม่ใช่หาดชื่อดังแต่เป็นหาดคนน้อยที่เงียบสงบน่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง

2.   หาดดงตาล (Google Map: https://goo.gl/maps/yeLuFGj7ouD57cq66)

หาดดงตาล ตั้งอยู่ในฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื่องจากอยู่ในความดูแลของพี่ๆทหาร ชายหาด
และน้ำทะเลที่นี่จึงรับรองว่าสะอาด ปลอดภัย ทรายขาว น้ำใส มีร้านค้าให้บริการและเก้าอี้ชายหาด และรับรองว่าคนน้อย ปล่อยน้องหมาออกจากสายจูงได้อย่างสบายใจ

3.   หาดบางเสร่ (Google Map: https://goo.gl/maps/jbgyzAscrB1xmkrK9)

หาดบางเสร่ตั้งอยู่ที่ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อยู่เลยจากพัทยามาไม่ไกลนักประมาณ 30 นาที ถ้าขับรถจากกรุงเทพไม่เกิน 2 ชั่วโมง (ประมาณ 150 กิโลเมตร) เป็นหาดที่คนไม่พลุกพล่าน สะอาด มีร้านอาหารทะเลราคาไม่แพง เนื่องจากมีท่าเรือของชาวประมงอยู่บริเวณนั้น ชายหาดกว้าง และน้ำไม่ลึกมาก เหมาะกับการนั่งชิลดูพระอาทิตย์ตกดินกับเพื่อนสี่ขาขนฟูของเรา เนื่องจากเป็นชายหาดที่คนไม่พลุกพล่าน เราจึงสามารถปล่อยน้องหมาของเราให้วิ่งเล่นได้ อย่างสบายใจ

4.   หาดปราณบุรี (Google Map: https://goo.gl/maps/SVF5ZJB3Pq4kkaFX9)

หาดปราณบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ถัดจากหัวหินมาประมาณไม่เกิน
20 นาที ใช้ระยะเวลาขับรถจากรกุงเทพประมาณ 3 ชั่วโมง (ประมาณ 230 กิโลเมตร) เป็นชายหาดที่สวยงาม หาดทรายกว้าง คลื่นลมสงบ ระดับน้ำประมาณหัวเข่าถึงช่วงเอว มีช่วงน้ำขึ้นน้ำลงทำให้หาดมีความหลากหลาย มีจุดชมวิวบนยอดเขากะโหลก (Google Map : https://goo.gl/maps/fC7UbQQ4oAHFBcgJ7) ที่สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ไม่ไกล มีร้านอาหารทะเลริมทะเล และคาเฟ่สวยๆหลายที่เหมาะกับการหาเวลาไปพักร่างกายพักใจกับครอบครัวและน้องหมาเป็นอย่างยิ่ง

5.   หาดสามร้อยยอด (Google Map: https://goo.gl/maps/rynuBkqvtXWZxkaS9)

หาดสามร้อยยอดตั้งอยู่ที่ตำบลสามร้อยยอด อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อาจจะเริ่มไกลจากกรุงเทพ
มาสักหน่อย แต่รับรองว่าความสวยงามมันคุ้มค่ากับการเดินทางแน่นอน ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที (ประมาณ 250 กิโลเมตร) เหมาะกับการมาพักสัก 1-2 คืน ที่นี่มีจุดกางเตนท์ให้บริการ ชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นสน ยาวตลอดทางสอดรับการแสงแดดยามเช้า และที่นี่ไม่ใช่แค่วิวทะเลอย่างเดียว แต่ท่านจะได้ชื่นชมภาพพระทิตย์ขึ้นผ่านความสลับซับซ้อนของภูเขาที่สวยงาม นอกจากพาน้องหมาของเรามาแคมปปิ้งได้แล้ว ยังสามารถปั่นจักรยานลัดเลาะตามชายหาดได้อีกด้วย หรืออยากจะเหมาเรือไปชมความสวยงามของเกาะต่างๆโดยรอบก็ราคาน่ารักอีกด้วย




1032
5 ชายหาด ที่น่าพาน้องหมาไปเที่ยว หาดคนน้อย ปลดสายจูง ปล่อยวิ่งเล่นได้

   ถ้าครอบครัวไหนยังไม่เคยพาน้องหมาที่บ้านไปเที่ยวทะเล ต้องลองพาไปสักครั้ง เพราะว่าน้องหมาของเราจะได้ปลดปล่อยพลังงาน และวิ่งเล่นสนุกสุดเหวี่ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความตื่นเต้นคงเริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มใส่สายจูงและพาขึ้นรถกันเลยทีเดียว วันนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่มีเจ้าสี่ขา และที่สำคัญเป็นหาดคนน้อย ไม่ไกลจากกรุงเทพ จะไปเช้าเย็นกลับก็ยังไหว



1.   หาดบ้านอำเภอ (Google Map: https://goo.gl/maps/GZUQkY9v6t4TgF5J6)

หาดบ้านอำเภอ ตั้งอยู่ที่อำเภอนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นหาดที่อยู่ถัดจากหาดจอมเทียน
พัทยา มาไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพไม่เกิน 1 ชั่วโมง 30 นาที เป็นหาดที่น่ารัก บรรยากาศดี หาดอาจจะไม่กว้างใหญ่มากแต่ใหญ่เพียงพอที่จะให้เพื่อนสี่ขาของเราได้ปล่อยพลัง ร้านอาหารที่นี่ราคาเป็นกันเอง แม้ว่าจะไม่ใช่หาดชื่อดังแต่เป็นหาดคนน้อยที่เงียบสงบน่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง

2.   หาดดงตาล (Google Map: https://goo.gl/maps/yeLuFGj7ouD57cq66)

หาดดงตาล ตั้งอยู่ในฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื่องจากอยู่ในความดูแลของพี่ๆทหาร ชายหาด
และน้ำทะเลที่นี่จึงรับรองว่าสะอาด ปลอดภัย ทรายขาว น้ำใส มีร้านค้าให้บริการและเก้าอี้ชายหาด และรับรองว่าคนน้อย ปล่อยน้องหมาออกจากสายจูงได้อย่างสบายใจ

3.   หาดบางเสร่ (Google Map: https://goo.gl/maps/jbgyzAscrB1xmkrK9)

หาดบางเสร่ตั้งอยู่ที่ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อยู่เลยจากพัทยามาไม่ไกลนักประมาณ 30 นาที ถ้าขับรถจากกรุงเทพไม่เกิน 2 ชั่วโมง (ประมาณ 150 กิโลเมตร) เป็นหาดที่คนไม่พลุกพล่าน สะอาด มีร้านอาหารทะเลราคาไม่แพง เนื่องจากมีท่าเรือของชาวประมงอยู่บริเวณนั้น ชายหาดกว้าง และน้ำไม่ลึกมาก เหมาะกับการนั่งชิลดูพระอาทิตย์ตกดินกับเพื่อนสี่ขาขนฟูของเรา เนื่องจากเป็นชายหาดที่คนไม่พลุกพล่าน เราจึงสามารถปล่อยน้องหมาของเราให้วิ่งเล่นได้ อย่างสบายใจ

4.   หาดปราณบุรี (Google Map: https://goo.gl/maps/SVF5ZJB3Pq4kkaFX9)

หาดปราณบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ถัดจากหัวหินมาประมาณไม่เกิน
20 นาที ใช้ระยะเวลาขับรถจากรกุงเทพประมาณ 3 ชั่วโมง (ประมาณ 230 กิโลเมตร) เป็นชายหาดที่สวยงาม หาดทรายกว้าง คลื่นลมสงบ ระดับน้ำประมาณหัวเข่าถึงช่วงเอว มีช่วงน้ำขึ้นน้ำลงทำให้หาดมีความหลากหลาย มีจุดชมวิวบนยอดเขากะโหลก (Google Map : https://goo.gl/maps/fC7UbQQ4oAHFBcgJ7) ที่สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ไม่ไกล มีร้านอาหารทะเลริมทะเล และคาเฟ่สวยๆหลายที่เหมาะกับการหาเวลาไปพักร่างกายพักใจกับครอบครัวและน้องหมาเป็นอย่างยิ่ง

5.   หาดสามร้อยยอด (Google Map: https://goo.gl/maps/rynuBkqvtXWZxkaS9)

หาดสามร้อยยอดตั้งอยู่ที่ตำบลสามร้อยยอด อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อาจจะเริ่มไกลจากกรุงเทพ
มาสักหน่อย แต่รับรองว่าความสวยงามมันคุ้มค่ากับการเดินทางแน่นอน ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที (ประมาณ 250 กิโลเมตร) เหมาะกับการมาพักสัก 1-2 คืน ที่นี่มีจุดกางเตนท์ให้บริการ ชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นสน ยาวตลอดทางสอดรับการแสงแดดยามเช้า และที่นี่ไม่ใช่แค่วิวทะเลอย่างเดียว แต่ท่านจะได้ชื่นชมภาพพระทิตย์ขึ้นผ่านความสลับซับซ้อนของภูเขาที่สวยงาม นอกจากพาน้องหมาของเรามาแคมปปิ้งได้แล้ว ยังสามารถปั่นจักรยานลัดเลาะตามชายหาดได้อีกด้วย หรืออยากจะเหมาเรือไปชมความสวยงามของเกาะต่างๆโดยรอบก็ราคาน่ารักอีกด้วย




1033
ปริมาณน้ำที่เหมาะสมสำหรับสุนัข น้องหมาของเรากินน้ำน้อยเกินไปหรือป่าว ?

   น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุนัขไม่ต่างไปกับในคนเอง เพื่อช่วยให้สุขภาพภายในแข็งแรงการได้รับน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญ การดูแลเรื่องอาหารและการกินน้ำเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องเข้าใจ เพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพน้องหมาของเราให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ปริมาณความต้องการน้ำของน้องหมาต่างกันไป ดังนี้



น้ำหนักตัว

น้องหมามีปริมาณความต้องการน้ำสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว ช่วงอายุ กิจกรรมที่ทำแต่ละวัน ประเภทอาหารที่กิน และสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ด้วย โดยทั่วไปน้องหมาต้องการน้ำที่วันละ 30-50 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

อายุ

ถ้าสุนัขอายุน้อยยังอยู่ในช่วงที่กินนม หรือเพิ่งเริ่มกินอาหารจะมีความต้องการน้ำต่อครั้งไม่มาก แต่จะกินบ่อยครั้งมากกว่าสุนัขที่โตแล้ว โดยมักจะกินทีละน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง

ชนิดของอาหารที่ทาน

   สุนัขที่กินอาหารเม็ด จะมีความต้องการน้ำมากกว่าสุนัขที่กินอาหารเปียก อาหารกระป๋อง หรืออาหารปรุงเองที่ส่วนประกอบของน้ำผสมอยู่ ดังนั้นถ้าน้องหมาที่บ้านของเรากินอาหารเม็ด ควรมั่นใจว่าเราได้ให้น้ำสะอาดเพียงพอ

กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน

   สุนัขที่อยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่มีกิจจกรรมการเล่นหรือออกกำลังกาย ย่อมมีความต้องการน้ำน้อยกว่าสุนัขที่ออกไปเล่นนอกบ้าน วิ่งในสนาม หรือไปว่ายน้ำ

สภาพอากาศ

   ในสภาพอากาศร้อน หรือช่วงหน้าร้อน ไม่มีฝนตก สุนัขจะต้องการน้ำปริมาณมากกว่าปกติ และถี่กว่าปกติ บางตัวอาจจะร้อนมากจนถึงขั้นใช้เท้าควักน้ำขึ้นมาเล่น ดังนั้นในช่วงหน้าร้อนหรือวันที่อากาศอบอ้าวควรเพิ่มปริมาณและเพิ่มขนาดชามน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ

โรคประจำตัว

สุนัขที่เป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคมะเร็ง โรคความผิดปกติของฮอร์โมน หรือมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลว อาจจะส่งผลต่อการกินน้ำทำให้กินน้ำมากขึ้น และปัสสาวะบ่อยขึ้น ควรปรึกษาสัตวแพทย์หากสังเกตุว่าน้องหมาของเรากินน้ำมากกว่าปกติ หรือถ้าไม่แน่ใจว่ากินน้ำมากเกินไป ให้ลองวัดปริมาณน้ำที่กินในแต่ละวัน แต่ถ้ากินน้อยเกินไป หรือไม่กินเลยก็ไม่ใช่เรื่องปกติ

การได้รับยาบางชนิด

   การได้รับยาบางชนิดส่งผลให้มีการกระหายน้ำมากขึ้น เช่น กลุ่มยาลดอักเสบที่เป็นเสตียรอยด์ (เช่น Prednisolone) กลุ่มยารักษาโรคหัวใจ หรือยาขับน้ำ (เช่น Furosemide) และกลุ่มยาระงับอาการชัก (Phenobarbital) เจ้าของควรปรึกษาสัตวแพทย์และทำความเข้าใจถึงผลข้างเคียงของยาก่อน หากน้องหมาของเราจำเป็นต้องได้รับยาเหล่านี้

   


1034
ปริมาณน้ำที่เหมาะสมสำหรับสุนัข น้องหมาของเรากินน้ำน้อยเกินไปหรือป่าว ?

   น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุนัขไม่ต่างไปกับในคนเอง เพื่อช่วยให้สุขภาพภายในแข็งแรงการได้รับน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญ การดูแลเรื่องอาหารและการกินน้ำเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องเข้าใจ เพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพน้องหมาของเราให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ปริมาณความต้องการน้ำของน้องหมาต่างกันไป ดังนี้



น้ำหนักตัว

น้องหมามีปริมาณความต้องการน้ำสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว ช่วงอายุ กิจกรรมที่ทำแต่ละวัน ประเภทอาหารที่กิน และสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ด้วย โดยทั่วไปน้องหมาต้องการน้ำที่วันละ 30-50 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

อายุ

ถ้าสุนัขอายุน้อยยังอยู่ในช่วงที่กินนม หรือเพิ่งเริ่มกินอาหารจะมีความต้องการน้ำต่อครั้งไม่มาก แต่จะกินบ่อยครั้งมากกว่าสุนัขที่โตแล้ว โดยมักจะกินทีละน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง

ชนิดของอาหารที่ทาน

   สุนัขที่กินอาหารเม็ด จะมีความต้องการน้ำมากกว่าสุนัขที่กินอาหารเปียก อาหารกระป๋อง หรืออาหารปรุงเองที่ส่วนประกอบของน้ำผสมอยู่ ดังนั้นถ้าน้องหมาที่บ้านของเรากินอาหารเม็ด ควรมั่นใจว่าเราได้ให้น้ำสะอาดเพียงพอ

กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน

   สุนัขที่อยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่มีกิจจกรรมการเล่นหรือออกกำลังกาย ย่อมมีความต้องการน้ำน้อยกว่าสุนัขที่ออกไปเล่นนอกบ้าน วิ่งในสนาม หรือไปว่ายน้ำ

สภาพอากาศ

   ในสภาพอากาศร้อน หรือช่วงหน้าร้อน ไม่มีฝนตก สุนัขจะต้องการน้ำปริมาณมากกว่าปกติ และถี่กว่าปกติ บางตัวอาจจะร้อนมากจนถึงขั้นใช้เท้าควักน้ำขึ้นมาเล่น ดังนั้นในช่วงหน้าร้อนหรือวันที่อากาศอบอ้าวควรเพิ่มปริมาณและเพิ่มขนาดชามน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ

โรคประจำตัว

สุนัขที่เป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคมะเร็ง โรคความผิดปกติของฮอร์โมน หรือมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลว อาจจะส่งผลต่อการกินน้ำทำให้กินน้ำมากขึ้น และปัสสาวะบ่อยขึ้น ควรปรึกษาสัตวแพทย์หากสังเกตุว่าน้องหมาของเรากินน้ำมากกว่าปกติ หรือถ้าไม่แน่ใจว่ากินน้ำมากเกินไป ให้ลองวัดปริมาณน้ำที่กินในแต่ละวัน แต่ถ้ากินน้อยเกินไป หรือไม่กินเลยก็ไม่ใช่เรื่องปกติ

การได้รับยาบางชนิด

   การได้รับยาบางชนิดส่งผลให้มีการกระหายน้ำมากขึ้น เช่น กลุ่มยาลดอักเสบที่เป็นเสตียรอยด์ (เช่น Prednisolone) กลุ่มยารักษาโรคหัวใจ หรือยาขับน้ำ (เช่น Furosemide) และกลุ่มยาระงับอาการชัก (Phenobarbital) เจ้าของควรปรึกษาสัตวแพทย์และทำความเข้าใจถึงผลข้างเคียงของยาก่อน หากน้องหมาของเราจำเป็นต้องได้รับยาเหล่านี้

   


1035
ปริมาณน้ำที่เหมาะสมสำหรับสุนัข น้องหมาของเรากินน้ำน้อยเกินไปหรือป่าว ?

   น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุนัขไม่ต่างไปกับในคนเอง เพื่อช่วยให้สุขภาพภายในแข็งแรงการได้รับน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญ การดูแลเรื่องอาหารและการกินน้ำเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องเข้าใจ เพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพน้องหมาของเราให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ปริมาณความต้องการน้ำของน้องหมาต่างกันไป ดังนี้



น้ำหนักตัว

น้องหมามีปริมาณความต้องการน้ำสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว ช่วงอายุ กิจกรรมที่ทำแต่ละวัน ประเภทอาหารที่กิน และสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ด้วย โดยทั่วไปน้องหมาต้องการน้ำที่วันละ 30-50 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

อายุ

ถ้าสุนัขอายุน้อยยังอยู่ในช่วงที่กินนม หรือเพิ่งเริ่มกินอาหารจะมีความต้องการน้ำต่อครั้งไม่มาก แต่จะกินบ่อยครั้งมากกว่าสุนัขที่โตแล้ว โดยมักจะกินทีละน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง

ชนิดของอาหารที่ทาน

   สุนัขที่กินอาหารเม็ด จะมีความต้องการน้ำมากกว่าสุนัขที่กินอาหารเปียก อาหารกระป๋อง หรืออาหารปรุงเองที่ส่วนประกอบของน้ำผสมอยู่ ดังนั้นถ้าน้องหมาที่บ้านของเรากินอาหารเม็ด ควรมั่นใจว่าเราได้ให้น้ำสะอาดเพียงพอ

กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน

   สุนัขที่อยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่มีกิจจกรรมการเล่นหรือออกกำลังกาย ย่อมมีความต้องการน้ำน้อยกว่าสุนัขที่ออกไปเล่นนอกบ้าน วิ่งในสนาม หรือไปว่ายน้ำ

สภาพอากาศ

   ในสภาพอากาศร้อน หรือช่วงหน้าร้อน ไม่มีฝนตก สุนัขจะต้องการน้ำปริมาณมากกว่าปกติ และถี่กว่าปกติ บางตัวอาจจะร้อนมากจนถึงขั้นใช้เท้าควักน้ำขึ้นมาเล่น ดังนั้นในช่วงหน้าร้อนหรือวันที่อากาศอบอ้าวควรเพิ่มปริมาณและเพิ่มขนาดชามน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ

โรคประจำตัว

สุนัขที่เป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคมะเร็ง โรคความผิดปกติของฮอร์โมน หรือมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลว อาจจะส่งผลต่อการกินน้ำทำให้กินน้ำมากขึ้น และปัสสาวะบ่อยขึ้น ควรปรึกษาสัตวแพทย์หากสังเกตุว่าน้องหมาของเรากินน้ำมากกว่าปกติ หรือถ้าไม่แน่ใจว่ากินน้ำมากเกินไป ให้ลองวัดปริมาณน้ำที่กินในแต่ละวัน แต่ถ้ากินน้อยเกินไป หรือไม่กินเลยก็ไม่ใช่เรื่องปกติ

การได้รับยาบางชนิด

   การได้รับยาบางชนิดส่งผลให้มีการกระหายน้ำมากขึ้น เช่น กลุ่มยาลดอักเสบที่เป็นเสตียรอยด์ (เช่น Prednisolone) กลุ่มยารักษาโรคหัวใจ หรือยาขับน้ำ (เช่น Furosemide) และกลุ่มยาระงับอาการชัก (Phenobarbital) เจ้าของควรปรึกษาสัตวแพทย์และทำความเข้าใจถึงผลข้างเคียงของยาก่อน หากน้องหมาของเราจำเป็นต้องได้รับยาเหล่านี้