แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

8566
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน


8567
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน


8568
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน


8569
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก

8570
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก

8571
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก

8572
โรคที่มักพบ / โรคไข้หัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:09:47น. »


ไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
สาเหตุ เชื้อไวรัส Canine Distemper virus หรือ CDV RNA Virus Paramyxovirus
การติดต่อ สามารถติดต่อทางระบบหายใจ จะติดทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย โดยหายใจเข้า ไปหรือ หรือจากการสัมผัส

อาการของโรค
แบบเฉียบพลัน
          หลังได้รับเชื้อ จะมีไข้สูง เบื่ออาหาร เยื่อตาอักเสบ อาการดังกล่าวจะหายไปและจะกลับมาโดยสุนัขจะซึม เบื่ออาหาร จมูกแห้ง มีน้ำมูกและขี้ตาขุ่นเป็นหนอง ไอ คล้ายอาการของหวัด ปอดบวม อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ขาหลังเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด
แบบเรื้อรัง
         ฝ่าเท้าจะหนา ผอม ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมักจะตายในเวลาต่อมา แต่ในสุนัขบางตัวที่ไม่ตาย จะใช้เวลารักษาหรือพักฟื้นนาน

ป้องกัน (Prophylaxis)
          - ใช้สารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้สุนัขได้ทันที เช่น แอนติซีรัม หรือแอนติซีรัมเข้มข้น
          - ใช้สารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับสารเช่น วัคซีนรวมที่มี 3 ชนิดขึ้นไป ปัจจุบันใช้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดรวมกับโรคอื่น ทำให้สะดวกขึ้น
          - หากในสุนัขที่ไม่ทราบประวัติหรืออายุเกิน 3 เดือนแล้ว ควรทำวัคซีนหนึ่งครั้งในช่วงระยะปีแรก ส่วนลูกสุนัขที่เกิดจากแม่ที่ไม่ทราบโปรแกรมและยังอายุต่ำกว่า 3 เดือน ควรให้วัคซีน อย่างน้อย 2 ครั้งหลังหย่านม 1 ครั้ง และเมื่อลูกสุนัขอายุ 12-16 สัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง
 
การรักษา
          - ให้ยาป้องกันการแทรกซ้อนของโรคอื่น เช่น ปอดบวม โดยใช้ยา Antibiotic + Sulfaonamidus
          - การชักแก้ไขโดยกินยาฟีโนบาบิตอล ในขนาด 3 mg/kg ทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วควบคุมอาการชักด้วยยา ฟริมิโนหรือมัยโซลิน 50 mg/kg ต่อวัน โดยให้กินทุก 6-8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจนหาย
          - ให้ Vitamin ชนิดละลายน้ำและให้อาหารที่มีโปรตีนสูง หากสัตว์กินไม่ได้ สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำได้

หมายเหตุ โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

 


โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์         

          เป็นโรคฮิตติดอันดับ สำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนเป็นต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน เป็นแล้วโอกาสหาย สำหรับสุนัขที่ติดเชื้อชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบทางหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียว ไหลย้อย ดูเหมือนปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียว ๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง

โรคไข้หัดสุนัขคืออะไร
          โรคไข้หัดสุนัข หรือ Canine Distemper เป็นโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์ตระกูลสุนัข ไข้หัดเป็นโรคชนิดที่มีผลต่อประชากรสุนัขในโลกมากที่สุดโรคหนึ่ง
          สุนัขที่โตเต็มที่ ที่ติดเชื้อนี้มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะตาย ส่วนในลูกสุนัขอัตราการป่วยตายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในสุนัขบางตัวที่ป่วยและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อ สุนัขอาจะไม่ตายจากการติดเชื้อ แต่มักจะมีความผิดปกติ (ตลอดไป) เช่น เกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท รวมทั้งประสาทรับกลิ่น การฟัง หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับการมองเห็น ส่วนอาการที่ทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน หรือทั้งตัวพบได้น้อย ส่วนโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะปอดชื้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก มักเกิดแทรกซ้อนขึ้นเมื่อสุนัขมีความอ่อนแอจากการติดเชื้อไวรัสไข้หัด
          ลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีอายุน้อยมักจะไวต่อการติดเชื้อ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในสุนัขที่มีอายุมากได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า นั่นหมายความว่า โรคไข้หัดสุนัขพบได้ในสุนัขทุกอาย
ุ           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดเชื้อไข้หัดสุนัข ส่วนโรค “ไข้หัดแมว หรือ feline Distemper “ เป็นโรคที่แตกต่างไปจากโรคไข้หัดสุนัข เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน โรคตับอักเสบชนิดติดต่อเป็นโรคอีกโรคหนึ่งที่พบในสุนัขและโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัขไม่ติดคน

ไข้หัดมีผลต่อสุนัขอย่างไร โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงสำหรับสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ติดต่อกันได้ด้วยการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากตาและจมูกของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่การสัมผัสกับน้ำปัสสาวะและอุจาระของสุนัขที่ป่วยสามารถทำให้ติดโรคนี้ได้เหมือนกัน สุนัขปกติสามารถติดเชื้อได้โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับสุนัขที่เป็นไข้หัดสุนัขก็ได้ คอกสุนัข หรือบริเวณที่สุนัขเล่น หรืออยู่ของสุนัขป่วย อาจจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปยังสุนัขปกติได้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขสามารถแพร่ได้ทางอากาศและวัตถุสิ่งของต่างๆ

          อาการป่วย ของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคไข้หัดสุนัขมักไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งทำให้วินิจฉัยได้ช้า ทำให้การรักษาทำได้ช้ากว่าปกติ หรือละเลยโรคนี้ไป เนื่องจากในบางครั้งสุนัขอาการเหมือนกับเป็นหวัดอย่างรุนแรง สุนัขส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีไข้สูงและสุนัขบางตัวอาจจะพบอาการของหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและมีอาการกระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงได้

          อาการที่พบในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อไข้หัดสุนัขคือ เจ้าของอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการตาอักเสบ ไม่สู้แสง มีขี้ตามาก สุนัขมีน้ำหนักตัวลด ไอ อาเจียน และมีน้ำมูก บางครั้งอาจจะพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียร่วมด้วย การติดเชื้อในระยะท้าย ๆมักจะพบว่าเชื้อไวรัสมีการเข้าไปอยู่ในระบบประสาท ทำให้ลูกสุนัขมีอาการอัมพฤก หรือมีการชักกระตุก เกร็งได้ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกินอาหารด้วย

          ในบางครั้ง หรือในสุนัขบางตัว สุนัขป่วยอาจจะแสดงอาการไม่มาก หรือไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่น สุนัขอาจะมีไข้เพียงเล็กน้อยเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือถ้ามีภาวะปอดชื้น หรือมีการอักเสบของลำไส้ หรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้การฟื้นตัวของสุนัขในกลุ่มนี้ยาวนานออกไป (สุนัขกลุ่มนี้มักไม่ตาย) ปัญหาทางระบบประสาทมักจะพบได้ภายหลังจากที่สุนัขฟื้นตัวจากการป่วย (หลายสัปดาห์) ในสุนัขบางรายเชื้อไวรัสจะทำให้มีการเจริญของ tough keratin cells ของฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าหนาและแข็ง
          โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคที่พบได้อย่างแพร่หลาย และอาการป่วยจากการติดเชื้อค่อนข้างผันแปร มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรนำสุนัขที่สงสัยว่าป่วยไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นการดีที่สุด

การป้องกัน
          สุนัขที่รอดชีวิตจาการติเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมักจะมีภูมิต้านทานที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสสุนัขจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขมักจะตายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ การป้องกันโรคดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดเลยที่สามารถจะให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตของสุนัข ดังนั้นสุนัขจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ลูกสุนัขที่เกิดมาจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในระดับหนึ่ง ภูมิคุ้มกันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่สุนัขหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ผ่านทางนมน้ำเหลือง (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังคลอด) ดังนั้นระดับภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขจึงขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแม่สุนัข โดยทั่วไปมักมีระดับไม่สูงมากนัก ภูมิคุ้มกันที่รับจากแม่สุนัขผ่านทางน้ำนมเหลืองนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 วัน ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงประมาณ 3 ใน 4 หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุประมาณ 2 สัปดาห์
          ดังนั้น การฉีดวัคซีนให้กับลูกสุนัขจึงมักกระทำเมื่อระดับภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไปมักจะทำการฉีดวัคซีนเข็มแรก เมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 8 สัปดาห์

การมีสุขภาพดีของสุนัข

           สัตว์เลี้ยงที่มี่สุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของจะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำเพื่อลดโอกาสป่วยของสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่าสุนัขมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้
           พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่น ๆ ของร่างกาย สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออ่อนเพลีย
พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
มีรังแค ขนร่วง มีแผลกดทับ หรือมีขนหยิกหยอง หยาบไม่มันวาว
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือพบมีหินปูนเกาะที่ฟันมาก

โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ (Canine Distemper) พบมากในสุนัขแรกเกิดถึงอายุ 2-3 เดือน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Paramyxoviriae
          อาการ หายใจลำบาก และมีอาการปอดบวม เบื่ออาหาร ซึม มีไข้ มีน้ำมูกสีเขียว มีขี้ตาสีเขียว มีตุ่มเกิดขึ้นใต้ท้องถ้าสุนัขทนอยู่ได้นาน จะแสดงอาการฝ่าเท้าแข็งและมีอาการทางระบบประสาท ริมฝีปากสั่น ชักกระตุก เป็นอัมพาต อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และตายในที่สุด ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุนัขแต่ละตัว
          การติดต่อ ทางระบบการหายใจ และการสัมผัสกับสิ่งขับถ่าย เช่น อาหารที่ติดเชื้อ น้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ
          การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ การทำวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
          การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี ๆ ปีละครั้ง

ไข้หัดสุนัข ชื่อภาษาอังกฤษคือ Canine Distemper
          โรคไข้หัดสุนัข เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไข้หัดในเด็กหรือหัดเยอรมันในคน และไม่ติดตนสบายใจได้ กล่าวกันว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้สุนัขมีอัตราตายสูง ฟังดูหน้าตกใจ ที่จริงแล้วสุนัขมีอัตราติดเชื้อสูง แต่ไม่แสดงอาการป่วย ซึ่งขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และสุนัขบางตัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้สูง โรคนี้พบมากในลูกสุนัขช่วงอายุระหว่าง 3-6 เดือน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่ลดลง
          เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขมีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคอย่างเฉียบพลันมีโอกาสเกิดสมองอักเสบได้ ทำให้สัตว์ตายสูง บางสายพันธุ์ทำให้สุนัขผอมแห้ง ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ และมีอัตราตายสูง แต่ไม่พบอาการทางประสาท อย่างไรก็ตามทุกสายพันธุ์มีผลกดภูมิคุ้มกันของสุนัข
           เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขไม่ทนต่อความร้อน อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถทำลายเชื้อได้ ความแห้ง ผงซักฟอก น้ำยาที่ละลายไขมันต่าง ๆ ตลอดจนน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ทำความสะอาดพื้นคอก กรง ชามอาหาร สามารถทำลายเชื้อได้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไวรัสจะอยู่ได้ 1 ชั่วโมง

การติดต่อและผลที่เกิดกับร่างกาย
           สุนัขป่วยติดโรคโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป อาจโดยจมูกต่อจมูกสัมผัสกัน หรือละอองไวรัสจากปากหรือจมูกสัตว์ป่วยเข้าไปทางจมูก ปากหรือเยื่อตา เชื้อเพิ่มจำนวนและผ่านหลอดน้ำเหลืองสู่ต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในวันที่ 2-4 หลังจากรับเชื้อ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายพร้อมกับไวรัสเพิ่มจำนวน ในวันที่ 4-6 สัตว์จะมีไข้สูง หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และเนื้อเยื่อสมองส่วนกลางในวันที่ 8-9 หลังจากรับเชื้อโดยการแพร่ไปทางกระแสเลือด ถ้าสัตว์ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง จะป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปในเยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ และยับยั้งการแพร่ของไวรัสและอาการป่วยจะหายไปในวันที่ 14 แต่ถ้าสัตว์ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงพอ ไวรัสจะกระจายเข้าสู่เซลล์บุต่าง ๆ ของทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินระบบสืบพันธุ์และขับถ่าย ตลอดจนผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงอาการต่าง ๆ ให้เห็น ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นช้า และอาจทำให้สัตว์หายป่วยได้ ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่สัตว์ได้รับไม่รุนแรงมากหรือไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่สำคัญบางส่วนเช่น ในม่านตา ในเซลล์ประสาท และฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการทางประสาทในระยะต่อมา

อาการของสุนัขที่เป็นโรค
           อาการของโรคไขหัดสุนัขมีหลากหลาย สุนัขที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการให้เห็น หรือแสดงอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงประเภทรุนแรง และตามด้วยอาการทางประสาทไปจนถึงสุนัขตาย
อาการที่พบ
          - ไข้สูง และลดลงมาเป็นปกติในวันที่ 7-14 ระยะต่อมามีน้ำตาใส ๆ และกลายเป็นหนองข้น
          - ไม่กินอาหาร บางครั้งอาเจียนเนื่องจากทอนซิลอักเสบ
          - มีน้ำมูกใสต่อมากลายเป็นมูกหนอง ระยะต่อมาจะไอและหายใจลำบาก
          - ท้องเสียเป็นมูก หรือปนเลือด และอาเจียน
          - ตุ่มหนองตามผิวหนัง ฝ่าเท้าแข็งมักพบในรายเรื้อรัง บางรายพบปลายจมูกแข็ง
          - ที่ตาพบ แผลหลุมลึกที่กระจกตา สัตว์ป่วยสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากประสาทตาอักเสบ
          - กล้ามเนื้อกกหูสั่นกระตุก กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินวน เดินเอียง ตากรอก ชักแบบเคี้ยวปาก

จะป้องกันและรักษาโรคนี้ได้อย่างไร
          ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล การให้การรักษา เป็นการรักษาตามอาการและเพียงเพื่อบรรเทาอาการลง สัตว์ป่วยบางรายขณะตรวจยังไม่มีอาการทางประสาท แต่อาจมีอาการทางประสาทได้ในเวลาต่อมา

          สุนัขอายุน้อยจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่ผ่านทางนมน้ำเหลือง และสามารถคุ้มโรคได้จนอายุ 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น จึงควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ และสัตวแพทย์จะกำหนดวันที่ต้องฉีดกระตุ้นวัคซีนให้กับสุนัขของท่าน หลังจากนั้นสุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี
          แม้ไข้หัดสุนัขจะฟังดูน่ากลัว เพราะป่วยแล้วมีโอกาสตายสูง ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ แต่เรามีวิธีป้องกันโรคที่ได้ผล และผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในสุนัขเพราะให้ผลในการป้องกันโรคได้ดี และค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคจะประหยัดกว่าค่ารักษาอย่างมาก

8573
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8574
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8575
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8576
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนแห้ง
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:08:45น. »


โรคขี้เรื้อนแห้ง
          เวลาที่ผมถามเจ้าของสุนัขว่า โรคใดที่สร้างความกังวลใจและไม่อยากให้สุนัขของตัวเองเป็นมากที่สุด เชื่อได้เลยครับว่า โรคเรื้อนมักเป็นคำตอบในอันดับต้นๆ ถือเป็นโรคที่เจ้าของสัตว์ให้ความสนใจและไม่สบายใจเลย

สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง
          เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมากครับ ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย เรียกว่าอาศัยผิวหนังสุนัขเป็นบ้านหลังใหญ่เลยทีเดียว ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ

          นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อเนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิวกระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับสุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

          การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ

          การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมารักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัขเลยครับ ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา

          อาการแทรกซ้อนของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้มักมีมูลเหตุจากการคันนั่นล่ะครับ สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนังที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแรง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ ครับ โรคขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้นะครับ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ


8577
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่

8578
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่

8579
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่

8580
โรคที่มักพบ / โรคขี้เรื้อนเปียก
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:07:28น. »


ขี้เรื้อนเปียก
           ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว

          โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน

           แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ

อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก

การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

           ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

           เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่