แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

8551
โรคที่มักพบ / โรคปอดบวม
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:16:50น. »


โรคนี้จะพบมากในสุนัขเล็ก ๆ และสุนัขที่มีอายุมากแล้วเนื่องจากว่า สุนัขในวัยดังกล่าวมีภูมิคุ้มกันที่น้อยอยู่โรคนี้เกิดจากหลายสาเหตุได้แก่เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย พยาธิทำลาย ปอด ทำให้ปอดอักเสบ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สุนัขจะมีอาการซึม มีไข้สูงมาก อาจถึง 106 องศาฟาเรนไฮต์เบื่ออาหาร จนถึงไม่กินอาหาร ชอบหลบไปนอนในที่เย็น ๆ เช่น ห้องน้ำ ข้างโอ่งหายใจกระหืดกระหอบ มีขี้มูกไหลออกมามีสีขาวจนถึงสีเขียวข้น บางครั้งมี อาเจียน ไอ มีเสลดหนาในลำคอบางตัวเป็นมาก ๆน้ำท่วมปอดต้องนั่งตลอดเวลานอนไม่ได้ หายใจไม่ออกบางครั้งต้องหายใจทางปากเนื่องจากจมูกอุดตันไปด้วยน้ำมูก ข้อควรปฏิบัติคือ รักษาความสะอาด ให้ความอบอุ่น โดยเฉพาะที่คอ หน้าอก และหลัง ปูรองพื้นที่นอนด้วยผ้า อย่าให้นอนในที่เย็นหรืออับชื้นหรือโดนฝนสาด และนำสุนัข ไปพบสัตว์แพทย์เพื่อรักษา


8552
โรคที่มักพบ / โรคปอดบวม
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:16:50น. »


โรคนี้จะพบมากในสุนัขเล็ก ๆ และสุนัขที่มีอายุมากแล้วเนื่องจากว่า สุนัขในวัยดังกล่าวมีภูมิคุ้มกันที่น้อยอยู่โรคนี้เกิดจากหลายสาเหตุได้แก่เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย พยาธิทำลาย ปอด ทำให้ปอดอักเสบ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สุนัขจะมีอาการซึม มีไข้สูงมาก อาจถึง 106 องศาฟาเรนไฮต์เบื่ออาหาร จนถึงไม่กินอาหาร ชอบหลบไปนอนในที่เย็น ๆ เช่น ห้องน้ำ ข้างโอ่งหายใจกระหืดกระหอบ มีขี้มูกไหลออกมามีสีขาวจนถึงสีเขียวข้น บางครั้งมี อาเจียน ไอ มีเสลดหนาในลำคอบางตัวเป็นมาก ๆน้ำท่วมปอดต้องนั่งตลอดเวลานอนไม่ได้ หายใจไม่ออกบางครั้งต้องหายใจทางปากเนื่องจากจมูกอุดตันไปด้วยน้ำมูก ข้อควรปฏิบัติคือ รักษาความสะอาด ให้ความอบอุ่น โดยเฉพาะที่คอ หน้าอก และหลัง ปูรองพื้นที่นอนด้วยผ้า อย่าให้นอนในที่เย็นหรืออับชื้นหรือโดนฝนสาด และนำสุนัข ไปพบสัตว์แพทย์เพื่อรักษา


8553
โรคที่มักพบ / โรคเห็บหมัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:15:45น. »


อากาศในบ้านเราเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเห็บและหมัด เห็บที่อยู่ตามตัว สุนัขสามารถ ไข่ได้ครั้งละหลายพันฟองตามพื้นดิน หรือตามซอกต่าง ๆ เห็บมีอยู่ 2 ประเภท
1.พวกตัวแบนสีน้ำตาล
2.ตัวโตบวมคล้ายลูกเกตุ
ทั้งคู่เป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่พวกแรกเป็นตัวผู้ พวกที่สอง เป็นตัวเมียในตัวเมียจะมีไข่หมัดอยู่เต็ม ต้องห้ามบีบเนื่องจากจะเป็นการทำให้ไข่หมัด แพร่กระจายให้นำหมัดและเห็บแช่ในน้ำมัน จะทำให้มันตาย สุนัขบางตัวจะมีการแพ้น้ำลายเห็บ,หมัดทำให้มีการแพ้ที่ผิวหนังและเห็บ, หมัดยังเป็นพาหะ นำโรคพยาธิในเม็ดเลือดมาแพร่ได้เราจะสามารถพบหมัดได้มากบริเวณ ลำคอ,หู,ง่ามนิ้วเท้า.ไหล่ หน้าอก การป้องกันเห็บ,หมัดทำได้โดยอาศัยยาฆ่าเห็บที่มีขายทั่วไป โดยให้ใส่ที่ตัวสุนัข และบริเวณ ที่สงสัยว่าจะเป็นที่วางไข่และยังมีอุปกรณ์ป้องกันเช่น ปลอกคอกันหมัดและแชมพูอาบน้ำสุนัขก็ ยังสามารถฆ่าเห็บและหมัดได้ด้วย


8554
โรคที่มักพบ / โรคเห็บหมัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:15:45น. »


อากาศในบ้านเราเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเห็บและหมัด เห็บที่อยู่ตามตัว สุนัขสามารถ ไข่ได้ครั้งละหลายพันฟองตามพื้นดิน หรือตามซอกต่าง ๆ เห็บมีอยู่ 2 ประเภท
1.พวกตัวแบนสีน้ำตาล
2.ตัวโตบวมคล้ายลูกเกตุ
ทั้งคู่เป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่พวกแรกเป็นตัวผู้ พวกที่สอง เป็นตัวเมียในตัวเมียจะมีไข่หมัดอยู่เต็ม ต้องห้ามบีบเนื่องจากจะเป็นการทำให้ไข่หมัด แพร่กระจายให้นำหมัดและเห็บแช่ในน้ำมัน จะทำให้มันตาย สุนัขบางตัวจะมีการแพ้น้ำลายเห็บ,หมัดทำให้มีการแพ้ที่ผิวหนังและเห็บ, หมัดยังเป็นพาหะ นำโรคพยาธิในเม็ดเลือดมาแพร่ได้เราจะสามารถพบหมัดได้มากบริเวณ ลำคอ,หู,ง่ามนิ้วเท้า.ไหล่ หน้าอก การป้องกันเห็บ,หมัดทำได้โดยอาศัยยาฆ่าเห็บที่มีขายทั่วไป โดยให้ใส่ที่ตัวสุนัข และบริเวณ ที่สงสัยว่าจะเป็นที่วางไข่และยังมีอุปกรณ์ป้องกันเช่น ปลอกคอกันหมัดและแชมพูอาบน้ำสุนัขก็ ยังสามารถฆ่าเห็บและหมัดได้ด้วย


8555
โรคที่มักพบ / โรคเห็บหมัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:15:45น. »


อากาศในบ้านเราเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเห็บและหมัด เห็บที่อยู่ตามตัว สุนัขสามารถ ไข่ได้ครั้งละหลายพันฟองตามพื้นดิน หรือตามซอกต่าง ๆ เห็บมีอยู่ 2 ประเภท
1.พวกตัวแบนสีน้ำตาล
2.ตัวโตบวมคล้ายลูกเกตุ
ทั้งคู่เป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่พวกแรกเป็นตัวผู้ พวกที่สอง เป็นตัวเมียในตัวเมียจะมีไข่หมัดอยู่เต็ม ต้องห้ามบีบเนื่องจากจะเป็นการทำให้ไข่หมัด แพร่กระจายให้นำหมัดและเห็บแช่ในน้ำมัน จะทำให้มันตาย สุนัขบางตัวจะมีการแพ้น้ำลายเห็บ,หมัดทำให้มีการแพ้ที่ผิวหนังและเห็บ, หมัดยังเป็นพาหะ นำโรคพยาธิในเม็ดเลือดมาแพร่ได้เราจะสามารถพบหมัดได้มากบริเวณ ลำคอ,หู,ง่ามนิ้วเท้า.ไหล่ หน้าอก การป้องกันเห็บ,หมัดทำได้โดยอาศัยยาฆ่าเห็บที่มีขายทั่วไป โดยให้ใส่ที่ตัวสุนัข และบริเวณ ที่สงสัยว่าจะเป็นที่วางไข่และยังมีอุปกรณ์ป้องกันเช่น ปลอกคอกันหมัดและแชมพูอาบน้ำสุนัขก็ ยังสามารถฆ่าเห็บและหมัดได้ด้วย


8556
โรคที่มักพบ / โรคเห็บหมัดสุนัข
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:15:45น. »


อากาศในบ้านเราเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเห็บและหมัด เห็บที่อยู่ตามตัว สุนัขสามารถ ไข่ได้ครั้งละหลายพันฟองตามพื้นดิน หรือตามซอกต่าง ๆ เห็บมีอยู่ 2 ประเภท
1.พวกตัวแบนสีน้ำตาล
2.ตัวโตบวมคล้ายลูกเกตุ
ทั้งคู่เป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่พวกแรกเป็นตัวผู้ พวกที่สอง เป็นตัวเมียในตัวเมียจะมีไข่หมัดอยู่เต็ม ต้องห้ามบีบเนื่องจากจะเป็นการทำให้ไข่หมัด แพร่กระจายให้นำหมัดและเห็บแช่ในน้ำมัน จะทำให้มันตาย สุนัขบางตัวจะมีการแพ้น้ำลายเห็บ,หมัดทำให้มีการแพ้ที่ผิวหนังและเห็บ, หมัดยังเป็นพาหะ นำโรคพยาธิในเม็ดเลือดมาแพร่ได้เราจะสามารถพบหมัดได้มากบริเวณ ลำคอ,หู,ง่ามนิ้วเท้า.ไหล่ หน้าอก การป้องกันเห็บ,หมัดทำได้โดยอาศัยยาฆ่าเห็บที่มีขายทั่วไป โดยให้ใส่ที่ตัวสุนัข และบริเวณ ที่สงสัยว่าจะเป็นที่วางไข่และยังมีอุปกรณ์ป้องกันเช่น ปลอกคอกันหมัดและแชมพูอาบน้ำสุนัขก็ ยังสามารถฆ่าเห็บและหมัดได้ด้วย


8557


เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
          โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้คนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องตายด้วยความทุรนทุราย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบีส์ไวรัส ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน จะอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมานอกร่างกายจะมีชีวิตได้ไม่นาน ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด หรือในสภาพแห้งแล้ง ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟอร์มาลิน , 70 % แอลกอฮอล์ , ไลโซล , กรดหรือด่างอย่างแรง หรือ 10 % ไฮโปคลอไรท์ ( น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์ หรือคลอร็อก ในอัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน )


สัตว์ที่สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
          สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิดโดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า หมู ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ ค้างคาว คน ฯลฯ แต่ในประเทศไทย สัตว์ที่พบว่าเป็น โรคพิษสุนัขบ้า มากที่สุด คือ สุนัข ( 96 % ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้อง -ปฏิบัติการ ) รองลงมา คือ แมว ( 3% ) การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คน โดยการได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์ เข้าทางบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณบาดแผลที่มีอยู่เดิม หรือได้รับเชื้อเข้าทางเยื่อตา เยื่อปาก การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกระจกตา อาจพบว่าติดเชื้อจากการหายใจ แต่น้อยมาก ในสัตว์มักติดโรคโดยถูกสุนัขกัด เช่น วัวที่เลี้ยงปล่อยฝูง หรือสุกรที่เลี้ยงใต้ถุนเรือน คอก หรือเล้าที่ไม่มิดชิด คนถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะแสดงอาการ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนกระทั่งปรากฏอาการ หรือระยะฟักตัวจะกินเวลาตั้งแต่ 7 วัน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะบาดแผลและบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดบริเวณใบหน้าหรือใกล้สมองและบาดแผลฉกรรจ์ ระยะฟักตัวจะเร็ว ถ้าถูกกัดบริเวณขา ระยะฟักตัวนานกว่า เพราะเชื้อจะเดินทางมาถึงสมองโดยเฉลี่ยประมาณ 2 - 6 อาทิตย์
 

อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
           มี 2 แบบ คือ แบบก้าวร้าว ดุร้าย และแบบอัมพาต อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก อาจมีอาการไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอคล้ายเป็นหวัด อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และที่พบบ่อย คือ อาการคัน เสียว หรือชาบริเวณแผลที่ถูกกัด ระยะอาการทางระบบประสาท อาจคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กลัวน้ำ กลัวลม ความรู้สึกไวกว่าปกติ ทุรนทุราย หรือมีอาการซึม เป็นอัมพาต น้ำลายไหลต้องบ้วนทิ้ง กลืนน้ำไม่ได้ ระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกตัว หายใจกระตุก ผู้ป่วยส่วนมากมักจะตายภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ ถ้าเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในสมองมาก ก็จะแสดงอาการแบบคลุ้มคลั่ง ดุร้าย แต่ถ้าเชื้อ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง จะแสดงอาการอัมพาต

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
           แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย แสดงอาการชัดเจนและพบบ่อย และแบบซึมซึ่งแสดงอาการไม่ชัดเจน อาการของโรคมี 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามา คลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่น จะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง ระยะนี้มีอาการ 2 - 3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ในระยะที่แสดงอาการแบบซึมอาจไม่แสดงอาการเช่นนี้ แต่เมื่อถูกรบกวนอาจกัด ต่อมา กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก อาการระยะนี้พบได้ 1 - 7 วัน จึงจะเข้าระยะสุดท้าย ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
 

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในแมว
           ในระยะที่มีอาการชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ ระยะอาการนำ มีอาการหงุดหงิด นิสัยเปลี่ยนไป ชอบหลบซุกในที่มืด ระยะนี้มักสั้น ไม่เกิน 1 วัน ระยะตื่นเต้น แสดงอาการดุร้าย กัด หรือข่วนคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้ กล้ามเนื้อสั่น น้ำลายไหล กลืนลำบาก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 4 วัน ระยะอัมพาต เริ่มเป็นอัมพาตจากขาหลัง แล้วลามมายังลำตัว ขาหน้าและหัว จนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว แล้วถึงแก่ความตาย อาการในแมวมักไม่ชัดเจน อาจเป็นแบบซึม มีระยะตื่นเต้นสั้นมาก หรือไม่แสดงอาการเลย อาจพบว่ากินอาหารและน้ำลำบาก แล้วเป็นอัมพาตลามไปทั่วตัว ตายในเวลา 3 - 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ

 


ทำไม…จึงเรียกโรคพิษสุนัขบ้าว่า โรคกลัวน้ำ
          อาการกลัวน้ำ เป็นอาการที่แปลก พบในโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเป็นอัมพาตและกระตุกเกร็ง แม้ว่าจะหิวน้ำ แต่เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก ในสุนัขจะเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากเกิดอัมพาตกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ใช้ลิ้นตวัดน้ำเข้าปากไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อยมีสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล กลืนน้ำไม่ได้ ในคนเริ่มจาก รู้สึกแน่นตึงในลำคอ กลืนอาหารลำบาก เมื่อกินน้ำจะสำลักออกทางปากทางจมูก เวลาพยายามดื่มน้ำจะเจ็บปวดมาก เนื่องจาก กล้ามเนื้อในลำคอ กระตุกเกร็ง

เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดควรทำอย่างไร
          1. รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
          2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ควรใช้สารละลายโพวีโดนไอโอดีน เช่น เบตาดีน ถ้าไม่มี อาจใช้แอลกอฮอล์ 70 % หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
          3. ไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3 - 4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้
          4. กักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์ดุร้าย กัดคนและสัตว์อื่น หรือไม่สามารถกักสัตว์ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไป ให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
          5. รีบไปพบแพทย์ทันที หลังจากถูกสัตว์กัด เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน อย่ารอจนกระทั่งสัตว์ที่กัดตาย อาจพิจารณาให้การป้องกันบาดทะยัก และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย
          6. พบสัตว์แพทย์ กรมปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวสัตว์ เช่น ชนิดสัตว์ สี เพศ พันธุ์ อายุ สถานที่ถูกกัด เพื่อวางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
          7. เมื่อสัตว์ตาย ตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า
          8. ต้องซักประวัติโดยละเอียดและส่งไปพร้อมซากสัตว์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลผู้สัมผัสโรค
เรื่องน่ารู้
          1. กว่า 90 % ของผู้ที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัด

          2. การช่วยเหลือสุนัขจรจัดโดยการให้อาหาร แต่ไม่นำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก เป็นการเพิ่มจำนวนสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          3. ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการถูกกัดโดยสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          4. ลูกสุนัข ( ทุกอายุ ) มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัข


8558


เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
          โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้คนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องตายด้วยความทุรนทุราย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบีส์ไวรัส ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน จะอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมานอกร่างกายจะมีชีวิตได้ไม่นาน ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด หรือในสภาพแห้งแล้ง ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟอร์มาลิน , 70 % แอลกอฮอล์ , ไลโซล , กรดหรือด่างอย่างแรง หรือ 10 % ไฮโปคลอไรท์ ( น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์ หรือคลอร็อก ในอัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน )


สัตว์ที่สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
          สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิดโดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า หมู ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ ค้างคาว คน ฯลฯ แต่ในประเทศไทย สัตว์ที่พบว่าเป็น โรคพิษสุนัขบ้า มากที่สุด คือ สุนัข ( 96 % ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้อง -ปฏิบัติการ ) รองลงมา คือ แมว ( 3% ) การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คน โดยการได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์ เข้าทางบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณบาดแผลที่มีอยู่เดิม หรือได้รับเชื้อเข้าทางเยื่อตา เยื่อปาก การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกระจกตา อาจพบว่าติดเชื้อจากการหายใจ แต่น้อยมาก ในสัตว์มักติดโรคโดยถูกสุนัขกัด เช่น วัวที่เลี้ยงปล่อยฝูง หรือสุกรที่เลี้ยงใต้ถุนเรือน คอก หรือเล้าที่ไม่มิดชิด คนถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะแสดงอาการ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนกระทั่งปรากฏอาการ หรือระยะฟักตัวจะกินเวลาตั้งแต่ 7 วัน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะบาดแผลและบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดบริเวณใบหน้าหรือใกล้สมองและบาดแผลฉกรรจ์ ระยะฟักตัวจะเร็ว ถ้าถูกกัดบริเวณขา ระยะฟักตัวนานกว่า เพราะเชื้อจะเดินทางมาถึงสมองโดยเฉลี่ยประมาณ 2 - 6 อาทิตย์
 

อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
           มี 2 แบบ คือ แบบก้าวร้าว ดุร้าย และแบบอัมพาต อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก อาจมีอาการไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอคล้ายเป็นหวัด อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และที่พบบ่อย คือ อาการคัน เสียว หรือชาบริเวณแผลที่ถูกกัด ระยะอาการทางระบบประสาท อาจคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กลัวน้ำ กลัวลม ความรู้สึกไวกว่าปกติ ทุรนทุราย หรือมีอาการซึม เป็นอัมพาต น้ำลายไหลต้องบ้วนทิ้ง กลืนน้ำไม่ได้ ระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกตัว หายใจกระตุก ผู้ป่วยส่วนมากมักจะตายภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ ถ้าเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในสมองมาก ก็จะแสดงอาการแบบคลุ้มคลั่ง ดุร้าย แต่ถ้าเชื้อ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง จะแสดงอาการอัมพาต

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
           แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย แสดงอาการชัดเจนและพบบ่อย และแบบซึมซึ่งแสดงอาการไม่ชัดเจน อาการของโรคมี 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามา คลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่น จะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง ระยะนี้มีอาการ 2 - 3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ในระยะที่แสดงอาการแบบซึมอาจไม่แสดงอาการเช่นนี้ แต่เมื่อถูกรบกวนอาจกัด ต่อมา กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก อาการระยะนี้พบได้ 1 - 7 วัน จึงจะเข้าระยะสุดท้าย ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
 

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในแมว
           ในระยะที่มีอาการชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ ระยะอาการนำ มีอาการหงุดหงิด นิสัยเปลี่ยนไป ชอบหลบซุกในที่มืด ระยะนี้มักสั้น ไม่เกิน 1 วัน ระยะตื่นเต้น แสดงอาการดุร้าย กัด หรือข่วนคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้ กล้ามเนื้อสั่น น้ำลายไหล กลืนลำบาก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 4 วัน ระยะอัมพาต เริ่มเป็นอัมพาตจากขาหลัง แล้วลามมายังลำตัว ขาหน้าและหัว จนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว แล้วถึงแก่ความตาย อาการในแมวมักไม่ชัดเจน อาจเป็นแบบซึม มีระยะตื่นเต้นสั้นมาก หรือไม่แสดงอาการเลย อาจพบว่ากินอาหารและน้ำลำบาก แล้วเป็นอัมพาตลามไปทั่วตัว ตายในเวลา 3 - 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ

 


ทำไม…จึงเรียกโรคพิษสุนัขบ้าว่า โรคกลัวน้ำ
          อาการกลัวน้ำ เป็นอาการที่แปลก พบในโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเป็นอัมพาตและกระตุกเกร็ง แม้ว่าจะหิวน้ำ แต่เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก ในสุนัขจะเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากเกิดอัมพาตกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ใช้ลิ้นตวัดน้ำเข้าปากไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อยมีสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล กลืนน้ำไม่ได้ ในคนเริ่มจาก รู้สึกแน่นตึงในลำคอ กลืนอาหารลำบาก เมื่อกินน้ำจะสำลักออกทางปากทางจมูก เวลาพยายามดื่มน้ำจะเจ็บปวดมาก เนื่องจาก กล้ามเนื้อในลำคอ กระตุกเกร็ง

เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดควรทำอย่างไร
          1. รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
          2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ควรใช้สารละลายโพวีโดนไอโอดีน เช่น เบตาดีน ถ้าไม่มี อาจใช้แอลกอฮอล์ 70 % หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
          3. ไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3 - 4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้
          4. กักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์ดุร้าย กัดคนและสัตว์อื่น หรือไม่สามารถกักสัตว์ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไป ให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
          5. รีบไปพบแพทย์ทันที หลังจากถูกสัตว์กัด เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน อย่ารอจนกระทั่งสัตว์ที่กัดตาย อาจพิจารณาให้การป้องกันบาดทะยัก และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย
          6. พบสัตว์แพทย์ กรมปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวสัตว์ เช่น ชนิดสัตว์ สี เพศ พันธุ์ อายุ สถานที่ถูกกัด เพื่อวางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
          7. เมื่อสัตว์ตาย ตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า
          8. ต้องซักประวัติโดยละเอียดและส่งไปพร้อมซากสัตว์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลผู้สัมผัสโรค
เรื่องน่ารู้
          1. กว่า 90 % ของผู้ที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัด

          2. การช่วยเหลือสุนัขจรจัดโดยการให้อาหาร แต่ไม่นำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก เป็นการเพิ่มจำนวนสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          3. ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการถูกกัดโดยสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          4. ลูกสุนัข ( ทุกอายุ ) มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัข


8559


เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
          โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้คนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องตายด้วยความทุรนทุราย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบีส์ไวรัส ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน จะอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมานอกร่างกายจะมีชีวิตได้ไม่นาน ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด หรือในสภาพแห้งแล้ง ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟอร์มาลิน , 70 % แอลกอฮอล์ , ไลโซล , กรดหรือด่างอย่างแรง หรือ 10 % ไฮโปคลอไรท์ ( น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์ หรือคลอร็อก ในอัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน )


สัตว์ที่สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
          สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิดโดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า หมู ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ ค้างคาว คน ฯลฯ แต่ในประเทศไทย สัตว์ที่พบว่าเป็น โรคพิษสุนัขบ้า มากที่สุด คือ สุนัข ( 96 % ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้อง -ปฏิบัติการ ) รองลงมา คือ แมว ( 3% ) การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คน โดยการได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์ เข้าทางบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณบาดแผลที่มีอยู่เดิม หรือได้รับเชื้อเข้าทางเยื่อตา เยื่อปาก การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกระจกตา อาจพบว่าติดเชื้อจากการหายใจ แต่น้อยมาก ในสัตว์มักติดโรคโดยถูกสุนัขกัด เช่น วัวที่เลี้ยงปล่อยฝูง หรือสุกรที่เลี้ยงใต้ถุนเรือน คอก หรือเล้าที่ไม่มิดชิด คนถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะแสดงอาการ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนกระทั่งปรากฏอาการ หรือระยะฟักตัวจะกินเวลาตั้งแต่ 7 วัน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะบาดแผลและบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดบริเวณใบหน้าหรือใกล้สมองและบาดแผลฉกรรจ์ ระยะฟักตัวจะเร็ว ถ้าถูกกัดบริเวณขา ระยะฟักตัวนานกว่า เพราะเชื้อจะเดินทางมาถึงสมองโดยเฉลี่ยประมาณ 2 - 6 อาทิตย์
 

อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
           มี 2 แบบ คือ แบบก้าวร้าว ดุร้าย และแบบอัมพาต อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก อาจมีอาการไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอคล้ายเป็นหวัด อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และที่พบบ่อย คือ อาการคัน เสียว หรือชาบริเวณแผลที่ถูกกัด ระยะอาการทางระบบประสาท อาจคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กลัวน้ำ กลัวลม ความรู้สึกไวกว่าปกติ ทุรนทุราย หรือมีอาการซึม เป็นอัมพาต น้ำลายไหลต้องบ้วนทิ้ง กลืนน้ำไม่ได้ ระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกตัว หายใจกระตุก ผู้ป่วยส่วนมากมักจะตายภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ ถ้าเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในสมองมาก ก็จะแสดงอาการแบบคลุ้มคลั่ง ดุร้าย แต่ถ้าเชื้อ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง จะแสดงอาการอัมพาต

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
           แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย แสดงอาการชัดเจนและพบบ่อย และแบบซึมซึ่งแสดงอาการไม่ชัดเจน อาการของโรคมี 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามา คลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่น จะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง ระยะนี้มีอาการ 2 - 3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ในระยะที่แสดงอาการแบบซึมอาจไม่แสดงอาการเช่นนี้ แต่เมื่อถูกรบกวนอาจกัด ต่อมา กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก อาการระยะนี้พบได้ 1 - 7 วัน จึงจะเข้าระยะสุดท้าย ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
 

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในแมว
           ในระยะที่มีอาการชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ ระยะอาการนำ มีอาการหงุดหงิด นิสัยเปลี่ยนไป ชอบหลบซุกในที่มืด ระยะนี้มักสั้น ไม่เกิน 1 วัน ระยะตื่นเต้น แสดงอาการดุร้าย กัด หรือข่วนคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้ กล้ามเนื้อสั่น น้ำลายไหล กลืนลำบาก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 4 วัน ระยะอัมพาต เริ่มเป็นอัมพาตจากขาหลัง แล้วลามมายังลำตัว ขาหน้าและหัว จนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว แล้วถึงแก่ความตาย อาการในแมวมักไม่ชัดเจน อาจเป็นแบบซึม มีระยะตื่นเต้นสั้นมาก หรือไม่แสดงอาการเลย อาจพบว่ากินอาหารและน้ำลำบาก แล้วเป็นอัมพาตลามไปทั่วตัว ตายในเวลา 3 - 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ

 


ทำไม…จึงเรียกโรคพิษสุนัขบ้าว่า โรคกลัวน้ำ
          อาการกลัวน้ำ เป็นอาการที่แปลก พบในโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเป็นอัมพาตและกระตุกเกร็ง แม้ว่าจะหิวน้ำ แต่เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก ในสุนัขจะเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากเกิดอัมพาตกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ใช้ลิ้นตวัดน้ำเข้าปากไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อยมีสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล กลืนน้ำไม่ได้ ในคนเริ่มจาก รู้สึกแน่นตึงในลำคอ กลืนอาหารลำบาก เมื่อกินน้ำจะสำลักออกทางปากทางจมูก เวลาพยายามดื่มน้ำจะเจ็บปวดมาก เนื่องจาก กล้ามเนื้อในลำคอ กระตุกเกร็ง

เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดควรทำอย่างไร
          1. รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
          2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ควรใช้สารละลายโพวีโดนไอโอดีน เช่น เบตาดีน ถ้าไม่มี อาจใช้แอลกอฮอล์ 70 % หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
          3. ไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3 - 4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้
          4. กักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์ดุร้าย กัดคนและสัตว์อื่น หรือไม่สามารถกักสัตว์ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไป ให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
          5. รีบไปพบแพทย์ทันที หลังจากถูกสัตว์กัด เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน อย่ารอจนกระทั่งสัตว์ที่กัดตาย อาจพิจารณาให้การป้องกันบาดทะยัก และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย
          6. พบสัตว์แพทย์ กรมปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวสัตว์ เช่น ชนิดสัตว์ สี เพศ พันธุ์ อายุ สถานที่ถูกกัด เพื่อวางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
          7. เมื่อสัตว์ตาย ตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า
          8. ต้องซักประวัติโดยละเอียดและส่งไปพร้อมซากสัตว์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลผู้สัมผัสโรค
เรื่องน่ารู้
          1. กว่า 90 % ของผู้ที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัด

          2. การช่วยเหลือสุนัขจรจัดโดยการให้อาหาร แต่ไม่นำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก เป็นการเพิ่มจำนวนสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          3. ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการถูกกัดโดยสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          4. ลูกสุนัข ( ทุกอายุ ) มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัข


8560


เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
          โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้คนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องตายด้วยความทุรนทุราย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบีส์ไวรัส ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน จะอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมานอกร่างกายจะมีชีวิตได้ไม่นาน ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด หรือในสภาพแห้งแล้ง ยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟอร์มาลิน , 70 % แอลกอฮอล์ , ไลโซล , กรดหรือด่างอย่างแรง หรือ 10 % ไฮโปคลอไรท์ ( น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์ หรือคลอร็อก ในอัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน )


สัตว์ที่สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
          สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิดโดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า หมู ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ ค้างคาว คน ฯลฯ แต่ในประเทศไทย สัตว์ที่พบว่าเป็น โรคพิษสุนัขบ้า มากที่สุด คือ สุนัข ( 96 % ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้อง -ปฏิบัติการ ) รองลงมา คือ แมว ( 3% ) การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คน โดยการได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์ เข้าทางบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณบาดแผลที่มีอยู่เดิม หรือได้รับเชื้อเข้าทางเยื่อตา เยื่อปาก การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อกระจกตา อาจพบว่าติดเชื้อจากการหายใจ แต่น้อยมาก ในสัตว์มักติดโรคโดยถูกสุนัขกัด เช่น วัวที่เลี้ยงปล่อยฝูง หรือสุกรที่เลี้ยงใต้ถุนเรือน คอก หรือเล้าที่ไม่มิดชิด คนถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะแสดงอาการ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนกระทั่งปรากฏอาการ หรือระยะฟักตัวจะกินเวลาตั้งแต่ 7 วัน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะบาดแผลและบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดบริเวณใบหน้าหรือใกล้สมองและบาดแผลฉกรรจ์ ระยะฟักตัวจะเร็ว ถ้าถูกกัดบริเวณขา ระยะฟักตัวนานกว่า เพราะเชื้อจะเดินทางมาถึงสมองโดยเฉลี่ยประมาณ 2 - 6 อาทิตย์
 

อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
           มี 2 แบบ คือ แบบก้าวร้าว ดุร้าย และแบบอัมพาต อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก อาจมีอาการไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอคล้ายเป็นหวัด อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และที่พบบ่อย คือ อาการคัน เสียว หรือชาบริเวณแผลที่ถูกกัด ระยะอาการทางระบบประสาท อาจคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กลัวน้ำ กลัวลม ความรู้สึกไวกว่าปกติ ทุรนทุราย หรือมีอาการซึม เป็นอัมพาต น้ำลายไหลต้องบ้วนทิ้ง กลืนน้ำไม่ได้ ระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกตัว หายใจกระตุก ผู้ป่วยส่วนมากมักจะตายภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ ถ้าเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในสมองมาก ก็จะแสดงอาการแบบคลุ้มคลั่ง ดุร้าย แต่ถ้าเชื้อ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง จะแสดงอาการอัมพาต

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข
           แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย แสดงอาการชัดเจนและพบบ่อย และแบบซึมซึ่งแสดงอาการไม่ชัดเจน อาการของโรคมี 3 ระยะ คือ ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามา คลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่น จะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง ระยะนี้มีอาการ 2 - 3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ในระยะที่แสดงอาการแบบซึมอาจไม่แสดงอาการเช่นนี้ แต่เมื่อถูกรบกวนอาจกัด ต่อมา กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก อาการระยะนี้พบได้ 1 - 7 วัน จึงจะเข้าระยะสุดท้าย ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
 

อาการโรคพิษสุนัขบ้าในแมว
           ในระยะที่มีอาการชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ เช่นกัน คือ ระยะอาการนำ มีอาการหงุดหงิด นิสัยเปลี่ยนไป ชอบหลบซุกในที่มืด ระยะนี้มักสั้น ไม่เกิน 1 วัน ระยะตื่นเต้น แสดงอาการดุร้าย กัด หรือข่วนคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้ กล้ามเนื้อสั่น น้ำลายไหล กลืนลำบาก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 4 วัน ระยะอัมพาต เริ่มเป็นอัมพาตจากขาหลัง แล้วลามมายังลำตัว ขาหน้าและหัว จนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว แล้วถึงแก่ความตาย อาการในแมวมักไม่ชัดเจน อาจเป็นแบบซึม มีระยะตื่นเต้นสั้นมาก หรือไม่แสดงอาการเลย อาจพบว่ากินอาหารและน้ำลำบาก แล้วเป็นอัมพาตลามไปทั่วตัว ตายในเวลา 3 - 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ

 


ทำไม…จึงเรียกโรคพิษสุนัขบ้าว่า โรคกลัวน้ำ
          อาการกลัวน้ำ เป็นอาการที่แปลก พบในโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเป็นอัมพาตและกระตุกเกร็ง แม้ว่าจะหิวน้ำ แต่เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก ในสุนัขจะเห่าหอนผิดปกติ เนื่องจากเกิดอัมพาตกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ใช้ลิ้นตวัดน้ำเข้าปากไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อยมีสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล กลืนน้ำไม่ได้ ในคนเริ่มจาก รู้สึกแน่นตึงในลำคอ กลืนอาหารลำบาก เมื่อกินน้ำจะสำลักออกทางปากทางจมูก เวลาพยายามดื่มน้ำจะเจ็บปวดมาก เนื่องจาก กล้ามเนื้อในลำคอ กระตุกเกร็ง

เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดควรทำอย่างไร
          1. รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
          2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ควรใช้สารละลายโพวีโดนไอโอดีน เช่น เบตาดีน ถ้าไม่มี อาจใช้แอลกอฮอล์ 70 % หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
          3. ไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3 - 4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้
          4. กักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์ดุร้าย กัดคนและสัตว์อื่น หรือไม่สามารถกักสัตว์ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไป ให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
          5. รีบไปพบแพทย์ทันที หลังจากถูกสัตว์กัด เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน อย่ารอจนกระทั่งสัตว์ที่กัดตาย อาจพิจารณาให้การป้องกันบาดทะยัก และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย
          6. พบสัตว์แพทย์ กรมปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวสัตว์ เช่น ชนิดสัตว์ สี เพศ พันธุ์ อายุ สถานที่ถูกกัด เพื่อวางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
          7. เมื่อสัตว์ตาย ตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า
          8. ต้องซักประวัติโดยละเอียดและส่งไปพร้อมซากสัตว์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลผู้สัมผัสโรค
เรื่องน่ารู้
          1. กว่า 90 % ของผู้ที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัด

          2. การช่วยเหลือสุนัขจรจัดโดยการให้อาหาร แต่ไม่นำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก เป็นการเพิ่มจำนวนสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          3. ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการถูกกัดโดยสุนัขจรจัด หรือสุนัขมีเจ้าของแต่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

          4. ลูกสุนัข ( ทุกอายุ ) มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัข


8561
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8562
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8563
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8564
โรคที่มักพบ / โรคลำไส้อักเสบ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:12:18น. »


โรคลำไส้อักเสบ ( Parvoviral Enteritis)
          โรคลำไส้อักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัส (Parvoviral Enteritis) เป็นโรคติดต่อของ ระบบทางเดินอาหารที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วลูกสุนัขป่วยตายเนื่องจากสูญเสียเลือดและน้ำจาก ร่างกายกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเลี้ยงลูกสุนัขในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก สาเหตุ เกิดจากเชื้อเคไนน์ พาร์โวไวรัส ไทป์ 2 การติดต่อเกิดขึ้นโดยการกินอาหาร หรือน้ำทีปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระ น้ำลาย หรือสิ่งอาเจียนของสัตว์ป่วย
          อาการ ลูกสุนัขอายุ 3-8สัปดาห์ อาจตายกระทันหันเนื่องจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนมากสัตว์มีไข้สูง อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม สิ่งอาเจียนมีลักษณะเป็นมูกและมีน้ำดีปนออก มาด้วย ต่อมาท้องร่วงรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน กลิ่นเหม็นเน่ามาก สัตว์ป่วยเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายรวดเร็ว ทำให้อ่อนเพลีย และตายในที่สุด

การรักษา
          1.ให้สารน้ำ เช่น สารละลายแลคเตต รินเจอร์ (Lactate Ringerus Solotion) ขนาด 90 ลูก บาศก์เซนติเมตรต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสภาวะของร่างกาย
          2.การใช้ยาระงับอาเจียน เช่น ไตรเมโทรเบนซาไมค์ (Trimethobenzamide) ขนาด 3 มิลลิ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยานี้ออกฟทธิ์ที่ศูนย์ควบคุม การอาเจียนที่สมองโดยตรง บาง ท่านนิยมให้ยาระงับอาเจียนจำพวก อะโทนปินซัลเฟต (Atropine Sulphate) ซึ่งก็ให้ผลดี แต่ข้อคำนึงถึง คือ ยานี้มีผลทำให้สารพิคั่งค้างในลำไส้เล็กได้นานขึ้น และมีการดูดซึม สาร พิษกลับเข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
          3.ให้ยาน้ำคาโอลิน-เพ็คติน (Kaolin-Pectin) เพื่อให้ยานี้เคลือบเยื่อลำไส้และดูดซับสารพิษ ต่าง ๆ แต่ควรให้เมื่อสามารถระงับอาเจียนได้แล้ว
          4.ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
          5.ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จนกระทั่งอาการท้องร่วงทุเราลง การป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามเวลาที่เหมาะสม ครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุได้ 2-2 เดือนครึ่ง และฉีดกระตุ้น ซ้ำเมื่ออายุได้ 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน หลังจากนั้นควรฉีดให้สุนัขทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง (หมายเหตุ เนื้อเรื่องมี 2 เรื่อง)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อจากเชื้อไวรัส (Canine viral Enteritis)
          พบมากในสุนัขอายุ 2 - 6 เดือน
          สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Parvovirus , Coronavirus
          อาการ หลังจากรับเชื้อเข้าไป 7 - 10 วัน สุนัขจะเริ่มอาเจียนบ่อย มีไข้สูงต่ำสลับกัน เบื่ออาหาร ซึม อุจจาระเหลว ท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีน้ำตาล หรือปนแดง กลิ่นเหม็นมาก ช็อคจากการสูญเสียน้ำ เลือด และ พลังงาน ลูกสุนัขจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องมาจาก เชื้อไวรัสทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การติดต่อ ทางการสัมผัส หรือติดเชื้อจากอุจจาระของสุนัขที่ป่วย
การรักษา ไม่มียารักษาโดยตรง ต้องให้ยาช่วยตามอาการ แก้ไขภาวะขาดน้ำ ลดอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำหลังจากครั้งแรก 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดทุกๆปี ปีละครั้ง

ทำไม? สุนัขจึงถ่ายเหลวบางตัวถ่ายไม่หยุดนอนหมดแรง และมักเกิดร่วมกับอาการอาเจียน

          โดยเฉพาะในลูกสุนัข ที่มักมีอาการรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ในเวลาอันรวดเร็วเป็นชั่วโมง หรือ 1-2 วัน แตกต่างจากในสุนัขโตอายุมากกว่า 1 ปี ที่มักพบอาการถ่ายเหลวจนเรื้อรัง คือ มีอาการถ่ายเหลวนานเกิน 7 วัน ทั้งๆ ที่สามารถกินอาหารได้ปกติ บางตัวกินอาหารเก่ง กินน้ำเก่ง แต่ร่างกายกลับดูผอมลง และมีน้ำหนักตัวลดลง อาการที่กล่าวมาข้างต้น ในสุนัขโตมันอันตราย แต่มักไม่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สุนัขจะมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด บางตัวมีเลือดปน ในช่วงนั้นจะเริ่มมีอันตรายมากขึ้น อาการท้องเสียที่พบในสุนัขโต มักพบเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ โดยเฉพาะส่วนของลำไส้เล็ก เราเรียกกลุ่มอาการนี้ เป็นภาษาอังกฤษว่า Inflammatory Bowel Disease (IBD) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดการอักเสบหนาตัวขึ้นของลำไส้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte , Plasma cell , Eosinophil มาสะสมเป็นจำนวนมากที่ลำไส้ ก่อนให้การรักษาสัตวแพทย์จะต้องมีการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือด (Albumin , Globulin) ค่าซีรั่มในเลือด และการตรวจ Biopsy ของลำไส้ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปว่าสาเหตุเกิดจากกลุ่มอาการนี้ก่อนให้ยา

สาเหตุของการท้องเสียที่พบโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 2 แห่ง คือ

          1. จากทางเดินอาหารโดยตรง คือกระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
          2. จากระบบอื่นในร่างกายที่ไม่ใช่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรค Hyperthyroid พบบ่อยในแมว,โรค hypoadenocorticsm

การแบ่งประเภทการเกิดท้องเสียตามอาการที่เกิดแบ่งได้ 2 แบบคือ
1. แบบเฉียบพลัน
a. จากอาหารที่ให้กินมากเกินไป การเปลี่ยนอาหารทันที หรืออาหารให้กินไม่สะอาด บูดเน่า
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ ได้แก่พยาธิ์ใส้เดือน พยาธิ์ปากขอ
c. จากโปรโตซัว ได้แก่เชื้อ Gliardia Coccidia
d. จากการติดเชื้อ ได้แก่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย
e. จากการได้รับสารพิษต่างๆ เช่น สารพิษตะกั่ว

2. แบบเรื้อรัง
a. จากอาหาร ได้แก่ การแพ้อาหารที่กิน การขาดแลคโตส
b. จากพยาธิ์ในลำไส้ และโปรโตซัว
c. การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการเกิด Bacteria overgrowth ในลำไส้เล็ก (SIBO)
d. จากการสะสมของเซลเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil Plasma Cell Lymphocyte โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน พบบ่อย ในสุนัขพันธุ์บอกเซอร์ อัลเซเชียน เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น IBD
e. การเกิดเนื้องอกที่ทางเดินอาหาร เช่น Diffuse Lymphosarcoma , Adenocarcinoma

          กลุ่มอาการ IBD ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีน ในทางเดินอาหาร ในปัจจุบันการรักษาแผนใหม่ ที่จะควบคุมอาการดังกล่าว นอกจากใช้ยาลดการอักเสบจำพวกเสตียร์รอยด์ที่ใช้ในการรักษาเบื้องต้น ไม่สามารถจะให้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยา จึงมีการพิจารณาในเรื่องของอาหาร ที่ให้สัตว์กินในระยะยาวร่วมด้วย
           อาหารที่จะต้องใช้ ควรให้อาหารที่มีการควบคุมชนิดของโปรตีน ที่ย่อยง่าย และมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นอยู่ในอาหารด้วย ลดปริมาณไขมันในอาหารท้องเสีย เพราะการที่ไขมันสูงทำให้การดูดซึมอาหาร ที่กินเข้าไปน้อยลงโดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาของตับอ่อนอักเสบ หรือการขาดเอ็นไซม์ของตับอ่อน ไม่ควรให้กินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไขมัน โดยทั่วไปจะเลือกเป็นอาหาร ที่ทำให้เกิดการแพ้น้อยที่สุดพบว่า Eukanuba Low-Residue เป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษา
นอกจากนี้อาจเกิดมาจากการอักเสบของถุงน้ำดีในร่างกายทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ก่อนการพิจารณาเลือกชนิดของอาหารที่จะให้แก่สัตว์ที่มีอาการท้องเสีย ควรจะทราบก่อนว่าการท้องเสียนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร และโดยทั่วไปอาหารที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

          1. เป็นอาหารที่ย่อยง่าย
          2. มาจากแหล่งอาหารโปรตีนอย่างเดียวและมีคุณค่าทางโปรตีนแต่ไม่สูงเกินไป เช่น โปรตีนจากเนื้อแกะ กระต่าย ไก่ ปลา กวาง 3. มาจากแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตแหล่งเดียวปราศจาก Gluten ควรใช้แหล่งจากข้าว มันฝรั่ง มันสัมปะหลัง ข้าวโพด (บางตัวอาจแพ้ข้าโพด)
          4. ปรับปริมาณของกรดไขมันในอาหาร (Omega3-Omega6 ratio 5:1-10:1)
          5. มีปริมาณสายใยอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป (3-7 เปอร์เซนต์ของอาหารสายใยทั้งหมด)

          6. มี fermentable fiber ที่พอดี
          7. ลดปริมาณไขมัน


8565
โรคที่มักพบ / โรคพยาธิหนอนหัวใจ
« เมื่อ: 13 พ.ย. 56, 13:10:54น. »


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
           ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae) ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วยเป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูกดูดกินจากตัวสุนัข ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุง
เมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค) ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3 เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่
เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้

คำถาม & คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข.
          • "สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"
          • "สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม่"
          • "จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          • "เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"
          • "จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร
 
"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม"
          สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ เข้ามาภายในบ้านได้ สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่ ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข หรือแมวตัวอื่นๆ หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ indoors or out.

 


"สุนัขบางตัวมีความไวต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจใช่หรือไม" ยังไม่มีรายงานการศึกษาใดๆ ที่ชี้ว่าสุนัขตัวใด สายพันธุ์ใดมีภูมิต้านทานต่อโรคพยาธิหนอนหัวใจ

 


"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"
          ที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่ มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้ แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง



"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม"
          ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์


"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"
          ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน