แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

8431


หลังจากเลือกซื้อปั๊กได้มาจากกระทู้ก่อนเเล้วนะค่ะ (คาดว่า คงจะได้มาตอนอายุ เดือนครึ่ง ถึง สองเดือน) ให้นำกลับมาที่บ้านก่อน จัดหาสถานที่อยู่ที่สะอาดที่สุด เช็ดถูกรง และ พื้นอย่างดี ด้วยน้ำยา แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเช็ดให้แห้ง แล้วปล่อยสุนัขลงเดิน ขับถ่าย ต่างๆ ในบริเวณนั้นๆให้เขาคุ้นเคยกับสถานที่ (ควรเป็นสถานที่เงียบๆ) หลังจากนั้น เอาอาหาร ใส่ชาม แล้ววางไว้ในกรง เอาเขาเข้ากรง ให้กินในกรงจะได้รู้ว่า เข้ากรงแล้วอิ่ม ไม่กลัวกรงจากนั้น ให้ปิดกรง อย่าเอาเขาออกมาอุ้มบ่อยๆ

(ต่อ)
เราอาจสงสัยว่า ลูกสุนัขที่ได้มานั้น ฉีดวัคซีนแล้วหรือยังอันนี้ เราต้องตรวจสอบจากผู้ขายให้เราหรือฟาร์มว่าฉีดมากี่เข็มเเล้ว
วัคซีนสำหรับลูกสุนัขนั้นอาจจะแบ่งได้คร่าวๆ ง่ายๆ ดังนี้
1 วัคซีนรวม
2 วัคซีนรวมห้าโรค
3 วัคซีนกันพิษสุนัขบ้า
**หมายเหตุ วัคซีนตัวอื่นนั้น อาจฉีดแยก โดยไม่ฉีดวัคซีนรวมได้

การฉีดวัคซีนนั้น จะเริ่มฉีด ก็ต่อเมื่อ ลูกสุนัข มีอายุ 2 เดือนขึ้นไปและ ไม่เป็นหวัดอยู่ ต้องแข็งแรง และ ต้องหลังจากที่มาที่บ้าน 1 สัปดาห์เพราะ สุนัขเปลี่ยนที่อยู่ ถ้าไปฉีดตอนนั้น วัคซีนจะไม่เกิดผลเท่าที่ควรค่ะ

(ต่อ)
ถ้าไปคลินิก ก็บอกว่า ให้ฉีดวัคซีนรวมห้าโรคนะค่ะพอจบโปรแกรมวัคซีนรวมแล้ว ก็จะเริ่มฉีด วัคซีนพิษสุนัขบ้า แต่ข้อควรระวังมีอยู่ดังนี้ค่ะ

1 สุนัขเมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ต้องนวดๆ ตรงบริเวณที่ฉีดเพื่อให้วัคซีนกระจายออกไป ไม่รวมกัน จะได้ไม่เกิดเป็นไตเเข็งๆนะค่ะ ถ้าเกิดเป็นไตแข็งๆ กว่าจะหายก็นาน

2 ให้เฝ้าคอยมาดูสุนัขบ่อยๆ เพราะ สุนัขอาจเกิดอาการแพ้วัคซีนซึ่งมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวนอาการที่บอกมา คือหน้าตาบวม ตัวเป็นผื่น เป็นไข้สูง อาเจียน หายใจถี่ ชัก ฯลฯให้รีบพาสุนัขไปหาสัตว์แพทย์ หรือ ให้ยาแก้แพ้กับสุนัข( 1/4 ของเม็ด)แต่ยาแก้แพ้ ก็มีหลายยี่ห้ออาจเกิดผลไม่ทันใจ ต้องรอเป็นชั่วโมงดังนั้น ไปให้คุณหมอฉีดยาแก้แพ้ให้จะให้ผลเร็วกว่า และ ป้องกันการเกิดเหตุสุดวิสัยครับ

(ต่อ)
ลูกสุนัข ต้องการอาหารทุกหมู่ แต่ผักบางอย่างเขาก็กินไม่ได้ อย่าลืมว่าสุนัขของเรา เป็นสัตว์กินเนื้อดังนั้น หากไม่ให้กินอาหารเม็ด ก็ควรให้กินเนื้อสัตว์ที่สุกดีแล้ว อย่างเช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว ส่วนเนื้อหมูนั้นไม่ค่อยแนะนำ เพราะทำให้ขนร่วงกว่ากินเนื้ออื่นยกเว้นว่า ใช้วิธีการให้อาหารเเบบ บาฟ(เนื้อสดๆสด)ซึ่งหากใช้บาฟ ควรไม่ลืมการถ่ายพยาธิตัวกลมและตัวแบนทุกๆ เดือนอย่างเคร่งครัดอาหารเม็ด สำหรับลูกสุนัขในขั้นแรก ควรแช่อาหารเม็ดด้วยน้ำสะอาดเป็นเวลา20 นาที ก่อนที่จะให้สุนัขทาน เพราะอาหารเม็ดจะบวมน้ำ ทำให้นิ่มแหละเหมาะสำหรับลูกสุนัขที่ฟันเพิ่งขึ้นแล้วไม่ติดคอด้วย แถมยังหัดให้เคี้ยวอาหารการเลือกซื้ออาหาร มีแนวทางดังนี้

ให้พิจารณาใน 3 วิธีนี้ค่ะ
1 อาหารเม็ดเกรดพรีเมี่ยม+แคลเซียม+วิตามิน
2 อาหารเม็ดเกรดปานกลาง+แคลเซียม+วิตามิน+น่องไก่
3 อาหารเม็ดเกรดค่อนข้างต่ำ+แคลเซียม+วิตามิน

วิธีที่ 1 และ 2 เหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แต่หากเลือกวิธีที่สาม ก็ควรจะมีการสลับเป็น 1 หรือ 2 บ้างในบางสัปดาห์ เพราะ

วิธีที่3 จะทำให้สุนัขผอม เพราะ ส่วนผสมของอาหารเกรดต่ำนั้นจะไม่ให้คุณค่าเพียงพอกับความต้องการของน้องหมาจึงควรจะเสริมอาหารสด หรือ อย่างอื่นเพิ่มเข้าไปด้วยหากเราลองมาคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละแนวทางแล้วจึงค่อยตกลงใจในการเลือกวิธี ก็ไม่ผิดค่ะ

(ต่อ) : โปรตีน ที่ดีสร้างกล้ามเนื้อ โปรตีนแย่ๆ เสียดายเงิน

เรื่องความสำคัญของ ส่วนประกอบอาหาร และ ประโยชน์ที่ให้กับตัวสุนัขนั้นเป็นเรื่องที่ ผู้เลี้ยง จะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ส่วนประกอบของอาหาร ที่ควรพิจารณา คือ โปรตีน ค่ะ

โปรตีน มีหน้าที่ เสริมสร้างกล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกายสุนัข ลูกสุนัขจำเป็นต้องกินโปรตีนมากๆ เพื่อที่จะเอาไปใช้ในการพัฒนาการของโครงสร้างกล้ามเนื้อต่างๆ ให้เฟิร์มขึ้นมาที่ละน้อย สำหรับปีแรก ควรเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนมากๆ ไว้ก่อน แต่ จำไว้ว่า โปรตีน ก็มีหลายตัว โปรตีนที่ใช้ในอาหารลูกสุนัข มีขนาดโมเลกุลไม่เท่ากัน และ บางครั้ง อาหารบางชนิดก็ยังบดกระดูกสัตว์ปนมาเป็นส่วนผสม ซึ่งตรงนี้ คือข้อแตกต่างระหว่างอาหารสุนัขที่ดี และ ไม่ดี ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนลักษณะนี้ด้วย (อ่านข้างถุงดู ว่ามีส่วนผสมการบดกระดูกลงไปหรือเปล่า) เพราะว่า สุนัขจะได้รับโปรตีนชนิดที่ไม่ดีเข้าไปในร่างกาย และ นำไปใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อไม่ค่อยได้
ดังนั้น หากเราคิดว่าซื้ออาหารสุนัขราคาถูก แล้วค่อยไปเสริมด้วยเนื้อสัตว์ในทุกๆ มื้อของการให้อาหาร จึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าให้กินอาหารชนิดนั้นๆ แบบเพียวๆ

เรื่องปริมาณอาหาร และ ระยะเวลา
ถ้าจะคำนวนระยะเวลาของการใช้อาหารเม็ดจนหมดถึง จะต้องรู้ว่า สุนัขของเราน้ำหนัก
เท่าไหร่ก่อนค่ะ สำหรับอัตราการกินอาหารของสุนัข ต่อ วัน คือ กินอาหารอย่างน้อย3% ของ น้ำหนักตัวสุนัข ต่อ 1 วันนะครับ ตัวอย่างคือ ถ้าสุนัขหนัก 1 กิโล ก็ต้องกินอย่างน้อยวันละ 300 กรัม ครับ (แต่แนะนำ ให้เป็น 3% ต่อมื้อ ไม่ใช่ต่อวัน)
ตารางเปรียบเทียบความถี่การให้อาหาร สำหรับลูกสุนัข

อายุ 2 เดือน   4 มื้อ/วัน   เวลาอาหาร 6.00 12.00 18.00 22.00
อายุ 4 เดือน   3 มื้อ/วัน   เวลาอาหาร 6.00 12.00 18.00
อายุ 6 เดือน-1ปี   3 มื้อ/วัน  เวลาอาหาร 6.00 12.00 21.00


8432


หลังจากเลือกซื้อปั๊กได้มาจากกระทู้ก่อนเเล้วนะค่ะ (คาดว่า คงจะได้มาตอนอายุ เดือนครึ่ง ถึง สองเดือน) ให้นำกลับมาที่บ้านก่อน จัดหาสถานที่อยู่ที่สะอาดที่สุด เช็ดถูกรง และ พื้นอย่างดี ด้วยน้ำยา แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเช็ดให้แห้ง แล้วปล่อยสุนัขลงเดิน ขับถ่าย ต่างๆ ในบริเวณนั้นๆให้เขาคุ้นเคยกับสถานที่ (ควรเป็นสถานที่เงียบๆ) หลังจากนั้น เอาอาหาร ใส่ชาม แล้ววางไว้ในกรง เอาเขาเข้ากรง ให้กินในกรงจะได้รู้ว่า เข้ากรงแล้วอิ่ม ไม่กลัวกรงจากนั้น ให้ปิดกรง อย่าเอาเขาออกมาอุ้มบ่อยๆ

(ต่อ)
เราอาจสงสัยว่า ลูกสุนัขที่ได้มานั้น ฉีดวัคซีนแล้วหรือยังอันนี้ เราต้องตรวจสอบจากผู้ขายให้เราหรือฟาร์มว่าฉีดมากี่เข็มเเล้ว
วัคซีนสำหรับลูกสุนัขนั้นอาจจะแบ่งได้คร่าวๆ ง่ายๆ ดังนี้
1 วัคซีนรวม
2 วัคซีนรวมห้าโรค
3 วัคซีนกันพิษสุนัขบ้า
**หมายเหตุ วัคซีนตัวอื่นนั้น อาจฉีดแยก โดยไม่ฉีดวัคซีนรวมได้

การฉีดวัคซีนนั้น จะเริ่มฉีด ก็ต่อเมื่อ ลูกสุนัข มีอายุ 2 เดือนขึ้นไปและ ไม่เป็นหวัดอยู่ ต้องแข็งแรง และ ต้องหลังจากที่มาที่บ้าน 1 สัปดาห์เพราะ สุนัขเปลี่ยนที่อยู่ ถ้าไปฉีดตอนนั้น วัคซีนจะไม่เกิดผลเท่าที่ควรค่ะ

(ต่อ)
ถ้าไปคลินิก ก็บอกว่า ให้ฉีดวัคซีนรวมห้าโรคนะค่ะพอจบโปรแกรมวัคซีนรวมแล้ว ก็จะเริ่มฉีด วัคซีนพิษสุนัขบ้า แต่ข้อควรระวังมีอยู่ดังนี้ค่ะ

1 สุนัขเมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ต้องนวดๆ ตรงบริเวณที่ฉีดเพื่อให้วัคซีนกระจายออกไป ไม่รวมกัน จะได้ไม่เกิดเป็นไตเเข็งๆนะค่ะ ถ้าเกิดเป็นไตแข็งๆ กว่าจะหายก็นาน

2 ให้เฝ้าคอยมาดูสุนัขบ่อยๆ เพราะ สุนัขอาจเกิดอาการแพ้วัคซีนซึ่งมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวนอาการที่บอกมา คือหน้าตาบวม ตัวเป็นผื่น เป็นไข้สูง อาเจียน หายใจถี่ ชัก ฯลฯให้รีบพาสุนัขไปหาสัตว์แพทย์ หรือ ให้ยาแก้แพ้กับสุนัข( 1/4 ของเม็ด)แต่ยาแก้แพ้ ก็มีหลายยี่ห้ออาจเกิดผลไม่ทันใจ ต้องรอเป็นชั่วโมงดังนั้น ไปให้คุณหมอฉีดยาแก้แพ้ให้จะให้ผลเร็วกว่า และ ป้องกันการเกิดเหตุสุดวิสัยครับ

(ต่อ)
ลูกสุนัข ต้องการอาหารทุกหมู่ แต่ผักบางอย่างเขาก็กินไม่ได้ อย่าลืมว่าสุนัขของเรา เป็นสัตว์กินเนื้อดังนั้น หากไม่ให้กินอาหารเม็ด ก็ควรให้กินเนื้อสัตว์ที่สุกดีแล้ว อย่างเช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว ส่วนเนื้อหมูนั้นไม่ค่อยแนะนำ เพราะทำให้ขนร่วงกว่ากินเนื้ออื่นยกเว้นว่า ใช้วิธีการให้อาหารเเบบ บาฟ(เนื้อสดๆสด)ซึ่งหากใช้บาฟ ควรไม่ลืมการถ่ายพยาธิตัวกลมและตัวแบนทุกๆ เดือนอย่างเคร่งครัดอาหารเม็ด สำหรับลูกสุนัขในขั้นแรก ควรแช่อาหารเม็ดด้วยน้ำสะอาดเป็นเวลา20 นาที ก่อนที่จะให้สุนัขทาน เพราะอาหารเม็ดจะบวมน้ำ ทำให้นิ่มแหละเหมาะสำหรับลูกสุนัขที่ฟันเพิ่งขึ้นแล้วไม่ติดคอด้วย แถมยังหัดให้เคี้ยวอาหารการเลือกซื้ออาหาร มีแนวทางดังนี้

ให้พิจารณาใน 3 วิธีนี้ค่ะ
1 อาหารเม็ดเกรดพรีเมี่ยม+แคลเซียม+วิตามิน
2 อาหารเม็ดเกรดปานกลาง+แคลเซียม+วิตามิน+น่องไก่
3 อาหารเม็ดเกรดค่อนข้างต่ำ+แคลเซียม+วิตามิน

วิธีที่ 1 และ 2 เหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แต่หากเลือกวิธีที่สาม ก็ควรจะมีการสลับเป็น 1 หรือ 2 บ้างในบางสัปดาห์ เพราะ

วิธีที่3 จะทำให้สุนัขผอม เพราะ ส่วนผสมของอาหารเกรดต่ำนั้นจะไม่ให้คุณค่าเพียงพอกับความต้องการของน้องหมาจึงควรจะเสริมอาหารสด หรือ อย่างอื่นเพิ่มเข้าไปด้วยหากเราลองมาคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละแนวทางแล้วจึงค่อยตกลงใจในการเลือกวิธี ก็ไม่ผิดค่ะ

(ต่อ) : โปรตีน ที่ดีสร้างกล้ามเนื้อ โปรตีนแย่ๆ เสียดายเงิน

เรื่องความสำคัญของ ส่วนประกอบอาหาร และ ประโยชน์ที่ให้กับตัวสุนัขนั้นเป็นเรื่องที่ ผู้เลี้ยง จะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ส่วนประกอบของอาหาร ที่ควรพิจารณา คือ โปรตีน ค่ะ

โปรตีน มีหน้าที่ เสริมสร้างกล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกายสุนัข ลูกสุนัขจำเป็นต้องกินโปรตีนมากๆ เพื่อที่จะเอาไปใช้ในการพัฒนาการของโครงสร้างกล้ามเนื้อต่างๆ ให้เฟิร์มขึ้นมาที่ละน้อย สำหรับปีแรก ควรเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนมากๆ ไว้ก่อน แต่ จำไว้ว่า โปรตีน ก็มีหลายตัว โปรตีนที่ใช้ในอาหารลูกสุนัข มีขนาดโมเลกุลไม่เท่ากัน และ บางครั้ง อาหารบางชนิดก็ยังบดกระดูกสัตว์ปนมาเป็นส่วนผสม ซึ่งตรงนี้ คือข้อแตกต่างระหว่างอาหารสุนัขที่ดี และ ไม่ดี ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนลักษณะนี้ด้วย (อ่านข้างถุงดู ว่ามีส่วนผสมการบดกระดูกลงไปหรือเปล่า) เพราะว่า สุนัขจะได้รับโปรตีนชนิดที่ไม่ดีเข้าไปในร่างกาย และ นำไปใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อไม่ค่อยได้
ดังนั้น หากเราคิดว่าซื้ออาหารสุนัขราคาถูก แล้วค่อยไปเสริมด้วยเนื้อสัตว์ในทุกๆ มื้อของการให้อาหาร จึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าให้กินอาหารชนิดนั้นๆ แบบเพียวๆ

เรื่องปริมาณอาหาร และ ระยะเวลา
ถ้าจะคำนวนระยะเวลาของการใช้อาหารเม็ดจนหมดถึง จะต้องรู้ว่า สุนัขของเราน้ำหนัก
เท่าไหร่ก่อนค่ะ สำหรับอัตราการกินอาหารของสุนัข ต่อ วัน คือ กินอาหารอย่างน้อย3% ของ น้ำหนักตัวสุนัข ต่อ 1 วันนะครับ ตัวอย่างคือ ถ้าสุนัขหนัก 1 กิโล ก็ต้องกินอย่างน้อยวันละ 300 กรัม ครับ (แต่แนะนำ ให้เป็น 3% ต่อมื้อ ไม่ใช่ต่อวัน)
ตารางเปรียบเทียบความถี่การให้อาหาร สำหรับลูกสุนัข

อายุ 2 เดือน   4 มื้อ/วัน   เวลาอาหาร 6.00 12.00 18.00 22.00
อายุ 4 เดือน   3 มื้อ/วัน   เวลาอาหาร 6.00 12.00 18.00
อายุ 6 เดือน-1ปี   3 มื้อ/วัน  เวลาอาหาร 6.00 12.00 21.00


8433


เอาใจคนรักน้องหมา 'พันธุ์ปั๊ก' ที่อยากจะได้น่ารักๆไว้เลี้ยงสักตัว แต่ไม่รู้จะเลือกซื้อยังไง วันนี้เรามีมาฝากกันเลยจ้า

'ปั๊ก' เป็นสุนัขอีกพันธุ์ที่น่ารักจนหลายคนอยากเลี้ยง หน้าตามึนๆ ดูน่าแกล้ง ตัวอวบอ้วนและตันน่าหมั่นเขี้ยว และเป็นสุนัขพันธุ์ที่ไม่ชอบส่งเสียงเห่า

มีอีกหลายเหตุผลที่จะรักสุนัขพันธุ์ปั๊ก และใครกำลังมองหามาเลี้ยง เราเลยเก็บข้อมูลดีๆ มาประกอบการตัดสินใจในการซื้อหรือเลือกสุนัขพันธุ์นี้มาฝากกันเล้ย

วิธีการเลือกซื้อสุนัขพันธุ์ปั๊ก

1. ศีรษะ ที่ดีมีขนาดใหญ่ ลักษณะกลม หนังศีรษะบริเวณหน้ามีรอยย่นมาก

2. หู มีขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง หูพับไปด้านหน้าหรือด้านหลัง

3. ตา สีเข้ม ลักษณธกลมโต ตาสุนัขพันธุ์ปั๊กจะโปนออดมาเล็กน้อย

4. จมูก มีสีเข้ม ลักษณะสั้นและทู่ มองไม่เห็นดั้งจมูก

5. ปาก มีขนาดสั้น รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส

6. ลำตัว เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดูกระชับได้สัดส่วน มีขนาดเล็กล่ำสัน มีกล้ามเนื้อ

7. ขา ท่อนขาเหยียดตรงตั้งฉากกับพื้น ขาซ้ายและขวาดูเป็นเส้นขนานเมื่อมองจากด้านหน้า ความยาวสมดุลกับลำตัว

8. เท้า ฝ่าเท้าหนา ดูเป็นรูปวงรี

9. หาง มีลักษณะม้วนอยู่เหนือสะโพก หางม้วนสองรอบถือว่าดี

10. ขน น้องปั๊กขนสั้น หนา 2 ชั้นและอ่อนนุ่ม

11. สีขน ปั๊กมักมีขนเป็นสีครีม น้ำตาลอ่อน หรือสีเงิน โดยต้องไม่มีสีขาวปะปนอยู่ ส่วนปั๊กสีดำอาจมีขนสีขาวที่อกหรือท้องได้ บริเวณ จมูก ปาก ใบหน้า หู และนิ้วเท้ามีมาร์กกิ้งสีดำ

ที่มา : doglike.com

8434


เอาใจคนรักน้องหมา 'พันธุ์ปั๊ก' ที่อยากจะได้น่ารักๆไว้เลี้ยงสักตัว แต่ไม่รู้จะเลือกซื้อยังไง วันนี้เรามีมาฝากกันเลยจ้า

'ปั๊ก' เป็นสุนัขอีกพันธุ์ที่น่ารักจนหลายคนอยากเลี้ยง หน้าตามึนๆ ดูน่าแกล้ง ตัวอวบอ้วนและตันน่าหมั่นเขี้ยว และเป็นสุนัขพันธุ์ที่ไม่ชอบส่งเสียงเห่า

มีอีกหลายเหตุผลที่จะรักสุนัขพันธุ์ปั๊ก และใครกำลังมองหามาเลี้ยง เราเลยเก็บข้อมูลดีๆ มาประกอบการตัดสินใจในการซื้อหรือเลือกสุนัขพันธุ์นี้มาฝากกันเล้ย

วิธีการเลือกซื้อสุนัขพันธุ์ปั๊ก

1. ศีรษะ ที่ดีมีขนาดใหญ่ ลักษณะกลม หนังศีรษะบริเวณหน้ามีรอยย่นมาก

2. หู มีขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง หูพับไปด้านหน้าหรือด้านหลัง

3. ตา สีเข้ม ลักษณธกลมโต ตาสุนัขพันธุ์ปั๊กจะโปนออดมาเล็กน้อย

4. จมูก มีสีเข้ม ลักษณะสั้นและทู่ มองไม่เห็นดั้งจมูก

5. ปาก มีขนาดสั้น รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส

6. ลำตัว เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดูกระชับได้สัดส่วน มีขนาดเล็กล่ำสัน มีกล้ามเนื้อ

7. ขา ท่อนขาเหยียดตรงตั้งฉากกับพื้น ขาซ้ายและขวาดูเป็นเส้นขนานเมื่อมองจากด้านหน้า ความยาวสมดุลกับลำตัว

8. เท้า ฝ่าเท้าหนา ดูเป็นรูปวงรี

9. หาง มีลักษณะม้วนอยู่เหนือสะโพก หางม้วนสองรอบถือว่าดี

10. ขน น้องปั๊กขนสั้น หนา 2 ชั้นและอ่อนนุ่ม

11. สีขน ปั๊กมักมีขนเป็นสีครีม น้ำตาลอ่อน หรือสีเงิน โดยต้องไม่มีสีขาวปะปนอยู่ ส่วนปั๊กสีดำอาจมีขนสีขาวที่อกหรือท้องได้ บริเวณ จมูก ปาก ใบหน้า หู และนิ้วเท้ามีมาร์กกิ้งสีดำ

ที่มา : doglike.com

8435


เอาใจคนรักน้องหมา 'พันธุ์ปั๊ก' ที่อยากจะได้น่ารักๆไว้เลี้ยงสักตัว แต่ไม่รู้จะเลือกซื้อยังไง วันนี้เรามีมาฝากกันเลยจ้า

'ปั๊ก' เป็นสุนัขอีกพันธุ์ที่น่ารักจนหลายคนอยากเลี้ยง หน้าตามึนๆ ดูน่าแกล้ง ตัวอวบอ้วนและตันน่าหมั่นเขี้ยว และเป็นสุนัขพันธุ์ที่ไม่ชอบส่งเสียงเห่า

มีอีกหลายเหตุผลที่จะรักสุนัขพันธุ์ปั๊ก และใครกำลังมองหามาเลี้ยง เราเลยเก็บข้อมูลดีๆ มาประกอบการตัดสินใจในการซื้อหรือเลือกสุนัขพันธุ์นี้มาฝากกันเล้ย

วิธีการเลือกซื้อสุนัขพันธุ์ปั๊ก

1. ศีรษะ ที่ดีมีขนาดใหญ่ ลักษณะกลม หนังศีรษะบริเวณหน้ามีรอยย่นมาก

2. หู มีขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง หูพับไปด้านหน้าหรือด้านหลัง

3. ตา สีเข้ม ลักษณธกลมโต ตาสุนัขพันธุ์ปั๊กจะโปนออดมาเล็กน้อย

4. จมูก มีสีเข้ม ลักษณะสั้นและทู่ มองไม่เห็นดั้งจมูก

5. ปาก มีขนาดสั้น รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส

6. ลำตัว เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดูกระชับได้สัดส่วน มีขนาดเล็กล่ำสัน มีกล้ามเนื้อ

7. ขา ท่อนขาเหยียดตรงตั้งฉากกับพื้น ขาซ้ายและขวาดูเป็นเส้นขนานเมื่อมองจากด้านหน้า ความยาวสมดุลกับลำตัว

8. เท้า ฝ่าเท้าหนา ดูเป็นรูปวงรี

9. หาง มีลักษณะม้วนอยู่เหนือสะโพก หางม้วนสองรอบถือว่าดี

10. ขน น้องปั๊กขนสั้น หนา 2 ชั้นและอ่อนนุ่ม

11. สีขน ปั๊กมักมีขนเป็นสีครีม น้ำตาลอ่อน หรือสีเงิน โดยต้องไม่มีสีขาวปะปนอยู่ ส่วนปั๊กสีดำอาจมีขนสีขาวที่อกหรือท้องได้ บริเวณ จมูก ปาก ใบหน้า หู และนิ้วเท้ามีมาร์กกิ้งสีดำ

ที่มา : doglike.com

8436


เอาใจคนรักน้องหมา 'พันธุ์ปั๊ก' ที่อยากจะได้น่ารักๆไว้เลี้ยงสักตัว แต่ไม่รู้จะเลือกซื้อยังไง วันนี้เรามีมาฝากกันเลยจ้า

'ปั๊ก' เป็นสุนัขอีกพันธุ์ที่น่ารักจนหลายคนอยากเลี้ยง หน้าตามึนๆ ดูน่าแกล้ง ตัวอวบอ้วนและตันน่าหมั่นเขี้ยว และเป็นสุนัขพันธุ์ที่ไม่ชอบส่งเสียงเห่า

มีอีกหลายเหตุผลที่จะรักสุนัขพันธุ์ปั๊ก และใครกำลังมองหามาเลี้ยง เราเลยเก็บข้อมูลดีๆ มาประกอบการตัดสินใจในการซื้อหรือเลือกสุนัขพันธุ์นี้มาฝากกันเล้ย

วิธีการเลือกซื้อสุนัขพันธุ์ปั๊ก

1. ศีรษะ ที่ดีมีขนาดใหญ่ ลักษณะกลม หนังศีรษะบริเวณหน้ามีรอยย่นมาก

2. หู มีขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง หูพับไปด้านหน้าหรือด้านหลัง

3. ตา สีเข้ม ลักษณธกลมโต ตาสุนัขพันธุ์ปั๊กจะโปนออดมาเล็กน้อย

4. จมูก มีสีเข้ม ลักษณะสั้นและทู่ มองไม่เห็นดั้งจมูก

5. ปาก มีขนาดสั้น รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส

6. ลำตัว เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดูกระชับได้สัดส่วน มีขนาดเล็กล่ำสัน มีกล้ามเนื้อ

7. ขา ท่อนขาเหยียดตรงตั้งฉากกับพื้น ขาซ้ายและขวาดูเป็นเส้นขนานเมื่อมองจากด้านหน้า ความยาวสมดุลกับลำตัว

8. เท้า ฝ่าเท้าหนา ดูเป็นรูปวงรี

9. หาง มีลักษณะม้วนอยู่เหนือสะโพก หางม้วนสองรอบถือว่าดี

10. ขน น้องปั๊กขนสั้น หนา 2 ชั้นและอ่อนนุ่ม

11. สีขน ปั๊กมักมีขนเป็นสีครีม น้ำตาลอ่อน หรือสีเงิน โดยต้องไม่มีสีขาวปะปนอยู่ ส่วนปั๊กสีดำอาจมีขนสีขาวที่อกหรือท้องได้ บริเวณ จมูก ปาก ใบหน้า หู และนิ้วเท้ามีมาร์กกิ้งสีดำ

ที่มา : doglike.com

8437


ถ้าพูดถึงน้องหมาตัวอวบตัน หน้าตาตลกชวนหัวเราะ และมีอุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็คงจะนึกถึงน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันใช่ไหมล่ะคะ?  ... ปั๊ก เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มองยังไงๆ ก็ไม่เบื่อ จนทำให้เหล่าคนรักสุนัขตกหลุมรักและนิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เลี้ยงหลายคนมักคิดว่า น้องหมาปั๊กโดยปกติจะต้องเป็นน้องหมาที่อ้วนท้วนถึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู จึงเลี้ยงน้องหมาแบบตามใจปากด้วยอาหารสารพัดชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปั๊กเป็นน้องหมาที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับน้องหมาเพื่อไม่ให้น้องหมามี “ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือเป็นโรคอ้วนค่ะ

     “เทคนิคการเลี้ยงการดูแล” วันนี้ ปังปอนด์เลยจะชวนเพื่อน ๆ  มาเรียนรู้วิธีการดูแลเรื่องอาหารสำหรับน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันโดยเฉพาะ  และเรียนรู้การควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนกันค่ะ ...



โรคอ้วน ... ปัญหาใหญ่ของสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
 
     ด้วยรูปร่างลักษณะที่ อ้วน สั้น ตัน กลม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้องหมาปั๊กถึงมีรายชื่อติดอยู่ในโผ  1ใน 10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ได้ง่ายสายพันธุ์หนึ่ง ... นั่นก็เพราะปั๊กเป็นน้องหมาที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็มักจะกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ กินจุแบบนอนสต็อปนั่นล่ะค่ะ ซึ่งถ้าหากเรามองย้อนกลับไปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้น้องหมาหมาเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการกินของน้องหมา , พันธุกรรม , ช่วงอายุ , เพศ , การทำหมัน , การออกกำลังกาย , โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ 

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้น้องหมาปั๊กอ้วนนั้น ส่วนมากก็มักจะเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ วิธีการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบให้อาหารตามใจปากน้องหมา ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อเห็นน้องหมาส่งสายตาวิงวอนขออาหารสุดโปรดไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกรมควัน ตับย่าง เนื้อไก่ เนื้อหมู ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั่นก็คือ การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพให้น้องหมาปั๊กต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่าง ๆ ในอนาคต และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอ้วนคือ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่งผลให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนโดยพบข้อมูลว่า น้องหมาที่เลี้ยงอยู่ตามอาพาร์ตเม้นท์และคอนโดที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นโรคอ้วนถึง 31% ในขณะที่น้องหมาที่เลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นในสนามหญ้าเป็นโรคอ้วน 23% เท่านั้นค่ะ ...
 


     สำหรับผู้เลี้ยงที่ชอบมอบอาหารของคนให้กับน้องหมา รู้ไหมคะว่านั่นถือเป็นการทำร้ายน้องหมาทางอ้อม เพราะในอาหารของคน ส่วนมากมักจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก และยังถูกปรุงรส หวาน มัน เค็ม ใส่สี กลิ่น สารกันบูด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตับ ไต อวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเมนูสุดโปรดของน้องหมาส่วนมาก เช่น ตับย่าง ที่มีฟอสฟอรัสอยู่มาก เมื่อน้องหมากินบ่อย ๆ ก็จะได้รับสารอาหารชนิดเดิม ๆ เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด ก็จะตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ ร่างกายก็จะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้นั่นเองค่ะ



โภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับปั๊ก

     สำหรับเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับ น้องหมาปั๊ก สายพันธุ์ที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่ายนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องอาหารที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของน้องหมาไม่ให้อ้วนเกินไป โดยดูแลตั้งแต่เริ่มรับน้องหมาปั๊กตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงคือ ควรหัดให้น้องหมากินอาหารเม็ดสำเร็จรูปสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะดีที่สุดเพราะอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสมดุลเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจจะเสริมด้วยวิตามิน น้ำมันปลา กล้วย ที่จะช่วยให้น้องหมามีผิวหนังชุ่มชื้น ขนสวย ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะน้องหมาปั๊กมักจะพบปัญหาผิวหนังและขนร่วงในจำนวนมาก

     รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารของคน โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลที่มีพลังงานสูง เพราะหากน้องหมาได้รับอาหารของคน จำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปแล้วไม่ได้ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน ก็จะทำให้น้องหมาอ้วน ส่งผลต่อข้อและกระดูก และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ  เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงจะส่งผลต่ออายุของน้องหมา รวมถึงอาหารประเภททอดด้วยน้ำมัน  เช่น ลูกชิ้นทอด เนื้อหมูหรือไก่ทอด เพราะจะทำให้ผิวหนังมัน ขนร่วงมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ 5 เทคนิคเลี้ยงน้องหมาให้อายุยืน ... และบทความ ความห่วงใยผิดๆ ที่เจ้าของมักมีต่อสุนัข! )



     ส่วนน้องหมาปั๊กที่เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนแล้ว (อ่านเพิ่มเติม 7 จุดสังเกต เป็นน้องหมาอ้วน ระวัง เสี่ยงโรคร้าย ผู้เลี้ยงก็ควรจำกัดอาหารกับน้องหมาปั๊ก โดยเลือกให้อาหารที่ใช้สำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรับแต่งสูตรสำหรับใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอาหารดังกล่าวจะจำกัดปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) แต่ก็ยังคงมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่เหมาะสมกับน้องหมา โดยควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
       - เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารของน้องหมา สามารถให้น้องหมากินอาหารได้ในปริมาณปกติ เพราะอาหารสูตรดังกล่าวจะลดปริมาณของไขมัน  ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มปริมาณโปรตีน เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน พูดง่าย ๆ ว่า "อิ่มแต่ไม่อ้วน" นั่นเอง
     
       - เป็นอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณกากใย (ไฟเบอร์) มากขึ้น เพื่อให้น้องหมารู้สึกอิ่ม และช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไปในตัว แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าว ข้าวกล้อง ถั่วเขียว ถั่วแดง แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว กล้วยน้ำว้า ผักต้ม ฯลฯ
     
       - เป็นอาหารที่มีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการขาดจากการกำจัดปริมาณอาหาร

     หรือผู้เลี้ยงอาจจะเลือกทำอาหารปรุงสุกสูตรลดน้ำหนักให้น้องหมาเองก็ได้ แต่ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมากันก่อน ซึ่งการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาแต่ละตัวต่อวันนั้น ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

1.น้ำหนักตัว

2.ช่วงอายุ

3.สายพันธุ์และขนาด

     โดยการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมาแต่ละตัว ผู้เลี้ยงสามารถคำนวณตามสูตรที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยคือ  RER (kcal)  = (30×น้ำหนักตัว (กก.)) + 70 หรือใช้ โปรแกรมการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมา แบบง่าย ๆ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของน้องหมา เพียงแค่ผู้เลี้ยงเอาน้ำหนักตัวของน้องหมาไปกรอกลงในช่อง แล้วเลือกเปลี่ยนหน่วยเป็น กิโลกรัม โปรแกรมก็จำคำนวณปริมาณอาหารต่อวันที่พอดีกับออกมาให้เสร็จสรรพเลยค่ะ (อ่านเพิ่มเติม ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ )



     สำหรับเมนูอาหารปรุงสุกง่าย ๆ ที่เหมาะกับน้องหมาปั๊กก็ควรเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยจำพวก ปลา และผักที่มีกากใยสูง เช่น แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว ฯลฯ โดยวันนี้ปังปอนด์ก็มีเมนูตัวอย่าง 1 เมนูง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กับเมนู “ปลาทูนึ่งสารพัดผัก”

ส่วนผสม

ปลาทู 1 ตัว  (55 กิโลแคลอรี่)
แครอท 1/3 หัว ( 10 กิโลแคลอรี่)
ข้าวโพด 30 กรัม ( 17 กิโลแคลอรี่)
มันฝรั่ง ½ หัว (42 กิโลแคลอรี่)
บร็อคโคลี่ 50 กรัม (16.5 กิโลแคลอรี่)

วิธีทำ

     ล้างปลาทูให้สะอาดจากนั้นนำไปนึ่งในหม้อนึ่งปรมาณ 15 นาที หรือจนกว่าปลาทูจะสุกจากนั้นนำปลาทูออกมาพักไว้จนเย็น หั่นผักต่าง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าลูกเต๋า นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที จากนั้นแกะเนื้อปลาทูใส่ถ้วยพร้อมกับนำผักทั้งหมดที่ต้มเสร็จแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความน่ากิน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เจ้าปั๊กตัวแสบจ้า ... สำหรับการปรุงจะเห็นว่าเราจะไม่ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป เพราะรสชาติสำหรับน้องหมาไม่สำคัญเท่ากลิ่น ซึ่งกลิ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การใส่สารปรุงรสจึงไม่มีความจำเป็นเลยล่ะค่ะ (อ่านเพื่มเติมบทความ ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ)
 

โปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก

     สำหรับโปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ให้อาหาร 2 มื้อ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยให้ผู้เลี้ยงวางอาหารทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หากน้องหมาไม่กินก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อให้น้องหมาเรียนรู้การกินอาหารในเวลาที่แน่นอน การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมารู้ตัวว่าถ้าไม่ทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารอีก ...  และไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ทั้งวัน หรือเติมอาหารไว้เต็มชามตลอดเวลา เพราะจะส่งผลให้น้องหมามีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา อยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนจากภาวะที่กรดในกระเพาะหลั่งออกมามากจนระคายเคืองทางเดินอาหาร  หรือกินตลอดเวลาจนเป็นโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นจนอาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้ และยังส่งผลทำให้เกิดการเจริญที่ผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อีกด้วยค่ะ

     หลักสำคัญในการดูแลควบคุมโปรแกรมอาหารเพื่อไม่ให้น้องหมาปั๊กเกิดภาวะน้ำหนักเกินคือ ผู้เลี้ยงต้องมีระเบียบวินัย ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใจแข็งไม่โอนอ่อนต่อสายตาน้องหมาเวลาขออาหารเพราะน้องหมาปั๊กจะหิวอยู่ตลอดเวลา หากให้อาหารแบบตามใจจากเลี้ยงน้องหมาก็จะกลายเป็นได้เลี้ยงน้องหมูไว้ในบ้านแน่นอนค่ะ ยังไงก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ รับรองว่าปัญหาโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาจะหมดไป และไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเป็นกังวลอย่างแน่นอนค่ะ
 


     และถึงแม้ว่าน้องหมาปั๊กจะเป็นน้องหมาที่เรียกได้ว่า กินเก่ง กินจุ แต่ในบางครั้งก็พบว่า น้องหมาปั๊กบางตัวก็มีปัญหาเลือกกิน กินยากไปเสียดื้อ  ๆ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากน้องหมาเบื่อในกลิ่นและรสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการ ค่อย ๆ เปลี่ยนสูตรอาหารที่มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไป โดยไม่ควรเปลี่ยนอาหารในทันที เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารทำให้น้องหมาท้องเสียได้ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารนี้จะใช้วิธีเดียวกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัข ซึ่งเพื่อนๆ ที่มีลูกสุนัขก็สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ วางแผนการให้อาหารลูกสุนัขมาใหม่อย่างถูกวิธี

     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องคอยสังเกตดูอุจจาระของน้องหมาว่า กินอาหารแล้วเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะ กลิ่น สี แย่ลงมั้ย กินอาหารใหม่แล้วถ่ายยากขึ้นหรือถ่ายเหลวไหม กินอาหารแล้วน้องหมากินน้ำมากขึ้นหรือเปล่า และสุดท้ายที่ต้องใช้เวลาในการสังเกตกันสักหน่อยคือ การเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของน้องหมาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อกินอาหารสูตรใหม่ในปริมาณเท่ากับสูตรเก่า เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่าร่างกายน้องหมาสามารถเอาไปใช้ได้ดีแค่ไหนหรือเกิดการสะสมมากกว่าสูตรเก่าหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีเราก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาแต่ละตัวด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยนะคะ



ออกกำลังกายควบคู่การควบคุมอาหาร

     นอกจากเรื่องอาหารที่ผู้เลี้ยงต้องคอยควบคุมให้น้องหมาปั๊กอยู่เสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นพาน้องหมาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงาน แต่ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงก็ควรระมัดระวังในเรื่องโปรแกรมการออกกำลังกายของน้องหมากันด้วยนะคะ เพราะว่า ปั๊ก เป็นจัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้นที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรให้น้องหมาปั๊กออกกำลังกายหนัก ๆ และใช้เวลานาน โดยผู้เลี้ยงควรจัดตารางการออกกำลังกายให้น้องหมาปั๊ก โดยอาจจะขอคำปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อจัดตารางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้อหมาแต่ละตัวจะดีที่สุด

     สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาปั๊กควรเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น พาไปเดินหรือวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะ โดยใช้เพียงแค่ 10- 15 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จากนั้นให้กลับมาออกกำลังกายใหม่ หรืออาจจะสังเกตดูจากอาการหอบของน้องหมาที่จะแสดงออกมาตอนเหนื่อยก็ได้ค่ะ อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นเกมส์ฝึกสมอง โยนลูกบอล ดึงเชือก เพื่อกระตุ้นให้น้องหมาได้ออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ

    เกร็ดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรลืมคือ ผู้เลี้ยงควรให้น้ำน้องหมากินก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัดกันด้วยนะคะ



     น้องหมาปั๊กเป็นน้องหมาที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนโรคอ้วนได้ง่าย ซึ่งเราต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารให้น้องหมา และมีการจัดการโภชนาการอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงผู้เลี้ยงเองต้องมีระเบียบวินัยในการให้อาหารน้องหมา รวมถึงหมั่นพาเขาไปออกกำลังกายและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่น้องหมาแสนรักของเราจะได้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และจะได้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ เลยยังไงล่ะค่ะ ... สำหรับสัปดาห์หน้า เราก็จะยังมีบทความเกี่ยวกับน้องหมาปั๊กกันอยู่ ใครที่น้องหมามีปัญหาเรื่องผิวหนังและขนก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

ที่มา : Dogilike.com

8438


ถ้าพูดถึงน้องหมาตัวอวบตัน หน้าตาตลกชวนหัวเราะ และมีอุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็คงจะนึกถึงน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันใช่ไหมล่ะคะ?  ... ปั๊ก เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มองยังไงๆ ก็ไม่เบื่อ จนทำให้เหล่าคนรักสุนัขตกหลุมรักและนิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เลี้ยงหลายคนมักคิดว่า น้องหมาปั๊กโดยปกติจะต้องเป็นน้องหมาที่อ้วนท้วนถึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู จึงเลี้ยงน้องหมาแบบตามใจปากด้วยอาหารสารพัดชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปั๊กเป็นน้องหมาที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับน้องหมาเพื่อไม่ให้น้องหมามี “ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือเป็นโรคอ้วนค่ะ

     “เทคนิคการเลี้ยงการดูแล” วันนี้ ปังปอนด์เลยจะชวนเพื่อน ๆ  มาเรียนรู้วิธีการดูแลเรื่องอาหารสำหรับน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันโดยเฉพาะ  และเรียนรู้การควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนกันค่ะ ...



โรคอ้วน ... ปัญหาใหญ่ของสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
 
     ด้วยรูปร่างลักษณะที่ อ้วน สั้น ตัน กลม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้องหมาปั๊กถึงมีรายชื่อติดอยู่ในโผ  1ใน 10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ได้ง่ายสายพันธุ์หนึ่ง ... นั่นก็เพราะปั๊กเป็นน้องหมาที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็มักจะกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ กินจุแบบนอนสต็อปนั่นล่ะค่ะ ซึ่งถ้าหากเรามองย้อนกลับไปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้น้องหมาหมาเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการกินของน้องหมา , พันธุกรรม , ช่วงอายุ , เพศ , การทำหมัน , การออกกำลังกาย , โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ 

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้น้องหมาปั๊กอ้วนนั้น ส่วนมากก็มักจะเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ วิธีการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบให้อาหารตามใจปากน้องหมา ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อเห็นน้องหมาส่งสายตาวิงวอนขออาหารสุดโปรดไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกรมควัน ตับย่าง เนื้อไก่ เนื้อหมู ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั่นก็คือ การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพให้น้องหมาปั๊กต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่าง ๆ ในอนาคต และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอ้วนคือ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่งผลให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนโดยพบข้อมูลว่า น้องหมาที่เลี้ยงอยู่ตามอาพาร์ตเม้นท์และคอนโดที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นโรคอ้วนถึง 31% ในขณะที่น้องหมาที่เลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นในสนามหญ้าเป็นโรคอ้วน 23% เท่านั้นค่ะ ...
 


     สำหรับผู้เลี้ยงที่ชอบมอบอาหารของคนให้กับน้องหมา รู้ไหมคะว่านั่นถือเป็นการทำร้ายน้องหมาทางอ้อม เพราะในอาหารของคน ส่วนมากมักจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก และยังถูกปรุงรส หวาน มัน เค็ม ใส่สี กลิ่น สารกันบูด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตับ ไต อวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเมนูสุดโปรดของน้องหมาส่วนมาก เช่น ตับย่าง ที่มีฟอสฟอรัสอยู่มาก เมื่อน้องหมากินบ่อย ๆ ก็จะได้รับสารอาหารชนิดเดิม ๆ เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด ก็จะตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ ร่างกายก็จะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้นั่นเองค่ะ



โภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับปั๊ก

     สำหรับเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับ น้องหมาปั๊ก สายพันธุ์ที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่ายนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องอาหารที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของน้องหมาไม่ให้อ้วนเกินไป โดยดูแลตั้งแต่เริ่มรับน้องหมาปั๊กตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงคือ ควรหัดให้น้องหมากินอาหารเม็ดสำเร็จรูปสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะดีที่สุดเพราะอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสมดุลเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจจะเสริมด้วยวิตามิน น้ำมันปลา กล้วย ที่จะช่วยให้น้องหมามีผิวหนังชุ่มชื้น ขนสวย ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะน้องหมาปั๊กมักจะพบปัญหาผิวหนังและขนร่วงในจำนวนมาก

     รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารของคน โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลที่มีพลังงานสูง เพราะหากน้องหมาได้รับอาหารของคน จำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปแล้วไม่ได้ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน ก็จะทำให้น้องหมาอ้วน ส่งผลต่อข้อและกระดูก และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ  เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงจะส่งผลต่ออายุของน้องหมา รวมถึงอาหารประเภททอดด้วยน้ำมัน  เช่น ลูกชิ้นทอด เนื้อหมูหรือไก่ทอด เพราะจะทำให้ผิวหนังมัน ขนร่วงมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ 5 เทคนิคเลี้ยงน้องหมาให้อายุยืน ... และบทความ ความห่วงใยผิดๆ ที่เจ้าของมักมีต่อสุนัข! )



     ส่วนน้องหมาปั๊กที่เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนแล้ว (อ่านเพิ่มเติม 7 จุดสังเกต เป็นน้องหมาอ้วน ระวัง เสี่ยงโรคร้าย ผู้เลี้ยงก็ควรจำกัดอาหารกับน้องหมาปั๊ก โดยเลือกให้อาหารที่ใช้สำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรับแต่งสูตรสำหรับใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอาหารดังกล่าวจะจำกัดปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) แต่ก็ยังคงมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่เหมาะสมกับน้องหมา โดยควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
       - เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารของน้องหมา สามารถให้น้องหมากินอาหารได้ในปริมาณปกติ เพราะอาหารสูตรดังกล่าวจะลดปริมาณของไขมัน  ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มปริมาณโปรตีน เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน พูดง่าย ๆ ว่า "อิ่มแต่ไม่อ้วน" นั่นเอง
     
       - เป็นอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณกากใย (ไฟเบอร์) มากขึ้น เพื่อให้น้องหมารู้สึกอิ่ม และช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไปในตัว แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าว ข้าวกล้อง ถั่วเขียว ถั่วแดง แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว กล้วยน้ำว้า ผักต้ม ฯลฯ
     
       - เป็นอาหารที่มีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการขาดจากการกำจัดปริมาณอาหาร

     หรือผู้เลี้ยงอาจจะเลือกทำอาหารปรุงสุกสูตรลดน้ำหนักให้น้องหมาเองก็ได้ แต่ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมากันก่อน ซึ่งการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาแต่ละตัวต่อวันนั้น ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

1.น้ำหนักตัว

2.ช่วงอายุ

3.สายพันธุ์และขนาด

     โดยการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมาแต่ละตัว ผู้เลี้ยงสามารถคำนวณตามสูตรที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยคือ  RER (kcal)  = (30×น้ำหนักตัว (กก.)) + 70 หรือใช้ โปรแกรมการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมา แบบง่าย ๆ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของน้องหมา เพียงแค่ผู้เลี้ยงเอาน้ำหนักตัวของน้องหมาไปกรอกลงในช่อง แล้วเลือกเปลี่ยนหน่วยเป็น กิโลกรัม โปรแกรมก็จำคำนวณปริมาณอาหารต่อวันที่พอดีกับออกมาให้เสร็จสรรพเลยค่ะ (อ่านเพิ่มเติม ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ )



     สำหรับเมนูอาหารปรุงสุกง่าย ๆ ที่เหมาะกับน้องหมาปั๊กก็ควรเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยจำพวก ปลา และผักที่มีกากใยสูง เช่น แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว ฯลฯ โดยวันนี้ปังปอนด์ก็มีเมนูตัวอย่าง 1 เมนูง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กับเมนู “ปลาทูนึ่งสารพัดผัก”

ส่วนผสม

ปลาทู 1 ตัว  (55 กิโลแคลอรี่)
แครอท 1/3 หัว ( 10 กิโลแคลอรี่)
ข้าวโพด 30 กรัม ( 17 กิโลแคลอรี่)
มันฝรั่ง ½ หัว (42 กิโลแคลอรี่)
บร็อคโคลี่ 50 กรัม (16.5 กิโลแคลอรี่)

วิธีทำ

     ล้างปลาทูให้สะอาดจากนั้นนำไปนึ่งในหม้อนึ่งปรมาณ 15 นาที หรือจนกว่าปลาทูจะสุกจากนั้นนำปลาทูออกมาพักไว้จนเย็น หั่นผักต่าง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าลูกเต๋า นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที จากนั้นแกะเนื้อปลาทูใส่ถ้วยพร้อมกับนำผักทั้งหมดที่ต้มเสร็จแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความน่ากิน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เจ้าปั๊กตัวแสบจ้า ... สำหรับการปรุงจะเห็นว่าเราจะไม่ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป เพราะรสชาติสำหรับน้องหมาไม่สำคัญเท่ากลิ่น ซึ่งกลิ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การใส่สารปรุงรสจึงไม่มีความจำเป็นเลยล่ะค่ะ (อ่านเพื่มเติมบทความ ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ)
 

โปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก

     สำหรับโปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ให้อาหาร 2 มื้อ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยให้ผู้เลี้ยงวางอาหารทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หากน้องหมาไม่กินก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อให้น้องหมาเรียนรู้การกินอาหารในเวลาที่แน่นอน การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมารู้ตัวว่าถ้าไม่ทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารอีก ...  และไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ทั้งวัน หรือเติมอาหารไว้เต็มชามตลอดเวลา เพราะจะส่งผลให้น้องหมามีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา อยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนจากภาวะที่กรดในกระเพาะหลั่งออกมามากจนระคายเคืองทางเดินอาหาร  หรือกินตลอดเวลาจนเป็นโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นจนอาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้ และยังส่งผลทำให้เกิดการเจริญที่ผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อีกด้วยค่ะ

     หลักสำคัญในการดูแลควบคุมโปรแกรมอาหารเพื่อไม่ให้น้องหมาปั๊กเกิดภาวะน้ำหนักเกินคือ ผู้เลี้ยงต้องมีระเบียบวินัย ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใจแข็งไม่โอนอ่อนต่อสายตาน้องหมาเวลาขออาหารเพราะน้องหมาปั๊กจะหิวอยู่ตลอดเวลา หากให้อาหารแบบตามใจจากเลี้ยงน้องหมาก็จะกลายเป็นได้เลี้ยงน้องหมูไว้ในบ้านแน่นอนค่ะ ยังไงก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ รับรองว่าปัญหาโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาจะหมดไป และไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเป็นกังวลอย่างแน่นอนค่ะ
 


     และถึงแม้ว่าน้องหมาปั๊กจะเป็นน้องหมาที่เรียกได้ว่า กินเก่ง กินจุ แต่ในบางครั้งก็พบว่า น้องหมาปั๊กบางตัวก็มีปัญหาเลือกกิน กินยากไปเสียดื้อ  ๆ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากน้องหมาเบื่อในกลิ่นและรสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการ ค่อย ๆ เปลี่ยนสูตรอาหารที่มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไป โดยไม่ควรเปลี่ยนอาหารในทันที เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารทำให้น้องหมาท้องเสียได้ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารนี้จะใช้วิธีเดียวกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัข ซึ่งเพื่อนๆ ที่มีลูกสุนัขก็สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ วางแผนการให้อาหารลูกสุนัขมาใหม่อย่างถูกวิธี

     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องคอยสังเกตดูอุจจาระของน้องหมาว่า กินอาหารแล้วเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะ กลิ่น สี แย่ลงมั้ย กินอาหารใหม่แล้วถ่ายยากขึ้นหรือถ่ายเหลวไหม กินอาหารแล้วน้องหมากินน้ำมากขึ้นหรือเปล่า และสุดท้ายที่ต้องใช้เวลาในการสังเกตกันสักหน่อยคือ การเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของน้องหมาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อกินอาหารสูตรใหม่ในปริมาณเท่ากับสูตรเก่า เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่าร่างกายน้องหมาสามารถเอาไปใช้ได้ดีแค่ไหนหรือเกิดการสะสมมากกว่าสูตรเก่าหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีเราก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาแต่ละตัวด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยนะคะ



ออกกำลังกายควบคู่การควบคุมอาหาร

     นอกจากเรื่องอาหารที่ผู้เลี้ยงต้องคอยควบคุมให้น้องหมาปั๊กอยู่เสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นพาน้องหมาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงาน แต่ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงก็ควรระมัดระวังในเรื่องโปรแกรมการออกกำลังกายของน้องหมากันด้วยนะคะ เพราะว่า ปั๊ก เป็นจัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้นที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรให้น้องหมาปั๊กออกกำลังกายหนัก ๆ และใช้เวลานาน โดยผู้เลี้ยงควรจัดตารางการออกกำลังกายให้น้องหมาปั๊ก โดยอาจจะขอคำปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อจัดตารางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้อหมาแต่ละตัวจะดีที่สุด

     สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาปั๊กควรเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น พาไปเดินหรือวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะ โดยใช้เพียงแค่ 10- 15 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จากนั้นให้กลับมาออกกำลังกายใหม่ หรืออาจจะสังเกตดูจากอาการหอบของน้องหมาที่จะแสดงออกมาตอนเหนื่อยก็ได้ค่ะ อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นเกมส์ฝึกสมอง โยนลูกบอล ดึงเชือก เพื่อกระตุ้นให้น้องหมาได้ออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ

    เกร็ดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรลืมคือ ผู้เลี้ยงควรให้น้ำน้องหมากินก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัดกันด้วยนะคะ



     น้องหมาปั๊กเป็นน้องหมาที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนโรคอ้วนได้ง่าย ซึ่งเราต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารให้น้องหมา และมีการจัดการโภชนาการอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงผู้เลี้ยงเองต้องมีระเบียบวินัยในการให้อาหารน้องหมา รวมถึงหมั่นพาเขาไปออกกำลังกายและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่น้องหมาแสนรักของเราจะได้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และจะได้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ เลยยังไงล่ะค่ะ ... สำหรับสัปดาห์หน้า เราก็จะยังมีบทความเกี่ยวกับน้องหมาปั๊กกันอยู่ ใครที่น้องหมามีปัญหาเรื่องผิวหนังและขนก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

ที่มา : Dogilike.com

8439


ถ้าพูดถึงน้องหมาตัวอวบตัน หน้าตาตลกชวนหัวเราะ และมีอุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็คงจะนึกถึงน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันใช่ไหมล่ะคะ?  ... ปั๊ก เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มองยังไงๆ ก็ไม่เบื่อ จนทำให้เหล่าคนรักสุนัขตกหลุมรักและนิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เลี้ยงหลายคนมักคิดว่า น้องหมาปั๊กโดยปกติจะต้องเป็นน้องหมาที่อ้วนท้วนถึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู จึงเลี้ยงน้องหมาแบบตามใจปากด้วยอาหารสารพัดชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปั๊กเป็นน้องหมาที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับน้องหมาเพื่อไม่ให้น้องหมามี “ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือเป็นโรคอ้วนค่ะ

     “เทคนิคการเลี้ยงการดูแล” วันนี้ ปังปอนด์เลยจะชวนเพื่อน ๆ  มาเรียนรู้วิธีการดูแลเรื่องอาหารสำหรับน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันโดยเฉพาะ  และเรียนรู้การควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนกันค่ะ ...



โรคอ้วน ... ปัญหาใหญ่ของสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
 
     ด้วยรูปร่างลักษณะที่ อ้วน สั้น ตัน กลม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้องหมาปั๊กถึงมีรายชื่อติดอยู่ในโผ  1ใน 10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ได้ง่ายสายพันธุ์หนึ่ง ... นั่นก็เพราะปั๊กเป็นน้องหมาที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็มักจะกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ กินจุแบบนอนสต็อปนั่นล่ะค่ะ ซึ่งถ้าหากเรามองย้อนกลับไปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้น้องหมาหมาเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการกินของน้องหมา , พันธุกรรม , ช่วงอายุ , เพศ , การทำหมัน , การออกกำลังกาย , โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ 

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้น้องหมาปั๊กอ้วนนั้น ส่วนมากก็มักจะเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ วิธีการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบให้อาหารตามใจปากน้องหมา ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อเห็นน้องหมาส่งสายตาวิงวอนขออาหารสุดโปรดไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกรมควัน ตับย่าง เนื้อไก่ เนื้อหมู ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั่นก็คือ การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพให้น้องหมาปั๊กต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่าง ๆ ในอนาคต และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอ้วนคือ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่งผลให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนโดยพบข้อมูลว่า น้องหมาที่เลี้ยงอยู่ตามอาพาร์ตเม้นท์และคอนโดที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นโรคอ้วนถึง 31% ในขณะที่น้องหมาที่เลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นในสนามหญ้าเป็นโรคอ้วน 23% เท่านั้นค่ะ ...
 


     สำหรับผู้เลี้ยงที่ชอบมอบอาหารของคนให้กับน้องหมา รู้ไหมคะว่านั่นถือเป็นการทำร้ายน้องหมาทางอ้อม เพราะในอาหารของคน ส่วนมากมักจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก และยังถูกปรุงรส หวาน มัน เค็ม ใส่สี กลิ่น สารกันบูด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตับ ไต อวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเมนูสุดโปรดของน้องหมาส่วนมาก เช่น ตับย่าง ที่มีฟอสฟอรัสอยู่มาก เมื่อน้องหมากินบ่อย ๆ ก็จะได้รับสารอาหารชนิดเดิม ๆ เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด ก็จะตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ ร่างกายก็จะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้นั่นเองค่ะ



โภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับปั๊ก

     สำหรับเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับ น้องหมาปั๊ก สายพันธุ์ที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่ายนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องอาหารที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของน้องหมาไม่ให้อ้วนเกินไป โดยดูแลตั้งแต่เริ่มรับน้องหมาปั๊กตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงคือ ควรหัดให้น้องหมากินอาหารเม็ดสำเร็จรูปสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะดีที่สุดเพราะอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสมดุลเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจจะเสริมด้วยวิตามิน น้ำมันปลา กล้วย ที่จะช่วยให้น้องหมามีผิวหนังชุ่มชื้น ขนสวย ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะน้องหมาปั๊กมักจะพบปัญหาผิวหนังและขนร่วงในจำนวนมาก

     รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารของคน โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลที่มีพลังงานสูง เพราะหากน้องหมาได้รับอาหารของคน จำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปแล้วไม่ได้ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน ก็จะทำให้น้องหมาอ้วน ส่งผลต่อข้อและกระดูก และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ  เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงจะส่งผลต่ออายุของน้องหมา รวมถึงอาหารประเภททอดด้วยน้ำมัน  เช่น ลูกชิ้นทอด เนื้อหมูหรือไก่ทอด เพราะจะทำให้ผิวหนังมัน ขนร่วงมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ 5 เทคนิคเลี้ยงน้องหมาให้อายุยืน ... และบทความ ความห่วงใยผิดๆ ที่เจ้าของมักมีต่อสุนัข! )



     ส่วนน้องหมาปั๊กที่เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนแล้ว (อ่านเพิ่มเติม 7 จุดสังเกต เป็นน้องหมาอ้วน ระวัง เสี่ยงโรคร้าย ผู้เลี้ยงก็ควรจำกัดอาหารกับน้องหมาปั๊ก โดยเลือกให้อาหารที่ใช้สำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรับแต่งสูตรสำหรับใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอาหารดังกล่าวจะจำกัดปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) แต่ก็ยังคงมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่เหมาะสมกับน้องหมา โดยควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
       - เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารของน้องหมา สามารถให้น้องหมากินอาหารได้ในปริมาณปกติ เพราะอาหารสูตรดังกล่าวจะลดปริมาณของไขมัน  ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มปริมาณโปรตีน เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน พูดง่าย ๆ ว่า "อิ่มแต่ไม่อ้วน" นั่นเอง
     
       - เป็นอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณกากใย (ไฟเบอร์) มากขึ้น เพื่อให้น้องหมารู้สึกอิ่ม และช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไปในตัว แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าว ข้าวกล้อง ถั่วเขียว ถั่วแดง แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว กล้วยน้ำว้า ผักต้ม ฯลฯ
     
       - เป็นอาหารที่มีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการขาดจากการกำจัดปริมาณอาหาร

     หรือผู้เลี้ยงอาจจะเลือกทำอาหารปรุงสุกสูตรลดน้ำหนักให้น้องหมาเองก็ได้ แต่ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมากันก่อน ซึ่งการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาแต่ละตัวต่อวันนั้น ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

1.น้ำหนักตัว

2.ช่วงอายุ

3.สายพันธุ์และขนาด

     โดยการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมาแต่ละตัว ผู้เลี้ยงสามารถคำนวณตามสูตรที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยคือ  RER (kcal)  = (30×น้ำหนักตัว (กก.)) + 70 หรือใช้ โปรแกรมการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมา แบบง่าย ๆ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของน้องหมา เพียงแค่ผู้เลี้ยงเอาน้ำหนักตัวของน้องหมาไปกรอกลงในช่อง แล้วเลือกเปลี่ยนหน่วยเป็น กิโลกรัม โปรแกรมก็จำคำนวณปริมาณอาหารต่อวันที่พอดีกับออกมาให้เสร็จสรรพเลยค่ะ (อ่านเพิ่มเติม ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ )



     สำหรับเมนูอาหารปรุงสุกง่าย ๆ ที่เหมาะกับน้องหมาปั๊กก็ควรเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยจำพวก ปลา และผักที่มีกากใยสูง เช่น แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว ฯลฯ โดยวันนี้ปังปอนด์ก็มีเมนูตัวอย่าง 1 เมนูง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กับเมนู “ปลาทูนึ่งสารพัดผัก”

ส่วนผสม

ปลาทู 1 ตัว  (55 กิโลแคลอรี่)
แครอท 1/3 หัว ( 10 กิโลแคลอรี่)
ข้าวโพด 30 กรัม ( 17 กิโลแคลอรี่)
มันฝรั่ง ½ หัว (42 กิโลแคลอรี่)
บร็อคโคลี่ 50 กรัม (16.5 กิโลแคลอรี่)

วิธีทำ

     ล้างปลาทูให้สะอาดจากนั้นนำไปนึ่งในหม้อนึ่งปรมาณ 15 นาที หรือจนกว่าปลาทูจะสุกจากนั้นนำปลาทูออกมาพักไว้จนเย็น หั่นผักต่าง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าลูกเต๋า นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที จากนั้นแกะเนื้อปลาทูใส่ถ้วยพร้อมกับนำผักทั้งหมดที่ต้มเสร็จแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความน่ากิน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เจ้าปั๊กตัวแสบจ้า ... สำหรับการปรุงจะเห็นว่าเราจะไม่ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป เพราะรสชาติสำหรับน้องหมาไม่สำคัญเท่ากลิ่น ซึ่งกลิ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การใส่สารปรุงรสจึงไม่มีความจำเป็นเลยล่ะค่ะ (อ่านเพื่มเติมบทความ ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ)
 

โปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก

     สำหรับโปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ให้อาหาร 2 มื้อ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยให้ผู้เลี้ยงวางอาหารทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หากน้องหมาไม่กินก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อให้น้องหมาเรียนรู้การกินอาหารในเวลาที่แน่นอน การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมารู้ตัวว่าถ้าไม่ทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารอีก ...  และไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ทั้งวัน หรือเติมอาหารไว้เต็มชามตลอดเวลา เพราะจะส่งผลให้น้องหมามีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา อยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนจากภาวะที่กรดในกระเพาะหลั่งออกมามากจนระคายเคืองทางเดินอาหาร  หรือกินตลอดเวลาจนเป็นโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นจนอาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้ และยังส่งผลทำให้เกิดการเจริญที่ผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อีกด้วยค่ะ

     หลักสำคัญในการดูแลควบคุมโปรแกรมอาหารเพื่อไม่ให้น้องหมาปั๊กเกิดภาวะน้ำหนักเกินคือ ผู้เลี้ยงต้องมีระเบียบวินัย ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใจแข็งไม่โอนอ่อนต่อสายตาน้องหมาเวลาขออาหารเพราะน้องหมาปั๊กจะหิวอยู่ตลอดเวลา หากให้อาหารแบบตามใจจากเลี้ยงน้องหมาก็จะกลายเป็นได้เลี้ยงน้องหมูไว้ในบ้านแน่นอนค่ะ ยังไงก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ รับรองว่าปัญหาโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาจะหมดไป และไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเป็นกังวลอย่างแน่นอนค่ะ
 


     และถึงแม้ว่าน้องหมาปั๊กจะเป็นน้องหมาที่เรียกได้ว่า กินเก่ง กินจุ แต่ในบางครั้งก็พบว่า น้องหมาปั๊กบางตัวก็มีปัญหาเลือกกิน กินยากไปเสียดื้อ  ๆ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากน้องหมาเบื่อในกลิ่นและรสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการ ค่อย ๆ เปลี่ยนสูตรอาหารที่มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไป โดยไม่ควรเปลี่ยนอาหารในทันที เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารทำให้น้องหมาท้องเสียได้ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารนี้จะใช้วิธีเดียวกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัข ซึ่งเพื่อนๆ ที่มีลูกสุนัขก็สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ วางแผนการให้อาหารลูกสุนัขมาใหม่อย่างถูกวิธี

     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องคอยสังเกตดูอุจจาระของน้องหมาว่า กินอาหารแล้วเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะ กลิ่น สี แย่ลงมั้ย กินอาหารใหม่แล้วถ่ายยากขึ้นหรือถ่ายเหลวไหม กินอาหารแล้วน้องหมากินน้ำมากขึ้นหรือเปล่า และสุดท้ายที่ต้องใช้เวลาในการสังเกตกันสักหน่อยคือ การเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของน้องหมาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อกินอาหารสูตรใหม่ในปริมาณเท่ากับสูตรเก่า เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่าร่างกายน้องหมาสามารถเอาไปใช้ได้ดีแค่ไหนหรือเกิดการสะสมมากกว่าสูตรเก่าหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีเราก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาแต่ละตัวด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยนะคะ



ออกกำลังกายควบคู่การควบคุมอาหาร

     นอกจากเรื่องอาหารที่ผู้เลี้ยงต้องคอยควบคุมให้น้องหมาปั๊กอยู่เสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นพาน้องหมาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงาน แต่ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงก็ควรระมัดระวังในเรื่องโปรแกรมการออกกำลังกายของน้องหมากันด้วยนะคะ เพราะว่า ปั๊ก เป็นจัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้นที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรให้น้องหมาปั๊กออกกำลังกายหนัก ๆ และใช้เวลานาน โดยผู้เลี้ยงควรจัดตารางการออกกำลังกายให้น้องหมาปั๊ก โดยอาจจะขอคำปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อจัดตารางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้อหมาแต่ละตัวจะดีที่สุด

     สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาปั๊กควรเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น พาไปเดินหรือวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะ โดยใช้เพียงแค่ 10- 15 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จากนั้นให้กลับมาออกกำลังกายใหม่ หรืออาจจะสังเกตดูจากอาการหอบของน้องหมาที่จะแสดงออกมาตอนเหนื่อยก็ได้ค่ะ อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นเกมส์ฝึกสมอง โยนลูกบอล ดึงเชือก เพื่อกระตุ้นให้น้องหมาได้ออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ

    เกร็ดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรลืมคือ ผู้เลี้ยงควรให้น้ำน้องหมากินก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัดกันด้วยนะคะ



     น้องหมาปั๊กเป็นน้องหมาที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนโรคอ้วนได้ง่าย ซึ่งเราต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารให้น้องหมา และมีการจัดการโภชนาการอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงผู้เลี้ยงเองต้องมีระเบียบวินัยในการให้อาหารน้องหมา รวมถึงหมั่นพาเขาไปออกกำลังกายและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่น้องหมาแสนรักของเราจะได้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และจะได้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ เลยยังไงล่ะค่ะ ... สำหรับสัปดาห์หน้า เราก็จะยังมีบทความเกี่ยวกับน้องหมาปั๊กกันอยู่ ใครที่น้องหมามีปัญหาเรื่องผิวหนังและขนก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

ที่มา : Dogilike.com

8440


ถ้าพูดถึงน้องหมาตัวอวบตัน หน้าตาตลกชวนหัวเราะ และมีอุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็คงจะนึกถึงน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันใช่ไหมล่ะคะ?  ... ปั๊ก เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มองยังไงๆ ก็ไม่เบื่อ จนทำให้เหล่าคนรักสุนัขตกหลุมรักและนิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เลี้ยงหลายคนมักคิดว่า น้องหมาปั๊กโดยปกติจะต้องเป็นน้องหมาที่อ้วนท้วนถึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู จึงเลี้ยงน้องหมาแบบตามใจปากด้วยอาหารสารพัดชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปั๊กเป็นน้องหมาที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับน้องหมาเพื่อไม่ให้น้องหมามี “ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือเป็นโรคอ้วนค่ะ

     “เทคนิคการเลี้ยงการดูแล” วันนี้ ปังปอนด์เลยจะชวนเพื่อน ๆ  มาเรียนรู้วิธีการดูแลเรื่องอาหารสำหรับน้องหมาสายพันธุ์ปั๊กกันโดยเฉพาะ  และเรียนรู้การควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนกันค่ะ ...



โรคอ้วน ... ปัญหาใหญ่ของสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
 
     ด้วยรูปร่างลักษณะที่ อ้วน สั้น ตัน กลม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้องหมาปั๊กถึงมีรายชื่อติดอยู่ในโผ  1ใน 10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ได้ง่ายสายพันธุ์หนึ่ง ... นั่นก็เพราะปั๊กเป็นน้องหมาที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็มักจะกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ กินจุแบบนอนสต็อปนั่นล่ะค่ะ ซึ่งถ้าหากเรามองย้อนกลับไปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้น้องหมาหมาเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการกินของน้องหมา , พันธุกรรม , ช่วงอายุ , เพศ , การทำหมัน , การออกกำลังกาย , โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ 

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้น้องหมาปั๊กอ้วนนั้น ส่วนมากก็มักจะเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ วิธีการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบให้อาหารตามใจปากน้องหมา ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อเห็นน้องหมาส่งสายตาวิงวอนขออาหารสุดโปรดไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกรมควัน ตับย่าง เนื้อไก่ เนื้อหมู ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั่นก็คือ การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพให้น้องหมาปั๊กต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่าง ๆ ในอนาคต และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอ้วนคือ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่งผลให้น้องหมาเป็นโรคอ้วนโดยพบข้อมูลว่า น้องหมาที่เลี้ยงอยู่ตามอาพาร์ตเม้นท์และคอนโดที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นโรคอ้วนถึง 31% ในขณะที่น้องหมาที่เลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นในสนามหญ้าเป็นโรคอ้วน 23% เท่านั้นค่ะ ...
 


     สำหรับผู้เลี้ยงที่ชอบมอบอาหารของคนให้กับน้องหมา รู้ไหมคะว่านั่นถือเป็นการทำร้ายน้องหมาทางอ้อม เพราะในอาหารของคน ส่วนมากมักจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก และยังถูกปรุงรส หวาน มัน เค็ม ใส่สี กลิ่น สารกันบูด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตับ ไต อวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเมนูสุดโปรดของน้องหมาส่วนมาก เช่น ตับย่าง ที่มีฟอสฟอรัสอยู่มาก เมื่อน้องหมากินบ่อย ๆ ก็จะได้รับสารอาหารชนิดเดิม ๆ เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด ก็จะตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ ร่างกายก็จะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้นั่นเองค่ะ



โภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับปั๊ก

     สำหรับเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับ น้องหมาปั๊ก สายพันธุ์ที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่ายนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องอาหารที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของน้องหมาไม่ให้อ้วนเกินไป โดยดูแลตั้งแต่เริ่มรับน้องหมาปั๊กตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงคือ ควรหัดให้น้องหมากินอาหารเม็ดสำเร็จรูปสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะดีที่สุดเพราะอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสมดุลเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจจะเสริมด้วยวิตามิน น้ำมันปลา กล้วย ที่จะช่วยให้น้องหมามีผิวหนังชุ่มชื้น ขนสวย ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะน้องหมาปั๊กมักจะพบปัญหาผิวหนังและขนร่วงในจำนวนมาก

     รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารของคน โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลที่มีพลังงานสูง เพราะหากน้องหมาได้รับอาหารของคน จำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปแล้วไม่ได้ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน ก็จะทำให้น้องหมาอ้วน ส่งผลต่อข้อและกระดูก และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ  เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงจะส่งผลต่ออายุของน้องหมา รวมถึงอาหารประเภททอดด้วยน้ำมัน  เช่น ลูกชิ้นทอด เนื้อหมูหรือไก่ทอด เพราะจะทำให้ผิวหนังมัน ขนร่วงมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ 5 เทคนิคเลี้ยงน้องหมาให้อายุยืน ... และบทความ ความห่วงใยผิดๆ ที่เจ้าของมักมีต่อสุนัข! )



     ส่วนน้องหมาปั๊กที่เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนแล้ว (อ่านเพิ่มเติม 7 จุดสังเกต เป็นน้องหมาอ้วน ระวัง เสี่ยงโรคร้าย ผู้เลี้ยงก็ควรจำกัดอาหารกับน้องหมาปั๊ก โดยเลือกให้อาหารที่ใช้สำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรับแต่งสูตรสำหรับใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอาหารดังกล่าวจะจำกัดปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) แต่ก็ยังคงมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่เหมาะสมกับน้องหมา โดยควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
       - เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารของน้องหมา สามารถให้น้องหมากินอาหารได้ในปริมาณปกติ เพราะอาหารสูตรดังกล่าวจะลดปริมาณของไขมัน  ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มปริมาณโปรตีน เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน พูดง่าย ๆ ว่า "อิ่มแต่ไม่อ้วน" นั่นเอง
     
       - เป็นอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณกากใย (ไฟเบอร์) มากขึ้น เพื่อให้น้องหมารู้สึกอิ่ม และช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไปในตัว แหล่งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าว ข้าวกล้อง ถั่วเขียว ถั่วแดง แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว กล้วยน้ำว้า ผักต้ม ฯลฯ
     
       - เป็นอาหารที่มีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการขาดจากการกำจัดปริมาณอาหาร

     หรือผู้เลี้ยงอาจจะเลือกทำอาหารปรุงสุกสูตรลดน้ำหนักให้น้องหมาเองก็ได้ แต่ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมากันก่อน ซึ่งการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาแต่ละตัวต่อวันนั้น ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

1.น้ำหนักตัว

2.ช่วงอายุ

3.สายพันธุ์และขนาด

     โดยการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมาแต่ละตัว ผู้เลี้ยงสามารถคำนวณตามสูตรที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยคือ  RER (kcal)  = (30×น้ำหนักตัว (กก.)) + 70 หรือใช้ โปรแกรมการคำนวณหาปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันของน้องหมา แบบง่าย ๆ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของน้องหมา เพียงแค่ผู้เลี้ยงเอาน้ำหนักตัวของน้องหมาไปกรอกลงในช่อง แล้วเลือกเปลี่ยนหน่วยเป็น กิโลกรัม โปรแกรมก็จำคำนวณปริมาณอาหารต่อวันที่พอดีกับออกมาให้เสร็จสรรพเลยค่ะ (อ่านเพิ่มเติม ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ )



     สำหรับเมนูอาหารปรุงสุกง่าย ๆ ที่เหมาะกับน้องหมาปั๊กก็ควรเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยจำพวก ปลา และผักที่มีกากใยสูง เช่น แครอท บร็อคโครี กระหล่ำปี ผักกาดขาว ฯลฯ โดยวันนี้ปังปอนด์ก็มีเมนูตัวอย่าง 1 เมนูง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กับเมนู “ปลาทูนึ่งสารพัดผัก”

ส่วนผสม

ปลาทู 1 ตัว  (55 กิโลแคลอรี่)
แครอท 1/3 หัว ( 10 กิโลแคลอรี่)
ข้าวโพด 30 กรัม ( 17 กิโลแคลอรี่)
มันฝรั่ง ½ หัว (42 กิโลแคลอรี่)
บร็อคโคลี่ 50 กรัม (16.5 กิโลแคลอรี่)

วิธีทำ

     ล้างปลาทูให้สะอาดจากนั้นนำไปนึ่งในหม้อนึ่งปรมาณ 15 นาที หรือจนกว่าปลาทูจะสุกจากนั้นนำปลาทูออกมาพักไว้จนเย็น หั่นผักต่าง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าลูกเต๋า นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที จากนั้นแกะเนื้อปลาทูใส่ถ้วยพร้อมกับนำผักทั้งหมดที่ต้มเสร็จแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความน่ากิน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เจ้าปั๊กตัวแสบจ้า ... สำหรับการปรุงจะเห็นว่าเราจะไม่ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป เพราะรสชาติสำหรับน้องหมาไม่สำคัญเท่ากลิ่น ซึ่งกลิ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การใส่สารปรุงรสจึงไม่มีความจำเป็นเลยล่ะค่ะ (อ่านเพื่มเติมบทความ ปรุงอาหารให้น้องหมาง่ายๆ แบบมืออาชีพ)
 

โปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก

     สำหรับโปรแกรมอาหารที่เหมาะสมของน้องหมาปั๊ก ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ให้อาหาร 2 มื้อ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยให้ผู้เลี้ยงวางอาหารทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หากน้องหมาไม่กินก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อให้น้องหมาเรียนรู้การกินอาหารในเวลาที่แน่นอน การทำแบบนี้จะทำให้น้องหมารู้ตัวว่าถ้าไม่ทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารอีก ...  และไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ทั้งวัน หรือเติมอาหารไว้เต็มชามตลอดเวลา เพราะจะส่งผลให้น้องหมามีพฤติกรรมการกินอาหารไม่เป็นเวลา อยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนจากภาวะที่กรดในกระเพาะหลั่งออกมามากจนระคายเคืองทางเดินอาหาร  หรือกินตลอดเวลาจนเป็นโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นจนอาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้ และยังส่งผลทำให้เกิดการเจริญที่ผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อีกด้วยค่ะ

     หลักสำคัญในการดูแลควบคุมโปรแกรมอาหารเพื่อไม่ให้น้องหมาปั๊กเกิดภาวะน้ำหนักเกินคือ ผู้เลี้ยงต้องมีระเบียบวินัย ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใจแข็งไม่โอนอ่อนต่อสายตาน้องหมาเวลาขออาหารเพราะน้องหมาปั๊กจะหิวอยู่ตลอดเวลา หากให้อาหารแบบตามใจจากเลี้ยงน้องหมาก็จะกลายเป็นได้เลี้ยงน้องหมูไว้ในบ้านแน่นอนค่ะ ยังไงก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ รับรองว่าปัญหาโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาจะหมดไป และไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเป็นกังวลอย่างแน่นอนค่ะ
 


     และถึงแม้ว่าน้องหมาปั๊กจะเป็นน้องหมาที่เรียกได้ว่า กินเก่ง กินจุ แต่ในบางครั้งก็พบว่า น้องหมาปั๊กบางตัวก็มีปัญหาเลือกกิน กินยากไปเสียดื้อ  ๆ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากน้องหมาเบื่อในกลิ่นและรสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการ ค่อย ๆ เปลี่ยนสูตรอาหารที่มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไป โดยไม่ควรเปลี่ยนอาหารในทันที เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารทำให้น้องหมาท้องเสียได้ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนอาหารนี้จะใช้วิธีเดียวกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัข ซึ่งเพื่อนๆ ที่มีลูกสุนัขก็สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ วางแผนการให้อาหารลูกสุนัขมาใหม่อย่างถูกวิธี

     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องคอยสังเกตดูอุจจาระของน้องหมาว่า กินอาหารแล้วเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะ กลิ่น สี แย่ลงมั้ย กินอาหารใหม่แล้วถ่ายยากขึ้นหรือถ่ายเหลวไหม กินอาหารแล้วน้องหมากินน้ำมากขึ้นหรือเปล่า และสุดท้ายที่ต้องใช้เวลาในการสังเกตกันสักหน่อยคือ การเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของน้องหมาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อกินอาหารสูตรใหม่ในปริมาณเท่ากับสูตรเก่า เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่าร่างกายน้องหมาสามารถเอาไปใช้ได้ดีแค่ไหนหรือเกิดการสะสมมากกว่าสูตรเก่าหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีเราก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาแต่ละตัวด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยนะคะ



ออกกำลังกายควบคู่การควบคุมอาหาร

     นอกจากเรื่องอาหารที่ผู้เลี้ยงต้องคอยควบคุมให้น้องหมาปั๊กอยู่เสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นพาน้องหมาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงาน แต่ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงก็ควรระมัดระวังในเรื่องโปรแกรมการออกกำลังกายของน้องหมากันด้วยนะคะ เพราะว่า ปั๊ก เป็นจัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้นที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรให้น้องหมาปั๊กออกกำลังกายหนัก ๆ และใช้เวลานาน โดยผู้เลี้ยงควรจัดตารางการออกกำลังกายให้น้องหมาปั๊ก โดยอาจจะขอคำปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อจัดตารางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้อหมาแต่ละตัวจะดีที่สุด

     สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับน้องหมาปั๊กควรเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น พาไปเดินหรือวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะ โดยใช้เพียงแค่ 10- 15 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จากนั้นให้กลับมาออกกำลังกายใหม่ หรืออาจจะสังเกตดูจากอาการหอบของน้องหมาที่จะแสดงออกมาตอนเหนื่อยก็ได้ค่ะ อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นเกมส์ฝึกสมอง โยนลูกบอล ดึงเชือก เพื่อกระตุ้นให้น้องหมาได้ออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ

    เกร็ดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรลืมคือ ผู้เลี้ยงควรให้น้ำน้องหมากินก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และป้องกันไม่ให้น้องหมาเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัดกันด้วยนะคะ



     น้องหมาปั๊กเป็นน้องหมาที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนโรคอ้วนได้ง่าย ซึ่งเราต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารให้น้องหมา และมีการจัดการโภชนาการอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงผู้เลี้ยงเองต้องมีระเบียบวินัยในการให้อาหารน้องหมา รวมถึงหมั่นพาเขาไปออกกำลังกายและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่น้องหมาแสนรักของเราจะได้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และจะได้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ เลยยังไงล่ะค่ะ ... สำหรับสัปดาห์หน้า เราก็จะยังมีบทความเกี่ยวกับน้องหมาปั๊กกันอยู่ ใครที่น้องหมามีปัญหาเรื่องผิวหนังและขนก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

ที่มา : Dogilike.com

8441


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8442


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8443


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8444


1. รักษาสภาพร่างกายของปั๊กให้ผอมอยู่เสมอ

          หลาย ๆ คนมักคิดว่า โดยปกติแล้ว สุนัขสายพันธุ์นี้ จะต้องเป็นสุนัขที่อ้วนท้วน จึงจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในความเป็นจริงแล้วผิดถนัด เนื่องจากปั๊กเป็นสุนัขที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ วิธีการสังเกตง่าย ๆ คือ ให้เราสังเกตลำตัวเขาจากด้านบน หากปั๊กของเรามีรูปร่างไม่ต่างกับแบตเตอรี่รถยนต์แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักให้ลดลง 1-2 ปอนด์

          สำหรับรูปร่างของปั๊กที่ถือว่าสุขภาพดี ต้องคอสั้น ผายออกตรงไหล่ ค่อย ๆ แคบลงจากหัวไหล่ไล่ไปตามลำตัว ลักษณะเช่นนี้จึงจะถือว่าปั๊กของเราไมอ้วนจนเกินขนาดนั่นเอง

          การดูแลเรื่องอาหารเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสภาพร่างกายของสุนัข พันธุ์นี้ไม่ให้อ้วนเกินไป พยายามอย่าให้อาหารที่เรารับประทานกับปั๊ก ควรให้อาหารเม็ดมากกว่าที่จะให้อาหารเปียก และควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอว่า ปั๊กของเราในเวลานั้น ๆ ควรได้รับปริมาณอาหารในแต่ละมื้อเท่าใด

2. พาปั๊กไปออกกำลังกายบ้าง

          สุนัขพันธุ์นี้มีระยะเวลาเฉลี่ยในการนอนอยู่ที่ 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาควรจะนอนแบบนั้นทั้งวัน เขาจำเป็นต้องได้ออกกำลังกายทุกวัน ส่วนหนึ่งเพื่อการควบคุมน้ำหนักของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังเป็นการดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและปอดอีกด้วย

          อย่าพยายามให้ปั๊กออกกำลังกายโดยการวิ่งมากจนเกินไป ควรให้เขาเดินเล่นออกกำลังกายมากกว่า เราต้องหมั่นดูการหายใจและการเดินของเขา อย่าให้เขาออกกำลังกายเกินขีดจำกัด เมื่อเขาเริ่มเดินช้าลง หายใจแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราควรได้แล้ว หากคุณมีเวลาพาเขาไปเดินออกกำลังกายเพียง 5 นาทีต่อวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

3. ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ปั๊ก

          เมื่อคุณต้องการที่จะสูบบุหรี่ ควรสูบในที่ที่ห่างไกลจากปั๊กพอสมควร เนื่องจากปั๊กมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจมากพอแล้ว ดังนั้นหากเรารักพวกเขาจริง อย่าได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่าที่เป็นอยู่เลย

4. กั้นคอก หรือกำหนดอาณาเขตให้ปั๊กตามสมควร

          สุนัขทุกสายพันธุ์ หากถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ควรมีการแบ่งแยกอาณาเขตของสุนัขหรือกั้นพื้นที่ให้ชัดเจน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เช่น หากปล่อยปั๊กอิสระโดยปราศจากการกั้นอาณาเขตแล้วล่ะก็ เขาอาจไปถูกรถชน ถูกทำร้ายโดยสุนัขที่ใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการพบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งแม้เขาจะเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้าก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวเขานัก เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเขา เนื่องจากปั๊กมักตื่นเต้นกับการพบเจอคนแปลกหน้า จึงอาจถูกหลอกได้ง่าย

5. ใช้สายจูงเสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน

          เวลาเราพาปั๊กออกไปเดินเล่นนอกบริเวณบ้าน เราควรใช้สายจูงกับเขาสเมอ ถึงแม้ว่าเราจะอุ้มเขาอยู่ก็ตาม ก็ควรใช้สายจูงและม้วนมันไว้รอบ ๆ มือของคุณ เพราะการอุ้มเขาไว้ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถหนีออกจากอ้อมกอดของคุณได้ ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้

6. หมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของปั๊ก

          ปั๊กเป็นสุนัขที่ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยมาก การหมั่นเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความร้อนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ไต และกระบังลมของเขาได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้จะไม่เห็นอาการอันเป็นผลมาจากความร้อนเกิดขึ้นกับปั๊ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะม่มีผลอะไรกับตัวเขาเลย ความร้อนเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปั๊กในระยะยาวได้ ดังนั้น การควบคุมเรื่องอุณหภูมิร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

7. พาปั๊กไปเที่ยวตามสมควร

          ปั๊กที่มีความสุข คือปั๊กที่สุขภาพดีนั่นเอง พวกเขามักชอบการนั่งรถ และเราก็คงอยากที่จะอยู่กับพวกเขาเช่นกัน หากเรามีทริปไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ อย่าลืมพาพวกเขาไปเที่ยวด้วย โดยปกติแล้วเวลานั่นรถไปไหนมาไหน จุดหมายปลายทางของพวกเขามักเป็นร้านหมอและที่ตัดเล็บเสมอ ๆ ลองนึกภาพใบหน้าของพวกเขายามที่ลงจากรถแล้วไม่ต้องเห็นร้านหมอดูสิ เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ และยังดีต่อสุขภาพจิตของเขาอีกด้วย

8. เอาใจใส่ปั๊กอย่างสม่ำเสมอ

          คนเลี้ยงปั๊กทุกคนในโลกคงคิดเหมือนกันว่า เราได้ดูแลปั๊กอย่างดีแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา มีอะไรที่ต้องทำมากมาย ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาภายในครอบครัว การดูแลลูก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ 24 ชั่วโมงต่อวันของเราอาจจะไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น โปรดอย่าลืมที่จะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเราจะยุ่งมากเพียงใด อย่าลืมให้อาหารเขา เล่นกับเขา นั่งกับเขา และพูดคุยกับเขาทุกวัน เราอาจไม่รู้เลยว่าเขาชอบที่จะฟังเสียงของเรามากพอ ๆ กับที่เขาชอบทานอาหาร ปั๊กต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้เป็นสุนัขที่มีความสุข และสุนัขที่มีความสุขนี้เอง...จะมีอายุยืนยาวมากกว่าที่เราคิด

8445
อัพเดตข่าวหมา / 10 สุนัขไซส์ใหญ่
« เมื่อ: 19 พ.ย. 56, 23:50:58น. »
       หากไม่นับเหล่าสุนัขที่อัดโปรตีนจน Over Size แล้ว นี่คือสายพันธุ์มาตรฐานของเจ้าตูบที่ถูกออกแบบให้เกิดมาเป็นเพื่อนซี้สี่ขาร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่รับรองว่าถ้าคุณต้องคิดแล้วคิดอีกถ้ากำลังจะเดินผ่านสุนัขแปลกหน้า 10 สายพันธุ์ต่อไปนี้
 


Caucasian Shepherd
ถึงจะมีความสูงที่ระดับหัวไหล่ประมาณ 70 เซนฯ แต่รูปร่างของ Caucasian Shepherd กลับคล่องแคล่วและหนักประมาณ 45 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนที่เห็นใหญ่ๆ คือขนหนาของมันซะมากกว่า แต่นั่นก็เพียงพอที่จะขู่คนแปลกหน้าและสัตว์ป่านักล่าได้เป็นอย่างดีแล้ว



Kuvasz
อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดจากทิเบต และแพร่หลายในฮังการี Kuvasz จัดเป็นสุนัขที่ขนาดใหญ่และสามารถโตได้สูงถึง 76 เซนติเมตรและน้ำหนักกว่า 68 กิโลกรัม Kuvasz ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากขนสีขาวหนา และขนาดที่ใหญ่โต ซึ่งมีประโยชน์มากในการล่าสัตว์และรักษาความปลอดภัย



English Mastiff
เป็นยักษ์ใหญ่ใจดีอีกตัวที่มาพร้อมส่วนสูง 75 เซนฯ และหนักได้ถึง 127 กิโลกรัม English Mastiff คือสุนัขที่ใหญ่ตามธรรมชาติและถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนของมนุษย์และพี่เลี้ยงเด็กขนานแท้



Irish Wolfhound
หนึ่งในสุนัขล่าสัตว์ร่างยักษ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเกมการล่าโดยเฉพาะ และไม่ว่าหมูป่าหรือกวางตัวนั้นจะวิ่งเร็วแค่ไหน หรือได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่ พวกมันก็ไม่มีทางรอดพ้นคมเขี้ยวและกำลังขาของ Irish Wolfhound ไปได้ แต่ด้วยขนาดที่สูงได้ถึง 78 เซนฯ ที่ระดับหัวไหล่ และหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม นี่เป็นสุนัขที่ต้องการการดูแลในเรื่องอาหาร สถานที่ และการออกกำลังกายเป็นอย่างดี



St. Bernard
คงไม่มีใครไม่รู้จักสุนัขนักบุญร่างใหญ่ตัวนี้เป็นแน่ เพราะนอกจากจะโด่งดังบนแผ่นฟิล์มแล้ว St. Bernard ยังมีวีรกรรมการช่วยเหลือมนุษย์นับครั้งไม่ถ้วน และร่างสีขาวสลับน้ำตาลขนาดมหึมาที่สูงกว่า 90 เซนฯ ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นนักบุญแห่งภูเขาน้ำแข็งมาจนถึงทุกวันนี้



Newfoundland
หาก St. Bernard คือนักบุญแห่งทุ่งน้ำแข็ง Newfoundland ก็คงเป็นหน่วยกู้ภัยทางน้ำที่วางใจได้ และด้วยส่วนสูงถึง 90 เซนฯและหนักกว่า 80 กิโลกรัม แถมยังมาพร้อมขนหนาสองชั้น Newfoundland สามารถกระโจนลงสู่ผิวน้ำจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อช่วยมนุษย์ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าสภาพอากาศจะโหดร้ายเพียงใด



Leonberger
นี่คือฝูงสิงโตแห่งเยอรมัน ที่นอกจากจะมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมร่วมกับมนุษย์ได้อย่างวิเศษแล้ว ขนาดที่สูงกว่า 80 เซนฯ ของ Leonberger ยังเหมาะสำหรับการเป็นสุนัขทหารที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และสามารถทำภารกิจค้นหาได้อย่างวิเศษ



French Mastiff
หนึ่งในสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก และมีขนาดใกล้เคียงกับ English Mastiff แต่ด้วยพละกำลังมหาศาล แถมมีนิสัยตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ French Mastiff ถูกนำไปใช้ในเกมกีฬาต่างๆ มากมาย



Anatolian Shepherd
หนึ่งในสุนัขที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก และมีความสามารถหลากหลายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการต้อนฝูงปศุสัตว์ในที่โล่ง และเป็นสุนัขอารักขาระดับโลกที่สามารถสูงได้ถึง 78 เซนฯ และหนักกว่า 68 กิโลกรัม Anatolian Shepherd คือสุนัขที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดหนักแน่หากจะเล่นงานคุณ



Great Dane
ฉายา King of Dog ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะนี่คือสุนัขที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก และด้วยส่วนสูงจากหัวไหล่กว่า 1 เมตร และสามารถทำงานได้หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นเกมการล่า เป็นสุนัขอารักขา หรือแม้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน Great Dane ก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่ต้องการการดูแลจากเจ้าของมากเช่นกัน

ที่มา : SpokeDark.TV