แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

4621
10 คำถามที่คุณควรถามสัตวแพทย์
การพาหมาไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายสามารถสร้างความเครียดและเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดของใครหลายต่อหลายคนได้ และอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ก็อาจไม่ได้เกิดจากตัวสัตวแพทย์เองเลย เพียงแต่เจ้าของหมาแมวทั้งหลายไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร หรือควรถามอะไร เมื่อพาสัตว์เลี้ยงของตนไปพบสัตวแพทย์เท่านั้นเอง และนี่คือคำถามพื้นฐานที่เจ้าของหมาแมวควรรู้เอาไว้เมื่อพาสัตว์เลี้ยงไปพบกับสัตวแพทย์



1. น้ำหนักหมาของฉันอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่?
สัตว์เลี้ยงจำนวนมากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน แต่ปัญหาที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เจ้าของมักปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ลองถามสัตวแพทย์ที่คุณไปพบดูสิว่า สัตว์เลี้ยงของคุณมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสายพันธุ์ ขนาดตัว และส่วนสูงของมันหรือไม่ หากมีปัญหาจริง คุณก็สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อแก้ไขได้ทันที คำถามนี้สามารถใช้ได้ในกรณีที่คุณคิดว่าหมาของคุณมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนักก็ตาม



2. มีอาหารที่เหมาะสมกับหมาของฉันมากกว่านี้หรือไม่?
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม และคนที่คุณควรจะถามว่าอาหารแบบใดเหมาะกับหมาของคุณก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสัตวแพทย์ เมื่อสัตวแพทย์ประเมินสุขภาพของหมาของคุณแล้ว พวกเขาก็สามารถให้คำแนะนำได้ว่า อาหารแบบใดจึงจะเหมาะสมกับลักษณะ รูปแบบการใช้ชีวิต และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของหมาของคุณ



3. หมาของฉัน (พฤติกรรมแปลกๆ) แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือไม่?
อย่าเหมาเอาเองว่า การที่หมาของคุณหายใจหอบเสียงดังหลังออกกำลังกาย หรือการที่หมาของคุณมีอาการคันทุกครั้งหลังกลับมาจากข้างออกเป็นเรื่องปกติ การตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงประจำปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่คุณควรจะถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับข้อสงสัยใดๆ ก็ตามที่คุณสังเกตเห็นในสัตว์เลี้ยงของคุณในช่วงปีที่ผ่านมา จดรายการสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ เมื่อคุณไปพบสัตวแพทย์ เขาหรือเธอจะได้รู้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ สิ่งที่จดนั้นรวมไปถึงเวลาที่เกิดอาการครั้งแรก และความถี่ที่อาการปรากฏขึ้นด้วย



4. หมาของฉันได้รับวัคซีนครบถ้วนหรือไม่?
การเช็คให้แน่ใจว่าหมาของคุณได้รับวัคซีนและยาต่างๆ ตามที่ควรจะได้รับว่าครบถ้วนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด และเป็นเรื่องที่บางครั้งก็ถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย



5. หมาของฉันต้องการการแปรงฟันหรือไม่?
โรคในช่องปากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสัตว์เลี้ยงทั่วไป หมาที่อายุเกิน 3 ปีราว 80% มักจะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับช่องปากในระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โรคเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะนำไปสูงปัญหาทางสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้ เช่น โรคที่เกี่ยวกับไต ตับ หรือแม้แต่หัวใจ ลองถามสัตวแพทย์ดูว่าหมาของคุณต้องการการทำความสะอาดช่องปากหรือไม่เสียตั้งแต่ก่อนจะเกิดปัญหา



6. หมาของฉันต้องการการเจาะเลือดตรวจหรือไม่?
การเจาะเลือดตรวจสามารถช่วยกลั่นกรองปัญหาสุขภาพได้มากมาย เช่น โรคตับ โรคเบากวาน มะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่รักษาให้หายได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สัตวแพทย์มีผลเปรียบเทียบสำหรับการดูแลสุขภาพหมาในระยะยาวอีกด้วย



7. หมาของฉันควรใช้ยาฆ่าเห็บ/หมัดแบบใด?
เห็บและหมัดไม่เพียงแต่น่ารังเกียจ พวกมันยังเป็นเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงต่างๆ มาสู่ตัวคุณ และสัตว์เลี้ยงของคุณด้วย โชคดีที่ปัจจุบันเรามีทางเลือกมากมายในการฆ่าและป้องกันเห็บ/หมัดเหล่านี้ ลองถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ในการกำจัดเห็บ/หมัดดู และถามว่าวิธีใดจึงจะเหมาะกับหมาของคุณที่สุด


8. ก้อนเนื้อ/ ปุ่มเนื้อเหล่านี้คืออะไร?
การที่หมามีก้อนเนื้อหรือปุ่มเนื้อปรากฏขึ้นเมื่อมันอายุมากขึ้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ถึงอย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่ผิดปกติก็สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงมะเร็งได้ ชี้ให้สัตวแพทย์ดูรอยบุ๋ม ปุ่มเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนๆ สัตวแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่า หมาของคุณต้องการการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหามะเร็งหรือไม่

9. หมาของฉันต้องการการตรวจลำไส้หรือไม่?
สัตวแพทย์แต่ละคนจะมีวิธีในการทำงานที่ต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกเขาจะไม่ตรวจลำไส้ให้หมาของคุณนอกเสียจากว่าคุณจะเป็นฝ่ายร้องขอเอง การตรวจลำไส้นั้นเป็นการตรวจเพื่อหาสัญญาณของมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบเร็วพอ

10. ช่วยอธิบายรายละเอียดในใบเสร็จให้หน่อยได้ไหม?
เพียงแค่คุณถามดีๆ และมีมารยาท สัตวแพทย์ก็พร้อมจะอธิบายให้คุณฟังว่า ในการตรวจแต่ละครั้ง และกระบวนการทำงานแต่ละอย่างนั้นมีค่าใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร อะไรบ้าง บางอย่างอาจจะดูแพง แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้หมาของคุณมีสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคุณไปได้อีกนานๆ


4622
10 คำถามที่คุณควรถามสัตวแพทย์
การพาหมาไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายสามารถสร้างความเครียดและเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดของใครหลายต่อหลายคนได้ และอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ก็อาจไม่ได้เกิดจากตัวสัตวแพทย์เองเลย เพียงแต่เจ้าของหมาแมวทั้งหลายไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร หรือควรถามอะไร เมื่อพาสัตว์เลี้ยงของตนไปพบสัตวแพทย์เท่านั้นเอง และนี่คือคำถามพื้นฐานที่เจ้าของหมาแมวควรรู้เอาไว้เมื่อพาสัตว์เลี้ยงไปพบกับสัตวแพทย์



1. น้ำหนักหมาของฉันอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่?
สัตว์เลี้ยงจำนวนมากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน แต่ปัญหาที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เจ้าของมักปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ลองถามสัตวแพทย์ที่คุณไปพบดูสิว่า สัตว์เลี้ยงของคุณมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสายพันธุ์ ขนาดตัว และส่วนสูงของมันหรือไม่ หากมีปัญหาจริง คุณก็สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อแก้ไขได้ทันที คำถามนี้สามารถใช้ได้ในกรณีที่คุณคิดว่าหมาของคุณมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนักก็ตาม



2. มีอาหารที่เหมาะสมกับหมาของฉันมากกว่านี้หรือไม่?
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม และคนที่คุณควรจะถามว่าอาหารแบบใดเหมาะกับหมาของคุณก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสัตวแพทย์ เมื่อสัตวแพทย์ประเมินสุขภาพของหมาของคุณแล้ว พวกเขาก็สามารถให้คำแนะนำได้ว่า อาหารแบบใดจึงจะเหมาะสมกับลักษณะ รูปแบบการใช้ชีวิต และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของหมาของคุณ



3. หมาของฉัน (พฤติกรรมแปลกๆ) แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือไม่?
อย่าเหมาเอาเองว่า การที่หมาของคุณหายใจหอบเสียงดังหลังออกกำลังกาย หรือการที่หมาของคุณมีอาการคันทุกครั้งหลังกลับมาจากข้างออกเป็นเรื่องปกติ การตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงประจำปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่คุณควรจะถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับข้อสงสัยใดๆ ก็ตามที่คุณสังเกตเห็นในสัตว์เลี้ยงของคุณในช่วงปีที่ผ่านมา จดรายการสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ เมื่อคุณไปพบสัตวแพทย์ เขาหรือเธอจะได้รู้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ สิ่งที่จดนั้นรวมไปถึงเวลาที่เกิดอาการครั้งแรก และความถี่ที่อาการปรากฏขึ้นด้วย



4. หมาของฉันได้รับวัคซีนครบถ้วนหรือไม่?
การเช็คให้แน่ใจว่าหมาของคุณได้รับวัคซีนและยาต่างๆ ตามที่ควรจะได้รับว่าครบถ้วนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด และเป็นเรื่องที่บางครั้งก็ถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย



5. หมาของฉันต้องการการแปรงฟันหรือไม่?
โรคในช่องปากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสัตว์เลี้ยงทั่วไป หมาที่อายุเกิน 3 ปีราว 80% มักจะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับช่องปากในระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โรคเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะนำไปสูงปัญหาทางสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้ เช่น โรคที่เกี่ยวกับไต ตับ หรือแม้แต่หัวใจ ลองถามสัตวแพทย์ดูว่าหมาของคุณต้องการการทำความสะอาดช่องปากหรือไม่เสียตั้งแต่ก่อนจะเกิดปัญหา



6. หมาของฉันต้องการการเจาะเลือดตรวจหรือไม่?
การเจาะเลือดตรวจสามารถช่วยกลั่นกรองปัญหาสุขภาพได้มากมาย เช่น โรคตับ โรคเบากวาน มะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่รักษาให้หายได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สัตวแพทย์มีผลเปรียบเทียบสำหรับการดูแลสุขภาพหมาในระยะยาวอีกด้วย



7. หมาของฉันควรใช้ยาฆ่าเห็บ/หมัดแบบใด?
เห็บและหมัดไม่เพียงแต่น่ารังเกียจ พวกมันยังเป็นเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงต่างๆ มาสู่ตัวคุณ และสัตว์เลี้ยงของคุณด้วย โชคดีที่ปัจจุบันเรามีทางเลือกมากมายในการฆ่าและป้องกันเห็บ/หมัดเหล่านี้ ลองถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ในการกำจัดเห็บ/หมัดดู และถามว่าวิธีใดจึงจะเหมาะกับหมาของคุณที่สุด


8. ก้อนเนื้อ/ ปุ่มเนื้อเหล่านี้คืออะไร?
การที่หมามีก้อนเนื้อหรือปุ่มเนื้อปรากฏขึ้นเมื่อมันอายุมากขึ้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ถึงอย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่ผิดปกติก็สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงมะเร็งได้ ชี้ให้สัตวแพทย์ดูรอยบุ๋ม ปุ่มเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนๆ สัตวแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่า หมาของคุณต้องการการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหามะเร็งหรือไม่

9. หมาของฉันต้องการการตรวจลำไส้หรือไม่?
สัตวแพทย์แต่ละคนจะมีวิธีในการทำงานที่ต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกเขาจะไม่ตรวจลำไส้ให้หมาของคุณนอกเสียจากว่าคุณจะเป็นฝ่ายร้องขอเอง การตรวจลำไส้นั้นเป็นการตรวจเพื่อหาสัญญาณของมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบเร็วพอ

10. ช่วยอธิบายรายละเอียดในใบเสร็จให้หน่อยได้ไหม?
เพียงแค่คุณถามดีๆ และมีมารยาท สัตวแพทย์ก็พร้อมจะอธิบายให้คุณฟังว่า ในการตรวจแต่ละครั้ง และกระบวนการทำงานแต่ละอย่างนั้นมีค่าใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร อะไรบ้าง บางอย่างอาจจะดูแพง แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้หมาของคุณมีสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคุณไปได้อีกนานๆ


4623
10 คำถามที่คุณควรถามสัตวแพทย์
การพาหมาไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายสามารถสร้างความเครียดและเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดของใครหลายต่อหลายคนได้ และอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ก็อาจไม่ได้เกิดจากตัวสัตวแพทย์เองเลย เพียงแต่เจ้าของหมาแมวทั้งหลายไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร หรือควรถามอะไร เมื่อพาสัตว์เลี้ยงของตนไปพบสัตวแพทย์เท่านั้นเอง และนี่คือคำถามพื้นฐานที่เจ้าของหมาแมวควรรู้เอาไว้เมื่อพาสัตว์เลี้ยงไปพบกับสัตวแพทย์



1. น้ำหนักหมาของฉันอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่?
สัตว์เลี้ยงจำนวนมากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน แต่ปัญหาที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เจ้าของมักปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ลองถามสัตวแพทย์ที่คุณไปพบดูสิว่า สัตว์เลี้ยงของคุณมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสายพันธุ์ ขนาดตัว และส่วนสูงของมันหรือไม่ หากมีปัญหาจริง คุณก็สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อแก้ไขได้ทันที คำถามนี้สามารถใช้ได้ในกรณีที่คุณคิดว่าหมาของคุณมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนักก็ตาม



2. มีอาหารที่เหมาะสมกับหมาของฉันมากกว่านี้หรือไม่?
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม และคนที่คุณควรจะถามว่าอาหารแบบใดเหมาะกับหมาของคุณก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสัตวแพทย์ เมื่อสัตวแพทย์ประเมินสุขภาพของหมาของคุณแล้ว พวกเขาก็สามารถให้คำแนะนำได้ว่า อาหารแบบใดจึงจะเหมาะสมกับลักษณะ รูปแบบการใช้ชีวิต และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของหมาของคุณ



3. หมาของฉัน (พฤติกรรมแปลกๆ) แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือไม่?
อย่าเหมาเอาเองว่า การที่หมาของคุณหายใจหอบเสียงดังหลังออกกำลังกาย หรือการที่หมาของคุณมีอาการคันทุกครั้งหลังกลับมาจากข้างออกเป็นเรื่องปกติ การตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงประจำปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่คุณควรจะถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับข้อสงสัยใดๆ ก็ตามที่คุณสังเกตเห็นในสัตว์เลี้ยงของคุณในช่วงปีที่ผ่านมา จดรายการสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ เมื่อคุณไปพบสัตวแพทย์ เขาหรือเธอจะได้รู้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ สิ่งที่จดนั้นรวมไปถึงเวลาที่เกิดอาการครั้งแรก และความถี่ที่อาการปรากฏขึ้นด้วย



4. หมาของฉันได้รับวัคซีนครบถ้วนหรือไม่?
การเช็คให้แน่ใจว่าหมาของคุณได้รับวัคซีนและยาต่างๆ ตามที่ควรจะได้รับว่าครบถ้วนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด และเป็นเรื่องที่บางครั้งก็ถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย



5. หมาของฉันต้องการการแปรงฟันหรือไม่?
โรคในช่องปากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสัตว์เลี้ยงทั่วไป หมาที่อายุเกิน 3 ปีราว 80% มักจะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับช่องปากในระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โรคเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะนำไปสูงปัญหาทางสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้ เช่น โรคที่เกี่ยวกับไต ตับ หรือแม้แต่หัวใจ ลองถามสัตวแพทย์ดูว่าหมาของคุณต้องการการทำความสะอาดช่องปากหรือไม่เสียตั้งแต่ก่อนจะเกิดปัญหา



6. หมาของฉันต้องการการเจาะเลือดตรวจหรือไม่?
การเจาะเลือดตรวจสามารถช่วยกลั่นกรองปัญหาสุขภาพได้มากมาย เช่น โรคตับ โรคเบากวาน มะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่รักษาให้หายได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สัตวแพทย์มีผลเปรียบเทียบสำหรับการดูแลสุขภาพหมาในระยะยาวอีกด้วย



7. หมาของฉันควรใช้ยาฆ่าเห็บ/หมัดแบบใด?
เห็บและหมัดไม่เพียงแต่น่ารังเกียจ พวกมันยังเป็นเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงต่างๆ มาสู่ตัวคุณ และสัตว์เลี้ยงของคุณด้วย โชคดีที่ปัจจุบันเรามีทางเลือกมากมายในการฆ่าและป้องกันเห็บ/หมัดเหล่านี้ ลองถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ในการกำจัดเห็บ/หมัดดู และถามว่าวิธีใดจึงจะเหมาะกับหมาของคุณที่สุด


8. ก้อนเนื้อ/ ปุ่มเนื้อเหล่านี้คืออะไร?
การที่หมามีก้อนเนื้อหรือปุ่มเนื้อปรากฏขึ้นเมื่อมันอายุมากขึ้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ถึงอย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่ผิดปกติก็สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงมะเร็งได้ ชี้ให้สัตวแพทย์ดูรอยบุ๋ม ปุ่มเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนๆ สัตวแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่า หมาของคุณต้องการการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหามะเร็งหรือไม่

9. หมาของฉันต้องการการตรวจลำไส้หรือไม่?
สัตวแพทย์แต่ละคนจะมีวิธีในการทำงานที่ต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกเขาจะไม่ตรวจลำไส้ให้หมาของคุณนอกเสียจากว่าคุณจะเป็นฝ่ายร้องขอเอง การตรวจลำไส้นั้นเป็นการตรวจเพื่อหาสัญญาณของมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบเร็วพอ

10. ช่วยอธิบายรายละเอียดในใบเสร็จให้หน่อยได้ไหม?
เพียงแค่คุณถามดีๆ และมีมารยาท สัตวแพทย์ก็พร้อมจะอธิบายให้คุณฟังว่า ในการตรวจแต่ละครั้ง และกระบวนการทำงานแต่ละอย่างนั้นมีค่าใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร อะไรบ้าง บางอย่างอาจจะดูแพง แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้หมาของคุณมีสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคุณไปได้อีกนานๆ


4624
10 คำถามที่คุณควรถามสัตวแพทย์
การพาหมาไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายสามารถสร้างความเครียดและเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดของใครหลายต่อหลายคนได้ และอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ก็อาจไม่ได้เกิดจากตัวสัตวแพทย์เองเลย เพียงแต่เจ้าของหมาแมวทั้งหลายไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร หรือควรถามอะไร เมื่อพาสัตว์เลี้ยงของตนไปพบสัตวแพทย์เท่านั้นเอง และนี่คือคำถามพื้นฐานที่เจ้าของหมาแมวควรรู้เอาไว้เมื่อพาสัตว์เลี้ยงไปพบกับสัตวแพทย์



1. น้ำหนักหมาของฉันอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่?
สัตว์เลี้ยงจำนวนมากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน แต่ปัญหาที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เจ้าของมักปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ลองถามสัตวแพทย์ที่คุณไปพบดูสิว่า สัตว์เลี้ยงของคุณมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสายพันธุ์ ขนาดตัว และส่วนสูงของมันหรือไม่ หากมีปัญหาจริง คุณก็สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อแก้ไขได้ทันที คำถามนี้สามารถใช้ได้ในกรณีที่คุณคิดว่าหมาของคุณมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่พบบ่อยนักก็ตาม



2. มีอาหารที่เหมาะสมกับหมาของฉันมากกว่านี้หรือไม่?
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม และคนที่คุณควรจะถามว่าอาหารแบบใดเหมาะกับหมาของคุณก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสัตวแพทย์ เมื่อสัตวแพทย์ประเมินสุขภาพของหมาของคุณแล้ว พวกเขาก็สามารถให้คำแนะนำได้ว่า อาหารแบบใดจึงจะเหมาะสมกับลักษณะ รูปแบบการใช้ชีวิต และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของหมาของคุณ



3. หมาของฉัน (พฤติกรรมแปลกๆ) แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือไม่?
อย่าเหมาเอาเองว่า การที่หมาของคุณหายใจหอบเสียงดังหลังออกกำลังกาย หรือการที่หมาของคุณมีอาการคันทุกครั้งหลังกลับมาจากข้างออกเป็นเรื่องปกติ การตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงประจำปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่คุณควรจะถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับข้อสงสัยใดๆ ก็ตามที่คุณสังเกตเห็นในสัตว์เลี้ยงของคุณในช่วงปีที่ผ่านมา จดรายการสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ เมื่อคุณไปพบสัตวแพทย์ เขาหรือเธอจะได้รู้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ สิ่งที่จดนั้นรวมไปถึงเวลาที่เกิดอาการครั้งแรก และความถี่ที่อาการปรากฏขึ้นด้วย



4. หมาของฉันได้รับวัคซีนครบถ้วนหรือไม่?
การเช็คให้แน่ใจว่าหมาของคุณได้รับวัคซีนและยาต่างๆ ตามที่ควรจะได้รับว่าครบถ้วนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด และเป็นเรื่องที่บางครั้งก็ถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย



5. หมาของฉันต้องการการแปรงฟันหรือไม่?
โรคในช่องปากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสัตว์เลี้ยงทั่วไป หมาที่อายุเกิน 3 ปีราว 80% มักจะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับช่องปากในระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โรคเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะนำไปสูงปัญหาทางสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้ เช่น โรคที่เกี่ยวกับไต ตับ หรือแม้แต่หัวใจ ลองถามสัตวแพทย์ดูว่าหมาของคุณต้องการการทำความสะอาดช่องปากหรือไม่เสียตั้งแต่ก่อนจะเกิดปัญหา



6. หมาของฉันต้องการการเจาะเลือดตรวจหรือไม่?
การเจาะเลือดตรวจสามารถช่วยกลั่นกรองปัญหาสุขภาพได้มากมาย เช่น โรคตับ โรคเบากวาน มะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่รักษาให้หายได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สัตวแพทย์มีผลเปรียบเทียบสำหรับการดูแลสุขภาพหมาในระยะยาวอีกด้วย



7. หมาของฉันควรใช้ยาฆ่าเห็บ/หมัดแบบใด?
เห็บและหมัดไม่เพียงแต่น่ารังเกียจ พวกมันยังเป็นเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงต่างๆ มาสู่ตัวคุณ และสัตว์เลี้ยงของคุณด้วย โชคดีที่ปัจจุบันเรามีทางเลือกมากมายในการฆ่าและป้องกันเห็บ/หมัดเหล่านี้ ลองถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ในการกำจัดเห็บ/หมัดดู และถามว่าวิธีใดจึงจะเหมาะกับหมาของคุณที่สุด


8. ก้อนเนื้อ/ ปุ่มเนื้อเหล่านี้คืออะไร?
การที่หมามีก้อนเนื้อหรือปุ่มเนื้อปรากฏขึ้นเมื่อมันอายุมากขึ้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ถึงอย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่ผิดปกติก็สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงมะเร็งได้ ชี้ให้สัตวแพทย์ดูรอยบุ๋ม ปุ่มเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนๆ สัตวแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่า หมาของคุณต้องการการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหามะเร็งหรือไม่

9. หมาของฉันต้องการการตรวจลำไส้หรือไม่?
สัตวแพทย์แต่ละคนจะมีวิธีในการทำงานที่ต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกเขาจะไม่ตรวจลำไส้ให้หมาของคุณนอกเสียจากว่าคุณจะเป็นฝ่ายร้องขอเอง การตรวจลำไส้นั้นเป็นการตรวจเพื่อหาสัญญาณของมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบเร็วพอ

10. ช่วยอธิบายรายละเอียดในใบเสร็จให้หน่อยได้ไหม?
เพียงแค่คุณถามดีๆ และมีมารยาท สัตวแพทย์ก็พร้อมจะอธิบายให้คุณฟังว่า ในการตรวจแต่ละครั้ง และกระบวนการทำงานแต่ละอย่างนั้นมีค่าใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร อะไรบ้าง บางอย่างอาจจะดูแพง แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้หมาของคุณมีสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคุณไปได้อีกนานๆ


4625
เมื่อน้องหมาแพ้อาหาร เราต้องทำอย่างไร ?
อาการแพ้ในหมานั้น มี 10-20% ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ถ้าหมาของคุณชอบเลียเท้า มีการติดเชื้อที่หู และเกาบ่อยๆ คุณก็ควรสังเกตและเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่า หมาของคุณแพ้อาหารหรือไม่



อาการแพ้อาหารในหมาเป็นอย่างไร
สัตว์เลี้ยงที่มีอาการแพ้อาหารมักจะเลียเท้า และมีอาการคันบริเวณใบหน้า หู และก้น พวกมันอาจจะแค่คันเฉยๆ และมีหรือไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและท้องเสีย ร่วมด้วย อาการแพ้นี้มักเกิดขึ้นเมื่อหมามีอายุ 1 ปีขึ้นไป เมื่อหมาของคุณเริ่มมีอาการแพ้อาหาร นั่นคือการที่ระบบภูมิต้านทานของมันมีปฏิกิริยาต่อวัตถุดิบอย่างใดอย่างหนึ่งในอาหารนั้น ซึ่งทำให้เกิดอาการคัน และเนื่องจากหมาสามารถแพ้อย่างอื่นได้ด้วย เช่น หมัด หรือแพ้เมื่อมีการสัมผัสพืชที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อาหารจึงอาจไม่ใช่สาเหตุหลักของอาการแพ้ แต่เป็นแค่สวนหนึ่งที่ทำให้หมาแสดงอาการแพ้ออกมา

อาการแพ้อาหารในหมาไม่สามารถตรวจหาด้วยการเจาะเลือดได้ จึงจึงเป็นต้องค่อยๆ ตัดอาหารแต่ละชนิดออกจากอาหารของมันเพื่อดูว่า อาหารชนิดไหนที่ทำให้หมาเกิดอาการแพ้ แต่ก่อนจะทำการตัดอาหารนั้น คุณจำเป็นต้องจัดการตรวจและแก้ปัญหาเรื่องการแพ้หมัด การแพ้จากการสัมผัสพืช และการติดเชื้อใดๆ ก็ตามที่อาจทำให้การรักษายุ่งยากกว่าเดิมให้หมดเรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งเรื่องเหล่านี้สัตวแพทย์สามารถช่วยคุณได้



การตัดและเปลี่ยนอาหาร
การตัดอาหารเพื่อดูว่าหมาของคุณแพ้อาหารชนิดไหนสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การทำอาหารเอง และการใช้อาหารสูตรเฉพาะ อาหารสูตรเฉพาะนั้นใช้ง่ายกว่าและมีสารอาหารที่สมดุลกว่าอาหารทำเอง แต่มันก็ช่วยเรื่องการค้นหาอาหารที่หมาแพ้ได้ราว 70% เท่านั้น อาหารสูตรพิเศษที่ใช้เพื่อหาการแพ้อาหารนี้มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Hills Z/d และ Royal Canin Hypoallergenic

สำหรับอาหารทำเองนั้น คุณต้องแน่ใจในช่วงตัดอาหาร หมาของคุณจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน โดยอาจจะใช้เนื้อที่หมาของคุณไม่เคยกินมาก่อนเป็นส่วนผสมหลัก ร่วมกับอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรดต่างๆ เริ่มจากดูว่า ณ ตอนนี้หมาของคุณกินอะไรบ้าง และเลี่ยงไปใช้เนื้อชนิดอื่นที่หมาของคุณไม่เคยกิน เพื่อที่จะได้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าหมาของคุณแพ้อะไรกันแน่

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงตัดและเปลี่ยนอาหาร
•   ขนม
•   ของแทะเล่นต่างๆ เช่น กระดูก
•   ยาที่มีการปรุงรสชาติ (ยาฆ่าเชื้อบางชนิดจะมีการผสมตับ เนื้อ หรือเนื้อไก่ลงไปด้วย)
•   อาหารของสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่น อาหารแมว
•   ของเล่นที่มีการปรุงรส
•   สิ่งแปลกปลอมที่พบได้ระหว่างการไปเดินเล่น (คุณอาจใส่ตะกร้อครอบปากเพื่อป้องกันไม่ให้หมากินสิ่งที่อยู่บนพื้นเมื่อคุณไม่ทันระวัง)
•   อาหารของคนที่ตกบนพื้นระหว่างการกินข้าวหรือทำอาหาร



ช่วงเปลี่ยนอาหารควรใช้เวลานานแค่ไหน
ช่วงเปลี่ยนอาหารนี้ใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ หมาบางตัวใช้เวลากว่า 8 สัปดาห์จึงจะเห็นผลว่ามีอาการแพ้ลดลง หากหมาของคุณเกิดไปกินอาหารนอกเหนือจากที่กำหนดในช่วงนี้ คุณจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้งตั้งแต่แรก

สิ่งสำคัญก็คือ ในช่วงการเปลี่ยนอาหาร คุณต้องแน่ใจว่าคุณมีเวลาว่างและความมุ่งมั่นมากพอเพื่อให้สามารถรู้ผลได้อย่างชัดเจนภายในครั้งเดียว และไม่ต้องทำการเปลี่ยนอาหารซ้ำอีก การตัดและเปลี่ยนอาหารจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงหากหมาของคุณกินอาหารหรืออะไรก็ตามนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ เช่น อาหารที่ตกพื้น ของที่อยู่ริมทางเวลาออกไปเดินเล่น หรือมีคนอื่นให้อาหารนอกเหนือจากที่หมาของคุณควรจะกินในช่วงนั้น

เมื่อพ้นช่วงเปลี่ยนอาหารไปแล้วต้องทำอะไรต่อ
หลังจากที่ช่วงทดลองเปลี่ยนอาหารจบลง และให้กลับมาให้อาหารชนิดเดิมอีกครั้ง นี่เป็นช่วงสำคัญที่จะช่วยยืนยันได้ว่า หมาของคุณแพ้อาหารจริงๆ ไม่ใช่เป็นอย่างอื่นและอาการดีเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น การกลับมาให้อาหารแบบเดิมอีกครั้งคือการทดสอบว่าหมาของคุณแพ้อาหารจริงหรือไม่

ถ้าอาการคันกลับมาภายใน 1- 2 สัปดาห์หลังจากที่กลับมาให้อาหารชนิดเดิม คุณก็แน่ใจได้เลยว่าหมาของคุณแพ้อาหารแน่นอน หลังจากนี้คุณต้องไปปรึกษากับสัตวแพทย์แล้วว่า คุณควรจะให้หมากินอาหารสูตรไหน เพื่อที่มันจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนในระยะยาว




4626
เมื่อน้องหมาแพ้อาหาร เราต้องทำอย่างไร ?
อาการแพ้ในหมานั้น มี 10-20% ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ถ้าหมาของคุณชอบเลียเท้า มีการติดเชื้อที่หู และเกาบ่อยๆ คุณก็ควรสังเกตและเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่า หมาของคุณแพ้อาหารหรือไม่



อาการแพ้อาหารในหมาเป็นอย่างไร
สัตว์เลี้ยงที่มีอาการแพ้อาหารมักจะเลียเท้า และมีอาการคันบริเวณใบหน้า หู และก้น พวกมันอาจจะแค่คันเฉยๆ และมีหรือไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและท้องเสีย ร่วมด้วย อาการแพ้นี้มักเกิดขึ้นเมื่อหมามีอายุ 1 ปีขึ้นไป เมื่อหมาของคุณเริ่มมีอาการแพ้อาหาร นั่นคือการที่ระบบภูมิต้านทานของมันมีปฏิกิริยาต่อวัตถุดิบอย่างใดอย่างหนึ่งในอาหารนั้น ซึ่งทำให้เกิดอาการคัน และเนื่องจากหมาสามารถแพ้อย่างอื่นได้ด้วย เช่น หมัด หรือแพ้เมื่อมีการสัมผัสพืชที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อาหารจึงอาจไม่ใช่สาเหตุหลักของอาการแพ้ แต่เป็นแค่สวนหนึ่งที่ทำให้หมาแสดงอาการแพ้ออกมา

อาการแพ้อาหารในหมาไม่สามารถตรวจหาด้วยการเจาะเลือดได้ จึงจึงเป็นต้องค่อยๆ ตัดอาหารแต่ละชนิดออกจากอาหารของมันเพื่อดูว่า อาหารชนิดไหนที่ทำให้หมาเกิดอาการแพ้ แต่ก่อนจะทำการตัดอาหารนั้น คุณจำเป็นต้องจัดการตรวจและแก้ปัญหาเรื่องการแพ้หมัด การแพ้จากการสัมผัสพืช และการติดเชื้อใดๆ ก็ตามที่อาจทำให้การรักษายุ่งยากกว่าเดิมให้หมดเรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งเรื่องเหล่านี้สัตวแพทย์สามารถช่วยคุณได้



การตัดและเปลี่ยนอาหาร
การตัดอาหารเพื่อดูว่าหมาของคุณแพ้อาหารชนิดไหนสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การทำอาหารเอง และการใช้อาหารสูตรเฉพาะ อาหารสูตรเฉพาะนั้นใช้ง่ายกว่าและมีสารอาหารที่สมดุลกว่าอาหารทำเอง แต่มันก็ช่วยเรื่องการค้นหาอาหารที่หมาแพ้ได้ราว 70% เท่านั้น อาหารสูตรพิเศษที่ใช้เพื่อหาการแพ้อาหารนี้มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Hills Z/d และ Royal Canin Hypoallergenic

สำหรับอาหารทำเองนั้น คุณต้องแน่ใจในช่วงตัดอาหาร หมาของคุณจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน โดยอาจจะใช้เนื้อที่หมาของคุณไม่เคยกินมาก่อนเป็นส่วนผสมหลัก ร่วมกับอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรดต่างๆ เริ่มจากดูว่า ณ ตอนนี้หมาของคุณกินอะไรบ้าง และเลี่ยงไปใช้เนื้อชนิดอื่นที่หมาของคุณไม่เคยกิน เพื่อที่จะได้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าหมาของคุณแพ้อะไรกันแน่

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงตัดและเปลี่ยนอาหาร
•   ขนม
•   ของแทะเล่นต่างๆ เช่น กระดูก
•   ยาที่มีการปรุงรสชาติ (ยาฆ่าเชื้อบางชนิดจะมีการผสมตับ เนื้อ หรือเนื้อไก่ลงไปด้วย)
•   อาหารของสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่น อาหารแมว
•   ของเล่นที่มีการปรุงรส
•   สิ่งแปลกปลอมที่พบได้ระหว่างการไปเดินเล่น (คุณอาจใส่ตะกร้อครอบปากเพื่อป้องกันไม่ให้หมากินสิ่งที่อยู่บนพื้นเมื่อคุณไม่ทันระวัง)
•   อาหารของคนที่ตกบนพื้นระหว่างการกินข้าวหรือทำอาหาร



ช่วงเปลี่ยนอาหารควรใช้เวลานานแค่ไหน
ช่วงเปลี่ยนอาหารนี้ใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ หมาบางตัวใช้เวลากว่า 8 สัปดาห์จึงจะเห็นผลว่ามีอาการแพ้ลดลง หากหมาของคุณเกิดไปกินอาหารนอกเหนือจากที่กำหนดในช่วงนี้ คุณจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้งตั้งแต่แรก

สิ่งสำคัญก็คือ ในช่วงการเปลี่ยนอาหาร คุณต้องแน่ใจว่าคุณมีเวลาว่างและความมุ่งมั่นมากพอเพื่อให้สามารถรู้ผลได้อย่างชัดเจนภายในครั้งเดียว และไม่ต้องทำการเปลี่ยนอาหารซ้ำอีก การตัดและเปลี่ยนอาหารจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงหากหมาของคุณกินอาหารหรืออะไรก็ตามนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ เช่น อาหารที่ตกพื้น ของที่อยู่ริมทางเวลาออกไปเดินเล่น หรือมีคนอื่นให้อาหารนอกเหนือจากที่หมาของคุณควรจะกินในช่วงนั้น

เมื่อพ้นช่วงเปลี่ยนอาหารไปแล้วต้องทำอะไรต่อ
หลังจากที่ช่วงทดลองเปลี่ยนอาหารจบลง และให้กลับมาให้อาหารชนิดเดิมอีกครั้ง นี่เป็นช่วงสำคัญที่จะช่วยยืนยันได้ว่า หมาของคุณแพ้อาหารจริงๆ ไม่ใช่เป็นอย่างอื่นและอาการดีเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น การกลับมาให้อาหารแบบเดิมอีกครั้งคือการทดสอบว่าหมาของคุณแพ้อาหารจริงหรือไม่

ถ้าอาการคันกลับมาภายใน 1- 2 สัปดาห์หลังจากที่กลับมาให้อาหารชนิดเดิม คุณก็แน่ใจได้เลยว่าหมาของคุณแพ้อาหารแน่นอน หลังจากนี้คุณต้องไปปรึกษากับสัตวแพทย์แล้วว่า คุณควรจะให้หมากินอาหารสูตรไหน เพื่อที่มันจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนในระยะยาว




4627
เมื่อน้องหมาแพ้อาหาร เราต้องทำอย่างไร ?
อาการแพ้ในหมานั้น มี 10-20% ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ถ้าหมาของคุณชอบเลียเท้า มีการติดเชื้อที่หู และเกาบ่อยๆ คุณก็ควรสังเกตและเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่า หมาของคุณแพ้อาหารหรือไม่



อาการแพ้อาหารในหมาเป็นอย่างไร
สัตว์เลี้ยงที่มีอาการแพ้อาหารมักจะเลียเท้า และมีอาการคันบริเวณใบหน้า หู และก้น พวกมันอาจจะแค่คันเฉยๆ และมีหรือไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและท้องเสีย ร่วมด้วย อาการแพ้นี้มักเกิดขึ้นเมื่อหมามีอายุ 1 ปีขึ้นไป เมื่อหมาของคุณเริ่มมีอาการแพ้อาหาร นั่นคือการที่ระบบภูมิต้านทานของมันมีปฏิกิริยาต่อวัตถุดิบอย่างใดอย่างหนึ่งในอาหารนั้น ซึ่งทำให้เกิดอาการคัน และเนื่องจากหมาสามารถแพ้อย่างอื่นได้ด้วย เช่น หมัด หรือแพ้เมื่อมีการสัมผัสพืชที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อาหารจึงอาจไม่ใช่สาเหตุหลักของอาการแพ้ แต่เป็นแค่สวนหนึ่งที่ทำให้หมาแสดงอาการแพ้ออกมา

อาการแพ้อาหารในหมาไม่สามารถตรวจหาด้วยการเจาะเลือดได้ จึงจึงเป็นต้องค่อยๆ ตัดอาหารแต่ละชนิดออกจากอาหารของมันเพื่อดูว่า อาหารชนิดไหนที่ทำให้หมาเกิดอาการแพ้ แต่ก่อนจะทำการตัดอาหารนั้น คุณจำเป็นต้องจัดการตรวจและแก้ปัญหาเรื่องการแพ้หมัด การแพ้จากการสัมผัสพืช และการติดเชื้อใดๆ ก็ตามที่อาจทำให้การรักษายุ่งยากกว่าเดิมให้หมดเรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งเรื่องเหล่านี้สัตวแพทย์สามารถช่วยคุณได้



การตัดและเปลี่ยนอาหาร
การตัดอาหารเพื่อดูว่าหมาของคุณแพ้อาหารชนิดไหนสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การทำอาหารเอง และการใช้อาหารสูตรเฉพาะ อาหารสูตรเฉพาะนั้นใช้ง่ายกว่าและมีสารอาหารที่สมดุลกว่าอาหารทำเอง แต่มันก็ช่วยเรื่องการค้นหาอาหารที่หมาแพ้ได้ราว 70% เท่านั้น อาหารสูตรพิเศษที่ใช้เพื่อหาการแพ้อาหารนี้มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Hills Z/d และ Royal Canin Hypoallergenic

สำหรับอาหารทำเองนั้น คุณต้องแน่ใจในช่วงตัดอาหาร หมาของคุณจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน โดยอาจจะใช้เนื้อที่หมาของคุณไม่เคยกินมาก่อนเป็นส่วนผสมหลัก ร่วมกับอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรดต่างๆ เริ่มจากดูว่า ณ ตอนนี้หมาของคุณกินอะไรบ้าง และเลี่ยงไปใช้เนื้อชนิดอื่นที่หมาของคุณไม่เคยกิน เพื่อที่จะได้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าหมาของคุณแพ้อะไรกันแน่

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงตัดและเปลี่ยนอาหาร
•   ขนม
•   ของแทะเล่นต่างๆ เช่น กระดูก
•   ยาที่มีการปรุงรสชาติ (ยาฆ่าเชื้อบางชนิดจะมีการผสมตับ เนื้อ หรือเนื้อไก่ลงไปด้วย)
•   อาหารของสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่น อาหารแมว
•   ของเล่นที่มีการปรุงรส
•   สิ่งแปลกปลอมที่พบได้ระหว่างการไปเดินเล่น (คุณอาจใส่ตะกร้อครอบปากเพื่อป้องกันไม่ให้หมากินสิ่งที่อยู่บนพื้นเมื่อคุณไม่ทันระวัง)
•   อาหารของคนที่ตกบนพื้นระหว่างการกินข้าวหรือทำอาหาร



ช่วงเปลี่ยนอาหารควรใช้เวลานานแค่ไหน
ช่วงเปลี่ยนอาหารนี้ใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ หมาบางตัวใช้เวลากว่า 8 สัปดาห์จึงจะเห็นผลว่ามีอาการแพ้ลดลง หากหมาของคุณเกิดไปกินอาหารนอกเหนือจากที่กำหนดในช่วงนี้ คุณจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้งตั้งแต่แรก

สิ่งสำคัญก็คือ ในช่วงการเปลี่ยนอาหาร คุณต้องแน่ใจว่าคุณมีเวลาว่างและความมุ่งมั่นมากพอเพื่อให้สามารถรู้ผลได้อย่างชัดเจนภายในครั้งเดียว และไม่ต้องทำการเปลี่ยนอาหารซ้ำอีก การตัดและเปลี่ยนอาหารจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงหากหมาของคุณกินอาหารหรืออะไรก็ตามนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ เช่น อาหารที่ตกพื้น ของที่อยู่ริมทางเวลาออกไปเดินเล่น หรือมีคนอื่นให้อาหารนอกเหนือจากที่หมาของคุณควรจะกินในช่วงนั้น

เมื่อพ้นช่วงเปลี่ยนอาหารไปแล้วต้องทำอะไรต่อ
หลังจากที่ช่วงทดลองเปลี่ยนอาหารจบลง และให้กลับมาให้อาหารชนิดเดิมอีกครั้ง นี่เป็นช่วงสำคัญที่จะช่วยยืนยันได้ว่า หมาของคุณแพ้อาหารจริงๆ ไม่ใช่เป็นอย่างอื่นและอาการดีเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น การกลับมาให้อาหารแบบเดิมอีกครั้งคือการทดสอบว่าหมาของคุณแพ้อาหารจริงหรือไม่

ถ้าอาการคันกลับมาภายใน 1- 2 สัปดาห์หลังจากที่กลับมาให้อาหารชนิดเดิม คุณก็แน่ใจได้เลยว่าหมาของคุณแพ้อาหารแน่นอน หลังจากนี้คุณต้องไปปรึกษากับสัตวแพทย์แล้วว่า คุณควรจะให้หมากินอาหารสูตรไหน เพื่อที่มันจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนในระยะยาว




4628
เมื่อน้องหมาแพ้อาหาร เราต้องทำอย่างไร ?
อาการแพ้ในหมานั้น มี 10-20% ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ถ้าหมาของคุณชอบเลียเท้า มีการติดเชื้อที่หู และเกาบ่อยๆ คุณก็ควรสังเกตและเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่า หมาของคุณแพ้อาหารหรือไม่



อาการแพ้อาหารในหมาเป็นอย่างไร
สัตว์เลี้ยงที่มีอาการแพ้อาหารมักจะเลียเท้า และมีอาการคันบริเวณใบหน้า หู และก้น พวกมันอาจจะแค่คันเฉยๆ และมีหรือไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและท้องเสีย ร่วมด้วย อาการแพ้นี้มักเกิดขึ้นเมื่อหมามีอายุ 1 ปีขึ้นไป เมื่อหมาของคุณเริ่มมีอาการแพ้อาหาร นั่นคือการที่ระบบภูมิต้านทานของมันมีปฏิกิริยาต่อวัตถุดิบอย่างใดอย่างหนึ่งในอาหารนั้น ซึ่งทำให้เกิดอาการคัน และเนื่องจากหมาสามารถแพ้อย่างอื่นได้ด้วย เช่น หมัด หรือแพ้เมื่อมีการสัมผัสพืชที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อาหารจึงอาจไม่ใช่สาเหตุหลักของอาการแพ้ แต่เป็นแค่สวนหนึ่งที่ทำให้หมาแสดงอาการแพ้ออกมา

อาการแพ้อาหารในหมาไม่สามารถตรวจหาด้วยการเจาะเลือดได้ จึงจึงเป็นต้องค่อยๆ ตัดอาหารแต่ละชนิดออกจากอาหารของมันเพื่อดูว่า อาหารชนิดไหนที่ทำให้หมาเกิดอาการแพ้ แต่ก่อนจะทำการตัดอาหารนั้น คุณจำเป็นต้องจัดการตรวจและแก้ปัญหาเรื่องการแพ้หมัด การแพ้จากการสัมผัสพืช และการติดเชื้อใดๆ ก็ตามที่อาจทำให้การรักษายุ่งยากกว่าเดิมให้หมดเรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งเรื่องเหล่านี้สัตวแพทย์สามารถช่วยคุณได้



การตัดและเปลี่ยนอาหาร
การตัดอาหารเพื่อดูว่าหมาของคุณแพ้อาหารชนิดไหนสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การทำอาหารเอง และการใช้อาหารสูตรเฉพาะ อาหารสูตรเฉพาะนั้นใช้ง่ายกว่าและมีสารอาหารที่สมดุลกว่าอาหารทำเอง แต่มันก็ช่วยเรื่องการค้นหาอาหารที่หมาแพ้ได้ราว 70% เท่านั้น อาหารสูตรพิเศษที่ใช้เพื่อหาการแพ้อาหารนี้มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Hills Z/d และ Royal Canin Hypoallergenic

สำหรับอาหารทำเองนั้น คุณต้องแน่ใจในช่วงตัดอาหาร หมาของคุณจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน โดยอาจจะใช้เนื้อที่หมาของคุณไม่เคยกินมาก่อนเป็นส่วนผสมหลัก ร่วมกับอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรดต่างๆ เริ่มจากดูว่า ณ ตอนนี้หมาของคุณกินอะไรบ้าง และเลี่ยงไปใช้เนื้อชนิดอื่นที่หมาของคุณไม่เคยกิน เพื่อที่จะได้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าหมาของคุณแพ้อะไรกันแน่

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงตัดและเปลี่ยนอาหาร
•   ขนม
•   ของแทะเล่นต่างๆ เช่น กระดูก
•   ยาที่มีการปรุงรสชาติ (ยาฆ่าเชื้อบางชนิดจะมีการผสมตับ เนื้อ หรือเนื้อไก่ลงไปด้วย)
•   อาหารของสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่น อาหารแมว
•   ของเล่นที่มีการปรุงรส
•   สิ่งแปลกปลอมที่พบได้ระหว่างการไปเดินเล่น (คุณอาจใส่ตะกร้อครอบปากเพื่อป้องกันไม่ให้หมากินสิ่งที่อยู่บนพื้นเมื่อคุณไม่ทันระวัง)
•   อาหารของคนที่ตกบนพื้นระหว่างการกินข้าวหรือทำอาหาร



ช่วงเปลี่ยนอาหารควรใช้เวลานานแค่ไหน
ช่วงเปลี่ยนอาหารนี้ใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ หมาบางตัวใช้เวลากว่า 8 สัปดาห์จึงจะเห็นผลว่ามีอาการแพ้ลดลง หากหมาของคุณเกิดไปกินอาหารนอกเหนือจากที่กำหนดในช่วงนี้ คุณจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้งตั้งแต่แรก

สิ่งสำคัญก็คือ ในช่วงการเปลี่ยนอาหาร คุณต้องแน่ใจว่าคุณมีเวลาว่างและความมุ่งมั่นมากพอเพื่อให้สามารถรู้ผลได้อย่างชัดเจนภายในครั้งเดียว และไม่ต้องทำการเปลี่ยนอาหารซ้ำอีก การตัดและเปลี่ยนอาหารจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงหากหมาของคุณกินอาหารหรืออะไรก็ตามนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ เช่น อาหารที่ตกพื้น ของที่อยู่ริมทางเวลาออกไปเดินเล่น หรือมีคนอื่นให้อาหารนอกเหนือจากที่หมาของคุณควรจะกินในช่วงนั้น

เมื่อพ้นช่วงเปลี่ยนอาหารไปแล้วต้องทำอะไรต่อ
หลังจากที่ช่วงทดลองเปลี่ยนอาหารจบลง และให้กลับมาให้อาหารชนิดเดิมอีกครั้ง นี่เป็นช่วงสำคัญที่จะช่วยยืนยันได้ว่า หมาของคุณแพ้อาหารจริงๆ ไม่ใช่เป็นอย่างอื่นและอาการดีเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น การกลับมาให้อาหารแบบเดิมอีกครั้งคือการทดสอบว่าหมาของคุณแพ้อาหารจริงหรือไม่

ถ้าอาการคันกลับมาภายใน 1- 2 สัปดาห์หลังจากที่กลับมาให้อาหารชนิดเดิม คุณก็แน่ใจได้เลยว่าหมาของคุณแพ้อาหารแน่นอน หลังจากนี้คุณต้องไปปรึกษากับสัตวแพทย์แล้วว่า คุณควรจะให้หมากินอาหารสูตรไหน เพื่อที่มันจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนในระยะยาว




4629
5 โรคของหมาแก่ที่เจ้าของควรรู้

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับหมาตัวหนึ่ง จากลูกหมาตัวเล็กๆ ที่เราอุ้มกลับบ้านในวันนั้น แค่ไม่กี่ปีก็เติบโตเต็มที่ และกลายเป็นหมาแก่ๆ ตัวหนึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา โชคดีที่ว่า ยารักษาสัตว์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นมากอยู่ทุกวัน ทำให้เราสามารถตรวจหาและรักษาปัญหาสุขภาพบางอย่างในหมาที่มีอายุมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถดูแลหมาแก่ๆ ที่อยู่กับเรามานานให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ด้วย



เมื่อไรถึงจะเรียกว่าแก่
เหล่าคนรักหมาต่างก็รู้ข้อมูลพื้นฐานเรื่องอายุหมากันดีกว่า อายุของหมานั้นเร็วกว่าอายุของมนุษย์ 7 เท่า แต่จริงๆ แล้ว อายุของหมาจะแตกต่างกันออกไปตามขนาดตัวของมันด้วย หมาพันธุ์ใหญ่อย่างเกรทเดนอาจมีอายุขัยต่ำกว่า 10 ปี ในขณะที่ชิวาว่าตัวจ้อยอาจจะอยู่ได้นานถึง 18 ปี การระบุช่วงอายุของหมาที่ละเอียดกว่านี้ก็คือ หมาตัวหนึ่งจะนับว่าเข้าสู่วัยชราเมื่อมันมีอายุอยู่ใน 25% สุดท้ายของอายุขัยที่ประเมินเอาไว้

และนี่คืออาการป่วยและโรคต่างๆ ที่มักพบในหมาที่มีอายุมาก   



1. โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
โรคข้อมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนที่ปกป้องผิวข้อต่อบางลงตามกาลเวลา แม้ว่าเราจะไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ แต่เจ้าของหมาก็มีเครื่องมือมากมายที่สามารถนำมาใช้ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากโรคข้อเสื่อมและโรคไขข้อในหมาได้

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ควบคุมน้ำหนักของหมาให้เหมาะสม หมาที่อ้วนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดทับอันมหาศาลที่ข้อต่อของมัน อาการนี้พบได้ในทุกสายพันธุ์ แต่จะมีพบได้บ่อยกว่าในหมาพันธุ์ใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้อยู่แล้ว ชัดเจน  เช่น โรคสะโพกเคลื่อน

หมาของคุณต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เห็นถึงสัญญาของโรคข้อเสื่อมเสียแต่เนิ่นๆ และคุณเองก็ต้องรู้ถึงสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกว่าหมาของคุณอาจเป็นโรคข้อเสื่อมด้วย เช่น อาการลังเลไม่อยากเดินขึ้นบันได ท่าทางแข็งเกร็งโดยเฉพาะในช่วงเช้า และการเดินกะเผลก ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากพบว่าหมาของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องการใช้อาหารเพื่อการรักษา อาหารบางอย่างจะมีสูตรเฉพาะที่ช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวและฟื้นฟูสุขภาพข้อต่อของหมาได้
 


2. โรคในช่องปาก
โรคในช่องปาก เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในหมา โดยสามารถพบได้ในหมาทุกสายพันธุ์ และทุกขนาด โรคเหงือก หรือรำมะนาด สามารถทำให้เกิดความเจ็บปวด ฟันหลุด และมีแบคทีเรียในกระแสเลือดที่ทำลายอวัยวะภายในได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการเรื้อรังไปเรื่อยๆ

การแปรงฟันและดูแลในช่องปากจะสามารถช่วยลดหินปูนที่เกาะอยู่ตามขอบฟันได้ อาหารสูตรเฉพาะก็สามารถทำให้สุขภาพช่องปากของหมาดีขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีโรคภายในช่องปากเกิดขึ้นแล้ว การทำความสะอาดฟันชุดใหญ่แบบต้องวางยาสลบและทำการรักษาที่คลินิกสัตวแพทย์เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง คุณจึงควรดูแลสุขภาพปากของหมาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โรคในช่องปากจะลุกลามร้ายแรง



3. โรคอ้วน
หมาอ้วนเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ เจ้าของจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมาของตัวเองน้ำหนักเกินมาตรฐาน และที่แย่ไปกว่านั้น หมาที่มีน้ำหนักเกินจะเปราะบางต่อการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อต่อ โรคเบาหวาน และอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

การออกกำลังกายและควบคุมแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ คือ กุญแจสำคัญในการควบคุมน้ำหนักสัตว์เลี้ยง หมาแก่มักจะมีความกระตือรือร้นน้อยกว่าหมาที่อายุน้อยกว่า และมีความต้องการปริมาณแคลอรี่ที่ต่างออกไป การลดน้ำหนักสำหรับหมาแก่สามารถช่วยในเรื่องปรับอาหารให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนได้ด้วย โดยสารอาหารที่ร่างกายหมาแก่ต้องการมักจะมีสัดส่วนของไขมันและโปรตีนต่างจากอาหารสำหรับหมาโตเต็มวัยทั่วไปมากทีเดียว การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอจะส่งผลดีต่อหมาแก่ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อดูว่าอาหารและการออกกำลังกายแบบใดจึงจะเหมาะกับเพื่อนสี่ขาของคุณ
 


4. ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism)
หมาที่มีน้ำหนักเกินและทำตามแผนการลดน้ำหนักตามที่สัตวแพทย์แนะนำแล้วแต่ไม่ได้ผล อาจมีภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป เป็นผลมาจากระบบเผาผลาญพลังงานที่ทำงานไม่เต็มที่ ข่าวดีก็คือ ภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำสามารถตรวจหาได้ด้วยการเจาะเลือด และมักจะมีการตอบสนองต่อการรักษาทันที
 


5. มะเร็ง
หมาเองก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ มะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเนื้องอก เป็นหนึ่งในความผิดปกติที่สามารถพบได้ทั่วไป แม้ว่าจะมีหมาบางพันธุ์ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมที่แข็งแรงอย่าง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ และบ็อกเซอร์ แต่มะเร็งก็ยังสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็วในทุกสายพันธุ์ การตรวจพบและเข้ารับการรักษาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นคือสิ่งที่ทำให้หมาที่เป็นโรคมะเร็งมีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น ดังนั้น การพาหมาไปตรวจร่างกายประจำปีจึงเป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


4630
5 โรคของหมาแก่ที่เจ้าของควรรู้

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับหมาตัวหนึ่ง จากลูกหมาตัวเล็กๆ ที่เราอุ้มกลับบ้านในวันนั้น แค่ไม่กี่ปีก็เติบโตเต็มที่ และกลายเป็นหมาแก่ๆ ตัวหนึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา โชคดีที่ว่า ยารักษาสัตว์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นมากอยู่ทุกวัน ทำให้เราสามารถตรวจหาและรักษาปัญหาสุขภาพบางอย่างในหมาที่มีอายุมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถดูแลหมาแก่ๆ ที่อยู่กับเรามานานให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ด้วย



เมื่อไรถึงจะเรียกว่าแก่
เหล่าคนรักหมาต่างก็รู้ข้อมูลพื้นฐานเรื่องอายุหมากันดีกว่า อายุของหมานั้นเร็วกว่าอายุของมนุษย์ 7 เท่า แต่จริงๆ แล้ว อายุของหมาจะแตกต่างกันออกไปตามขนาดตัวของมันด้วย หมาพันธุ์ใหญ่อย่างเกรทเดนอาจมีอายุขัยต่ำกว่า 10 ปี ในขณะที่ชิวาว่าตัวจ้อยอาจจะอยู่ได้นานถึง 18 ปี การระบุช่วงอายุของหมาที่ละเอียดกว่านี้ก็คือ หมาตัวหนึ่งจะนับว่าเข้าสู่วัยชราเมื่อมันมีอายุอยู่ใน 25% สุดท้ายของอายุขัยที่ประเมินเอาไว้

และนี่คืออาการป่วยและโรคต่างๆ ที่มักพบในหมาที่มีอายุมาก   



1. โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
โรคข้อมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนที่ปกป้องผิวข้อต่อบางลงตามกาลเวลา แม้ว่าเราจะไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ แต่เจ้าของหมาก็มีเครื่องมือมากมายที่สามารถนำมาใช้ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากโรคข้อเสื่อมและโรคไขข้อในหมาได้

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ควบคุมน้ำหนักของหมาให้เหมาะสม หมาที่อ้วนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดทับอันมหาศาลที่ข้อต่อของมัน อาการนี้พบได้ในทุกสายพันธุ์ แต่จะมีพบได้บ่อยกว่าในหมาพันธุ์ใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้อยู่แล้ว ชัดเจน  เช่น โรคสะโพกเคลื่อน

หมาของคุณต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เห็นถึงสัญญาของโรคข้อเสื่อมเสียแต่เนิ่นๆ และคุณเองก็ต้องรู้ถึงสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกว่าหมาของคุณอาจเป็นโรคข้อเสื่อมด้วย เช่น อาการลังเลไม่อยากเดินขึ้นบันได ท่าทางแข็งเกร็งโดยเฉพาะในช่วงเช้า และการเดินกะเผลก ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากพบว่าหมาของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องการใช้อาหารเพื่อการรักษา อาหารบางอย่างจะมีสูตรเฉพาะที่ช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวและฟื้นฟูสุขภาพข้อต่อของหมาได้
 


2. โรคในช่องปาก
โรคในช่องปาก เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในหมา โดยสามารถพบได้ในหมาทุกสายพันธุ์ และทุกขนาด โรคเหงือก หรือรำมะนาด สามารถทำให้เกิดความเจ็บปวด ฟันหลุด และมีแบคทีเรียในกระแสเลือดที่ทำลายอวัยวะภายในได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการเรื้อรังไปเรื่อยๆ

การแปรงฟันและดูแลในช่องปากจะสามารถช่วยลดหินปูนที่เกาะอยู่ตามขอบฟันได้ อาหารสูตรเฉพาะก็สามารถทำให้สุขภาพช่องปากของหมาดีขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีโรคภายในช่องปากเกิดขึ้นแล้ว การทำความสะอาดฟันชุดใหญ่แบบต้องวางยาสลบและทำการรักษาที่คลินิกสัตวแพทย์เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง คุณจึงควรดูแลสุขภาพปากของหมาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โรคในช่องปากจะลุกลามร้ายแรง



3. โรคอ้วน
หมาอ้วนเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ เจ้าของจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมาของตัวเองน้ำหนักเกินมาตรฐาน และที่แย่ไปกว่านั้น หมาที่มีน้ำหนักเกินจะเปราะบางต่อการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อต่อ โรคเบาหวาน และอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

การออกกำลังกายและควบคุมแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ คือ กุญแจสำคัญในการควบคุมน้ำหนักสัตว์เลี้ยง หมาแก่มักจะมีความกระตือรือร้นน้อยกว่าหมาที่อายุน้อยกว่า และมีความต้องการปริมาณแคลอรี่ที่ต่างออกไป การลดน้ำหนักสำหรับหมาแก่สามารถช่วยในเรื่องปรับอาหารให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนได้ด้วย โดยสารอาหารที่ร่างกายหมาแก่ต้องการมักจะมีสัดส่วนของไขมันและโปรตีนต่างจากอาหารสำหรับหมาโตเต็มวัยทั่วไปมากทีเดียว การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอจะส่งผลดีต่อหมาแก่ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อดูว่าอาหารและการออกกำลังกายแบบใดจึงจะเหมาะกับเพื่อนสี่ขาของคุณ
 


4. ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism)
หมาที่มีน้ำหนักเกินและทำตามแผนการลดน้ำหนักตามที่สัตวแพทย์แนะนำแล้วแต่ไม่ได้ผล อาจมีภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป เป็นผลมาจากระบบเผาผลาญพลังงานที่ทำงานไม่เต็มที่ ข่าวดีก็คือ ภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำสามารถตรวจหาได้ด้วยการเจาะเลือด และมักจะมีการตอบสนองต่อการรักษาทันที
 


5. มะเร็ง
หมาเองก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ มะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเนื้องอก เป็นหนึ่งในความผิดปกติที่สามารถพบได้ทั่วไป แม้ว่าจะมีหมาบางพันธุ์ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมที่แข็งแรงอย่าง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ และบ็อกเซอร์ แต่มะเร็งก็ยังสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็วในทุกสายพันธุ์ การตรวจพบและเข้ารับการรักษาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นคือสิ่งที่ทำให้หมาที่เป็นโรคมะเร็งมีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น ดังนั้น การพาหมาไปตรวจร่างกายประจำปีจึงเป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


4631
5 โรคของหมาแก่ที่เจ้าของควรรู้

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับหมาตัวหนึ่ง จากลูกหมาตัวเล็กๆ ที่เราอุ้มกลับบ้านในวันนั้น แค่ไม่กี่ปีก็เติบโตเต็มที่ และกลายเป็นหมาแก่ๆ ตัวหนึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา โชคดีที่ว่า ยารักษาสัตว์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นมากอยู่ทุกวัน ทำให้เราสามารถตรวจหาและรักษาปัญหาสุขภาพบางอย่างในหมาที่มีอายุมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถดูแลหมาแก่ๆ ที่อยู่กับเรามานานให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ด้วย



เมื่อไรถึงจะเรียกว่าแก่
เหล่าคนรักหมาต่างก็รู้ข้อมูลพื้นฐานเรื่องอายุหมากันดีกว่า อายุของหมานั้นเร็วกว่าอายุของมนุษย์ 7 เท่า แต่จริงๆ แล้ว อายุของหมาจะแตกต่างกันออกไปตามขนาดตัวของมันด้วย หมาพันธุ์ใหญ่อย่างเกรทเดนอาจมีอายุขัยต่ำกว่า 10 ปี ในขณะที่ชิวาว่าตัวจ้อยอาจจะอยู่ได้นานถึง 18 ปี การระบุช่วงอายุของหมาที่ละเอียดกว่านี้ก็คือ หมาตัวหนึ่งจะนับว่าเข้าสู่วัยชราเมื่อมันมีอายุอยู่ใน 25% สุดท้ายของอายุขัยที่ประเมินเอาไว้

และนี่คืออาการป่วยและโรคต่างๆ ที่มักพบในหมาที่มีอายุมาก   



1. โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
โรคข้อมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนที่ปกป้องผิวข้อต่อบางลงตามกาลเวลา แม้ว่าเราจะไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ แต่เจ้าของหมาก็มีเครื่องมือมากมายที่สามารถนำมาใช้ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากโรคข้อเสื่อมและโรคไขข้อในหมาได้

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ควบคุมน้ำหนักของหมาให้เหมาะสม หมาที่อ้วนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดทับอันมหาศาลที่ข้อต่อของมัน อาการนี้พบได้ในทุกสายพันธุ์ แต่จะมีพบได้บ่อยกว่าในหมาพันธุ์ใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้อยู่แล้ว ชัดเจน  เช่น โรคสะโพกเคลื่อน

หมาของคุณต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เห็นถึงสัญญาของโรคข้อเสื่อมเสียแต่เนิ่นๆ และคุณเองก็ต้องรู้ถึงสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกว่าหมาของคุณอาจเป็นโรคข้อเสื่อมด้วย เช่น อาการลังเลไม่อยากเดินขึ้นบันได ท่าทางแข็งเกร็งโดยเฉพาะในช่วงเช้า และการเดินกะเผลก ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากพบว่าหมาของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องการใช้อาหารเพื่อการรักษา อาหารบางอย่างจะมีสูตรเฉพาะที่ช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวและฟื้นฟูสุขภาพข้อต่อของหมาได้
 


2. โรคในช่องปาก
โรคในช่องปาก เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในหมา โดยสามารถพบได้ในหมาทุกสายพันธุ์ และทุกขนาด โรคเหงือก หรือรำมะนาด สามารถทำให้เกิดความเจ็บปวด ฟันหลุด และมีแบคทีเรียในกระแสเลือดที่ทำลายอวัยวะภายในได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการเรื้อรังไปเรื่อยๆ

การแปรงฟันและดูแลในช่องปากจะสามารถช่วยลดหินปูนที่เกาะอยู่ตามขอบฟันได้ อาหารสูตรเฉพาะก็สามารถทำให้สุขภาพช่องปากของหมาดีขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีโรคภายในช่องปากเกิดขึ้นแล้ว การทำความสะอาดฟันชุดใหญ่แบบต้องวางยาสลบและทำการรักษาที่คลินิกสัตวแพทย์เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง คุณจึงควรดูแลสุขภาพปากของหมาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โรคในช่องปากจะลุกลามร้ายแรง



3. โรคอ้วน
หมาอ้วนเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ เจ้าของจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมาของตัวเองน้ำหนักเกินมาตรฐาน และที่แย่ไปกว่านั้น หมาที่มีน้ำหนักเกินจะเปราะบางต่อการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อต่อ โรคเบาหวาน และอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

การออกกำลังกายและควบคุมแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ คือ กุญแจสำคัญในการควบคุมน้ำหนักสัตว์เลี้ยง หมาแก่มักจะมีความกระตือรือร้นน้อยกว่าหมาที่อายุน้อยกว่า และมีความต้องการปริมาณแคลอรี่ที่ต่างออกไป การลดน้ำหนักสำหรับหมาแก่สามารถช่วยในเรื่องปรับอาหารให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนได้ด้วย โดยสารอาหารที่ร่างกายหมาแก่ต้องการมักจะมีสัดส่วนของไขมันและโปรตีนต่างจากอาหารสำหรับหมาโตเต็มวัยทั่วไปมากทีเดียว การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอจะส่งผลดีต่อหมาแก่ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อดูว่าอาหารและการออกกำลังกายแบบใดจึงจะเหมาะกับเพื่อนสี่ขาของคุณ
 


4. ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism)
หมาที่มีน้ำหนักเกินและทำตามแผนการลดน้ำหนักตามที่สัตวแพทย์แนะนำแล้วแต่ไม่ได้ผล อาจมีภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป เป็นผลมาจากระบบเผาผลาญพลังงานที่ทำงานไม่เต็มที่ ข่าวดีก็คือ ภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำสามารถตรวจหาได้ด้วยการเจาะเลือด และมักจะมีการตอบสนองต่อการรักษาทันที
 


5. มะเร็ง
หมาเองก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ มะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเนื้องอก เป็นหนึ่งในความผิดปกติที่สามารถพบได้ทั่วไป แม้ว่าจะมีหมาบางพันธุ์ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมที่แข็งแรงอย่าง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ และบ็อกเซอร์ แต่มะเร็งก็ยังสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็วในทุกสายพันธุ์ การตรวจพบและเข้ารับการรักษาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นคือสิ่งที่ทำให้หมาที่เป็นโรคมะเร็งมีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น ดังนั้น การพาหมาไปตรวจร่างกายประจำปีจึงเป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


4632
5 โรคของหมาแก่ที่เจ้าของควรรู้

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับหมาตัวหนึ่ง จากลูกหมาตัวเล็กๆ ที่เราอุ้มกลับบ้านในวันนั้น แค่ไม่กี่ปีก็เติบโตเต็มที่ และกลายเป็นหมาแก่ๆ ตัวหนึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา โชคดีที่ว่า ยารักษาสัตว์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นมากอยู่ทุกวัน ทำให้เราสามารถตรวจหาและรักษาปัญหาสุขภาพบางอย่างในหมาที่มีอายุมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถดูแลหมาแก่ๆ ที่อยู่กับเรามานานให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ด้วย



เมื่อไรถึงจะเรียกว่าแก่
เหล่าคนรักหมาต่างก็รู้ข้อมูลพื้นฐานเรื่องอายุหมากันดีกว่า อายุของหมานั้นเร็วกว่าอายุของมนุษย์ 7 เท่า แต่จริงๆ แล้ว อายุของหมาจะแตกต่างกันออกไปตามขนาดตัวของมันด้วย หมาพันธุ์ใหญ่อย่างเกรทเดนอาจมีอายุขัยต่ำกว่า 10 ปี ในขณะที่ชิวาว่าตัวจ้อยอาจจะอยู่ได้นานถึง 18 ปี การระบุช่วงอายุของหมาที่ละเอียดกว่านี้ก็คือ หมาตัวหนึ่งจะนับว่าเข้าสู่วัยชราเมื่อมันมีอายุอยู่ใน 25% สุดท้ายของอายุขัยที่ประเมินเอาไว้

และนี่คืออาการป่วยและโรคต่างๆ ที่มักพบในหมาที่มีอายุมาก   



1. โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
โรคข้อมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนที่ปกป้องผิวข้อต่อบางลงตามกาลเวลา แม้ว่าเราจะไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ แต่เจ้าของหมาก็มีเครื่องมือมากมายที่สามารถนำมาใช้ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากโรคข้อเสื่อมและโรคไขข้อในหมาได้

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ควบคุมน้ำหนักของหมาให้เหมาะสม หมาที่อ้วนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดทับอันมหาศาลที่ข้อต่อของมัน อาการนี้พบได้ในทุกสายพันธุ์ แต่จะมีพบได้บ่อยกว่าในหมาพันธุ์ใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้อยู่แล้ว ชัดเจน  เช่น โรคสะโพกเคลื่อน

หมาของคุณต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เห็นถึงสัญญาของโรคข้อเสื่อมเสียแต่เนิ่นๆ และคุณเองก็ต้องรู้ถึงสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกว่าหมาของคุณอาจเป็นโรคข้อเสื่อมด้วย เช่น อาการลังเลไม่อยากเดินขึ้นบันได ท่าทางแข็งเกร็งโดยเฉพาะในช่วงเช้า และการเดินกะเผลก ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากพบว่าหมาของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องการใช้อาหารเพื่อการรักษา อาหารบางอย่างจะมีสูตรเฉพาะที่ช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวและฟื้นฟูสุขภาพข้อต่อของหมาได้
 


2. โรคในช่องปาก
โรคในช่องปาก เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในหมา โดยสามารถพบได้ในหมาทุกสายพันธุ์ และทุกขนาด โรคเหงือก หรือรำมะนาด สามารถทำให้เกิดความเจ็บปวด ฟันหลุด และมีแบคทีเรียในกระแสเลือดที่ทำลายอวัยวะภายในได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการเรื้อรังไปเรื่อยๆ

การแปรงฟันและดูแลในช่องปากจะสามารถช่วยลดหินปูนที่เกาะอยู่ตามขอบฟันได้ อาหารสูตรเฉพาะก็สามารถทำให้สุขภาพช่องปากของหมาดีขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีโรคภายในช่องปากเกิดขึ้นแล้ว การทำความสะอาดฟันชุดใหญ่แบบต้องวางยาสลบและทำการรักษาที่คลินิกสัตวแพทย์เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง คุณจึงควรดูแลสุขภาพปากของหมาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โรคในช่องปากจะลุกลามร้ายแรง



3. โรคอ้วน
หมาอ้วนเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ เจ้าของจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมาของตัวเองน้ำหนักเกินมาตรฐาน และที่แย่ไปกว่านั้น หมาที่มีน้ำหนักเกินจะเปราะบางต่อการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อต่อ โรคเบาหวาน และอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

การออกกำลังกายและควบคุมแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ คือ กุญแจสำคัญในการควบคุมน้ำหนักสัตว์เลี้ยง หมาแก่มักจะมีความกระตือรือร้นน้อยกว่าหมาที่อายุน้อยกว่า และมีความต้องการปริมาณแคลอรี่ที่ต่างออกไป การลดน้ำหนักสำหรับหมาแก่สามารถช่วยในเรื่องปรับอาหารให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนได้ด้วย โดยสารอาหารที่ร่างกายหมาแก่ต้องการมักจะมีสัดส่วนของไขมันและโปรตีนต่างจากอาหารสำหรับหมาโตเต็มวัยทั่วไปมากทีเดียว การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอจะส่งผลดีต่อหมาแก่ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อดูว่าอาหารและการออกกำลังกายแบบใดจึงจะเหมาะกับเพื่อนสี่ขาของคุณ
 


4. ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism)
หมาที่มีน้ำหนักเกินและทำตามแผนการลดน้ำหนักตามที่สัตวแพทย์แนะนำแล้วแต่ไม่ได้ผล อาจมีภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป เป็นผลมาจากระบบเผาผลาญพลังงานที่ทำงานไม่เต็มที่ ข่าวดีก็คือ ภาวะฮอร์โมนไทรอดย์ต่ำสามารถตรวจหาได้ด้วยการเจาะเลือด และมักจะมีการตอบสนองต่อการรักษาทันที
 


5. มะเร็ง
หมาเองก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ มะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเนื้องอก เป็นหนึ่งในความผิดปกติที่สามารถพบได้ทั่วไป แม้ว่าจะมีหมาบางพันธุ์ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมที่แข็งแรงอย่าง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ และบ็อกเซอร์ แต่มะเร็งก็ยังสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็วในทุกสายพันธุ์ การตรวจพบและเข้ารับการรักษาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นคือสิ่งที่ทำให้หมาที่เป็นโรคมะเร็งมีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น ดังนั้น การพาหมาไปตรวจร่างกายประจำปีจึงเป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


4633
สเตลล่า ลาบราดอร์ (Labrador) ที่ใช้ชีวิตได้น่าอิจฉาที่สุด

สุนัขแต่ละตัวก็จะมีนิสัยที่แตกต่างกันไป แต่วันนี้คุณจะได้เห็นสุนัขที่มันใช้ชีวิตได้อย่างน่าอิจฉาสุดๆ ซึ่งไม่มีสุนัขตัวไหนเหมือนมันอย่างแน่นอน เรากำลังพูดถึงน้องหมาที่มีชื่อว่า สเตลล่า (Stella) มันชอบที่จะใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง สเตลล่านี่เป็นสุนัขที่พิเศษมากและไม่มีใครเหมือนแน่นอน หากคุณกำลังสงสัยว่าสิ่งที่ว่าพิเศษนั้นมันคืออะไรและที่บอกว่าไม่มีใครเหมือนมันแน่นอนนั้นมันคืออะไร ทุกคนสามารถดูความสามารถของกับสเตลล่าได้จากรูปด้านล่างนี้เลย



นี่คือ สเตลล่า  เธอเป็นสุนัขสายพันธุ์ ลาบราดอร์ (Labrador) (สีเหลือง) มันชอบใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนหมาทั่วไป



ทุกคนบอกได้คำเดียวว่า ไม่มีสุนัขตัวไหนเหมือน สเตลล่า แน่นอน



และเมื่อเธอต้องการที่จะมีช่วงเวลาส่วนตัวของเธอเองเธอรู้ว่าจะไปที่ไหนและจะทำอย่างไร ดูที่นี้กรณีหนึ่งตัวอย่าง



นี่คืออีกตัวอย่าง ที่เธอชอบทำเวลากลางวัน วันว่างๆที่ชอบวิ่งเล่นแล้วทำแบบนี้

เราลองไปดูวีดีโอเต็มๆเลยค่ะ



4634
สเตลล่า ลาบราดอร์ (Labrador) ที่ใช้ชีวิตได้น่าอิจฉาที่สุด

สุนัขแต่ละตัวก็จะมีนิสัยที่แตกต่างกันไป แต่วันนี้คุณจะได้เห็นสุนัขที่มันใช้ชีวิตได้อย่างน่าอิจฉาสุดๆ ซึ่งไม่มีสุนัขตัวไหนเหมือนมันอย่างแน่นอน เรากำลังพูดถึงน้องหมาที่มีชื่อว่า สเตลล่า (Stella) มันชอบที่จะใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง สเตลล่านี่เป็นสุนัขที่พิเศษมากและไม่มีใครเหมือนแน่นอน หากคุณกำลังสงสัยว่าสิ่งที่ว่าพิเศษนั้นมันคืออะไรและที่บอกว่าไม่มีใครเหมือนมันแน่นอนนั้นมันคืออะไร ทุกคนสามารถดูความสามารถของกับสเตลล่าได้จากรูปด้านล่างนี้เลย



นี่คือ สเตลล่า  เธอเป็นสุนัขสายพันธุ์ ลาบราดอร์ (Labrador) (สีเหลือง) มันชอบใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนหมาทั่วไป



ทุกคนบอกได้คำเดียวว่า ไม่มีสุนัขตัวไหนเหมือน สเตลล่า แน่นอน



และเมื่อเธอต้องการที่จะมีช่วงเวลาส่วนตัวของเธอเองเธอรู้ว่าจะไปที่ไหนและจะทำอย่างไร ดูที่นี้กรณีหนึ่งตัวอย่าง



นี่คืออีกตัวอย่าง ที่เธอชอบทำเวลากลางวัน วันว่างๆที่ชอบวิ่งเล่นแล้วทำแบบนี้

เราลองไปดูวีดีโอเต็มๆเลยค่ะ



4635
สเตลล่า ลาบราดอร์ (Labrador) ที่ใช้ชีวิตได้น่าอิจฉาที่สุด

สุนัขแต่ละตัวก็จะมีนิสัยที่แตกต่างกันไป แต่วันนี้คุณจะได้เห็นสุนัขที่มันใช้ชีวิตได้อย่างน่าอิจฉาสุดๆ ซึ่งไม่มีสุนัขตัวไหนเหมือนมันอย่างแน่นอน เรากำลังพูดถึงน้องหมาที่มีชื่อว่า สเตลล่า (Stella) มันชอบที่จะใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง สเตลล่านี่เป็นสุนัขที่พิเศษมากและไม่มีใครเหมือนแน่นอน หากคุณกำลังสงสัยว่าสิ่งที่ว่าพิเศษนั้นมันคืออะไรและที่บอกว่าไม่มีใครเหมือนมันแน่นอนนั้นมันคืออะไร ทุกคนสามารถดูความสามารถของกับสเตลล่าได้จากรูปด้านล่างนี้เลย



นี่คือ สเตลล่า  เธอเป็นสุนัขสายพันธุ์ ลาบราดอร์ (Labrador) (สีเหลือง) มันชอบใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนหมาทั่วไป



ทุกคนบอกได้คำเดียวว่า ไม่มีสุนัขตัวไหนเหมือน สเตลล่า แน่นอน



และเมื่อเธอต้องการที่จะมีช่วงเวลาส่วนตัวของเธอเองเธอรู้ว่าจะไปที่ไหนและจะทำอย่างไร ดูที่นี้กรณีหนึ่งตัวอย่าง



นี่คืออีกตัวอย่าง ที่เธอชอบทำเวลากลางวัน วันว่างๆที่ชอบวิ่งเล่นแล้วทำแบบนี้

เราลองไปดูวีดีโอเต็มๆเลยค่ะ