แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

4456
หมาของคุณชอบนั่งพิงหรือเอาตัวมาซบคุณรึเปล่า?



     นี่เป็นปัญหาธรรมดาทั่วไป เจ้าของหมาที่เลี้ยงหมาไม่เคยขาดจะได้พบกับปัญหานี้อย่างน้อยครั้งหนึ่ง   แต่มันไม่ได้หยุดแค่การเอาตัวมาพิงเท่านั้น มันยังนั่งอยู่แทบเท้าของคุณ กอดขาระหว่างที่คุณเดิน หรือนอนหลับโดยมีส่วนใดส่วนหนึ่งสัมผัสกับคุณอยู่เสมออีกด้วย

     บางคนอาจจะบอกว่า หมาของคุณกำลังพยายามกดขี่คุณด้วยการใช้น้ำหนักตัวของมัน บางคนก็อาจจะบอกว่า คุณกำลังถูกเกาะติดโดยหมาที่เข้าสังคมไม่เป็นและนิสัยไม่ดีนัก แต่ความจริงนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย

     ในกรณีส่วนใหญ่แล้ว พฤติกรรมเหล่านี้คือการแสดงออกถึงการขอความรักอย่างซื่อตรง ง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง หมาชอบกอด ชอบซุกไซ้ และถ้าคนที่มันอยากกอดนั่งหรือยืนอยู่นานๆ การกอดก็จะเปลี่ยนรูปแบบการแสดงออกมาเป็นการพิง  การซบ หรือการนั่งบน(รอง)เท้า เมื่อรวมเข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าหมาเป็นสัตว์ฝูง และรักการสัมผัสใกล้ชิดเพื่อให้รู้สึกถึงความปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะได้คำตอบแล้วว่า ทำไมหมาของคุณจึงชอบนั่งพิงนั่งซบคุณอยู่เสมอ


4457
หมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงหมา

     การตัดสินใจเลือกหมาสักตัวมาเลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่มาก และการเลือกสายพันธุ์สำหรับหมาตัวแรกของคุณก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเข้าไปอีก มีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบหมาพันธุ์ใหญ่ หรือหมาไซส์ยักษ์ และก็มีหมาพันธุ์ใหญ่หลายสายพันธุ์ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก แต่ทว่า ขนาดตัวที่ยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง เช่น ด้วยขนาดตัวของหมาพันธุ์ใหญ่ แม้เมื่อมันมีอายุแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถพุ่งเข้าชนจนคุณล้มลงไปนอนกับพื้นได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีหมาพันธุ์ใหญ่ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก ก็หมายความว่า มีหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกเอาเสียเลยเช่นกัน

     แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีหมาพันธุ์ใดดีไปเสียทั้งหมดหรือแย่ไปซะทุกอย่างแน่นอน หมาทุกตัวมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และนิสัยของมัน ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัย ลักษณะทางพันธุกรรม การฝึก และเจ้าของของมันเองด้วย ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่อยู่ในรายการหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกนี้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรตัดมันออกจากพิจารณาไปเลย มันแค่หมายความว่า หมาเหล่านี้จะทำให้คุณต้องทำงานหนักขึ้น ทั้งในเรื่องของการฝึกเพื่อรับคำสั่ง และในด้านการเลี้ยงดูมันเท่านั้นเอง



พิทบูล (Pit Bulls)

     แม้พิทบูลจะได้รับการโหวตจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ว่า ไม่เหมาะจะเป็นหมาตัวแรกสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมา แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้รับการโหวตให้เป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกด้วยคะแนนเสียงที่สูงทีเดียว หมาพันธุ์นี้มีกรามที่แข็งแกร่ง กล้ามเนื้อที่แข็งแรง และมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมค่อนข้างมาก แต่ก็มีคนที่ชื่นชอบพิทบูลและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่งชี้ให้เห็นว่า มันเป็นหมาที่อุทิศตัวให้กับเจ้าของ ซื่อสัตย์ และน่ารักมาก


ไวมาราเนอร์ (Weimaraners)

     โดยพื้นฐานแล้ว ไวมาราเนอร์เป็นหมาที่ฉลดาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน มันมีประวัติเป็นหมาล่าสัตว์มาก่อน และนิสัยนี้ก็ยังคงอยู่กับมันไม่หายไปไหนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแล้วก็ตาม หมาบ้าพลังพันธุ์นี้ต้องการการทำกิจกรรมและการออกกำลังกายอย่างหนัก แต่การใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนและเจ้าของก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย มันอาจจะไม่ค่อยมีความสุขนักหากคุณทิ้งให้มันอยู่บ้านตามลำพัง และอาจมีปัญหาเครื่องความเครียดจากการแยกจากเจ้าของได้ มันเป็นหมาที่ค่อนข้างดื้อและฝึกให้อยู่ในบ้านได้ค่อนข้างยาก จึงทำให้มันเหมาะกับเจ้าของหมาที่มีประสบการณ์แล้วมากกว่า หรืออย่างน้อยที่สุด คนที่อยากเป็นเจ้าของของหมาพันธุ์นี้ก็ต้องเตรียมพร้อมศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี และใช้การย้ำเตือนเชิงบวกอย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ ไปพร้อมๆ กับความอดทนจำนวนมากมายมหาศาลในการฝึกมัน



เยอรมันเชพเพิร์ด (German Shepherd)

     คุณอาจจะแปลกใจเมื่อเห็นชื่อของเยอรมันเชพเพิร์ดอยู่ในรายการนี้ เพราะมันปรากฏตัวในฐานะของหมาประจำครอบครัวบ่อยมากในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่ปรับตัวได้และทุ่มเทชีวิตให้กับสมาชิกภายในครอบครัว มันก็เป็นหมาที่มีพลังงานสูง และต้องการการเตรียมพร้อมจากเจ้าของเรื่องความทุ่มเทเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมัน และเยอรมันเชพเพิร์ดก็ไม่ได้ต้องการแต่การออกกำลังกายที่มากมายเท่านั้น แต่หมาที่แสนฉลาดพันธุ์นี้ยังต้องการการใช้ความคิดอยู่เสมอ ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณเองก็ต้องฝึกสมองอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
 


อลาสกัน มาลามิวท์ (Alaskan Malamute)

     เรื่องการผลัดขนจำนวนมหาศาลของอลาสกัน มาลามิวท์ไม่ใช่ความลับระดับโลก แต่มันก็เป็นคำเตือนอย่างดีที่ว่าที่เจ้าของหมามือใหม่ควรรู้เอาไว้ มันยังเป็นนักหลบหนีชั้นครู นักดึงสายจูงระดับโลก (ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ก็มันเป็นหมาที่เกิดมาเพื่อลากเลื่อนนี่!) นอกจากนี้มันยังชอบท้าทายหมาตัวอื่น และอาการนี้จะยิ่งหนักขึ้นไปอีกหากมันเจอแมวหรือสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นก้อนขนก้อนใหญ่ที่ร่าเริงและงดงามจนไม่ว่าใครๆ ต่างก็หลงรักมันด้วยกันทั้งนั้น



ร็อตไวเลอร์ (Rottweiler)

     ร็อตไวเลอร์ กล้ามแน่นตัวใหญ่สามารถเป็นยักษ์ใหญ่ที่แสนอ่อนโยนได้ ถ้าหากมันได้รับการฝึกและมีการจัดการอย่างเหมาะสม แต่ในมือใสสะอาดของเจ้าของหมามือใหม่ ที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับข้อดีทางกายภาพของมันอย่างไรนั้น สัญชาตญาณในการปกป้องจนเกินเหตุของร็อตไวเลอร์ อาจจะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การที่ร็อตไวเลอร์ เป็นสายพันธุ์ที่ตกเป็นเป้าของการถูกแบนอยู่เสมอก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเอาไว้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าของหมาควรรู้เอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะดีกว่าที่ได้รู้หลังจากพามันกลับบ้านมาแล้วมาก



อาคิตะ (Akita)

     อาคิตะ เป็นสายพันธุ์ที่คู่ควรแก่การได้รับความเคารพในหลายๆ ด้าน อย่างแรกเลยก็คือ มันถือได้ว่าเป็นสมบัติของชาติในประเทศญี่ปุ่น บ้านเกิดของมัน ที่ซึ่งแต่เดิมมันได้รับการเพาะพันธุ์เพื่อใช้ล่าสัตว์ใหญ่ เช่น กวาง หมูป่า หรือแม้แต่หมี น้ำหนักโดยทั่วไปของมันเฉลี่ยอยู่ที่ 30 – 52 กิโลกรัม และบางครั้งก็มากกว่านั้น มันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่เกือบจะกลายเป็นหมายักษ์ของจริงไปแล้ว และขนาดตัวของมันก็เทียบกับเท่ากับความฉลาด ธรรมชาติที่รักการปกป้องเป็นอย่างมาก ความจริงที่ว่ามันมีปัญหาในการเข้ากับสัตว์อื่นๆ คืออีกเหตุผลที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญใช้อธิบายว่า ทำไมอากิตะจึงเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่ผู้เลี้ยงมือใหม่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดพันธุ์หนึ่ง


4458
หมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงหมา

     การตัดสินใจเลือกหมาสักตัวมาเลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่มาก และการเลือกสายพันธุ์สำหรับหมาตัวแรกของคุณก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเข้าไปอีก มีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบหมาพันธุ์ใหญ่ หรือหมาไซส์ยักษ์ และก็มีหมาพันธุ์ใหญ่หลายสายพันธุ์ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก แต่ทว่า ขนาดตัวที่ยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง เช่น ด้วยขนาดตัวของหมาพันธุ์ใหญ่ แม้เมื่อมันมีอายุแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถพุ่งเข้าชนจนคุณล้มลงไปนอนกับพื้นได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีหมาพันธุ์ใหญ่ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก ก็หมายความว่า มีหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกเอาเสียเลยเช่นกัน

     แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีหมาพันธุ์ใดดีไปเสียทั้งหมดหรือแย่ไปซะทุกอย่างแน่นอน หมาทุกตัวมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และนิสัยของมัน ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัย ลักษณะทางพันธุกรรม การฝึก และเจ้าของของมันเองด้วย ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่อยู่ในรายการหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกนี้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรตัดมันออกจากพิจารณาไปเลย มันแค่หมายความว่า หมาเหล่านี้จะทำให้คุณต้องทำงานหนักขึ้น ทั้งในเรื่องของการฝึกเพื่อรับคำสั่ง และในด้านการเลี้ยงดูมันเท่านั้นเอง



พิทบูล (Pit Bulls)

     แม้พิทบูลจะได้รับการโหวตจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ว่า ไม่เหมาะจะเป็นหมาตัวแรกสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมา แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้รับการโหวตให้เป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกด้วยคะแนนเสียงที่สูงทีเดียว หมาพันธุ์นี้มีกรามที่แข็งแกร่ง กล้ามเนื้อที่แข็งแรง และมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมค่อนข้างมาก แต่ก็มีคนที่ชื่นชอบพิทบูลและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่งชี้ให้เห็นว่า มันเป็นหมาที่อุทิศตัวให้กับเจ้าของ ซื่อสัตย์ และน่ารักมาก


ไวมาราเนอร์ (Weimaraners)

     โดยพื้นฐานแล้ว ไวมาราเนอร์เป็นหมาที่ฉลดาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน มันมีประวัติเป็นหมาล่าสัตว์มาก่อน และนิสัยนี้ก็ยังคงอยู่กับมันไม่หายไปไหนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแล้วก็ตาม หมาบ้าพลังพันธุ์นี้ต้องการการทำกิจกรรมและการออกกำลังกายอย่างหนัก แต่การใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนและเจ้าของก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย มันอาจจะไม่ค่อยมีความสุขนักหากคุณทิ้งให้มันอยู่บ้านตามลำพัง และอาจมีปัญหาเครื่องความเครียดจากการแยกจากเจ้าของได้ มันเป็นหมาที่ค่อนข้างดื้อและฝึกให้อยู่ในบ้านได้ค่อนข้างยาก จึงทำให้มันเหมาะกับเจ้าของหมาที่มีประสบการณ์แล้วมากกว่า หรืออย่างน้อยที่สุด คนที่อยากเป็นเจ้าของของหมาพันธุ์นี้ก็ต้องเตรียมพร้อมศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี และใช้การย้ำเตือนเชิงบวกอย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ ไปพร้อมๆ กับความอดทนจำนวนมากมายมหาศาลในการฝึกมัน



เยอรมันเชพเพิร์ด (German Shepherd)

     คุณอาจจะแปลกใจเมื่อเห็นชื่อของเยอรมันเชพเพิร์ดอยู่ในรายการนี้ เพราะมันปรากฏตัวในฐานะของหมาประจำครอบครัวบ่อยมากในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่ปรับตัวได้และทุ่มเทชีวิตให้กับสมาชิกภายในครอบครัว มันก็เป็นหมาที่มีพลังงานสูง และต้องการการเตรียมพร้อมจากเจ้าของเรื่องความทุ่มเทเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมัน และเยอรมันเชพเพิร์ดก็ไม่ได้ต้องการแต่การออกกำลังกายที่มากมายเท่านั้น แต่หมาที่แสนฉลาดพันธุ์นี้ยังต้องการการใช้ความคิดอยู่เสมอ ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณเองก็ต้องฝึกสมองอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
 


อลาสกัน มาลามิวท์ (Alaskan Malamute)

     เรื่องการผลัดขนจำนวนมหาศาลของอลาสกัน มาลามิวท์ไม่ใช่ความลับระดับโลก แต่มันก็เป็นคำเตือนอย่างดีที่ว่าที่เจ้าของหมามือใหม่ควรรู้เอาไว้ มันยังเป็นนักหลบหนีชั้นครู นักดึงสายจูงระดับโลก (ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ก็มันเป็นหมาที่เกิดมาเพื่อลากเลื่อนนี่!) นอกจากนี้มันยังชอบท้าทายหมาตัวอื่น และอาการนี้จะยิ่งหนักขึ้นไปอีกหากมันเจอแมวหรือสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นก้อนขนก้อนใหญ่ที่ร่าเริงและงดงามจนไม่ว่าใครๆ ต่างก็หลงรักมันด้วยกันทั้งนั้น



ร็อตไวเลอร์ (Rottweiler)

     ร็อตไวเลอร์ กล้ามแน่นตัวใหญ่สามารถเป็นยักษ์ใหญ่ที่แสนอ่อนโยนได้ ถ้าหากมันได้รับการฝึกและมีการจัดการอย่างเหมาะสม แต่ในมือใสสะอาดของเจ้าของหมามือใหม่ ที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับข้อดีทางกายภาพของมันอย่างไรนั้น สัญชาตญาณในการปกป้องจนเกินเหตุของร็อตไวเลอร์ อาจจะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การที่ร็อตไวเลอร์ เป็นสายพันธุ์ที่ตกเป็นเป้าของการถูกแบนอยู่เสมอก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเอาไว้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าของหมาควรรู้เอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะดีกว่าที่ได้รู้หลังจากพามันกลับบ้านมาแล้วมาก



อาคิตะ (Akita)

     อาคิตะ เป็นสายพันธุ์ที่คู่ควรแก่การได้รับความเคารพในหลายๆ ด้าน อย่างแรกเลยก็คือ มันถือได้ว่าเป็นสมบัติของชาติในประเทศญี่ปุ่น บ้านเกิดของมัน ที่ซึ่งแต่เดิมมันได้รับการเพาะพันธุ์เพื่อใช้ล่าสัตว์ใหญ่ เช่น กวาง หมูป่า หรือแม้แต่หมี น้ำหนักโดยทั่วไปของมันเฉลี่ยอยู่ที่ 30 – 52 กิโลกรัม และบางครั้งก็มากกว่านั้น มันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่เกือบจะกลายเป็นหมายักษ์ของจริงไปแล้ว และขนาดตัวของมันก็เทียบกับเท่ากับความฉลาด ธรรมชาติที่รักการปกป้องเป็นอย่างมาก ความจริงที่ว่ามันมีปัญหาในการเข้ากับสัตว์อื่นๆ คืออีกเหตุผลที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญใช้อธิบายว่า ทำไมอากิตะจึงเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่ผู้เลี้ยงมือใหม่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดพันธุ์หนึ่ง


4459
หมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงหมา

     การตัดสินใจเลือกหมาสักตัวมาเลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่มาก และการเลือกสายพันธุ์สำหรับหมาตัวแรกของคุณก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเข้าไปอีก มีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบหมาพันธุ์ใหญ่ หรือหมาไซส์ยักษ์ และก็มีหมาพันธุ์ใหญ่หลายสายพันธุ์ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก แต่ทว่า ขนาดตัวที่ยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง เช่น ด้วยขนาดตัวของหมาพันธุ์ใหญ่ แม้เมื่อมันมีอายุแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถพุ่งเข้าชนจนคุณล้มลงไปนอนกับพื้นได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีหมาพันธุ์ใหญ่ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก ก็หมายความว่า มีหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกเอาเสียเลยเช่นกัน

     แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีหมาพันธุ์ใดดีไปเสียทั้งหมดหรือแย่ไปซะทุกอย่างแน่นอน หมาทุกตัวมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และนิสัยของมัน ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัย ลักษณะทางพันธุกรรม การฝึก และเจ้าของของมันเองด้วย ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่อยู่ในรายการหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกนี้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรตัดมันออกจากพิจารณาไปเลย มันแค่หมายความว่า หมาเหล่านี้จะทำให้คุณต้องทำงานหนักขึ้น ทั้งในเรื่องของการฝึกเพื่อรับคำสั่ง และในด้านการเลี้ยงดูมันเท่านั้นเอง



พิทบูล (Pit Bulls)

     แม้พิทบูลจะได้รับการโหวตจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ว่า ไม่เหมาะจะเป็นหมาตัวแรกสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมา แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้รับการโหวตให้เป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกด้วยคะแนนเสียงที่สูงทีเดียว หมาพันธุ์นี้มีกรามที่แข็งแกร่ง กล้ามเนื้อที่แข็งแรง และมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมค่อนข้างมาก แต่ก็มีคนที่ชื่นชอบพิทบูลและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่งชี้ให้เห็นว่า มันเป็นหมาที่อุทิศตัวให้กับเจ้าของ ซื่อสัตย์ และน่ารักมาก


ไวมาราเนอร์ (Weimaraners)

     โดยพื้นฐานแล้ว ไวมาราเนอร์เป็นหมาที่ฉลดาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน มันมีประวัติเป็นหมาล่าสัตว์มาก่อน และนิสัยนี้ก็ยังคงอยู่กับมันไม่หายไปไหนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแล้วก็ตาม หมาบ้าพลังพันธุ์นี้ต้องการการทำกิจกรรมและการออกกำลังกายอย่างหนัก แต่การใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนและเจ้าของก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย มันอาจจะไม่ค่อยมีความสุขนักหากคุณทิ้งให้มันอยู่บ้านตามลำพัง และอาจมีปัญหาเครื่องความเครียดจากการแยกจากเจ้าของได้ มันเป็นหมาที่ค่อนข้างดื้อและฝึกให้อยู่ในบ้านได้ค่อนข้างยาก จึงทำให้มันเหมาะกับเจ้าของหมาที่มีประสบการณ์แล้วมากกว่า หรืออย่างน้อยที่สุด คนที่อยากเป็นเจ้าของของหมาพันธุ์นี้ก็ต้องเตรียมพร้อมศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี และใช้การย้ำเตือนเชิงบวกอย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ ไปพร้อมๆ กับความอดทนจำนวนมากมายมหาศาลในการฝึกมัน



เยอรมันเชพเพิร์ด (German Shepherd)

     คุณอาจจะแปลกใจเมื่อเห็นชื่อของเยอรมันเชพเพิร์ดอยู่ในรายการนี้ เพราะมันปรากฏตัวในฐานะของหมาประจำครอบครัวบ่อยมากในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่ปรับตัวได้และทุ่มเทชีวิตให้กับสมาชิกภายในครอบครัว มันก็เป็นหมาที่มีพลังงานสูง และต้องการการเตรียมพร้อมจากเจ้าของเรื่องความทุ่มเทเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมัน และเยอรมันเชพเพิร์ดก็ไม่ได้ต้องการแต่การออกกำลังกายที่มากมายเท่านั้น แต่หมาที่แสนฉลาดพันธุ์นี้ยังต้องการการใช้ความคิดอยู่เสมอ ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณเองก็ต้องฝึกสมองอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
 


อลาสกัน มาลามิวท์ (Alaskan Malamute)

     เรื่องการผลัดขนจำนวนมหาศาลของอลาสกัน มาลามิวท์ไม่ใช่ความลับระดับโลก แต่มันก็เป็นคำเตือนอย่างดีที่ว่าที่เจ้าของหมามือใหม่ควรรู้เอาไว้ มันยังเป็นนักหลบหนีชั้นครู นักดึงสายจูงระดับโลก (ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ก็มันเป็นหมาที่เกิดมาเพื่อลากเลื่อนนี่!) นอกจากนี้มันยังชอบท้าทายหมาตัวอื่น และอาการนี้จะยิ่งหนักขึ้นไปอีกหากมันเจอแมวหรือสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นก้อนขนก้อนใหญ่ที่ร่าเริงและงดงามจนไม่ว่าใครๆ ต่างก็หลงรักมันด้วยกันทั้งนั้น



ร็อตไวเลอร์ (Rottweiler)

     ร็อตไวเลอร์ กล้ามแน่นตัวใหญ่สามารถเป็นยักษ์ใหญ่ที่แสนอ่อนโยนได้ ถ้าหากมันได้รับการฝึกและมีการจัดการอย่างเหมาะสม แต่ในมือใสสะอาดของเจ้าของหมามือใหม่ ที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับข้อดีทางกายภาพของมันอย่างไรนั้น สัญชาตญาณในการปกป้องจนเกินเหตุของร็อตไวเลอร์ อาจจะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การที่ร็อตไวเลอร์ เป็นสายพันธุ์ที่ตกเป็นเป้าของการถูกแบนอยู่เสมอก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเอาไว้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าของหมาควรรู้เอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะดีกว่าที่ได้รู้หลังจากพามันกลับบ้านมาแล้วมาก



อาคิตะ (Akita)

     อาคิตะ เป็นสายพันธุ์ที่คู่ควรแก่การได้รับความเคารพในหลายๆ ด้าน อย่างแรกเลยก็คือ มันถือได้ว่าเป็นสมบัติของชาติในประเทศญี่ปุ่น บ้านเกิดของมัน ที่ซึ่งแต่เดิมมันได้รับการเพาะพันธุ์เพื่อใช้ล่าสัตว์ใหญ่ เช่น กวาง หมูป่า หรือแม้แต่หมี น้ำหนักโดยทั่วไปของมันเฉลี่ยอยู่ที่ 30 – 52 กิโลกรัม และบางครั้งก็มากกว่านั้น มันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่เกือบจะกลายเป็นหมายักษ์ของจริงไปแล้ว และขนาดตัวของมันก็เทียบกับเท่ากับความฉลาด ธรรมชาติที่รักการปกป้องเป็นอย่างมาก ความจริงที่ว่ามันมีปัญหาในการเข้ากับสัตว์อื่นๆ คืออีกเหตุผลที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญใช้อธิบายว่า ทำไมอากิตะจึงเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่ผู้เลี้ยงมือใหม่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดพันธุ์หนึ่ง


4460
หมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงหมา

     การตัดสินใจเลือกหมาสักตัวมาเลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่มาก และการเลือกสายพันธุ์สำหรับหมาตัวแรกของคุณก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเข้าไปอีก มีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบหมาพันธุ์ใหญ่ หรือหมาไซส์ยักษ์ และก็มีหมาพันธุ์ใหญ่หลายสายพันธุ์ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก แต่ทว่า ขนาดตัวที่ยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง เช่น ด้วยขนาดตัวของหมาพันธุ์ใหญ่ แม้เมื่อมันมีอายุแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถพุ่งเข้าชนจนคุณล้มลงไปนอนกับพื้นได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีหมาพันธุ์ใหญ่ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรก ก็หมายความว่า มีหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกเอาเสียเลยเช่นกัน

     แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีหมาพันธุ์ใดดีไปเสียทั้งหมดหรือแย่ไปซะทุกอย่างแน่นอน หมาทุกตัวมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และนิสัยของมัน ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัย ลักษณะทางพันธุกรรม การฝึก และเจ้าของของมันเองด้วย ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่อยู่ในรายการหมาพันธุ์ใหญ่ที่ไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกนี้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรตัดมันออกจากพิจารณาไปเลย มันแค่หมายความว่า หมาเหล่านี้จะทำให้คุณต้องทำงานหนักขึ้น ทั้งในเรื่องของการฝึกเพื่อรับคำสั่ง และในด้านการเลี้ยงดูมันเท่านั้นเอง



พิทบูล (Pit Bulls)

     แม้พิทบูลจะได้รับการโหวตจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ว่า ไม่เหมาะจะเป็นหมาตัวแรกสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมา แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้รับการโหวตให้เป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมาครั้งแรกด้วยคะแนนเสียงที่สูงทีเดียว หมาพันธุ์นี้มีกรามที่แข็งแกร่ง กล้ามเนื้อที่แข็งแรง และมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมค่อนข้างมาก แต่ก็มีคนที่ชื่นชอบพิทบูลและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่งชี้ให้เห็นว่า มันเป็นหมาที่อุทิศตัวให้กับเจ้าของ ซื่อสัตย์ และน่ารักมาก


ไวมาราเนอร์ (Weimaraners)

     โดยพื้นฐานแล้ว ไวมาราเนอร์เป็นหมาที่ฉลดาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน มันมีประวัติเป็นหมาล่าสัตว์มาก่อน และนิสัยนี้ก็ยังคงอยู่กับมันไม่หายไปไหนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแล้วก็ตาม หมาบ้าพลังพันธุ์นี้ต้องการการทำกิจกรรมและการออกกำลังกายอย่างหนัก แต่การใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนและเจ้าของก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย มันอาจจะไม่ค่อยมีความสุขนักหากคุณทิ้งให้มันอยู่บ้านตามลำพัง และอาจมีปัญหาเครื่องความเครียดจากการแยกจากเจ้าของได้ มันเป็นหมาที่ค่อนข้างดื้อและฝึกให้อยู่ในบ้านได้ค่อนข้างยาก จึงทำให้มันเหมาะกับเจ้าของหมาที่มีประสบการณ์แล้วมากกว่า หรืออย่างน้อยที่สุด คนที่อยากเป็นเจ้าของของหมาพันธุ์นี้ก็ต้องเตรียมพร้อมศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี และใช้การย้ำเตือนเชิงบวกอย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ ไปพร้อมๆ กับความอดทนจำนวนมากมายมหาศาลในการฝึกมัน



เยอรมันเชพเพิร์ด (German Shepherd)

     คุณอาจจะแปลกใจเมื่อเห็นชื่อของเยอรมันเชพเพิร์ดอยู่ในรายการนี้ เพราะมันปรากฏตัวในฐานะของหมาประจำครอบครัวบ่อยมากในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่ปรับตัวได้และทุ่มเทชีวิตให้กับสมาชิกภายในครอบครัว มันก็เป็นหมาที่มีพลังงานสูง และต้องการการเตรียมพร้อมจากเจ้าของเรื่องความทุ่มเทเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมัน และเยอรมันเชพเพิร์ดก็ไม่ได้ต้องการแต่การออกกำลังกายที่มากมายเท่านั้น แต่หมาที่แสนฉลาดพันธุ์นี้ยังต้องการการใช้ความคิดอยู่เสมอ ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณเองก็ต้องฝึกสมองอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
 


อลาสกัน มาลามิวท์ (Alaskan Malamute)

     เรื่องการผลัดขนจำนวนมหาศาลของอลาสกัน มาลามิวท์ไม่ใช่ความลับระดับโลก แต่มันก็เป็นคำเตือนอย่างดีที่ว่าที่เจ้าของหมามือใหม่ควรรู้เอาไว้ มันยังเป็นนักหลบหนีชั้นครู นักดึงสายจูงระดับโลก (ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ก็มันเป็นหมาที่เกิดมาเพื่อลากเลื่อนนี่!) นอกจากนี้มันยังชอบท้าทายหมาตัวอื่น และอาการนี้จะยิ่งหนักขึ้นไปอีกหากมันเจอแมวหรือสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นก้อนขนก้อนใหญ่ที่ร่าเริงและงดงามจนไม่ว่าใครๆ ต่างก็หลงรักมันด้วยกันทั้งนั้น



ร็อตไวเลอร์ (Rottweiler)

     ร็อตไวเลอร์ กล้ามแน่นตัวใหญ่สามารถเป็นยักษ์ใหญ่ที่แสนอ่อนโยนได้ ถ้าหากมันได้รับการฝึกและมีการจัดการอย่างเหมาะสม แต่ในมือใสสะอาดของเจ้าของหมามือใหม่ ที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับข้อดีทางกายภาพของมันอย่างไรนั้น สัญชาตญาณในการปกป้องจนเกินเหตุของร็อตไวเลอร์ อาจจะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การที่ร็อตไวเลอร์ เป็นสายพันธุ์ที่ตกเป็นเป้าของการถูกแบนอยู่เสมอก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเอาไว้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าของหมาควรรู้เอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะดีกว่าที่ได้รู้หลังจากพามันกลับบ้านมาแล้วมาก



อาคิตะ (Akita)

     อาคิตะ เป็นสายพันธุ์ที่คู่ควรแก่การได้รับความเคารพในหลายๆ ด้าน อย่างแรกเลยก็คือ มันถือได้ว่าเป็นสมบัติของชาติในประเทศญี่ปุ่น บ้านเกิดของมัน ที่ซึ่งแต่เดิมมันได้รับการเพาะพันธุ์เพื่อใช้ล่าสัตว์ใหญ่ เช่น กวาง หมูป่า หรือแม้แต่หมี น้ำหนักโดยทั่วไปของมันเฉลี่ยอยู่ที่ 30 – 52 กิโลกรัม และบางครั้งก็มากกว่านั้น มันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่เกือบจะกลายเป็นหมายักษ์ของจริงไปแล้ว และขนาดตัวของมันก็เทียบกับเท่ากับความฉลาด ธรรมชาติที่รักการปกป้องเป็นอย่างมาก ความจริงที่ว่ามันมีปัญหาในการเข้ากับสัตว์อื่นๆ คืออีกเหตุผลที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญใช้อธิบายว่า ทำไมอากิตะจึงเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ที่ผู้เลี้ยงมือใหม่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดพันธุ์หนึ่ง


4461
พันธุ์แท้หรือว่าพันธุ์ทาง หมาแบบไหนที่เหมาะกับคุณ



     เมื่อหมามาอยู่ด้วยกัน หากมันเข้ากันได้ มันก็จะเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นหมาพันธุ์อะไรหรือมีที่มาจากไหน กลับเป็นเจ้าของหมาเองที่ใส่ใจในเรื่องเกี่ยวกับสายพันธุ์หมาอย่างยิ่ง หรือภูมิใจอย่างยิ่งกับหมาที่ตัวเองไปอุ้มกลับบ้านจากข้างถนน การแย่งชิงความเหนือกว่าและการโอ้อวดระหว่างเจ้าของหมาพันธุ์แท้กับเจ้าของหมาพันธุ์ทางนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อถกเกียงที่ฟังขึ้น และต่างก็มีเหตุผลของตัวเองว่าหมาของฝ่ายตนดีกว่าด้วยกันทั้งนั้น แต่ใครกันล่ะที่เป็นฝ่ายถูก แล้วหมาจากฝั่งไหนล่ะที่มีความเหนือกว่าอย่างแท้จริง วันนี้เราได้นำความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญมาให้คุณได้ลองพิจารณาดู



แบบไหนถึงเรียกว่าพันธุ์แท้


     ก่อนที่จะมาพูดกันถึงเรื่องของข้อดีของหมาพันธุ์แท้และหมาพันธุ์ทาง การระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า แบบไหนถึงเรียกว่า “หมาพันธุ์แท้” เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสายพันธุ์ของหมาคือสิ่งที่พาเอาลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมที่ต่อเมื่อมีลูกหลานแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากับมันด้วย สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้เอาไว้ก็คือ หมาที่ทั้งพ่อแม่ของมันมีสายพันธุ์เดียวกัน ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ทั้งหมด

     ด้วยมาตรวัดนี้ หมาที่ได้รับการผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่จึงไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ หมาพันธุ์โกลเด้นดูเดิ้ลที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์พันธุ์แท้กับพุดเดิ้ลพันธุ์แท้ จะไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ ลูกหมาที่เกิดจากโกลเด้นดูเดิ้ล 2 ตัวก็ยังไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้เช่นกัน เนื่องจากพ่อแม่ของมันถือว่าเป็นหมาพันธุ์ผสม แม้ว่าทั้ง 2 ตัวจะเป็นพันธุ์ผสมจากพันธุ์เดียวกันก็ตาม

     สิ่งเหล่านี้อาจเปลี่ยนไปได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าหากว่าผู้เพาะพันธุ์หมาได้ทำตามข้อกำหนดอันเข้มงวดขององค์กรภายในประเทศเพื่อให้หมาพันธุ์ใหม่นี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหมาสายพันธุ์ใหม่ หมาหลายสายพันธุ์มีองค์ประกอบพื้นฐานร่วมกับพันธุ์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์อันเป็นที่รักของทุกคนนั้น เชื่อกันว่าได้สืบเชื้อสายมาจากรีทรีฟเวอร์ขนชั้นเดียว ไอริชเซ็ตเตอร์ และวอเธอร์สเปเนียลที่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว มีการขึ้นทะเบียนหมาพันธุ์ใหม่อย่างเป็นทางการอยู่ทุกปี โดยปัจจุบันมีพันธุ์หมาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอยู่ทั้งหมด 343 สายพันธุ์



ข้อดีของหมาพันธุ์แท้

     สำหรับหมาพันธุ์แปลกๆ ความมั่นคงทางสายพันธุ์และความคาดเดาได้ของลักษณะทางสายพันธุ์คือปัจจัยสำคัญ คนที่เลือกหมาพันธุ์แท้มากกว่าหมาพันธุ์ทาง มักจะเป็นคนที่มองหาสิ่งที่คาดเดาได้ ทั้งลักษณะนิสัย สีขน ความต้องการการออกกำลังกาย และอื่นๆ แต่เดิมนั้น หมาแต่ละสายพันธุ์ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว เช่น ดัชชุน เหมาะกับการล่าตัวแบจเจอร์ เพราะมันมีขาที่สั้นและขนหนา

     เมื่อวิถีชีวิตยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการเกี่ยวกับความมั่นคงของคุณภาพสายพันธุ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เนื่องจากหมาแต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะเด่นพิเศษของมันเอง เช่น ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ที่ได้รับการฝึกจะสามารถดมกลิ่นหาอาการป่วยอย่างโรคมะเร็งหรือโรคเบาหวานได้ หรือหมาที่นำไปใช้งานด้านการค้นหาและช่วยเหลือ เช่น หมานำทางคนตาบอดหรือคนหูหนวก หมาเหล่านี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุดเรื่องของความต้องการความมั่นคงของลักษณะสายพันธุ์

ข้อดีของหมาพันธุ์ทาง

     สำหรับคนอีกจำนวนมาก การรับหมาจรจัดมาเลี้ยงคือทางเลือกแรกๆ สำหรับพวกเขา มีคนรับหมามาเลี้ยงแทนการไปซื้อหมาเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าหมาส่วนใหญ่ที่ต้องเข้าไปสู่ในสถานสงเคราะห์สัตว์จะเป็นหมาพันธุ์ทาง

     การพิจารณาหมาเป็นรายตัวเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะแม้ว่าพวกมันจะมีสายพันธุ์เดียวกัน และในแต่ละสายพันธุ์ก็มีคุณลักษณะเฉพาะทางสายพันธุ์ แต่ถึงอย่างนั้น หมาแต่ละตัวก็ย่อมมีบุคลิกภาพและลักษณะที่ต่างกันออกไป หมาที่มีสายพันธุ์เดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีนิสัยเหมือนกันทุกตัว

     มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ที่รับหมาไปเลี้ยงเลือกหมา ผลการวิจับระบุว่า ปัจจัยหลักสำหรับการเลือกรับหมากลับไปเลี้ยงที่บ้านที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ รูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง และเมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกหมาแบบไหน คำถามต่อมาก็คือ ทำไมจึงเลือกมัน ซึ่งสำหรับคนที่เลือกนิสัยของหมามากกว่ารูปร่างหน้าตาน่าจะสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน เช่น ต้องการหมาที่เข้ากับเด็กได้ดี

     ข้อดีของการรับหมาพันธุ์ทางไปเลี้ยงก็คือ คุณมีโอกาสพบกับหมาที่ตรงกับความต้องการทุกอย่างของคุณจริงๆ เช่น หมาที่หน้าตาเหมือนพันธุ์แจ๊ค รัสเซล แต่นิสัยเหมือนพุดเดิ้ล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อกันกว่าหมาพันธุ์ทางมักจะมีความเสี่ยงต่อโรคหรืออาการป่วยทางพันธุกรรมน้อยกว่าหมาพันธุ์แท้อีกด้วย แต่โดยหลักการทั่วไปแล้ว หมาพันธุ์ทางก็ไม่ได้มีความเสี่ยงในเรื่องของปัญหาด้านสุขภาพมากหรือน้อยไปกว่าหมาพันธุ์แท้แต่อย่างใด

คุณควรเลือกหมาอย่างไร

     ก่อนที่คุณจะรับหมาตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน คุณ และคนทั้งครอบครัวของคุณ ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า หมาตัวนั้นจะเข้ากับคนในบ้านได้ และตรงกับความต้องการของครอบครัวจริงๆ ต้องอย่าลืมว่า หมาคือภาระรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และคุณก็ควรซื่อตรงต่อความต้องการของครอบครัว เพื่อให้ได้หมาที่เหมาะกับวิถีชีวิตของครอบครัวของคุณมากที่สุด มีสายพันธุ์หมาที่เหมาะสมสำหรับทุกคนอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องมองหาและค้นคว้าข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น




4462
พันธุ์แท้หรือว่าพันธุ์ทาง หมาแบบไหนที่เหมาะกับคุณ



     เมื่อหมามาอยู่ด้วยกัน หากมันเข้ากันได้ มันก็จะเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นหมาพันธุ์อะไรหรือมีที่มาจากไหน กลับเป็นเจ้าของหมาเองที่ใส่ใจในเรื่องเกี่ยวกับสายพันธุ์หมาอย่างยิ่ง หรือภูมิใจอย่างยิ่งกับหมาที่ตัวเองไปอุ้มกลับบ้านจากข้างถนน การแย่งชิงความเหนือกว่าและการโอ้อวดระหว่างเจ้าของหมาพันธุ์แท้กับเจ้าของหมาพันธุ์ทางนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อถกเกียงที่ฟังขึ้น และต่างก็มีเหตุผลของตัวเองว่าหมาของฝ่ายตนดีกว่าด้วยกันทั้งนั้น แต่ใครกันล่ะที่เป็นฝ่ายถูก แล้วหมาจากฝั่งไหนล่ะที่มีความเหนือกว่าอย่างแท้จริง วันนี้เราได้นำความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญมาให้คุณได้ลองพิจารณาดู



แบบไหนถึงเรียกว่าพันธุ์แท้


     ก่อนที่จะมาพูดกันถึงเรื่องของข้อดีของหมาพันธุ์แท้และหมาพันธุ์ทาง การระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า แบบไหนถึงเรียกว่า “หมาพันธุ์แท้” เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสายพันธุ์ของหมาคือสิ่งที่พาเอาลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมที่ต่อเมื่อมีลูกหลานแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากับมันด้วย สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้เอาไว้ก็คือ หมาที่ทั้งพ่อแม่ของมันมีสายพันธุ์เดียวกัน ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ทั้งหมด

     ด้วยมาตรวัดนี้ หมาที่ได้รับการผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่จึงไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ หมาพันธุ์โกลเด้นดูเดิ้ลที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์พันธุ์แท้กับพุดเดิ้ลพันธุ์แท้ จะไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ ลูกหมาที่เกิดจากโกลเด้นดูเดิ้ล 2 ตัวก็ยังไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้เช่นกัน เนื่องจากพ่อแม่ของมันถือว่าเป็นหมาพันธุ์ผสม แม้ว่าทั้ง 2 ตัวจะเป็นพันธุ์ผสมจากพันธุ์เดียวกันก็ตาม

     สิ่งเหล่านี้อาจเปลี่ยนไปได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าหากว่าผู้เพาะพันธุ์หมาได้ทำตามข้อกำหนดอันเข้มงวดขององค์กรภายในประเทศเพื่อให้หมาพันธุ์ใหม่นี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหมาสายพันธุ์ใหม่ หมาหลายสายพันธุ์มีองค์ประกอบพื้นฐานร่วมกับพันธุ์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์อันเป็นที่รักของทุกคนนั้น เชื่อกันว่าได้สืบเชื้อสายมาจากรีทรีฟเวอร์ขนชั้นเดียว ไอริชเซ็ตเตอร์ และวอเธอร์สเปเนียลที่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว มีการขึ้นทะเบียนหมาพันธุ์ใหม่อย่างเป็นทางการอยู่ทุกปี โดยปัจจุบันมีพันธุ์หมาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอยู่ทั้งหมด 343 สายพันธุ์



ข้อดีของหมาพันธุ์แท้

     สำหรับหมาพันธุ์แปลกๆ ความมั่นคงทางสายพันธุ์และความคาดเดาได้ของลักษณะทางสายพันธุ์คือปัจจัยสำคัญ คนที่เลือกหมาพันธุ์แท้มากกว่าหมาพันธุ์ทาง มักจะเป็นคนที่มองหาสิ่งที่คาดเดาได้ ทั้งลักษณะนิสัย สีขน ความต้องการการออกกำลังกาย และอื่นๆ แต่เดิมนั้น หมาแต่ละสายพันธุ์ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว เช่น ดัชชุน เหมาะกับการล่าตัวแบจเจอร์ เพราะมันมีขาที่สั้นและขนหนา

     เมื่อวิถีชีวิตยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการเกี่ยวกับความมั่นคงของคุณภาพสายพันธุ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เนื่องจากหมาแต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะเด่นพิเศษของมันเอง เช่น ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ที่ได้รับการฝึกจะสามารถดมกลิ่นหาอาการป่วยอย่างโรคมะเร็งหรือโรคเบาหวานได้ หรือหมาที่นำไปใช้งานด้านการค้นหาและช่วยเหลือ เช่น หมานำทางคนตาบอดหรือคนหูหนวก หมาเหล่านี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุดเรื่องของความต้องการความมั่นคงของลักษณะสายพันธุ์

ข้อดีของหมาพันธุ์ทาง

     สำหรับคนอีกจำนวนมาก การรับหมาจรจัดมาเลี้ยงคือทางเลือกแรกๆ สำหรับพวกเขา มีคนรับหมามาเลี้ยงแทนการไปซื้อหมาเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าหมาส่วนใหญ่ที่ต้องเข้าไปสู่ในสถานสงเคราะห์สัตว์จะเป็นหมาพันธุ์ทาง

     การพิจารณาหมาเป็นรายตัวเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะแม้ว่าพวกมันจะมีสายพันธุ์เดียวกัน และในแต่ละสายพันธุ์ก็มีคุณลักษณะเฉพาะทางสายพันธุ์ แต่ถึงอย่างนั้น หมาแต่ละตัวก็ย่อมมีบุคลิกภาพและลักษณะที่ต่างกันออกไป หมาที่มีสายพันธุ์เดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีนิสัยเหมือนกันทุกตัว

     มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ที่รับหมาไปเลี้ยงเลือกหมา ผลการวิจับระบุว่า ปัจจัยหลักสำหรับการเลือกรับหมากลับไปเลี้ยงที่บ้านที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ รูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง และเมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกหมาแบบไหน คำถามต่อมาก็คือ ทำไมจึงเลือกมัน ซึ่งสำหรับคนที่เลือกนิสัยของหมามากกว่ารูปร่างหน้าตาน่าจะสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน เช่น ต้องการหมาที่เข้ากับเด็กได้ดี

     ข้อดีของการรับหมาพันธุ์ทางไปเลี้ยงก็คือ คุณมีโอกาสพบกับหมาที่ตรงกับความต้องการทุกอย่างของคุณจริงๆ เช่น หมาที่หน้าตาเหมือนพันธุ์แจ๊ค รัสเซล แต่นิสัยเหมือนพุดเดิ้ล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อกันกว่าหมาพันธุ์ทางมักจะมีความเสี่ยงต่อโรคหรืออาการป่วยทางพันธุกรรมน้อยกว่าหมาพันธุ์แท้อีกด้วย แต่โดยหลักการทั่วไปแล้ว หมาพันธุ์ทางก็ไม่ได้มีความเสี่ยงในเรื่องของปัญหาด้านสุขภาพมากหรือน้อยไปกว่าหมาพันธุ์แท้แต่อย่างใด

คุณควรเลือกหมาอย่างไร

     ก่อนที่คุณจะรับหมาตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน คุณ และคนทั้งครอบครัวของคุณ ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า หมาตัวนั้นจะเข้ากับคนในบ้านได้ และตรงกับความต้องการของครอบครัวจริงๆ ต้องอย่าลืมว่า หมาคือภาระรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และคุณก็ควรซื่อตรงต่อความต้องการของครอบครัว เพื่อให้ได้หมาที่เหมาะกับวิถีชีวิตของครอบครัวของคุณมากที่สุด มีสายพันธุ์หมาที่เหมาะสมสำหรับทุกคนอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องมองหาและค้นคว้าข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น




4463
พันธุ์แท้หรือว่าพันธุ์ทาง หมาแบบไหนที่เหมาะกับคุณ



     เมื่อหมามาอยู่ด้วยกัน หากมันเข้ากันได้ มันก็จะเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นหมาพันธุ์อะไรหรือมีที่มาจากไหน กลับเป็นเจ้าของหมาเองที่ใส่ใจในเรื่องเกี่ยวกับสายพันธุ์หมาอย่างยิ่ง หรือภูมิใจอย่างยิ่งกับหมาที่ตัวเองไปอุ้มกลับบ้านจากข้างถนน การแย่งชิงความเหนือกว่าและการโอ้อวดระหว่างเจ้าของหมาพันธุ์แท้กับเจ้าของหมาพันธุ์ทางนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อถกเกียงที่ฟังขึ้น และต่างก็มีเหตุผลของตัวเองว่าหมาของฝ่ายตนดีกว่าด้วยกันทั้งนั้น แต่ใครกันล่ะที่เป็นฝ่ายถูก แล้วหมาจากฝั่งไหนล่ะที่มีความเหนือกว่าอย่างแท้จริง วันนี้เราได้นำความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญมาให้คุณได้ลองพิจารณาดู



แบบไหนถึงเรียกว่าพันธุ์แท้


     ก่อนที่จะมาพูดกันถึงเรื่องของข้อดีของหมาพันธุ์แท้และหมาพันธุ์ทาง การระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า แบบไหนถึงเรียกว่า “หมาพันธุ์แท้” เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสายพันธุ์ของหมาคือสิ่งที่พาเอาลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมที่ต่อเมื่อมีลูกหลานแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากับมันด้วย สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้เอาไว้ก็คือ หมาที่ทั้งพ่อแม่ของมันมีสายพันธุ์เดียวกัน ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ทั้งหมด

     ด้วยมาตรวัดนี้ หมาที่ได้รับการผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่จึงไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ หมาพันธุ์โกลเด้นดูเดิ้ลที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์พันธุ์แท้กับพุดเดิ้ลพันธุ์แท้ จะไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ ลูกหมาที่เกิดจากโกลเด้นดูเดิ้ล 2 ตัวก็ยังไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้เช่นกัน เนื่องจากพ่อแม่ของมันถือว่าเป็นหมาพันธุ์ผสม แม้ว่าทั้ง 2 ตัวจะเป็นพันธุ์ผสมจากพันธุ์เดียวกันก็ตาม

     สิ่งเหล่านี้อาจเปลี่ยนไปได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าหากว่าผู้เพาะพันธุ์หมาได้ทำตามข้อกำหนดอันเข้มงวดขององค์กรภายในประเทศเพื่อให้หมาพันธุ์ใหม่นี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหมาสายพันธุ์ใหม่ หมาหลายสายพันธุ์มีองค์ประกอบพื้นฐานร่วมกับพันธุ์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์อันเป็นที่รักของทุกคนนั้น เชื่อกันว่าได้สืบเชื้อสายมาจากรีทรีฟเวอร์ขนชั้นเดียว ไอริชเซ็ตเตอร์ และวอเธอร์สเปเนียลที่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว มีการขึ้นทะเบียนหมาพันธุ์ใหม่อย่างเป็นทางการอยู่ทุกปี โดยปัจจุบันมีพันธุ์หมาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอยู่ทั้งหมด 343 สายพันธุ์



ข้อดีของหมาพันธุ์แท้

     สำหรับหมาพันธุ์แปลกๆ ความมั่นคงทางสายพันธุ์และความคาดเดาได้ของลักษณะทางสายพันธุ์คือปัจจัยสำคัญ คนที่เลือกหมาพันธุ์แท้มากกว่าหมาพันธุ์ทาง มักจะเป็นคนที่มองหาสิ่งที่คาดเดาได้ ทั้งลักษณะนิสัย สีขน ความต้องการการออกกำลังกาย และอื่นๆ แต่เดิมนั้น หมาแต่ละสายพันธุ์ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว เช่น ดัชชุน เหมาะกับการล่าตัวแบจเจอร์ เพราะมันมีขาที่สั้นและขนหนา

     เมื่อวิถีชีวิตยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการเกี่ยวกับความมั่นคงของคุณภาพสายพันธุ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เนื่องจากหมาแต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะเด่นพิเศษของมันเอง เช่น ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ที่ได้รับการฝึกจะสามารถดมกลิ่นหาอาการป่วยอย่างโรคมะเร็งหรือโรคเบาหวานได้ หรือหมาที่นำไปใช้งานด้านการค้นหาและช่วยเหลือ เช่น หมานำทางคนตาบอดหรือคนหูหนวก หมาเหล่านี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุดเรื่องของความต้องการความมั่นคงของลักษณะสายพันธุ์

ข้อดีของหมาพันธุ์ทาง

     สำหรับคนอีกจำนวนมาก การรับหมาจรจัดมาเลี้ยงคือทางเลือกแรกๆ สำหรับพวกเขา มีคนรับหมามาเลี้ยงแทนการไปซื้อหมาเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าหมาส่วนใหญ่ที่ต้องเข้าไปสู่ในสถานสงเคราะห์สัตว์จะเป็นหมาพันธุ์ทาง

     การพิจารณาหมาเป็นรายตัวเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะแม้ว่าพวกมันจะมีสายพันธุ์เดียวกัน และในแต่ละสายพันธุ์ก็มีคุณลักษณะเฉพาะทางสายพันธุ์ แต่ถึงอย่างนั้น หมาแต่ละตัวก็ย่อมมีบุคลิกภาพและลักษณะที่ต่างกันออกไป หมาที่มีสายพันธุ์เดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีนิสัยเหมือนกันทุกตัว

     มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ที่รับหมาไปเลี้ยงเลือกหมา ผลการวิจับระบุว่า ปัจจัยหลักสำหรับการเลือกรับหมากลับไปเลี้ยงที่บ้านที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ รูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง และเมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกหมาแบบไหน คำถามต่อมาก็คือ ทำไมจึงเลือกมัน ซึ่งสำหรับคนที่เลือกนิสัยของหมามากกว่ารูปร่างหน้าตาน่าจะสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน เช่น ต้องการหมาที่เข้ากับเด็กได้ดี

     ข้อดีของการรับหมาพันธุ์ทางไปเลี้ยงก็คือ คุณมีโอกาสพบกับหมาที่ตรงกับความต้องการทุกอย่างของคุณจริงๆ เช่น หมาที่หน้าตาเหมือนพันธุ์แจ๊ค รัสเซล แต่นิสัยเหมือนพุดเดิ้ล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อกันกว่าหมาพันธุ์ทางมักจะมีความเสี่ยงต่อโรคหรืออาการป่วยทางพันธุกรรมน้อยกว่าหมาพันธุ์แท้อีกด้วย แต่โดยหลักการทั่วไปแล้ว หมาพันธุ์ทางก็ไม่ได้มีความเสี่ยงในเรื่องของปัญหาด้านสุขภาพมากหรือน้อยไปกว่าหมาพันธุ์แท้แต่อย่างใด

คุณควรเลือกหมาอย่างไร

     ก่อนที่คุณจะรับหมาตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน คุณ และคนทั้งครอบครัวของคุณ ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า หมาตัวนั้นจะเข้ากับคนในบ้านได้ และตรงกับความต้องการของครอบครัวจริงๆ ต้องอย่าลืมว่า หมาคือภาระรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และคุณก็ควรซื่อตรงต่อความต้องการของครอบครัว เพื่อให้ได้หมาที่เหมาะกับวิถีชีวิตของครอบครัวของคุณมากที่สุด มีสายพันธุ์หมาที่เหมาะสมสำหรับทุกคนอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องมองหาและค้นคว้าข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น




4464
พันธุ์แท้หรือว่าพันธุ์ทาง หมาแบบไหนที่เหมาะกับคุณ



     เมื่อหมามาอยู่ด้วยกัน หากมันเข้ากันได้ มันก็จะเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นหมาพันธุ์อะไรหรือมีที่มาจากไหน กลับเป็นเจ้าของหมาเองที่ใส่ใจในเรื่องเกี่ยวกับสายพันธุ์หมาอย่างยิ่ง หรือภูมิใจอย่างยิ่งกับหมาที่ตัวเองไปอุ้มกลับบ้านจากข้างถนน การแย่งชิงความเหนือกว่าและการโอ้อวดระหว่างเจ้าของหมาพันธุ์แท้กับเจ้าของหมาพันธุ์ทางนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อถกเกียงที่ฟังขึ้น และต่างก็มีเหตุผลของตัวเองว่าหมาของฝ่ายตนดีกว่าด้วยกันทั้งนั้น แต่ใครกันล่ะที่เป็นฝ่ายถูก แล้วหมาจากฝั่งไหนล่ะที่มีความเหนือกว่าอย่างแท้จริง วันนี้เราได้นำความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญมาให้คุณได้ลองพิจารณาดู



แบบไหนถึงเรียกว่าพันธุ์แท้


     ก่อนที่จะมาพูดกันถึงเรื่องของข้อดีของหมาพันธุ์แท้และหมาพันธุ์ทาง การระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า แบบไหนถึงเรียกว่า “หมาพันธุ์แท้” เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสายพันธุ์ของหมาคือสิ่งที่พาเอาลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมที่ต่อเมื่อมีลูกหลานแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากับมันด้วย สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้เอาไว้ก็คือ หมาที่ทั้งพ่อแม่ของมันมีสายพันธุ์เดียวกัน ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ทั้งหมด

     ด้วยมาตรวัดนี้ หมาที่ได้รับการผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่จึงไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ หมาพันธุ์โกลเด้นดูเดิ้ลที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์พันธุ์แท้กับพุดเดิ้ลพันธุ์แท้ จะไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้ ลูกหมาที่เกิดจากโกลเด้นดูเดิ้ล 2 ตัวก็ยังไม่ถือว่าเป็นหมาพันธุ์แท้เช่นกัน เนื่องจากพ่อแม่ของมันถือว่าเป็นหมาพันธุ์ผสม แม้ว่าทั้ง 2 ตัวจะเป็นพันธุ์ผสมจากพันธุ์เดียวกันก็ตาม

     สิ่งเหล่านี้อาจเปลี่ยนไปได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าหากว่าผู้เพาะพันธุ์หมาได้ทำตามข้อกำหนดอันเข้มงวดขององค์กรภายในประเทศเพื่อให้หมาพันธุ์ใหม่นี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหมาสายพันธุ์ใหม่ หมาหลายสายพันธุ์มีองค์ประกอบพื้นฐานร่วมกับพันธุ์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์อันเป็นที่รักของทุกคนนั้น เชื่อกันว่าได้สืบเชื้อสายมาจากรีทรีฟเวอร์ขนชั้นเดียว ไอริชเซ็ตเตอร์ และวอเธอร์สเปเนียลที่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว มีการขึ้นทะเบียนหมาพันธุ์ใหม่อย่างเป็นทางการอยู่ทุกปี โดยปัจจุบันมีพันธุ์หมาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอยู่ทั้งหมด 343 สายพันธุ์



ข้อดีของหมาพันธุ์แท้

     สำหรับหมาพันธุ์แปลกๆ ความมั่นคงทางสายพันธุ์และความคาดเดาได้ของลักษณะทางสายพันธุ์คือปัจจัยสำคัญ คนที่เลือกหมาพันธุ์แท้มากกว่าหมาพันธุ์ทาง มักจะเป็นคนที่มองหาสิ่งที่คาดเดาได้ ทั้งลักษณะนิสัย สีขน ความต้องการการออกกำลังกาย และอื่นๆ แต่เดิมนั้น หมาแต่ละสายพันธุ์ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว เช่น ดัชชุน เหมาะกับการล่าตัวแบจเจอร์ เพราะมันมีขาที่สั้นและขนหนา

     เมื่อวิถีชีวิตยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการเกี่ยวกับความมั่นคงของคุณภาพสายพันธุ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เนื่องจากหมาแต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะเด่นพิเศษของมันเอง เช่น ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ที่ได้รับการฝึกจะสามารถดมกลิ่นหาอาการป่วยอย่างโรคมะเร็งหรือโรคเบาหวานได้ หรือหมาที่นำไปใช้งานด้านการค้นหาและช่วยเหลือ เช่น หมานำทางคนตาบอดหรือคนหูหนวก หมาเหล่านี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุดเรื่องของความต้องการความมั่นคงของลักษณะสายพันธุ์

ข้อดีของหมาพันธุ์ทาง

     สำหรับคนอีกจำนวนมาก การรับหมาจรจัดมาเลี้ยงคือทางเลือกแรกๆ สำหรับพวกเขา มีคนรับหมามาเลี้ยงแทนการไปซื้อหมาเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าหมาส่วนใหญ่ที่ต้องเข้าไปสู่ในสถานสงเคราะห์สัตว์จะเป็นหมาพันธุ์ทาง

     การพิจารณาหมาเป็นรายตัวเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะแม้ว่าพวกมันจะมีสายพันธุ์เดียวกัน และในแต่ละสายพันธุ์ก็มีคุณลักษณะเฉพาะทางสายพันธุ์ แต่ถึงอย่างนั้น หมาแต่ละตัวก็ย่อมมีบุคลิกภาพและลักษณะที่ต่างกันออกไป หมาที่มีสายพันธุ์เดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีนิสัยเหมือนกันทุกตัว

     มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ที่รับหมาไปเลี้ยงเลือกหมา ผลการวิจับระบุว่า ปัจจัยหลักสำหรับการเลือกรับหมากลับไปเลี้ยงที่บ้านที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ รูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง และเมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกหมาแบบไหน คำถามต่อมาก็คือ ทำไมจึงเลือกมัน ซึ่งสำหรับคนที่เลือกนิสัยของหมามากกว่ารูปร่างหน้าตาน่าจะสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน เช่น ต้องการหมาที่เข้ากับเด็กได้ดี

     ข้อดีของการรับหมาพันธุ์ทางไปเลี้ยงก็คือ คุณมีโอกาสพบกับหมาที่ตรงกับความต้องการทุกอย่างของคุณจริงๆ เช่น หมาที่หน้าตาเหมือนพันธุ์แจ๊ค รัสเซล แต่นิสัยเหมือนพุดเดิ้ล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อกันกว่าหมาพันธุ์ทางมักจะมีความเสี่ยงต่อโรคหรืออาการป่วยทางพันธุกรรมน้อยกว่าหมาพันธุ์แท้อีกด้วย แต่โดยหลักการทั่วไปแล้ว หมาพันธุ์ทางก็ไม่ได้มีความเสี่ยงในเรื่องของปัญหาด้านสุขภาพมากหรือน้อยไปกว่าหมาพันธุ์แท้แต่อย่างใด

คุณควรเลือกหมาอย่างไร

     ก่อนที่คุณจะรับหมาตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน คุณ และคนทั้งครอบครัวของคุณ ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า หมาตัวนั้นจะเข้ากับคนในบ้านได้ และตรงกับความต้องการของครอบครัวจริงๆ ต้องอย่าลืมว่า หมาคือภาระรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และคุณก็ควรซื่อตรงต่อความต้องการของครอบครัว เพื่อให้ได้หมาที่เหมาะกับวิถีชีวิตของครอบครัวของคุณมากที่สุด มีสายพันธุ์หมาที่เหมาะสมสำหรับทุกคนอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องมองหาและค้นคว้าข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น




4465
สุดยอดน้องหมาที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ

     มีหมามากมายในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมต่อสู้ในสงคราม ได้เดินทางข้ามทวีป ได้เป็นนักสำรวจ และได้แสดงความกล้าหาญที่ทำให้ทุกคนต้องประทับใจ นี่คือเรื่องราวของเหล่าหมาที่แสนโดดเด่นจนทำให้ใครก็ตามที่ได้รู้เรื่องราวของพวกมันต่างก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หรือน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง แม้แต่คนที่ไม่ไยดีต่อหมานักก็ตาม



สวอนซี แจ๊ค Swansea Jack

     สวอนซี แจ๊คเป็นรีทรีฟเวอร์สีดำที่อาศัยอยู่กับเจ้านายของมันวิลเลียม โทมัสใกล้ๆ แม่น้ำเทว ในเมืองสวอนซี รัฐเวลล์ วันหนึ่ง ในช่วงปี 1930 แจ๊คเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะจมน้ำในแม่น้ำ มันวิ่งตรงไปดึงคอเสื้อเด็กชายคนนั้นขึ้นฝั่ง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ แต่แจ๊คก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แจ๊คได้ช่วยชีวิตนักว่ายน้ำอีกคนหนึ่งเอาไว้ คราวนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย และมันก็ได้ช่วยอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ  ในช่วงเวลาอีก 10 ปีต่อจากนั้น มีรายงานว่าแจ๊คได้ช่วยชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 27 คน จากแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่อันตรายที่สุดในเวลล์

     เพื่อเป็นการตอบแทบความพยายามชั่วชีวิตของมัน แจ๊คได้รับปลอกคอเงินจากสภาเมืองสวอนซี รางวัลหมาที่กล้าหาญที่สุดแห่งปี ถ้วยเงินจากนายกเทศมนตรีเมืองลอนดอน และอนุสาวรีย์ของมันเอง แจ๊คยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และมันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเล่นของทีมพรีเมียร์ลีกประจำเมืองสวอนซี “สวอนซีแจ๊ค”   



บัมเซ่ Bamse (St. Bernard)

     บัมเซ่เป็นเซนต์เบอร์นาร์ดประจำเรือกวาดทุ่นระเบิดของนอร์เวย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่ากอด และชื่อบัมเซ่ของมันก็หมายถึง “หมีน่ากอด” ในภาษานอร์เวย์ แต่มันก็เป็นหมาที่ทรหดอดทนมาก แต่เดิมกัปตันเรือเป็นคนที่พาบัมเซ่ขึ้นเรือมา แต่เมื่อกัปตันพยายามจะพาบัมเซ่ไปกับย้ายฐานไปกับเขาด้วย เหล่าลูกเรือที่ผูกพันกับหมาตัวนี้ไปเสียแล้วก็ข่มขู่จะทิ้งเรือถ้าหากว่าบัมเซ่ถูกพาตัวไป  พวกเขารักมันมากเสียจนยอมก่อจลาจลมากกว่ายอมสูญเสียมัน

     บัมเซ่ได้กลายมาเป็นตำนานของเมืองดันดีและเมืองนอมโตรซ ที่ๆ เรือจอดประจำการอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันขึ้นรถประจำทางตามลำพังโดยมีบัตรขึ้นรถผูกติดอยู่ที่คอ เพื่อไปตามเหล่ากะลาสีเรือที่เมาแอ๋ให้กลับขึ้นเรือ และป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นไปต่อยตีกับคนอื่นในบาร์ ครั้งหนึ่ง มันได้ช่วยลูกเรือที่ตกลงไปในน้ำด้วยการลากเขาไปยังจุดปลอดภัย มันยังช่วยลูกเรืออีกคนหนึ่งจากศัตรู ด้วยการพุ่งเข้าชนฝ่ายตรงข้ามแล้วลากลงน้ำ บัมเซ่ไม่ได้เป็นแค่ฮีโรนักสู้ มันยังเป็นนักสงบศึกอีกด้วย มีรายงานว่าเมื่อเหล่ากะลาสีบนเรือทะเลาะกัน มันจะบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยการยืนบนขาหลัง และใช้ขาหน้ายันไหล่พวกเขาเอาไว้ราวกับจะบอกว่า “ใจเย็นๆ นะ สู้กันไปก็ไม่มีอะไรดีหรอก” บัมเซ่ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในสก็อตแลนด์ที่เรือจอดเทียบท่าอยู่เท่านั้น ทุกๆ ช่วงคริสต์มาส มันจะถูกจับแต่งตัวด้วยหมวกกะลาสีใบน้อยแล้วถ่ายรูปเพื่อนำไปทำโปสการ์ด และใช้ส่งไปหาญาติๆ ของเหล่าลูกเรือที่อาศัยอยู่ในนอร์เวย์ น่ารักใช่มั้ยล่ะ 



บ๊อบ หมาทางรถไฟ Bob the Railway Dog

     บ๊อบเกิดที่ออสเตรเลียใต้ในปี 1882 และด้วยเหตุผลบางอย่าง มันชอบรถไฟมาก มันใช้เวลาช่วงปีแรกๆ ของชีวิตเป็นหมาจรจัด คอยเดินตามคนงานประจำรางรถไฟไปทำงาน จนกระทั่งถูกคนจับหมาจับตัวไป มันเกือบต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว แต่โชคดีที่นายสถานีผู้ใจดีที่ชื่นชอบมันได้ซื้อตัวบ๊อบเอาไว้ เจ้านายคนใหม่ของมันอนุญาตให้บ๊อบขึ้นรถไฟไปกับเขาด้วยทุกวัน โดยให้มันจะอยู่ในตู้รถไฟสำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลรถไฟ แต่ในท้ายที่สุด เจ้านายของมันก็ได้เลื่อนตำแหน่ง และเขากับบ๊อบก็จำเป็นต้องแยกทางกัน หลังจากนั้น บ๊อบก็เริ่มขึ้นรถไฟออกเดินทางไปตามลำพัง

     บ๊อบเดินทางไปทั่วออสเตรเลียใต้ มันกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยและน่ายินดีของทุกคนที่อยู่บนรถไฟข้ามประเทศ บางครั้ง เมื่อบ๊อบต้องการอยู่ตามลำพัง มันก็จะไปอยู่ในตู้รถไฟที่ว่างเปล่า และขับไล่ผู้โดยสารที่พยายามจะเข้าไปนั่งให้กลัวจนหนีไปด้วยการเห่าอย่างบ้าคลั่ง นายสถานีและผู้ดูแลสถานีทุกคนรู้จักชื่อของมัน พวกเขาจึงปล่อยให้มันเดินทางตามใจชอบ ในตอนกลางคืน มันจะตามคนขับรถไฟกลับบ้านไปกินอาหารอุ่นๆ และนอนในที่นอนนุ่มๆ และกลับมาขึ้นรถไฟอีกครั้งในเช้าวันต่อมา เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต บ๊อบไปในที่ๆ มันอยากไป และมีชื่อเสียงที่โด่งดัง มันได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ และได้รับสร้อยสั่งทำพิเศษที่มีชื่อของมันติดอยู่ มีการสลักบอกคนที่อ่านข้อความนี้ว่า ให้ปล่อยบ๊อบไปในที่ๆ มันต้องการเมื่อเด็กๆ ในแต่ละท้องที่เห็นบ๊อบนั่งรถไฟมา พวกเขาก็จะวิ่งตามมันราวกับว่ามันเป็นดาราดัง บ๊อบผ่านการผจญภัยมากมายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตสั้นๆ ของมัน และจบชีวิตลงด้วยการเป็นหมาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย



บัมเมอร์กับลาซารัส Bummer and Lazarus

     ในช่วงปี 1830 หมาจรจัด 2 ตัวที่ชื่อว่าบัมเมอร์และลาซารัส สามารถวิ่งไปทั่วเมืองซานฟราซิสโกได้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นหมาจรจัดตัวอื่นๆ จะถูกจับไปทำล้ายทิ้ง แต่บัมเมอร์และลาซารัสนั้นต่างออกไป พวกมันคือดารา หนังสือพิมพ์รายวันรายงานข่าวกิจวัตรประจำวันของพวกมันราวกับว่าพวกมันคือดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าพวกมันต่อสู้กับหมาตัวอื่น หนังสือพิมพ์มักจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในวันต่อมา มีการลงคำให้การของพยานและภาพวาดการ์ตูนประกอบข่าวที่เร้าใจ แม้แต่ มาร์ก ทเวนก็ยอมพักมือจากการเขียนเรื่อง Huckleberry Finn  เพื่อมาเขียนถึงพวกมัน

     สาเหตุที่มันเป็นที่รักของสาธารณชนก็คือ ความรักความผูกพันของพวกมันทั้ง 2 ตัว บัมเมอร์เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นหมาข้างถนนที่แข็งแกร่งและคอยร้องขออาหารจากคนจนได้ชื่อว่า บัมเมอร์ ในขณะที่หมาเร่ร่อนอีกตัวเพิ่งมาถึงเมืองและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนที่เห็นเหตุการณ์คิดว่ามันกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ... จนกระทั่งบัมเมอร์วิ่งเข้ามาช่วยต่อสู้จนอีกฝ่ายวิ่งหนีไป บัมเมอร์ ช่วยพยาบาลหมาตัวที่บาดเจ็บจนหายดี คนจึงเรียกหมาตัวนี้ว่าลาซารัส ตำนานของพวกมันดำเนินต่อไปและทุกๆ มีการรายงานเรื่องราวมิตรภาพของหมาทั้งสองอยู่เสมอ เมื่อบัมเมอร์ถูกยิงที่ขาแต่ลาซารัสไม่ได้อยู่ช่วยดูแลมัน คนทั้งเมืองก็ด่าทอลาซารัส ความชื่นชอบอันแปลกประหลาดของสื่อดำเนินต่อไปจนกระทั่งหมาทั้งสองตัวตายลง แต่ก็ยังมีการตีพิมพ์เรื่องของพวกมันอยู่หลังจากนั้น โดยหนังสือพิมพ์แต่ละหัวได้หันมาโจมตีกันเองว่าอีกฝ่ายลงข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการตายของหมาทั้งสองตัวผิด



บาร์รี่ Barry

    เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมาที่ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว ค้นหาและช่วยเหลือ ผู้ที่เพาะพันธุ์มันขึ้นมาคือเหล่าพระที่อารามเซนต์เบอร์นาร์ดพาส ซึ่งเป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์และอิตาลีที่แสนอันตรายและเต็มไปด้วยหิมะเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือนักเดินทางที่หลงทางและถูกฝังอยู่ในกองหิมะ พวกมันจะออกเดินทางเป็นคู่ เพื่อที่เมื่อพวกมันพบผู้เคราะห์ร้าย หมาตัวหนึ่งจะได้ขุนคนๆ นั้นขึ้นมาแล้วนั่งเป็นเพื่อนเพื่อให้ความอบอุ่น ในขณะที่อีกตัวหนึ่งจะกลับไปที่อารามเพื่อขอความช่วยเหลือ ที่นี่เองเราจะได้พบกับบาร์รี่ เซนต์เบอร์นาร์ดที่ช่วยชีวิตคนกว่า 40 ชีวิตตลอดช่วงอายุขัย 12 ปีของมันในต้นศตวรรษที่ 19

     การช่วยเหลือที่โด่งดังมากที่สุดคือการช่วยเหลือเด็กเล็กคนหนึ่งที่หายตัวไป และติดอยู่ในชั้นน้ำแข็งที่พร้อมจะถล่มลงมาทุกเมื่อ เบอร์รี่เข้าไปถึงตัวเด็กชายจนได้ มันปลุกเขาขึ้นมา และช่วยรักษาความอบอุ่นให้จนกระทั่งทีมช่วยเหลือมาถึง แต่แม้เมื่อทีมช่วยเหลือมาถึงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปพาตัวทั้งสองออกมาได้ บาร์รี่จึงให้เด็กชายปีนขึ้นหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ ดึงตัวเขาไปสู่ความปลอดภัยทีละนิด ทีละนิด บาร์รี่เป็นหมากู้ชีพที่มีประสิทธิภาพมากจนแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ก็จะมีหมาตัวหนึ่งในอารามที่ชื่อว่าเบอร์รี่อยู่เสมอ และธรรมเนียมนี้ก็ยังคงทำกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน





โอว์นีย์ Owney

     โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าเจ้าของเดิมของโอว์นีย์เป็นพนักงานไปรษณีย์ นั่นเป็นเพราะโอว์นีย์รักกลิ่นและสัมผัสของถุงไปรษณีย์มาก มันติดตามถุงเหล่านั้นไปทั้งทางบก ทางรถไฟ หรือทางเรือ ในทุกๆ ที่ที่ถุงเหล่านี้ได้เดินทางไป เมื่อเจ้าของของโอว์นีย์จากไปด้วยสาเหตุที่ไม่มีการระบุถึง โอว์นีย์ก็ยังคงอยู่กับถุงไปรษณีย์สุดที่รักของมัน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน โอว์นีย์ก็เริ่มเดินทางตามถุง เริ่มจากในรถขนไปรษณีย์คันเล็กๆ จากนั้นก็เป็นรถไฟขนไปรษณีย์ มันเริ่มเดินทางไกลขึ้นเรื่อยๆ จนได้เดินทางไปทั่วเขตที่มันอยู่ จากนั้นก็ทั่วรัฐ และในที่สุดมันก็ไปทั่วสหรัฐอเมริกา พนักงานไปรษณีย์เต็มใจปล่อยให้มันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า รถไฟขบวนที่โอวนีย์ขึ้นจะไม่ประสบอุบัติเหตุเลย ทำให้โอว์นีย์กลายเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดี ดังนั้น พวกเขาจึงทำเครื่องประดับและเหรียญตราอันเล็กๆ ติดปลอกคอของมันเพื่อเป็นของที่ระลึกถึงที่ๆ มันเคยไป เมื่อมันเดินทางมากเสียจนเหรียญเหล่านี้ไม่มีสามารถติดบนปลอกคอได้อีก มันก็ได้รับเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่แทน โอว์นีย์ได้เดินทางไปทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ทั้งขาไปและขากลับ และยังมีแสตมป์เป็นของตัวเองอีกด้วย



พิกเคิ้ลส์ Pickle

     ปี 1966 คือปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่อังกฤษ และทางประเทศอังกฤษก็ถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เหตุผลที่ทุกคนดูจริงจังกับเรื่องก็อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจะชนะ และพวกเขาชนะ ดังนั้น เมื่อถ้วยฟุตบอลโลกถูกขโมยไปเพียง 4 เดือนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น การที่ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ทุกฝ่ายรีบร้อนตามหาถ้วยฟุตบอลโลกกลับคืนมาเพื่อไม่ให้เกิดความขายหน้าระดับนานาชาติ และในที่สุด คนที่หาถ้วยใบนี้พบก็คือหมาพันธุ์คอลลี่ที่กล้าหาญชื่อว่า พิกเคิ้ลส์ มันกำลังอยู่ระหว่างออกไปเดินเล่นกับเจ้านาย เมื่อมันเข้าไปดมอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ และแน่นอนว่าสิ่งที่พิกเคิ้ลส์พบก็คือถ้วยฟุตบอลโลกที่หายไป 

     สิ่งที่ตามมาจากการที่พิกเคิ้ลส์หาถ้วยพบคือ มันมีชื่อเสียงโด่งดังลั่นฟ้า มันได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อต่างๆ ในฐานะของหมาฮีโร่ที่ช่วยประเทศเอาไว้จากความขายหน้าระดับโลก พิกเคิ้ลส์ยังได้ไปงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ที่ๆ มันได้รับกระดูกและเช็คมูลค่ากว่า 1,000 ปอนด์ หลังจากนั้นมันยังได้เป็นดาราในรายการทีวีหลายรายการ และได้เล่นหนังอีกด้วย



ฟีโด้ Fido

     มีเรื่องราวเกี่ยวกับหมาที่เฝ้ารอเจ้านายผู้จากไปอย่างภักดีนานหลายปีอยู่มากมาย หนึ่งในเรื่องที่โด่งดังมากก็คือความจงรักภักดีของฮาจิโกะจากญี่ปุ่น และบ๊อบบี้จากสก๊อกแลนด์ ทั้งฮาจิโกะและบ๊อบบี้มีทั้งหนังสือและภาพยนตร์มากมายที่นำเรื่องราวของพวกมันมาเล่า แต่หมาผู้ภักดีที่โด่งดังที่ในช่วงที่มันยังมีชีวิตอยู่ กลับกลายเป็นหมาที่มีคนรู้จักน้อยที่สุด ฟิโด้เกินที่ประเทศอิตาลีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันถูกพบในสภาพใกล้ตายโดยคนงานเตาเผา เขาพามันกลับบ้านและรักษาจนมันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ความช่วยเหลือนี้ทำให้ฟีโด้ซื่อสัตย์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงตราบชั่วชีวิตของมัน ทุกๆ วัน ฟีโด้จะไปรอเจ้านายของมันที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม และจะไม่ยอมขยับจนกว่าเขาจะลงมาจากรถเมล์ แต่นี่คือช่วงเวลาที่อิตาลีถูกทิ้งระเบิดอยู่แทบทุกวัน และวันหนึ่ง เจ้านายของฟีโด้ก็ไม่กลับมา เขาตายจากการโจมตีทางอากาศขณะทำงาน และฟีโด้ที่กระตือรือร้นอยู่เสมอก็ยังคงไปรอเข้าที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม ทุกวัน เป็นเวลากว่า 14 ปี

     เรื่องราวของฟีโด้กระจายไปทั่วอิตาลีและได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ ในทันที มีภาพข่าวที่แสดงให้เห็นคนจำนวนมากมาดูมันเดินไปรอเจ้านายที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน มองดูทุกคนลงจากรถ และเดินจากไปด้วยความผิดหวังเมื่อรถเมล์เคลื่อนจากไป มันได้รับเหรียญกล้าหาญและเหรียญเชิดชูเกียรติมากมาย แต่ทั้งหมดที่มันต้องการก็คือให้เพื่อนรักของมันกลับบ้าน แต่เขาก็ไม่เคยกลับมา


4466
สุดยอดน้องหมาที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ

     มีหมามากมายในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมต่อสู้ในสงคราม ได้เดินทางข้ามทวีป ได้เป็นนักสำรวจ และได้แสดงความกล้าหาญที่ทำให้ทุกคนต้องประทับใจ นี่คือเรื่องราวของเหล่าหมาที่แสนโดดเด่นจนทำให้ใครก็ตามที่ได้รู้เรื่องราวของพวกมันต่างก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หรือน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง แม้แต่คนที่ไม่ไยดีต่อหมานักก็ตาม



สวอนซี แจ๊ค Swansea Jack

     สวอนซี แจ๊คเป็นรีทรีฟเวอร์สีดำที่อาศัยอยู่กับเจ้านายของมันวิลเลียม โทมัสใกล้ๆ แม่น้ำเทว ในเมืองสวอนซี รัฐเวลล์ วันหนึ่ง ในช่วงปี 1930 แจ๊คเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะจมน้ำในแม่น้ำ มันวิ่งตรงไปดึงคอเสื้อเด็กชายคนนั้นขึ้นฝั่ง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ แต่แจ๊คก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แจ๊คได้ช่วยชีวิตนักว่ายน้ำอีกคนหนึ่งเอาไว้ คราวนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย และมันก็ได้ช่วยอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ  ในช่วงเวลาอีก 10 ปีต่อจากนั้น มีรายงานว่าแจ๊คได้ช่วยชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 27 คน จากแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่อันตรายที่สุดในเวลล์

     เพื่อเป็นการตอบแทบความพยายามชั่วชีวิตของมัน แจ๊คได้รับปลอกคอเงินจากสภาเมืองสวอนซี รางวัลหมาที่กล้าหาญที่สุดแห่งปี ถ้วยเงินจากนายกเทศมนตรีเมืองลอนดอน และอนุสาวรีย์ของมันเอง แจ๊คยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และมันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเล่นของทีมพรีเมียร์ลีกประจำเมืองสวอนซี “สวอนซีแจ๊ค”   



บัมเซ่ Bamse (St. Bernard)

     บัมเซ่เป็นเซนต์เบอร์นาร์ดประจำเรือกวาดทุ่นระเบิดของนอร์เวย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่ากอด และชื่อบัมเซ่ของมันก็หมายถึง “หมีน่ากอด” ในภาษานอร์เวย์ แต่มันก็เป็นหมาที่ทรหดอดทนมาก แต่เดิมกัปตันเรือเป็นคนที่พาบัมเซ่ขึ้นเรือมา แต่เมื่อกัปตันพยายามจะพาบัมเซ่ไปกับย้ายฐานไปกับเขาด้วย เหล่าลูกเรือที่ผูกพันกับหมาตัวนี้ไปเสียแล้วก็ข่มขู่จะทิ้งเรือถ้าหากว่าบัมเซ่ถูกพาตัวไป  พวกเขารักมันมากเสียจนยอมก่อจลาจลมากกว่ายอมสูญเสียมัน

     บัมเซ่ได้กลายมาเป็นตำนานของเมืองดันดีและเมืองนอมโตรซ ที่ๆ เรือจอดประจำการอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันขึ้นรถประจำทางตามลำพังโดยมีบัตรขึ้นรถผูกติดอยู่ที่คอ เพื่อไปตามเหล่ากะลาสีเรือที่เมาแอ๋ให้กลับขึ้นเรือ และป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นไปต่อยตีกับคนอื่นในบาร์ ครั้งหนึ่ง มันได้ช่วยลูกเรือที่ตกลงไปในน้ำด้วยการลากเขาไปยังจุดปลอดภัย มันยังช่วยลูกเรืออีกคนหนึ่งจากศัตรู ด้วยการพุ่งเข้าชนฝ่ายตรงข้ามแล้วลากลงน้ำ บัมเซ่ไม่ได้เป็นแค่ฮีโรนักสู้ มันยังเป็นนักสงบศึกอีกด้วย มีรายงานว่าเมื่อเหล่ากะลาสีบนเรือทะเลาะกัน มันจะบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยการยืนบนขาหลัง และใช้ขาหน้ายันไหล่พวกเขาเอาไว้ราวกับจะบอกว่า “ใจเย็นๆ นะ สู้กันไปก็ไม่มีอะไรดีหรอก” บัมเซ่ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในสก็อตแลนด์ที่เรือจอดเทียบท่าอยู่เท่านั้น ทุกๆ ช่วงคริสต์มาส มันจะถูกจับแต่งตัวด้วยหมวกกะลาสีใบน้อยแล้วถ่ายรูปเพื่อนำไปทำโปสการ์ด และใช้ส่งไปหาญาติๆ ของเหล่าลูกเรือที่อาศัยอยู่ในนอร์เวย์ น่ารักใช่มั้ยล่ะ 



บ๊อบ หมาทางรถไฟ Bob the Railway Dog

     บ๊อบเกิดที่ออสเตรเลียใต้ในปี 1882 และด้วยเหตุผลบางอย่าง มันชอบรถไฟมาก มันใช้เวลาช่วงปีแรกๆ ของชีวิตเป็นหมาจรจัด คอยเดินตามคนงานประจำรางรถไฟไปทำงาน จนกระทั่งถูกคนจับหมาจับตัวไป มันเกือบต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว แต่โชคดีที่นายสถานีผู้ใจดีที่ชื่นชอบมันได้ซื้อตัวบ๊อบเอาไว้ เจ้านายคนใหม่ของมันอนุญาตให้บ๊อบขึ้นรถไฟไปกับเขาด้วยทุกวัน โดยให้มันจะอยู่ในตู้รถไฟสำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลรถไฟ แต่ในท้ายที่สุด เจ้านายของมันก็ได้เลื่อนตำแหน่ง และเขากับบ๊อบก็จำเป็นต้องแยกทางกัน หลังจากนั้น บ๊อบก็เริ่มขึ้นรถไฟออกเดินทางไปตามลำพัง

     บ๊อบเดินทางไปทั่วออสเตรเลียใต้ มันกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยและน่ายินดีของทุกคนที่อยู่บนรถไฟข้ามประเทศ บางครั้ง เมื่อบ๊อบต้องการอยู่ตามลำพัง มันก็จะไปอยู่ในตู้รถไฟที่ว่างเปล่า และขับไล่ผู้โดยสารที่พยายามจะเข้าไปนั่งให้กลัวจนหนีไปด้วยการเห่าอย่างบ้าคลั่ง นายสถานีและผู้ดูแลสถานีทุกคนรู้จักชื่อของมัน พวกเขาจึงปล่อยให้มันเดินทางตามใจชอบ ในตอนกลางคืน มันจะตามคนขับรถไฟกลับบ้านไปกินอาหารอุ่นๆ และนอนในที่นอนนุ่มๆ และกลับมาขึ้นรถไฟอีกครั้งในเช้าวันต่อมา เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต บ๊อบไปในที่ๆ มันอยากไป และมีชื่อเสียงที่โด่งดัง มันได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ และได้รับสร้อยสั่งทำพิเศษที่มีชื่อของมันติดอยู่ มีการสลักบอกคนที่อ่านข้อความนี้ว่า ให้ปล่อยบ๊อบไปในที่ๆ มันต้องการเมื่อเด็กๆ ในแต่ละท้องที่เห็นบ๊อบนั่งรถไฟมา พวกเขาก็จะวิ่งตามมันราวกับว่ามันเป็นดาราดัง บ๊อบผ่านการผจญภัยมากมายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตสั้นๆ ของมัน และจบชีวิตลงด้วยการเป็นหมาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย



บัมเมอร์กับลาซารัส Bummer and Lazarus

     ในช่วงปี 1830 หมาจรจัด 2 ตัวที่ชื่อว่าบัมเมอร์และลาซารัส สามารถวิ่งไปทั่วเมืองซานฟราซิสโกได้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นหมาจรจัดตัวอื่นๆ จะถูกจับไปทำล้ายทิ้ง แต่บัมเมอร์และลาซารัสนั้นต่างออกไป พวกมันคือดารา หนังสือพิมพ์รายวันรายงานข่าวกิจวัตรประจำวันของพวกมันราวกับว่าพวกมันคือดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าพวกมันต่อสู้กับหมาตัวอื่น หนังสือพิมพ์มักจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในวันต่อมา มีการลงคำให้การของพยานและภาพวาดการ์ตูนประกอบข่าวที่เร้าใจ แม้แต่ มาร์ก ทเวนก็ยอมพักมือจากการเขียนเรื่อง Huckleberry Finn  เพื่อมาเขียนถึงพวกมัน

     สาเหตุที่มันเป็นที่รักของสาธารณชนก็คือ ความรักความผูกพันของพวกมันทั้ง 2 ตัว บัมเมอร์เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นหมาข้างถนนที่แข็งแกร่งและคอยร้องขออาหารจากคนจนได้ชื่อว่า บัมเมอร์ ในขณะที่หมาเร่ร่อนอีกตัวเพิ่งมาถึงเมืองและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนที่เห็นเหตุการณ์คิดว่ามันกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ... จนกระทั่งบัมเมอร์วิ่งเข้ามาช่วยต่อสู้จนอีกฝ่ายวิ่งหนีไป บัมเมอร์ ช่วยพยาบาลหมาตัวที่บาดเจ็บจนหายดี คนจึงเรียกหมาตัวนี้ว่าลาซารัส ตำนานของพวกมันดำเนินต่อไปและทุกๆ มีการรายงานเรื่องราวมิตรภาพของหมาทั้งสองอยู่เสมอ เมื่อบัมเมอร์ถูกยิงที่ขาแต่ลาซารัสไม่ได้อยู่ช่วยดูแลมัน คนทั้งเมืองก็ด่าทอลาซารัส ความชื่นชอบอันแปลกประหลาดของสื่อดำเนินต่อไปจนกระทั่งหมาทั้งสองตัวตายลง แต่ก็ยังมีการตีพิมพ์เรื่องของพวกมันอยู่หลังจากนั้น โดยหนังสือพิมพ์แต่ละหัวได้หันมาโจมตีกันเองว่าอีกฝ่ายลงข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการตายของหมาทั้งสองตัวผิด



บาร์รี่ Barry

    เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมาที่ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว ค้นหาและช่วยเหลือ ผู้ที่เพาะพันธุ์มันขึ้นมาคือเหล่าพระที่อารามเซนต์เบอร์นาร์ดพาส ซึ่งเป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์และอิตาลีที่แสนอันตรายและเต็มไปด้วยหิมะเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือนักเดินทางที่หลงทางและถูกฝังอยู่ในกองหิมะ พวกมันจะออกเดินทางเป็นคู่ เพื่อที่เมื่อพวกมันพบผู้เคราะห์ร้าย หมาตัวหนึ่งจะได้ขุนคนๆ นั้นขึ้นมาแล้วนั่งเป็นเพื่อนเพื่อให้ความอบอุ่น ในขณะที่อีกตัวหนึ่งจะกลับไปที่อารามเพื่อขอความช่วยเหลือ ที่นี่เองเราจะได้พบกับบาร์รี่ เซนต์เบอร์นาร์ดที่ช่วยชีวิตคนกว่า 40 ชีวิตตลอดช่วงอายุขัย 12 ปีของมันในต้นศตวรรษที่ 19

     การช่วยเหลือที่โด่งดังมากที่สุดคือการช่วยเหลือเด็กเล็กคนหนึ่งที่หายตัวไป และติดอยู่ในชั้นน้ำแข็งที่พร้อมจะถล่มลงมาทุกเมื่อ เบอร์รี่เข้าไปถึงตัวเด็กชายจนได้ มันปลุกเขาขึ้นมา และช่วยรักษาความอบอุ่นให้จนกระทั่งทีมช่วยเหลือมาถึง แต่แม้เมื่อทีมช่วยเหลือมาถึงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปพาตัวทั้งสองออกมาได้ บาร์รี่จึงให้เด็กชายปีนขึ้นหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ ดึงตัวเขาไปสู่ความปลอดภัยทีละนิด ทีละนิด บาร์รี่เป็นหมากู้ชีพที่มีประสิทธิภาพมากจนแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ก็จะมีหมาตัวหนึ่งในอารามที่ชื่อว่าเบอร์รี่อยู่เสมอ และธรรมเนียมนี้ก็ยังคงทำกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน





โอว์นีย์ Owney

     โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าเจ้าของเดิมของโอว์นีย์เป็นพนักงานไปรษณีย์ นั่นเป็นเพราะโอว์นีย์รักกลิ่นและสัมผัสของถุงไปรษณีย์มาก มันติดตามถุงเหล่านั้นไปทั้งทางบก ทางรถไฟ หรือทางเรือ ในทุกๆ ที่ที่ถุงเหล่านี้ได้เดินทางไป เมื่อเจ้าของของโอว์นีย์จากไปด้วยสาเหตุที่ไม่มีการระบุถึง โอว์นีย์ก็ยังคงอยู่กับถุงไปรษณีย์สุดที่รักของมัน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน โอว์นีย์ก็เริ่มเดินทางตามถุง เริ่มจากในรถขนไปรษณีย์คันเล็กๆ จากนั้นก็เป็นรถไฟขนไปรษณีย์ มันเริ่มเดินทางไกลขึ้นเรื่อยๆ จนได้เดินทางไปทั่วเขตที่มันอยู่ จากนั้นก็ทั่วรัฐ และในที่สุดมันก็ไปทั่วสหรัฐอเมริกา พนักงานไปรษณีย์เต็มใจปล่อยให้มันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า รถไฟขบวนที่โอวนีย์ขึ้นจะไม่ประสบอุบัติเหตุเลย ทำให้โอว์นีย์กลายเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดี ดังนั้น พวกเขาจึงทำเครื่องประดับและเหรียญตราอันเล็กๆ ติดปลอกคอของมันเพื่อเป็นของที่ระลึกถึงที่ๆ มันเคยไป เมื่อมันเดินทางมากเสียจนเหรียญเหล่านี้ไม่มีสามารถติดบนปลอกคอได้อีก มันก็ได้รับเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่แทน โอว์นีย์ได้เดินทางไปทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ทั้งขาไปและขากลับ และยังมีแสตมป์เป็นของตัวเองอีกด้วย



พิกเคิ้ลส์ Pickle

     ปี 1966 คือปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่อังกฤษ และทางประเทศอังกฤษก็ถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เหตุผลที่ทุกคนดูจริงจังกับเรื่องก็อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจะชนะ และพวกเขาชนะ ดังนั้น เมื่อถ้วยฟุตบอลโลกถูกขโมยไปเพียง 4 เดือนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น การที่ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ทุกฝ่ายรีบร้อนตามหาถ้วยฟุตบอลโลกกลับคืนมาเพื่อไม่ให้เกิดความขายหน้าระดับนานาชาติ และในที่สุด คนที่หาถ้วยใบนี้พบก็คือหมาพันธุ์คอลลี่ที่กล้าหาญชื่อว่า พิกเคิ้ลส์ มันกำลังอยู่ระหว่างออกไปเดินเล่นกับเจ้านาย เมื่อมันเข้าไปดมอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ และแน่นอนว่าสิ่งที่พิกเคิ้ลส์พบก็คือถ้วยฟุตบอลโลกที่หายไป 

     สิ่งที่ตามมาจากการที่พิกเคิ้ลส์หาถ้วยพบคือ มันมีชื่อเสียงโด่งดังลั่นฟ้า มันได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อต่างๆ ในฐานะของหมาฮีโร่ที่ช่วยประเทศเอาไว้จากความขายหน้าระดับโลก พิกเคิ้ลส์ยังได้ไปงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ที่ๆ มันได้รับกระดูกและเช็คมูลค่ากว่า 1,000 ปอนด์ หลังจากนั้นมันยังได้เป็นดาราในรายการทีวีหลายรายการ และได้เล่นหนังอีกด้วย



ฟีโด้ Fido

     มีเรื่องราวเกี่ยวกับหมาที่เฝ้ารอเจ้านายผู้จากไปอย่างภักดีนานหลายปีอยู่มากมาย หนึ่งในเรื่องที่โด่งดังมากก็คือความจงรักภักดีของฮาจิโกะจากญี่ปุ่น และบ๊อบบี้จากสก๊อกแลนด์ ทั้งฮาจิโกะและบ๊อบบี้มีทั้งหนังสือและภาพยนตร์มากมายที่นำเรื่องราวของพวกมันมาเล่า แต่หมาผู้ภักดีที่โด่งดังที่ในช่วงที่มันยังมีชีวิตอยู่ กลับกลายเป็นหมาที่มีคนรู้จักน้อยที่สุด ฟิโด้เกินที่ประเทศอิตาลีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันถูกพบในสภาพใกล้ตายโดยคนงานเตาเผา เขาพามันกลับบ้านและรักษาจนมันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ความช่วยเหลือนี้ทำให้ฟีโด้ซื่อสัตย์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงตราบชั่วชีวิตของมัน ทุกๆ วัน ฟีโด้จะไปรอเจ้านายของมันที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม และจะไม่ยอมขยับจนกว่าเขาจะลงมาจากรถเมล์ แต่นี่คือช่วงเวลาที่อิตาลีถูกทิ้งระเบิดอยู่แทบทุกวัน และวันหนึ่ง เจ้านายของฟีโด้ก็ไม่กลับมา เขาตายจากการโจมตีทางอากาศขณะทำงาน และฟีโด้ที่กระตือรือร้นอยู่เสมอก็ยังคงไปรอเข้าที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม ทุกวัน เป็นเวลากว่า 14 ปี

     เรื่องราวของฟีโด้กระจายไปทั่วอิตาลีและได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ ในทันที มีภาพข่าวที่แสดงให้เห็นคนจำนวนมากมาดูมันเดินไปรอเจ้านายที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน มองดูทุกคนลงจากรถ และเดินจากไปด้วยความผิดหวังเมื่อรถเมล์เคลื่อนจากไป มันได้รับเหรียญกล้าหาญและเหรียญเชิดชูเกียรติมากมาย แต่ทั้งหมดที่มันต้องการก็คือให้เพื่อนรักของมันกลับบ้าน แต่เขาก็ไม่เคยกลับมา


4467
สุดยอดน้องหมาที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ

     มีหมามากมายในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมต่อสู้ในสงคราม ได้เดินทางข้ามทวีป ได้เป็นนักสำรวจ และได้แสดงความกล้าหาญที่ทำให้ทุกคนต้องประทับใจ นี่คือเรื่องราวของเหล่าหมาที่แสนโดดเด่นจนทำให้ใครก็ตามที่ได้รู้เรื่องราวของพวกมันต่างก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หรือน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง แม้แต่คนที่ไม่ไยดีต่อหมานักก็ตาม



สวอนซี แจ๊ค Swansea Jack

     สวอนซี แจ๊คเป็นรีทรีฟเวอร์สีดำที่อาศัยอยู่กับเจ้านายของมันวิลเลียม โทมัสใกล้ๆ แม่น้ำเทว ในเมืองสวอนซี รัฐเวลล์ วันหนึ่ง ในช่วงปี 1930 แจ๊คเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะจมน้ำในแม่น้ำ มันวิ่งตรงไปดึงคอเสื้อเด็กชายคนนั้นขึ้นฝั่ง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ แต่แจ๊คก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แจ๊คได้ช่วยชีวิตนักว่ายน้ำอีกคนหนึ่งเอาไว้ คราวนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย และมันก็ได้ช่วยอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ  ในช่วงเวลาอีก 10 ปีต่อจากนั้น มีรายงานว่าแจ๊คได้ช่วยชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 27 คน จากแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่อันตรายที่สุดในเวลล์

     เพื่อเป็นการตอบแทบความพยายามชั่วชีวิตของมัน แจ๊คได้รับปลอกคอเงินจากสภาเมืองสวอนซี รางวัลหมาที่กล้าหาญที่สุดแห่งปี ถ้วยเงินจากนายกเทศมนตรีเมืองลอนดอน และอนุสาวรีย์ของมันเอง แจ๊คยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และมันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเล่นของทีมพรีเมียร์ลีกประจำเมืองสวอนซี “สวอนซีแจ๊ค”   



บัมเซ่ Bamse (St. Bernard)

     บัมเซ่เป็นเซนต์เบอร์นาร์ดประจำเรือกวาดทุ่นระเบิดของนอร์เวย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่ากอด และชื่อบัมเซ่ของมันก็หมายถึง “หมีน่ากอด” ในภาษานอร์เวย์ แต่มันก็เป็นหมาที่ทรหดอดทนมาก แต่เดิมกัปตันเรือเป็นคนที่พาบัมเซ่ขึ้นเรือมา แต่เมื่อกัปตันพยายามจะพาบัมเซ่ไปกับย้ายฐานไปกับเขาด้วย เหล่าลูกเรือที่ผูกพันกับหมาตัวนี้ไปเสียแล้วก็ข่มขู่จะทิ้งเรือถ้าหากว่าบัมเซ่ถูกพาตัวไป  พวกเขารักมันมากเสียจนยอมก่อจลาจลมากกว่ายอมสูญเสียมัน

     บัมเซ่ได้กลายมาเป็นตำนานของเมืองดันดีและเมืองนอมโตรซ ที่ๆ เรือจอดประจำการอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันขึ้นรถประจำทางตามลำพังโดยมีบัตรขึ้นรถผูกติดอยู่ที่คอ เพื่อไปตามเหล่ากะลาสีเรือที่เมาแอ๋ให้กลับขึ้นเรือ และป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นไปต่อยตีกับคนอื่นในบาร์ ครั้งหนึ่ง มันได้ช่วยลูกเรือที่ตกลงไปในน้ำด้วยการลากเขาไปยังจุดปลอดภัย มันยังช่วยลูกเรืออีกคนหนึ่งจากศัตรู ด้วยการพุ่งเข้าชนฝ่ายตรงข้ามแล้วลากลงน้ำ บัมเซ่ไม่ได้เป็นแค่ฮีโรนักสู้ มันยังเป็นนักสงบศึกอีกด้วย มีรายงานว่าเมื่อเหล่ากะลาสีบนเรือทะเลาะกัน มันจะบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยการยืนบนขาหลัง และใช้ขาหน้ายันไหล่พวกเขาเอาไว้ราวกับจะบอกว่า “ใจเย็นๆ นะ สู้กันไปก็ไม่มีอะไรดีหรอก” บัมเซ่ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในสก็อตแลนด์ที่เรือจอดเทียบท่าอยู่เท่านั้น ทุกๆ ช่วงคริสต์มาส มันจะถูกจับแต่งตัวด้วยหมวกกะลาสีใบน้อยแล้วถ่ายรูปเพื่อนำไปทำโปสการ์ด และใช้ส่งไปหาญาติๆ ของเหล่าลูกเรือที่อาศัยอยู่ในนอร์เวย์ น่ารักใช่มั้ยล่ะ 



บ๊อบ หมาทางรถไฟ Bob the Railway Dog

     บ๊อบเกิดที่ออสเตรเลียใต้ในปี 1882 และด้วยเหตุผลบางอย่าง มันชอบรถไฟมาก มันใช้เวลาช่วงปีแรกๆ ของชีวิตเป็นหมาจรจัด คอยเดินตามคนงานประจำรางรถไฟไปทำงาน จนกระทั่งถูกคนจับหมาจับตัวไป มันเกือบต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว แต่โชคดีที่นายสถานีผู้ใจดีที่ชื่นชอบมันได้ซื้อตัวบ๊อบเอาไว้ เจ้านายคนใหม่ของมันอนุญาตให้บ๊อบขึ้นรถไฟไปกับเขาด้วยทุกวัน โดยให้มันจะอยู่ในตู้รถไฟสำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลรถไฟ แต่ในท้ายที่สุด เจ้านายของมันก็ได้เลื่อนตำแหน่ง และเขากับบ๊อบก็จำเป็นต้องแยกทางกัน หลังจากนั้น บ๊อบก็เริ่มขึ้นรถไฟออกเดินทางไปตามลำพัง

     บ๊อบเดินทางไปทั่วออสเตรเลียใต้ มันกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยและน่ายินดีของทุกคนที่อยู่บนรถไฟข้ามประเทศ บางครั้ง เมื่อบ๊อบต้องการอยู่ตามลำพัง มันก็จะไปอยู่ในตู้รถไฟที่ว่างเปล่า และขับไล่ผู้โดยสารที่พยายามจะเข้าไปนั่งให้กลัวจนหนีไปด้วยการเห่าอย่างบ้าคลั่ง นายสถานีและผู้ดูแลสถานีทุกคนรู้จักชื่อของมัน พวกเขาจึงปล่อยให้มันเดินทางตามใจชอบ ในตอนกลางคืน มันจะตามคนขับรถไฟกลับบ้านไปกินอาหารอุ่นๆ และนอนในที่นอนนุ่มๆ และกลับมาขึ้นรถไฟอีกครั้งในเช้าวันต่อมา เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต บ๊อบไปในที่ๆ มันอยากไป และมีชื่อเสียงที่โด่งดัง มันได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ และได้รับสร้อยสั่งทำพิเศษที่มีชื่อของมันติดอยู่ มีการสลักบอกคนที่อ่านข้อความนี้ว่า ให้ปล่อยบ๊อบไปในที่ๆ มันต้องการเมื่อเด็กๆ ในแต่ละท้องที่เห็นบ๊อบนั่งรถไฟมา พวกเขาก็จะวิ่งตามมันราวกับว่ามันเป็นดาราดัง บ๊อบผ่านการผจญภัยมากมายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตสั้นๆ ของมัน และจบชีวิตลงด้วยการเป็นหมาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย



บัมเมอร์กับลาซารัส Bummer and Lazarus

     ในช่วงปี 1830 หมาจรจัด 2 ตัวที่ชื่อว่าบัมเมอร์และลาซารัส สามารถวิ่งไปทั่วเมืองซานฟราซิสโกได้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นหมาจรจัดตัวอื่นๆ จะถูกจับไปทำล้ายทิ้ง แต่บัมเมอร์และลาซารัสนั้นต่างออกไป พวกมันคือดารา หนังสือพิมพ์รายวันรายงานข่าวกิจวัตรประจำวันของพวกมันราวกับว่าพวกมันคือดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าพวกมันต่อสู้กับหมาตัวอื่น หนังสือพิมพ์มักจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในวันต่อมา มีการลงคำให้การของพยานและภาพวาดการ์ตูนประกอบข่าวที่เร้าใจ แม้แต่ มาร์ก ทเวนก็ยอมพักมือจากการเขียนเรื่อง Huckleberry Finn  เพื่อมาเขียนถึงพวกมัน

     สาเหตุที่มันเป็นที่รักของสาธารณชนก็คือ ความรักความผูกพันของพวกมันทั้ง 2 ตัว บัมเมอร์เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นหมาข้างถนนที่แข็งแกร่งและคอยร้องขออาหารจากคนจนได้ชื่อว่า บัมเมอร์ ในขณะที่หมาเร่ร่อนอีกตัวเพิ่งมาถึงเมืองและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนที่เห็นเหตุการณ์คิดว่ามันกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ... จนกระทั่งบัมเมอร์วิ่งเข้ามาช่วยต่อสู้จนอีกฝ่ายวิ่งหนีไป บัมเมอร์ ช่วยพยาบาลหมาตัวที่บาดเจ็บจนหายดี คนจึงเรียกหมาตัวนี้ว่าลาซารัส ตำนานของพวกมันดำเนินต่อไปและทุกๆ มีการรายงานเรื่องราวมิตรภาพของหมาทั้งสองอยู่เสมอ เมื่อบัมเมอร์ถูกยิงที่ขาแต่ลาซารัสไม่ได้อยู่ช่วยดูแลมัน คนทั้งเมืองก็ด่าทอลาซารัส ความชื่นชอบอันแปลกประหลาดของสื่อดำเนินต่อไปจนกระทั่งหมาทั้งสองตัวตายลง แต่ก็ยังมีการตีพิมพ์เรื่องของพวกมันอยู่หลังจากนั้น โดยหนังสือพิมพ์แต่ละหัวได้หันมาโจมตีกันเองว่าอีกฝ่ายลงข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการตายของหมาทั้งสองตัวผิด



บาร์รี่ Barry

    เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมาที่ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว ค้นหาและช่วยเหลือ ผู้ที่เพาะพันธุ์มันขึ้นมาคือเหล่าพระที่อารามเซนต์เบอร์นาร์ดพาส ซึ่งเป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์และอิตาลีที่แสนอันตรายและเต็มไปด้วยหิมะเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือนักเดินทางที่หลงทางและถูกฝังอยู่ในกองหิมะ พวกมันจะออกเดินทางเป็นคู่ เพื่อที่เมื่อพวกมันพบผู้เคราะห์ร้าย หมาตัวหนึ่งจะได้ขุนคนๆ นั้นขึ้นมาแล้วนั่งเป็นเพื่อนเพื่อให้ความอบอุ่น ในขณะที่อีกตัวหนึ่งจะกลับไปที่อารามเพื่อขอความช่วยเหลือ ที่นี่เองเราจะได้พบกับบาร์รี่ เซนต์เบอร์นาร์ดที่ช่วยชีวิตคนกว่า 40 ชีวิตตลอดช่วงอายุขัย 12 ปีของมันในต้นศตวรรษที่ 19

     การช่วยเหลือที่โด่งดังมากที่สุดคือการช่วยเหลือเด็กเล็กคนหนึ่งที่หายตัวไป และติดอยู่ในชั้นน้ำแข็งที่พร้อมจะถล่มลงมาทุกเมื่อ เบอร์รี่เข้าไปถึงตัวเด็กชายจนได้ มันปลุกเขาขึ้นมา และช่วยรักษาความอบอุ่นให้จนกระทั่งทีมช่วยเหลือมาถึง แต่แม้เมื่อทีมช่วยเหลือมาถึงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปพาตัวทั้งสองออกมาได้ บาร์รี่จึงให้เด็กชายปีนขึ้นหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ ดึงตัวเขาไปสู่ความปลอดภัยทีละนิด ทีละนิด บาร์รี่เป็นหมากู้ชีพที่มีประสิทธิภาพมากจนแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ก็จะมีหมาตัวหนึ่งในอารามที่ชื่อว่าเบอร์รี่อยู่เสมอ และธรรมเนียมนี้ก็ยังคงทำกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน





โอว์นีย์ Owney

     โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าเจ้าของเดิมของโอว์นีย์เป็นพนักงานไปรษณีย์ นั่นเป็นเพราะโอว์นีย์รักกลิ่นและสัมผัสของถุงไปรษณีย์มาก มันติดตามถุงเหล่านั้นไปทั้งทางบก ทางรถไฟ หรือทางเรือ ในทุกๆ ที่ที่ถุงเหล่านี้ได้เดินทางไป เมื่อเจ้าของของโอว์นีย์จากไปด้วยสาเหตุที่ไม่มีการระบุถึง โอว์นีย์ก็ยังคงอยู่กับถุงไปรษณีย์สุดที่รักของมัน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน โอว์นีย์ก็เริ่มเดินทางตามถุง เริ่มจากในรถขนไปรษณีย์คันเล็กๆ จากนั้นก็เป็นรถไฟขนไปรษณีย์ มันเริ่มเดินทางไกลขึ้นเรื่อยๆ จนได้เดินทางไปทั่วเขตที่มันอยู่ จากนั้นก็ทั่วรัฐ และในที่สุดมันก็ไปทั่วสหรัฐอเมริกา พนักงานไปรษณีย์เต็มใจปล่อยให้มันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า รถไฟขบวนที่โอวนีย์ขึ้นจะไม่ประสบอุบัติเหตุเลย ทำให้โอว์นีย์กลายเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดี ดังนั้น พวกเขาจึงทำเครื่องประดับและเหรียญตราอันเล็กๆ ติดปลอกคอของมันเพื่อเป็นของที่ระลึกถึงที่ๆ มันเคยไป เมื่อมันเดินทางมากเสียจนเหรียญเหล่านี้ไม่มีสามารถติดบนปลอกคอได้อีก มันก็ได้รับเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่แทน โอว์นีย์ได้เดินทางไปทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ทั้งขาไปและขากลับ และยังมีแสตมป์เป็นของตัวเองอีกด้วย



พิกเคิ้ลส์ Pickle

     ปี 1966 คือปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่อังกฤษ และทางประเทศอังกฤษก็ถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เหตุผลที่ทุกคนดูจริงจังกับเรื่องก็อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจะชนะ และพวกเขาชนะ ดังนั้น เมื่อถ้วยฟุตบอลโลกถูกขโมยไปเพียง 4 เดือนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น การที่ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ทุกฝ่ายรีบร้อนตามหาถ้วยฟุตบอลโลกกลับคืนมาเพื่อไม่ให้เกิดความขายหน้าระดับนานาชาติ และในที่สุด คนที่หาถ้วยใบนี้พบก็คือหมาพันธุ์คอลลี่ที่กล้าหาญชื่อว่า พิกเคิ้ลส์ มันกำลังอยู่ระหว่างออกไปเดินเล่นกับเจ้านาย เมื่อมันเข้าไปดมอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ และแน่นอนว่าสิ่งที่พิกเคิ้ลส์พบก็คือถ้วยฟุตบอลโลกที่หายไป 

     สิ่งที่ตามมาจากการที่พิกเคิ้ลส์หาถ้วยพบคือ มันมีชื่อเสียงโด่งดังลั่นฟ้า มันได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อต่างๆ ในฐานะของหมาฮีโร่ที่ช่วยประเทศเอาไว้จากความขายหน้าระดับโลก พิกเคิ้ลส์ยังได้ไปงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ที่ๆ มันได้รับกระดูกและเช็คมูลค่ากว่า 1,000 ปอนด์ หลังจากนั้นมันยังได้เป็นดาราในรายการทีวีหลายรายการ และได้เล่นหนังอีกด้วย



ฟีโด้ Fido

     มีเรื่องราวเกี่ยวกับหมาที่เฝ้ารอเจ้านายผู้จากไปอย่างภักดีนานหลายปีอยู่มากมาย หนึ่งในเรื่องที่โด่งดังมากก็คือความจงรักภักดีของฮาจิโกะจากญี่ปุ่น และบ๊อบบี้จากสก๊อกแลนด์ ทั้งฮาจิโกะและบ๊อบบี้มีทั้งหนังสือและภาพยนตร์มากมายที่นำเรื่องราวของพวกมันมาเล่า แต่หมาผู้ภักดีที่โด่งดังที่ในช่วงที่มันยังมีชีวิตอยู่ กลับกลายเป็นหมาที่มีคนรู้จักน้อยที่สุด ฟิโด้เกินที่ประเทศอิตาลีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันถูกพบในสภาพใกล้ตายโดยคนงานเตาเผา เขาพามันกลับบ้านและรักษาจนมันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ความช่วยเหลือนี้ทำให้ฟีโด้ซื่อสัตย์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงตราบชั่วชีวิตของมัน ทุกๆ วัน ฟีโด้จะไปรอเจ้านายของมันที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม และจะไม่ยอมขยับจนกว่าเขาจะลงมาจากรถเมล์ แต่นี่คือช่วงเวลาที่อิตาลีถูกทิ้งระเบิดอยู่แทบทุกวัน และวันหนึ่ง เจ้านายของฟีโด้ก็ไม่กลับมา เขาตายจากการโจมตีทางอากาศขณะทำงาน และฟีโด้ที่กระตือรือร้นอยู่เสมอก็ยังคงไปรอเข้าที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม ทุกวัน เป็นเวลากว่า 14 ปี

     เรื่องราวของฟีโด้กระจายไปทั่วอิตาลีและได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ ในทันที มีภาพข่าวที่แสดงให้เห็นคนจำนวนมากมาดูมันเดินไปรอเจ้านายที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน มองดูทุกคนลงจากรถ และเดินจากไปด้วยความผิดหวังเมื่อรถเมล์เคลื่อนจากไป มันได้รับเหรียญกล้าหาญและเหรียญเชิดชูเกียรติมากมาย แต่ทั้งหมดที่มันต้องการก็คือให้เพื่อนรักของมันกลับบ้าน แต่เขาก็ไม่เคยกลับมา


4468
สุดยอดน้องหมาที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ

     มีหมามากมายในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมต่อสู้ในสงคราม ได้เดินทางข้ามทวีป ได้เป็นนักสำรวจ และได้แสดงความกล้าหาญที่ทำให้ทุกคนต้องประทับใจ นี่คือเรื่องราวของเหล่าหมาที่แสนโดดเด่นจนทำให้ใครก็ตามที่ได้รู้เรื่องราวของพวกมันต่างก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หรือน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง แม้แต่คนที่ไม่ไยดีต่อหมานักก็ตาม



สวอนซี แจ๊ค Swansea Jack

     สวอนซี แจ๊คเป็นรีทรีฟเวอร์สีดำที่อาศัยอยู่กับเจ้านายของมันวิลเลียม โทมัสใกล้ๆ แม่น้ำเทว ในเมืองสวอนซี รัฐเวลล์ วันหนึ่ง ในช่วงปี 1930 แจ๊คเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะจมน้ำในแม่น้ำ มันวิ่งตรงไปดึงคอเสื้อเด็กชายคนนั้นขึ้นฝั่ง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ แต่แจ๊คก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แจ๊คได้ช่วยชีวิตนักว่ายน้ำอีกคนหนึ่งเอาไว้ คราวนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย และมันก็ได้ช่วยอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ  ในช่วงเวลาอีก 10 ปีต่อจากนั้น มีรายงานว่าแจ๊คได้ช่วยชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 27 คน จากแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่อันตรายที่สุดในเวลล์

     เพื่อเป็นการตอบแทบความพยายามชั่วชีวิตของมัน แจ๊คได้รับปลอกคอเงินจากสภาเมืองสวอนซี รางวัลหมาที่กล้าหาญที่สุดแห่งปี ถ้วยเงินจากนายกเทศมนตรีเมืองลอนดอน และอนุสาวรีย์ของมันเอง แจ๊คยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และมันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเล่นของทีมพรีเมียร์ลีกประจำเมืองสวอนซี “สวอนซีแจ๊ค”   



บัมเซ่ Bamse (St. Bernard)

     บัมเซ่เป็นเซนต์เบอร์นาร์ดประจำเรือกวาดทุ่นระเบิดของนอร์เวย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่ากอด และชื่อบัมเซ่ของมันก็หมายถึง “หมีน่ากอด” ในภาษานอร์เวย์ แต่มันก็เป็นหมาที่ทรหดอดทนมาก แต่เดิมกัปตันเรือเป็นคนที่พาบัมเซ่ขึ้นเรือมา แต่เมื่อกัปตันพยายามจะพาบัมเซ่ไปกับย้ายฐานไปกับเขาด้วย เหล่าลูกเรือที่ผูกพันกับหมาตัวนี้ไปเสียแล้วก็ข่มขู่จะทิ้งเรือถ้าหากว่าบัมเซ่ถูกพาตัวไป  พวกเขารักมันมากเสียจนยอมก่อจลาจลมากกว่ายอมสูญเสียมัน

     บัมเซ่ได้กลายมาเป็นตำนานของเมืองดันดีและเมืองนอมโตรซ ที่ๆ เรือจอดประจำการอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันขึ้นรถประจำทางตามลำพังโดยมีบัตรขึ้นรถผูกติดอยู่ที่คอ เพื่อไปตามเหล่ากะลาสีเรือที่เมาแอ๋ให้กลับขึ้นเรือ และป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นไปต่อยตีกับคนอื่นในบาร์ ครั้งหนึ่ง มันได้ช่วยลูกเรือที่ตกลงไปในน้ำด้วยการลากเขาไปยังจุดปลอดภัย มันยังช่วยลูกเรืออีกคนหนึ่งจากศัตรู ด้วยการพุ่งเข้าชนฝ่ายตรงข้ามแล้วลากลงน้ำ บัมเซ่ไม่ได้เป็นแค่ฮีโรนักสู้ มันยังเป็นนักสงบศึกอีกด้วย มีรายงานว่าเมื่อเหล่ากะลาสีบนเรือทะเลาะกัน มันจะบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยการยืนบนขาหลัง และใช้ขาหน้ายันไหล่พวกเขาเอาไว้ราวกับจะบอกว่า “ใจเย็นๆ นะ สู้กันไปก็ไม่มีอะไรดีหรอก” บัมเซ่ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในสก็อตแลนด์ที่เรือจอดเทียบท่าอยู่เท่านั้น ทุกๆ ช่วงคริสต์มาส มันจะถูกจับแต่งตัวด้วยหมวกกะลาสีใบน้อยแล้วถ่ายรูปเพื่อนำไปทำโปสการ์ด และใช้ส่งไปหาญาติๆ ของเหล่าลูกเรือที่อาศัยอยู่ในนอร์เวย์ น่ารักใช่มั้ยล่ะ 



บ๊อบ หมาทางรถไฟ Bob the Railway Dog

     บ๊อบเกิดที่ออสเตรเลียใต้ในปี 1882 และด้วยเหตุผลบางอย่าง มันชอบรถไฟมาก มันใช้เวลาช่วงปีแรกๆ ของชีวิตเป็นหมาจรจัด คอยเดินตามคนงานประจำรางรถไฟไปทำงาน จนกระทั่งถูกคนจับหมาจับตัวไป มันเกือบต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว แต่โชคดีที่นายสถานีผู้ใจดีที่ชื่นชอบมันได้ซื้อตัวบ๊อบเอาไว้ เจ้านายคนใหม่ของมันอนุญาตให้บ๊อบขึ้นรถไฟไปกับเขาด้วยทุกวัน โดยให้มันจะอยู่ในตู้รถไฟสำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลรถไฟ แต่ในท้ายที่สุด เจ้านายของมันก็ได้เลื่อนตำแหน่ง และเขากับบ๊อบก็จำเป็นต้องแยกทางกัน หลังจากนั้น บ๊อบก็เริ่มขึ้นรถไฟออกเดินทางไปตามลำพัง

     บ๊อบเดินทางไปทั่วออสเตรเลียใต้ มันกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยและน่ายินดีของทุกคนที่อยู่บนรถไฟข้ามประเทศ บางครั้ง เมื่อบ๊อบต้องการอยู่ตามลำพัง มันก็จะไปอยู่ในตู้รถไฟที่ว่างเปล่า และขับไล่ผู้โดยสารที่พยายามจะเข้าไปนั่งให้กลัวจนหนีไปด้วยการเห่าอย่างบ้าคลั่ง นายสถานีและผู้ดูแลสถานีทุกคนรู้จักชื่อของมัน พวกเขาจึงปล่อยให้มันเดินทางตามใจชอบ ในตอนกลางคืน มันจะตามคนขับรถไฟกลับบ้านไปกินอาหารอุ่นๆ และนอนในที่นอนนุ่มๆ และกลับมาขึ้นรถไฟอีกครั้งในเช้าวันต่อมา เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต บ๊อบไปในที่ๆ มันอยากไป และมีชื่อเสียงที่โด่งดัง มันได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ และได้รับสร้อยสั่งทำพิเศษที่มีชื่อของมันติดอยู่ มีการสลักบอกคนที่อ่านข้อความนี้ว่า ให้ปล่อยบ๊อบไปในที่ๆ มันต้องการเมื่อเด็กๆ ในแต่ละท้องที่เห็นบ๊อบนั่งรถไฟมา พวกเขาก็จะวิ่งตามมันราวกับว่ามันเป็นดาราดัง บ๊อบผ่านการผจญภัยมากมายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตสั้นๆ ของมัน และจบชีวิตลงด้วยการเป็นหมาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย



บัมเมอร์กับลาซารัส Bummer and Lazarus

     ในช่วงปี 1830 หมาจรจัด 2 ตัวที่ชื่อว่าบัมเมอร์และลาซารัส สามารถวิ่งไปทั่วเมืองซานฟราซิสโกได้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นหมาจรจัดตัวอื่นๆ จะถูกจับไปทำล้ายทิ้ง แต่บัมเมอร์และลาซารัสนั้นต่างออกไป พวกมันคือดารา หนังสือพิมพ์รายวันรายงานข่าวกิจวัตรประจำวันของพวกมันราวกับว่าพวกมันคือดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าพวกมันต่อสู้กับหมาตัวอื่น หนังสือพิมพ์มักจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในวันต่อมา มีการลงคำให้การของพยานและภาพวาดการ์ตูนประกอบข่าวที่เร้าใจ แม้แต่ มาร์ก ทเวนก็ยอมพักมือจากการเขียนเรื่อง Huckleberry Finn  เพื่อมาเขียนถึงพวกมัน

     สาเหตุที่มันเป็นที่รักของสาธารณชนก็คือ ความรักความผูกพันของพวกมันทั้ง 2 ตัว บัมเมอร์เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นหมาข้างถนนที่แข็งแกร่งและคอยร้องขออาหารจากคนจนได้ชื่อว่า บัมเมอร์ ในขณะที่หมาเร่ร่อนอีกตัวเพิ่งมาถึงเมืองและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนที่เห็นเหตุการณ์คิดว่ามันกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ... จนกระทั่งบัมเมอร์วิ่งเข้ามาช่วยต่อสู้จนอีกฝ่ายวิ่งหนีไป บัมเมอร์ ช่วยพยาบาลหมาตัวที่บาดเจ็บจนหายดี คนจึงเรียกหมาตัวนี้ว่าลาซารัส ตำนานของพวกมันดำเนินต่อไปและทุกๆ มีการรายงานเรื่องราวมิตรภาพของหมาทั้งสองอยู่เสมอ เมื่อบัมเมอร์ถูกยิงที่ขาแต่ลาซารัสไม่ได้อยู่ช่วยดูแลมัน คนทั้งเมืองก็ด่าทอลาซารัส ความชื่นชอบอันแปลกประหลาดของสื่อดำเนินต่อไปจนกระทั่งหมาทั้งสองตัวตายลง แต่ก็ยังมีการตีพิมพ์เรื่องของพวกมันอยู่หลังจากนั้น โดยหนังสือพิมพ์แต่ละหัวได้หันมาโจมตีกันเองว่าอีกฝ่ายลงข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการตายของหมาทั้งสองตัวผิด



บาร์รี่ Barry

    เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมาที่ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว ค้นหาและช่วยเหลือ ผู้ที่เพาะพันธุ์มันขึ้นมาคือเหล่าพระที่อารามเซนต์เบอร์นาร์ดพาส ซึ่งเป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์และอิตาลีที่แสนอันตรายและเต็มไปด้วยหิมะเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือนักเดินทางที่หลงทางและถูกฝังอยู่ในกองหิมะ พวกมันจะออกเดินทางเป็นคู่ เพื่อที่เมื่อพวกมันพบผู้เคราะห์ร้าย หมาตัวหนึ่งจะได้ขุนคนๆ นั้นขึ้นมาแล้วนั่งเป็นเพื่อนเพื่อให้ความอบอุ่น ในขณะที่อีกตัวหนึ่งจะกลับไปที่อารามเพื่อขอความช่วยเหลือ ที่นี่เองเราจะได้พบกับบาร์รี่ เซนต์เบอร์นาร์ดที่ช่วยชีวิตคนกว่า 40 ชีวิตตลอดช่วงอายุขัย 12 ปีของมันในต้นศตวรรษที่ 19

     การช่วยเหลือที่โด่งดังมากที่สุดคือการช่วยเหลือเด็กเล็กคนหนึ่งที่หายตัวไป และติดอยู่ในชั้นน้ำแข็งที่พร้อมจะถล่มลงมาทุกเมื่อ เบอร์รี่เข้าไปถึงตัวเด็กชายจนได้ มันปลุกเขาขึ้นมา และช่วยรักษาความอบอุ่นให้จนกระทั่งทีมช่วยเหลือมาถึง แต่แม้เมื่อทีมช่วยเหลือมาถึงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปพาตัวทั้งสองออกมาได้ บาร์รี่จึงให้เด็กชายปีนขึ้นหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ ดึงตัวเขาไปสู่ความปลอดภัยทีละนิด ทีละนิด บาร์รี่เป็นหมากู้ชีพที่มีประสิทธิภาพมากจนแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ก็จะมีหมาตัวหนึ่งในอารามที่ชื่อว่าเบอร์รี่อยู่เสมอ และธรรมเนียมนี้ก็ยังคงทำกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน





โอว์นีย์ Owney

     โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าเจ้าของเดิมของโอว์นีย์เป็นพนักงานไปรษณีย์ นั่นเป็นเพราะโอว์นีย์รักกลิ่นและสัมผัสของถุงไปรษณีย์มาก มันติดตามถุงเหล่านั้นไปทั้งทางบก ทางรถไฟ หรือทางเรือ ในทุกๆ ที่ที่ถุงเหล่านี้ได้เดินทางไป เมื่อเจ้าของของโอว์นีย์จากไปด้วยสาเหตุที่ไม่มีการระบุถึง โอว์นีย์ก็ยังคงอยู่กับถุงไปรษณีย์สุดที่รักของมัน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน โอว์นีย์ก็เริ่มเดินทางตามถุง เริ่มจากในรถขนไปรษณีย์คันเล็กๆ จากนั้นก็เป็นรถไฟขนไปรษณีย์ มันเริ่มเดินทางไกลขึ้นเรื่อยๆ จนได้เดินทางไปทั่วเขตที่มันอยู่ จากนั้นก็ทั่วรัฐ และในที่สุดมันก็ไปทั่วสหรัฐอเมริกา พนักงานไปรษณีย์เต็มใจปล่อยให้มันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า รถไฟขบวนที่โอวนีย์ขึ้นจะไม่ประสบอุบัติเหตุเลย ทำให้โอว์นีย์กลายเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดี ดังนั้น พวกเขาจึงทำเครื่องประดับและเหรียญตราอันเล็กๆ ติดปลอกคอของมันเพื่อเป็นของที่ระลึกถึงที่ๆ มันเคยไป เมื่อมันเดินทางมากเสียจนเหรียญเหล่านี้ไม่มีสามารถติดบนปลอกคอได้อีก มันก็ได้รับเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่แทน โอว์นีย์ได้เดินทางไปทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ทั้งขาไปและขากลับ และยังมีแสตมป์เป็นของตัวเองอีกด้วย



พิกเคิ้ลส์ Pickle

     ปี 1966 คือปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่อังกฤษ และทางประเทศอังกฤษก็ถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เหตุผลที่ทุกคนดูจริงจังกับเรื่องก็อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจะชนะ และพวกเขาชนะ ดังนั้น เมื่อถ้วยฟุตบอลโลกถูกขโมยไปเพียง 4 เดือนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น การที่ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ทุกฝ่ายรีบร้อนตามหาถ้วยฟุตบอลโลกกลับคืนมาเพื่อไม่ให้เกิดความขายหน้าระดับนานาชาติ และในที่สุด คนที่หาถ้วยใบนี้พบก็คือหมาพันธุ์คอลลี่ที่กล้าหาญชื่อว่า พิกเคิ้ลส์ มันกำลังอยู่ระหว่างออกไปเดินเล่นกับเจ้านาย เมื่อมันเข้าไปดมอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ และแน่นอนว่าสิ่งที่พิกเคิ้ลส์พบก็คือถ้วยฟุตบอลโลกที่หายไป 

     สิ่งที่ตามมาจากการที่พิกเคิ้ลส์หาถ้วยพบคือ มันมีชื่อเสียงโด่งดังลั่นฟ้า มันได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อต่างๆ ในฐานะของหมาฮีโร่ที่ช่วยประเทศเอาไว้จากความขายหน้าระดับโลก พิกเคิ้ลส์ยังได้ไปงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ที่ๆ มันได้รับกระดูกและเช็คมูลค่ากว่า 1,000 ปอนด์ หลังจากนั้นมันยังได้เป็นดาราในรายการทีวีหลายรายการ และได้เล่นหนังอีกด้วย



ฟีโด้ Fido

     มีเรื่องราวเกี่ยวกับหมาที่เฝ้ารอเจ้านายผู้จากไปอย่างภักดีนานหลายปีอยู่มากมาย หนึ่งในเรื่องที่โด่งดังมากก็คือความจงรักภักดีของฮาจิโกะจากญี่ปุ่น และบ๊อบบี้จากสก๊อกแลนด์ ทั้งฮาจิโกะและบ๊อบบี้มีทั้งหนังสือและภาพยนตร์มากมายที่นำเรื่องราวของพวกมันมาเล่า แต่หมาผู้ภักดีที่โด่งดังที่ในช่วงที่มันยังมีชีวิตอยู่ กลับกลายเป็นหมาที่มีคนรู้จักน้อยที่สุด ฟิโด้เกินที่ประเทศอิตาลีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันถูกพบในสภาพใกล้ตายโดยคนงานเตาเผา เขาพามันกลับบ้านและรักษาจนมันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ความช่วยเหลือนี้ทำให้ฟีโด้ซื่อสัตย์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงตราบชั่วชีวิตของมัน ทุกๆ วัน ฟีโด้จะไปรอเจ้านายของมันที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม และจะไม่ยอมขยับจนกว่าเขาจะลงมาจากรถเมล์ แต่นี่คือช่วงเวลาที่อิตาลีถูกทิ้งระเบิดอยู่แทบทุกวัน และวันหนึ่ง เจ้านายของฟีโด้ก็ไม่กลับมา เขาตายจากการโจมตีทางอากาศขณะทำงาน และฟีโด้ที่กระตือรือร้นอยู่เสมอก็ยังคงไปรอเข้าที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม ทุกวัน เป็นเวลากว่า 14 ปี

     เรื่องราวของฟีโด้กระจายไปทั่วอิตาลีและได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ ในทันที มีภาพข่าวที่แสดงให้เห็นคนจำนวนมากมาดูมันเดินไปรอเจ้านายที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน มองดูทุกคนลงจากรถ และเดินจากไปด้วยความผิดหวังเมื่อรถเมล์เคลื่อนจากไป มันได้รับเหรียญกล้าหาญและเหรียญเชิดชูเกียรติมากมาย แต่ทั้งหมดที่มันต้องการก็คือให้เพื่อนรักของมันกลับบ้าน แต่เขาก็ไม่เคยกลับมา


4469
พลุไร้เสียง เพื่อความสงบสุขของหมาหน้าเทศกาล



     หมาและสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองคอลเลคชิโอ ประเทศอิตาลีสามารถอยู่อย่างสงบสุขในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ ของเมืองได้แล้วในที่สุด เมื่อสภาเมืองท้องถิ่นได้มีมติอนุญาตให้ใช้เฉพาะพลุไร้เสียงในช่วงเทศกาลและงานฉลองต่างๆ เท่านั้น เพื่อเป็นการให้ความเคารพสิทธิ์ของสัตว์ต่างๆ

     เสียงระเบิดดังสนั่นของดอกไม้ไฟสามารถทำให้หมาและสัตว์ต่างๆ เกิดความกลัวจนไร้สติ ซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บร้ายแรง การเตลิดพลัดหลง ความกลัวที่ฝังแน่นจนควบคุมไม่ได้ หรือแม้แต่ความตาย อยู่บ่อยครั้ง มีหมาที่เครียดหรือหวาดกลัวจนวิ่งเตลิดหายไปในช่วงวันหยุดและงานเทศกาลต่างๆ เนื่องจากดอกไม้ไฟที่ใช้จุดเพื่อเฉลิมฉลองมากกว่าช่วงอื่นๆ ของปีอย่างชัดเจน หมาที่ปกติแล้วจะสงบ มั่นในใจตัวเอง และผ่อนคลายอยู่เสมอ มักจะกลายเป็นลูกหมาที่ตื่นตระหนก ขวัญเสีย และตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อมีเสียงปุ้งปั้งและเสียงระเบิดต่างๆ ดังขึ้น บางครั้งเสียงเหล่านี้ก็ดังยาวนานนับชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อตกใจ หมามักจะพุ่งพรวดพราดเพื่อวิ่งหนีให้พ้นจากการระเบิดเหล่านั้น ในแต่ละปีมีหมานับร้อยตัวที่หนีออกไปแล้วไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย



     สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่เมืองคอลเลคชิโอ ในจังหวัดปาร์ม่าของอิตาลีได้ออกกฎใหม่ โดยบังคับให้ชาวเมืองใช้ดอกไม้ไฟแบบไม่มีเสียงเพื่อเป็นการลดความหวาดกลัวและความทุกข์ทรมานที่หมาและสัตว์อื่นๆ ต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของคน

     Setti Fireworks คือบริษัทจากอิตาลีที่พัฒนาดอกไม้ไฟเสียงเบาที่โดดเด่นเจิดจ้าสวยงาม แต่ไม่มีเสียงระเบิดที่ดังจนทำให้หมาและสัตว์อื่นๆ ต้องตื่นตระหนก บริษัทผู้ผลิตดอกไม้ไฟในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งก็มีการพัฒนาดอกไม้ไฟเงียบแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการขยายการให้ความเคารพสิทธิ์ของสัตว์ต่างๆ ให้กระจายออกไปทั่วโลก

     แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ดอกไม้ยังเสียงดังอยู่ เราจึงมีคำแนะนำให้กับเหล่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพื่อดูแลหมาของคุณในช่วงเทศกาล ดังนี้

1.   เก็บหมาเอาไว้ภายในบ้านเมื่อหรือก่อนการจุดดอกไม้ไฟ

2.   ปรึกษาสัตวแพทย์หากหมาของคุณเครียดจากเสียงดังหรือเสียงดอกไม้ไฟ การใช้ยาและเทคนิคพิเศษต่างๆ สามารถช่วยลดความเครียดและความกลัวของหมาได้

3.   ตรวจดูให้แน่ใจว่าหมาของคุณใส่ปลอกคอพร้อมป้ายชื่อที่มีข้อมูลติดต่อคุณเอาไว้แล้ว เผื่อในกรณีที่พวกมันเตลิดด้วยความกลัวจนหลุดออกจากบ้าน



4470
พลุไร้เสียง เพื่อความสงบสุขของหมาหน้าเทศกาล



     หมาและสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองคอลเลคชิโอ ประเทศอิตาลีสามารถอยู่อย่างสงบสุขในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ ของเมืองได้แล้วในที่สุด เมื่อสภาเมืองท้องถิ่นได้มีมติอนุญาตให้ใช้เฉพาะพลุไร้เสียงในช่วงเทศกาลและงานฉลองต่างๆ เท่านั้น เพื่อเป็นการให้ความเคารพสิทธิ์ของสัตว์ต่างๆ

     เสียงระเบิดดังสนั่นของดอกไม้ไฟสามารถทำให้หมาและสัตว์ต่างๆ เกิดความกลัวจนไร้สติ ซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บร้ายแรง การเตลิดพลัดหลง ความกลัวที่ฝังแน่นจนควบคุมไม่ได้ หรือแม้แต่ความตาย อยู่บ่อยครั้ง มีหมาที่เครียดหรือหวาดกลัวจนวิ่งเตลิดหายไปในช่วงวันหยุดและงานเทศกาลต่างๆ เนื่องจากดอกไม้ไฟที่ใช้จุดเพื่อเฉลิมฉลองมากกว่าช่วงอื่นๆ ของปีอย่างชัดเจน หมาที่ปกติแล้วจะสงบ มั่นในใจตัวเอง และผ่อนคลายอยู่เสมอ มักจะกลายเป็นลูกหมาที่ตื่นตระหนก ขวัญเสีย และตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อมีเสียงปุ้งปั้งและเสียงระเบิดต่างๆ ดังขึ้น บางครั้งเสียงเหล่านี้ก็ดังยาวนานนับชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อตกใจ หมามักจะพุ่งพรวดพราดเพื่อวิ่งหนีให้พ้นจากการระเบิดเหล่านั้น ในแต่ละปีมีหมานับร้อยตัวที่หนีออกไปแล้วไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย



     สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่เมืองคอลเลคชิโอ ในจังหวัดปาร์ม่าของอิตาลีได้ออกกฎใหม่ โดยบังคับให้ชาวเมืองใช้ดอกไม้ไฟแบบไม่มีเสียงเพื่อเป็นการลดความหวาดกลัวและความทุกข์ทรมานที่หมาและสัตว์อื่นๆ ต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของคน

     Setti Fireworks คือบริษัทจากอิตาลีที่พัฒนาดอกไม้ไฟเสียงเบาที่โดดเด่นเจิดจ้าสวยงาม แต่ไม่มีเสียงระเบิดที่ดังจนทำให้หมาและสัตว์อื่นๆ ต้องตื่นตระหนก บริษัทผู้ผลิตดอกไม้ไฟในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งก็มีการพัฒนาดอกไม้ไฟเงียบแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการขยายการให้ความเคารพสิทธิ์ของสัตว์ต่างๆ ให้กระจายออกไปทั่วโลก

     แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ดอกไม้ยังเสียงดังอยู่ เราจึงมีคำแนะนำให้กับเหล่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพื่อดูแลหมาของคุณในช่วงเทศกาล ดังนี้

1.   เก็บหมาเอาไว้ภายในบ้านเมื่อหรือก่อนการจุดดอกไม้ไฟ

2.   ปรึกษาสัตวแพทย์หากหมาของคุณเครียดจากเสียงดังหรือเสียงดอกไม้ไฟ การใช้ยาและเทคนิคพิเศษต่างๆ สามารถช่วยลดความเครียดและความกลัวของหมาได้

3.   ตรวจดูให้แน่ใจว่าหมาของคุณใส่ปลอกคอพร้อมป้ายชื่อที่มีข้อมูลติดต่อคุณเอาไว้แล้ว เผื่อในกรณีที่พวกมันเตลิดด้วยความกลัวจนหลุดออกจากบ้าน