แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

391
สุนัขที่บ้านมีขี้ตาเยอะ ทำอย่างไรดี ?

   ความผิดปกติของดวงตาสุนัขที่พบได้บ่อย มักแสดงออกด้วยการมีขี้ตามากกว่าปกติก่อน โดยปกติอาจจะพบขี้ตาของสุนัขได้แต่ไม่มากนัก หากสุนัขที่บ้านมีขี้ตามากกว่าปกติ และสีผิดปกติไป เช่น มีขี้ตาสีเขียว มีขี้ตาขุ่น หรือบางตัวมีน้ำตาไหลมากกว่าปตกิ อาจจะต้องคิดไว้เสมอว่า น้องหมาของเราอาจจะมีความผิดปกติของดวงตาที่ควรได้รับการรักษา



แนวทางการดูแลดวงตาของสุนัข

1. ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดดวงตา โดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำยาล้างตาเช็ดทำความสะอาด และควรตัดเล็มขนที่อาจจะทิ่มดวงตาของสุนัข สำหรับสุนัขบางสายพันธุ์ที่มีลักษณะหน้าสั้น และดวงตาโตและโปนออกมามากกว่าสายพันธุ์อื่น เช่น ชิสุ ปักกิ่ง มอลทีส บูลด๊อก เป็นต้น อาจจำเป็นต้องคอยตัดแต่งทรงให้ไม่ทิ่มดวงตา หรือคอยมัดขนบริเวณใกล้ๆดวงตาไม่ให้ทิ่มดวงตาสุนัข

2. ตรวจดวงตาสุนัขด้วยตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน หากพบว่าสุนัขของเรามีขี้ตามากผิดปกติ ควรสังเกตุด้วยว่ามีอาการผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เช่น หนังตาบวม หนังตาปิด หรี่ตา ตาแดง หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หากพบอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบพาสุนัขไปพสัตวแพทย์ เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา

3. ระมัดระวังเวลาอาบน้ำ อย่าให้น้ำแชมพูเข้าตา อาจจะให้ใส่ปลอกคอกันเกาเวลาอาบน้ำ หรือหลีกเลี่ยงการอาบน้ำบริเวณหน้า  เนื่องจากเวลาที่แชมพูเข้าตาสุนัข อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เกิดอาการตาแดง หนังตาปิดได้ และบางตัวอาจจะเกาตาจนเกิดเป็นแผลที่ดวงตาตามมาได้ 

4. หลีกเลี่ยงการพาสุนัขไปเดินบริเวณที่เป็นหญ้าสูง เนื่องจากบางตัวออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า อาจจะเกิดการระคายเคืองเพราะหญ้าสูงบาดดวงตา อาจจะมีเศษดอกหญ้าเจ้าชู้ติดอยู่ที่หนังตา หรือมีละอองเกสรเข้าตาสุนัข เป็นต้น  ควรตัดหญ้าให้สั้น หรือเลือกพาเดินในบริเวณที่โล่ง

5. เมื่อสุนัขมีอายุมากขึ้นควรพาสุนัขไปตรวจร่างกาย และตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจากมีโรคเกี่ยวกับดวงตาหลายโรคที่มักจะพบเมื่อสุนัขอายุมากขึ้น เช่น ภาวะตาแห้ง โรคต้อกระจก โรคต้อหิน เป็นต้น

6. หากพบว่าสุนัขมีขี้ตาสีเขียว ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ มีน้ำมูกสีเขียว ไอ จาม หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย อาจจะบ่งบอกถึงโรคติดเชื้อไข้หัดสุนัข ซึ่งถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างสุนัขด้วยกัน ควรรีบแยกตัวและปรึกษาแนวทางการวินิจฉัยรักษากับสัตวแพทย์

7. โรคท่อน้ำตาอุดตัน อาจจะทำให้สุนัขมีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ โดยในระยะแรกอาจจะเป็นลักษณะของน้ำตาบริเวณหัวตา และปล่อยไปนานๆ อาจจะทำให้สีขนบริเวณรอบดวงตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตา สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจคิดว่าการที่สุนัขน้ำตาไหลมากเป็นเรื่องปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์



392
สุนัขที่บ้านมีขี้ตาเยอะ ทำอย่างไรดี ?

   ความผิดปกติของดวงตาสุนัขที่พบได้บ่อย มักแสดงออกด้วยการมีขี้ตามากกว่าปกติก่อน โดยปกติอาจจะพบขี้ตาของสุนัขได้แต่ไม่มากนัก หากสุนัขที่บ้านมีขี้ตามากกว่าปกติ และสีผิดปกติไป เช่น มีขี้ตาสีเขียว มีขี้ตาขุ่น หรือบางตัวมีน้ำตาไหลมากกว่าปตกิ อาจจะต้องคิดไว้เสมอว่า น้องหมาของเราอาจจะมีความผิดปกติของดวงตาที่ควรได้รับการรักษา



แนวทางการดูแลดวงตาของสุนัข

1. ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดดวงตา โดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำยาล้างตาเช็ดทำความสะอาด และควรตัดเล็มขนที่อาจจะทิ่มดวงตาของสุนัข สำหรับสุนัขบางสายพันธุ์ที่มีลักษณะหน้าสั้น และดวงตาโตและโปนออกมามากกว่าสายพันธุ์อื่น เช่น ชิสุ ปักกิ่ง มอลทีส บูลด๊อก เป็นต้น อาจจำเป็นต้องคอยตัดแต่งทรงให้ไม่ทิ่มดวงตา หรือคอยมัดขนบริเวณใกล้ๆดวงตาไม่ให้ทิ่มดวงตาสุนัข

2. ตรวจดวงตาสุนัขด้วยตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน หากพบว่าสุนัขของเรามีขี้ตามากผิดปกติ ควรสังเกตุด้วยว่ามีอาการผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เช่น หนังตาบวม หนังตาปิด หรี่ตา ตาแดง หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หากพบอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบพาสุนัขไปพสัตวแพทย์ เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา

3. ระมัดระวังเวลาอาบน้ำ อย่าให้น้ำแชมพูเข้าตา อาจจะให้ใส่ปลอกคอกันเกาเวลาอาบน้ำ หรือหลีกเลี่ยงการอาบน้ำบริเวณหน้า  เนื่องจากเวลาที่แชมพูเข้าตาสุนัข อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เกิดอาการตาแดง หนังตาปิดได้ และบางตัวอาจจะเกาตาจนเกิดเป็นแผลที่ดวงตาตามมาได้ 

4. หลีกเลี่ยงการพาสุนัขไปเดินบริเวณที่เป็นหญ้าสูง เนื่องจากบางตัวออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า อาจจะเกิดการระคายเคืองเพราะหญ้าสูงบาดดวงตา อาจจะมีเศษดอกหญ้าเจ้าชู้ติดอยู่ที่หนังตา หรือมีละอองเกสรเข้าตาสุนัข เป็นต้น  ควรตัดหญ้าให้สั้น หรือเลือกพาเดินในบริเวณที่โล่ง

5. เมื่อสุนัขมีอายุมากขึ้นควรพาสุนัขไปตรวจร่างกาย และตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจากมีโรคเกี่ยวกับดวงตาหลายโรคที่มักจะพบเมื่อสุนัขอายุมากขึ้น เช่น ภาวะตาแห้ง โรคต้อกระจก โรคต้อหิน เป็นต้น

6. หากพบว่าสุนัขมีขี้ตาสีเขียว ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ มีน้ำมูกสีเขียว ไอ จาม หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย อาจจะบ่งบอกถึงโรคติดเชื้อไข้หัดสุนัข ซึ่งถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างสุนัขด้วยกัน ควรรีบแยกตัวและปรึกษาแนวทางการวินิจฉัยรักษากับสัตวแพทย์

7. โรคท่อน้ำตาอุดตัน อาจจะทำให้สุนัขมีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ โดยในระยะแรกอาจจะเป็นลักษณะของน้ำตาบริเวณหัวตา และปล่อยไปนานๆ อาจจะทำให้สีขนบริเวณรอบดวงตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตา สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจคิดว่าการที่สุนัขน้ำตาไหลมากเป็นเรื่องปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์



393
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขเลือดกำเดาไหล

   สุนัขก็มีอาการเลือดกำเดาไหลได้เหมือนกับคน ซึ่งหมายถึงอาการที่สุนัขมีเลือดไหลออกมาจากจมูก บางตัวอาจจะเลียกินเข้าไปอาจจะทำให้สังเกตุยากหากมีเลือดกำเดาไหลปริมาณไม่มาก โดยมากมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ อาจจะเกิดจกอุบัติเหตุ การจามรุนแรง หรือาจจะเป็นสาเหตุที่อันตรายมากกว่านั้น



สาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข

   สาเหตุส่วนมากที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข คือ อุบัติเหตุ โดนกระแทก หรือเป็นโรคพยาธิเม็ดเลือด ซึ่งทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เมื่อเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกฉีกขาดเลือดจึงไหลไม่หยุด นอกจากนั้นยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น
-   การที่สุนัขได้รับยาเบื่อหนูบางชนิด
-   การเป็นโรคความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือด หรือ Von Willebrand's พบได้ในสุนัขสายพันธุ์เยอรมัน เชพเพิร์ด
-   โรคฮีโมฟีเลีย
-   โรคตับวาย
-   ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
-   ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือดตัวเอง
-   ภาวะเกี่ยวกับไขกระดูกทำงานผิดปกติ
-   โรคพยาธิเม็ดเลือดในสุนัข
-   โรคมะเร็งหลอดเลือด หรือโรคมะเร็งโพรงจมูก
-   การติดเชื้อราที่โพรงจมูก
   
การปฐมพยาบาลสุนัขที่เลือดกำเดาไหล

-   พยายามทำให้สุนัขสงบลง ด้วยการปลอบ พูดคุย และพาไปอยู่ในบริเวณที่คุ้นเคยปลอดภัย เมื่อสุนัขลดอาการตื่นเต้นลง จะส่งผลให้ระดับความดันเลือดลดลง และจะช่วยทำให้เลือดกำเดาหยุดไหลได้
-   ใช้น้ำแข็งห่อผ้า หรือเจลเย็นโปะลงบนจมูกด้านบนหรือสันจมูกของสุนัข และต้องระวังการปิดกั้นทางเดินหายใจสำหรับสุนัขพันธุ์หน้าสั้น ซึ่งจะมีพื้นที่บริเวณสันจมูกน้อยกว่า อาจจะใช้น้ำแข็งขนาดเล็กกว่า
-   พยายามให้สุนัขอยู่ในที่อากาศเย็นๆ มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อน หรือมีความชื้นสูง เพื่อให้หายใจได้สะดวก
-   ไม่ควรพยายามให้ยาใดๆกับสุนัข นอกจากได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์โดยตรง
-   หลังจากที่ได้ลองปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วแต่เลือดยังไม่หยุดไหล ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ และระหว่างการเดินทางอาจจะใช้น้ำแข็งโปะไปด้วยก็ได้
-   นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว เจ้าของสุนัขควรจะพาสุนัขที่มีอาการไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาสาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหลต่อไป



394
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขเลือดกำเดาไหล

   สุนัขก็มีอาการเลือดกำเดาไหลได้เหมือนกับคน ซึ่งหมายถึงอาการที่สุนัขมีเลือดไหลออกมาจากจมูก บางตัวอาจจะเลียกินเข้าไปอาจจะทำให้สังเกตุยากหากมีเลือดกำเดาไหลปริมาณไม่มาก โดยมากมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ อาจจะเกิดจกอุบัติเหตุ การจามรุนแรง หรือาจจะเป็นสาเหตุที่อันตรายมากกว่านั้น



สาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข

   สาเหตุส่วนมากที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข คือ อุบัติเหตุ โดนกระแทก หรือเป็นโรคพยาธิเม็ดเลือด ซึ่งทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เมื่อเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกฉีกขาดเลือดจึงไหลไม่หยุด นอกจากนั้นยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น
-   การที่สุนัขได้รับยาเบื่อหนูบางชนิด
-   การเป็นโรคความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือด หรือ Von Willebrand's พบได้ในสุนัขสายพันธุ์เยอรมัน เชพเพิร์ด
-   โรคฮีโมฟีเลีย
-   โรคตับวาย
-   ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
-   ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือดตัวเอง
-   ภาวะเกี่ยวกับไขกระดูกทำงานผิดปกติ
-   โรคพยาธิเม็ดเลือดในสุนัข
-   โรคมะเร็งหลอดเลือด หรือโรคมะเร็งโพรงจมูก
-   การติดเชื้อราที่โพรงจมูก
   
การปฐมพยาบาลสุนัขที่เลือดกำเดาไหล

-   พยายามทำให้สุนัขสงบลง ด้วยการปลอบ พูดคุย และพาไปอยู่ในบริเวณที่คุ้นเคยปลอดภัย เมื่อสุนัขลดอาการตื่นเต้นลง จะส่งผลให้ระดับความดันเลือดลดลง และจะช่วยทำให้เลือดกำเดาหยุดไหลได้
-   ใช้น้ำแข็งห่อผ้า หรือเจลเย็นโปะลงบนจมูกด้านบนหรือสันจมูกของสุนัข และต้องระวังการปิดกั้นทางเดินหายใจสำหรับสุนัขพันธุ์หน้าสั้น ซึ่งจะมีพื้นที่บริเวณสันจมูกน้อยกว่า อาจจะใช้น้ำแข็งขนาดเล็กกว่า
-   พยายามให้สุนัขอยู่ในที่อากาศเย็นๆ มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อน หรือมีความชื้นสูง เพื่อให้หายใจได้สะดวก
-   ไม่ควรพยายามให้ยาใดๆกับสุนัข นอกจากได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์โดยตรง
-   หลังจากที่ได้ลองปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วแต่เลือดยังไม่หยุดไหล ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ และระหว่างการเดินทางอาจจะใช้น้ำแข็งโปะไปด้วยก็ได้
-   นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว เจ้าของสุนัขควรจะพาสุนัขที่มีอาการไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาสาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหลต่อไป



395
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขเลือดกำเดาไหล

   สุนัขก็มีอาการเลือดกำเดาไหลได้เหมือนกับคน ซึ่งหมายถึงอาการที่สุนัขมีเลือดไหลออกมาจากจมูก บางตัวอาจจะเลียกินเข้าไปอาจจะทำให้สังเกตุยากหากมีเลือดกำเดาไหลปริมาณไม่มาก โดยมากมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ อาจจะเกิดจกอุบัติเหตุ การจามรุนแรง หรือาจจะเป็นสาเหตุที่อันตรายมากกว่านั้น



สาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข

   สาเหตุส่วนมากที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข คือ อุบัติเหตุ โดนกระแทก หรือเป็นโรคพยาธิเม็ดเลือด ซึ่งทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เมื่อเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกฉีกขาดเลือดจึงไหลไม่หยุด นอกจากนั้นยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น
-   การที่สุนัขได้รับยาเบื่อหนูบางชนิด
-   การเป็นโรคความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือด หรือ Von Willebrand's พบได้ในสุนัขสายพันธุ์เยอรมัน เชพเพิร์ด
-   โรคฮีโมฟีเลีย
-   โรคตับวาย
-   ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
-   ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือดตัวเอง
-   ภาวะเกี่ยวกับไขกระดูกทำงานผิดปกติ
-   โรคพยาธิเม็ดเลือดในสุนัข
-   โรคมะเร็งหลอดเลือด หรือโรคมะเร็งโพรงจมูก
-   การติดเชื้อราที่โพรงจมูก
   
การปฐมพยาบาลสุนัขที่เลือดกำเดาไหล

-   พยายามทำให้สุนัขสงบลง ด้วยการปลอบ พูดคุย และพาไปอยู่ในบริเวณที่คุ้นเคยปลอดภัย เมื่อสุนัขลดอาการตื่นเต้นลง จะส่งผลให้ระดับความดันเลือดลดลง และจะช่วยทำให้เลือดกำเดาหยุดไหลได้
-   ใช้น้ำแข็งห่อผ้า หรือเจลเย็นโปะลงบนจมูกด้านบนหรือสันจมูกของสุนัข และต้องระวังการปิดกั้นทางเดินหายใจสำหรับสุนัขพันธุ์หน้าสั้น ซึ่งจะมีพื้นที่บริเวณสันจมูกน้อยกว่า อาจจะใช้น้ำแข็งขนาดเล็กกว่า
-   พยายามให้สุนัขอยู่ในที่อากาศเย็นๆ มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อน หรือมีความชื้นสูง เพื่อให้หายใจได้สะดวก
-   ไม่ควรพยายามให้ยาใดๆกับสุนัข นอกจากได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์โดยตรง
-   หลังจากที่ได้ลองปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วแต่เลือดยังไม่หยุดไหล ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ และระหว่างการเดินทางอาจจะใช้น้ำแข็งโปะไปด้วยก็ได้
-   นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว เจ้าของสุนัขควรจะพาสุนัขที่มีอาการไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาสาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหลต่อไป



396
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขเลือดกำเดาไหล

   สุนัขก็มีอาการเลือดกำเดาไหลได้เหมือนกับคน ซึ่งหมายถึงอาการที่สุนัขมีเลือดไหลออกมาจากจมูก บางตัวอาจจะเลียกินเข้าไปอาจจะทำให้สังเกตุยากหากมีเลือดกำเดาไหลปริมาณไม่มาก โดยมากมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ อาจจะเกิดจกอุบัติเหตุ การจามรุนแรง หรือาจจะเป็นสาเหตุที่อันตรายมากกว่านั้น



สาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข

   สาเหตุส่วนมากที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลในสุนัข คือ อุบัติเหตุ โดนกระแทก หรือเป็นโรคพยาธิเม็ดเลือด ซึ่งทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เมื่อเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกฉีกขาดเลือดจึงไหลไม่หยุด นอกจากนั้นยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น
-   การที่สุนัขได้รับยาเบื่อหนูบางชนิด
-   การเป็นโรคความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือด หรือ Von Willebrand's พบได้ในสุนัขสายพันธุ์เยอรมัน เชพเพิร์ด
-   โรคฮีโมฟีเลีย
-   โรคตับวาย
-   ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
-   ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือดตัวเอง
-   ภาวะเกี่ยวกับไขกระดูกทำงานผิดปกติ
-   โรคพยาธิเม็ดเลือดในสุนัข
-   โรคมะเร็งหลอดเลือด หรือโรคมะเร็งโพรงจมูก
-   การติดเชื้อราที่โพรงจมูก
   
การปฐมพยาบาลสุนัขที่เลือดกำเดาไหล

-   พยายามทำให้สุนัขสงบลง ด้วยการปลอบ พูดคุย และพาไปอยู่ในบริเวณที่คุ้นเคยปลอดภัย เมื่อสุนัขลดอาการตื่นเต้นลง จะส่งผลให้ระดับความดันเลือดลดลง และจะช่วยทำให้เลือดกำเดาหยุดไหลได้
-   ใช้น้ำแข็งห่อผ้า หรือเจลเย็นโปะลงบนจมูกด้านบนหรือสันจมูกของสุนัข และต้องระวังการปิดกั้นทางเดินหายใจสำหรับสุนัขพันธุ์หน้าสั้น ซึ่งจะมีพื้นที่บริเวณสันจมูกน้อยกว่า อาจจะใช้น้ำแข็งขนาดเล็กกว่า
-   พยายามให้สุนัขอยู่ในที่อากาศเย็นๆ มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อน หรือมีความชื้นสูง เพื่อให้หายใจได้สะดวก
-   ไม่ควรพยายามให้ยาใดๆกับสุนัข นอกจากได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์โดยตรง
-   หลังจากที่ได้ลองปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วแต่เลือดยังไม่หยุดไหล ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ และระหว่างการเดินทางอาจจะใช้น้ำแข็งโปะไปด้วยก็ได้
-   นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว เจ้าของสุนัขควรจะพาสุนัขที่มีอาการไปตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาสาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหลต่อไป



397
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขมีไข้

   อาการไข้ เป็นอาการเบื้องต้นของโรคต่างๆหลายโรค ทุกๆระบบของร่างกายสามารถทำให้มีไข้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบ การติดเชื้อ การเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง เป็นต้น อาการไข้สามารถพบได้กับสุนัขทุกช่วงอายุ ทุกสายพันธุ์ เป็นการตอบสนองของภูมคุ้มกันของร่างกาย อาการไข้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้



เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าสุนัขมีไข้ ?

   อุณหภูมิปกติในสุนัขจะอยู่ระหว่าง 37.5 – 39.50 องศาเซสเซียส หรือ 99.5-102.5 ฟาเรนต์ไฮต์ จะสูงกว่าอุณหภูมิปกติในคน ซึ่งอาการไข้คือภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากการตอบสนองของร่างกายต่อการอักเสบหรือติดเชื้อ สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้น และพาไปพบสัตวแพทย์ภายหลังได้ 

   สุนัขอาจจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้ในกรณีที่มีอาการตื่นเต้น กลัว ตกใจ หรือเครียด และสามารถกลับสู่ปกติได้เองหลังจากให้สุนัขพัก หรือสุนัขหายจากอาการเครียด ส่วนภาวะลมแดดหรือ ฮีทสโตรก คือ เกิดจากการที่สุนัขออกกำลังกายมากในสภาวะอากาศที่มีความชื้นสูงจนระบายความร้อนไม่ทัน หรืออยู่ในที่ที่อากาศร้อนจัด มักพบว่ามีอุณหภูมิสูงกว่า 106 ฟาเรนไฮต์ อาการนี้เป็นภาวะฉุกเฉินแนะนำให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

เมื่อสุนัขมีไข้ จะแสดงอาการอย่างไร ?

   สุนัขที่เริ่มมีไข้ อาจจะแสดงอาการนอนมากกว่าปกติ ไม่ลุกเดิน เก็บตัว หรือซ่อนตัว หากอาการไข้ดำเนินต่อเนื่องจะทำให้สุนัขเบื่ออาหาร และเกิดภาวะขาดสารอาหาร หรือภาวะขาดน้ำตามมาได้ เจ้าของจะสังเกตุว่าผิวหนังสุนัขจะร้อนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณใต้ท้อง ใบหู หรือลมหายใจอาจจะร้อนกว่าปกติ สุนัขอาจจะมีอาการตาแดง อาจจะมีขี้ตาเยอะ หรือจมูกแห้ง และอาจจะพบเยื่อเมือกสีเข้มขึ้นกว่าปกติ

การดูแลที่บ้าน ที่เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เอง

-   ควรแน่ใจก่อนว่าสุนัขมีอาการไข้จริง ไม่ใช่ภาวะฮีทสโตรก โดยการใช้ที่วัดอุณหภูมิ พบว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 99.5-102.5 ฟารเรนไฮต์
-   ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่เย็นกว่าปกติเล็กน้อย ไม่ควรเย็นจัดจนเกินไป เช็ดที่ใต้ท้อง ใบหู อุ้งเท้า ใช้ระยะเวลาเช็ดประมาณ 15 นาที และทดลองไว้ไข้ซ้ำ
-   ไม่ควรให้ยาลดไข้สำหรับเด็ก หรือยาลดไข้สำหรับคนกับสุนัขด้วยตัวเอง เนื่องจากหากให้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมจะทำให้สุนัขเกิดภาวะตับวาย
-   ถ้าสุนัขไม่ยอมทานน้ำ หรือไม่ยอมทานอาหาร อาจจะอุ่นอาหารให้ร้อน และใช้ไซริงค์ดูดอาหารป้อน
-   ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นและรอดูอาการไม่เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นควรพาสุนัขไปตรวจเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการไข้กับสัตวแพทย์ต่อไป
-   ในกรณีที่ไปพบสัตวแพทย์ และได้รับการรักษาแล้ว แต่พบว่าสุนัขยังมีอาการไข้อยู่ ไม่ควรให้ยาลดไข้เอง ยาลดไข้ในสุนัขมีวิธีการใช้ต่างจากคน ไม่จำเป็นต้องให้ทุก 4 ชั่วโมงเหมือนในคน ถ้าอาการไข้สูงไม่ลดหลังจากได้รับยาลดไข้ แนะนำว่าให้ใช้การเช็ดตัวช่วย ร่วมกับการรักษาที่ต้นเหตุของอาการไข้



398
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขมีไข้

   อาการไข้ เป็นอาการเบื้องต้นของโรคต่างๆหลายโรค ทุกๆระบบของร่างกายสามารถทำให้มีไข้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบ การติดเชื้อ การเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง เป็นต้น อาการไข้สามารถพบได้กับสุนัขทุกช่วงอายุ ทุกสายพันธุ์ เป็นการตอบสนองของภูมคุ้มกันของร่างกาย อาการไข้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้



เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าสุนัขมีไข้ ?

   อุณหภูมิปกติในสุนัขจะอยู่ระหว่าง 37.5 – 39.50 องศาเซสเซียส หรือ 99.5-102.5 ฟาเรนต์ไฮต์ จะสูงกว่าอุณหภูมิปกติในคน ซึ่งอาการไข้คือภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากการตอบสนองของร่างกายต่อการอักเสบหรือติดเชื้อ สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้น และพาไปพบสัตวแพทย์ภายหลังได้ 

   สุนัขอาจจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้ในกรณีที่มีอาการตื่นเต้น กลัว ตกใจ หรือเครียด และสามารถกลับสู่ปกติได้เองหลังจากให้สุนัขพัก หรือสุนัขหายจากอาการเครียด ส่วนภาวะลมแดดหรือ ฮีทสโตรก คือ เกิดจากการที่สุนัขออกกำลังกายมากในสภาวะอากาศที่มีความชื้นสูงจนระบายความร้อนไม่ทัน หรืออยู่ในที่ที่อากาศร้อนจัด มักพบว่ามีอุณหภูมิสูงกว่า 106 ฟาเรนไฮต์ อาการนี้เป็นภาวะฉุกเฉินแนะนำให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

เมื่อสุนัขมีไข้ จะแสดงอาการอย่างไร ?

   สุนัขที่เริ่มมีไข้ อาจจะแสดงอาการนอนมากกว่าปกติ ไม่ลุกเดิน เก็บตัว หรือซ่อนตัว หากอาการไข้ดำเนินต่อเนื่องจะทำให้สุนัขเบื่ออาหาร และเกิดภาวะขาดสารอาหาร หรือภาวะขาดน้ำตามมาได้ เจ้าของจะสังเกตุว่าผิวหนังสุนัขจะร้อนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณใต้ท้อง ใบหู หรือลมหายใจอาจจะร้อนกว่าปกติ สุนัขอาจจะมีอาการตาแดง อาจจะมีขี้ตาเยอะ หรือจมูกแห้ง และอาจจะพบเยื่อเมือกสีเข้มขึ้นกว่าปกติ

การดูแลที่บ้าน ที่เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เอง

-   ควรแน่ใจก่อนว่าสุนัขมีอาการไข้จริง ไม่ใช่ภาวะฮีทสโตรก โดยการใช้ที่วัดอุณหภูมิ พบว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 99.5-102.5 ฟารเรนไฮต์
-   ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่เย็นกว่าปกติเล็กน้อย ไม่ควรเย็นจัดจนเกินไป เช็ดที่ใต้ท้อง ใบหู อุ้งเท้า ใช้ระยะเวลาเช็ดประมาณ 15 นาที และทดลองไว้ไข้ซ้ำ
-   ไม่ควรให้ยาลดไข้สำหรับเด็ก หรือยาลดไข้สำหรับคนกับสุนัขด้วยตัวเอง เนื่องจากหากให้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมจะทำให้สุนัขเกิดภาวะตับวาย
-   ถ้าสุนัขไม่ยอมทานน้ำ หรือไม่ยอมทานอาหาร อาจจะอุ่นอาหารให้ร้อน และใช้ไซริงค์ดูดอาหารป้อน
-   ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นและรอดูอาการไม่เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นควรพาสุนัขไปตรวจเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการไข้กับสัตวแพทย์ต่อไป
-   ในกรณีที่ไปพบสัตวแพทย์ และได้รับการรักษาแล้ว แต่พบว่าสุนัขยังมีอาการไข้อยู่ ไม่ควรให้ยาลดไข้เอง ยาลดไข้ในสุนัขมีวิธีการใช้ต่างจากคน ไม่จำเป็นต้องให้ทุก 4 ชั่วโมงเหมือนในคน ถ้าอาการไข้สูงไม่ลดหลังจากได้รับยาลดไข้ แนะนำว่าให้ใช้การเช็ดตัวช่วย ร่วมกับการรักษาที่ต้นเหตุของอาการไข้



399
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขมีไข้

   อาการไข้ เป็นอาการเบื้องต้นของโรคต่างๆหลายโรค ทุกๆระบบของร่างกายสามารถทำให้มีไข้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบ การติดเชื้อ การเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง เป็นต้น อาการไข้สามารถพบได้กับสุนัขทุกช่วงอายุ ทุกสายพันธุ์ เป็นการตอบสนองของภูมคุ้มกันของร่างกาย อาการไข้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้



เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าสุนัขมีไข้ ?

   อุณหภูมิปกติในสุนัขจะอยู่ระหว่าง 37.5 – 39.50 องศาเซสเซียส หรือ 99.5-102.5 ฟาเรนต์ไฮต์ จะสูงกว่าอุณหภูมิปกติในคน ซึ่งอาการไข้คือภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากการตอบสนองของร่างกายต่อการอักเสบหรือติดเชื้อ สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้น และพาไปพบสัตวแพทย์ภายหลังได้ 

   สุนัขอาจจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้ในกรณีที่มีอาการตื่นเต้น กลัว ตกใจ หรือเครียด และสามารถกลับสู่ปกติได้เองหลังจากให้สุนัขพัก หรือสุนัขหายจากอาการเครียด ส่วนภาวะลมแดดหรือ ฮีทสโตรก คือ เกิดจากการที่สุนัขออกกำลังกายมากในสภาวะอากาศที่มีความชื้นสูงจนระบายความร้อนไม่ทัน หรืออยู่ในที่ที่อากาศร้อนจัด มักพบว่ามีอุณหภูมิสูงกว่า 106 ฟาเรนไฮต์ อาการนี้เป็นภาวะฉุกเฉินแนะนำให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

เมื่อสุนัขมีไข้ จะแสดงอาการอย่างไร ?

   สุนัขที่เริ่มมีไข้ อาจจะแสดงอาการนอนมากกว่าปกติ ไม่ลุกเดิน เก็บตัว หรือซ่อนตัว หากอาการไข้ดำเนินต่อเนื่องจะทำให้สุนัขเบื่ออาหาร และเกิดภาวะขาดสารอาหาร หรือภาวะขาดน้ำตามมาได้ เจ้าของจะสังเกตุว่าผิวหนังสุนัขจะร้อนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณใต้ท้อง ใบหู หรือลมหายใจอาจจะร้อนกว่าปกติ สุนัขอาจจะมีอาการตาแดง อาจจะมีขี้ตาเยอะ หรือจมูกแห้ง และอาจจะพบเยื่อเมือกสีเข้มขึ้นกว่าปกติ

การดูแลที่บ้าน ที่เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เอง

-   ควรแน่ใจก่อนว่าสุนัขมีอาการไข้จริง ไม่ใช่ภาวะฮีทสโตรก โดยการใช้ที่วัดอุณหภูมิ พบว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 99.5-102.5 ฟารเรนไฮต์
-   ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่เย็นกว่าปกติเล็กน้อย ไม่ควรเย็นจัดจนเกินไป เช็ดที่ใต้ท้อง ใบหู อุ้งเท้า ใช้ระยะเวลาเช็ดประมาณ 15 นาที และทดลองไว้ไข้ซ้ำ
-   ไม่ควรให้ยาลดไข้สำหรับเด็ก หรือยาลดไข้สำหรับคนกับสุนัขด้วยตัวเอง เนื่องจากหากให้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมจะทำให้สุนัขเกิดภาวะตับวาย
-   ถ้าสุนัขไม่ยอมทานน้ำ หรือไม่ยอมทานอาหาร อาจจะอุ่นอาหารให้ร้อน และใช้ไซริงค์ดูดอาหารป้อน
-   ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นและรอดูอาการไม่เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นควรพาสุนัขไปตรวจเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการไข้กับสัตวแพทย์ต่อไป
-   ในกรณีที่ไปพบสัตวแพทย์ และได้รับการรักษาแล้ว แต่พบว่าสุนัขยังมีอาการไข้อยู่ ไม่ควรให้ยาลดไข้เอง ยาลดไข้ในสุนัขมีวิธีการใช้ต่างจากคน ไม่จำเป็นต้องให้ทุก 4 ชั่วโมงเหมือนในคน ถ้าอาการไข้สูงไม่ลดหลังจากได้รับยาลดไข้ แนะนำว่าให้ใช้การเช็ดตัวช่วย ร่วมกับการรักษาที่ต้นเหตุของอาการไข้



400
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสุนัขมีไข้

   อาการไข้ เป็นอาการเบื้องต้นของโรคต่างๆหลายโรค ทุกๆระบบของร่างกายสามารถทำให้มีไข้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบ การติดเชื้อ การเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง เป็นต้น อาการไข้สามารถพบได้กับสุนัขทุกช่วงอายุ ทุกสายพันธุ์ เป็นการตอบสนองของภูมคุ้มกันของร่างกาย อาการไข้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้



เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าสุนัขมีไข้ ?

   อุณหภูมิปกติในสุนัขจะอยู่ระหว่าง 37.5 – 39.50 องศาเซสเซียส หรือ 99.5-102.5 ฟาเรนต์ไฮต์ จะสูงกว่าอุณหภูมิปกติในคน ซึ่งอาการไข้คือภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากการตอบสนองของร่างกายต่อการอักเสบหรือติดเชื้อ สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้น และพาไปพบสัตวแพทย์ภายหลังได้ 

   สุนัขอาจจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้ในกรณีที่มีอาการตื่นเต้น กลัว ตกใจ หรือเครียด และสามารถกลับสู่ปกติได้เองหลังจากให้สุนัขพัก หรือสุนัขหายจากอาการเครียด ส่วนภาวะลมแดดหรือ ฮีทสโตรก คือ เกิดจากการที่สุนัขออกกำลังกายมากในสภาวะอากาศที่มีความชื้นสูงจนระบายความร้อนไม่ทัน หรืออยู่ในที่ที่อากาศร้อนจัด มักพบว่ามีอุณหภูมิสูงกว่า 106 ฟาเรนไฮต์ อาการนี้เป็นภาวะฉุกเฉินแนะนำให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

เมื่อสุนัขมีไข้ จะแสดงอาการอย่างไร ?

   สุนัขที่เริ่มมีไข้ อาจจะแสดงอาการนอนมากกว่าปกติ ไม่ลุกเดิน เก็บตัว หรือซ่อนตัว หากอาการไข้ดำเนินต่อเนื่องจะทำให้สุนัขเบื่ออาหาร และเกิดภาวะขาดสารอาหาร หรือภาวะขาดน้ำตามมาได้ เจ้าของจะสังเกตุว่าผิวหนังสุนัขจะร้อนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณใต้ท้อง ใบหู หรือลมหายใจอาจจะร้อนกว่าปกติ สุนัขอาจจะมีอาการตาแดง อาจจะมีขี้ตาเยอะ หรือจมูกแห้ง และอาจจะพบเยื่อเมือกสีเข้มขึ้นกว่าปกติ

การดูแลที่บ้าน ที่เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เอง

-   ควรแน่ใจก่อนว่าสุนัขมีอาการไข้จริง ไม่ใช่ภาวะฮีทสโตรก โดยการใช้ที่วัดอุณหภูมิ พบว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 99.5-102.5 ฟารเรนไฮต์
-   ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่เย็นกว่าปกติเล็กน้อย ไม่ควรเย็นจัดจนเกินไป เช็ดที่ใต้ท้อง ใบหู อุ้งเท้า ใช้ระยะเวลาเช็ดประมาณ 15 นาที และทดลองไว้ไข้ซ้ำ
-   ไม่ควรให้ยาลดไข้สำหรับเด็ก หรือยาลดไข้สำหรับคนกับสุนัขด้วยตัวเอง เนื่องจากหากให้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมจะทำให้สุนัขเกิดภาวะตับวาย
-   ถ้าสุนัขไม่ยอมทานน้ำ หรือไม่ยอมทานอาหาร อาจจะอุ่นอาหารให้ร้อน และใช้ไซริงค์ดูดอาหารป้อน
-   ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นและรอดูอาการไม่เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นควรพาสุนัขไปตรวจเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการไข้กับสัตวแพทย์ต่อไป
-   ในกรณีที่ไปพบสัตวแพทย์ และได้รับการรักษาแล้ว แต่พบว่าสุนัขยังมีอาการไข้อยู่ ไม่ควรให้ยาลดไข้เอง ยาลดไข้ในสุนัขมีวิธีการใช้ต่างจากคน ไม่จำเป็นต้องให้ทุก 4 ชั่วโมงเหมือนในคน ถ้าอาการไข้สูงไม่ลดหลังจากได้รับยาลดไข้ แนะนำว่าให้ใช้การเช็ดตัวช่วย ร่วมกับการรักษาที่ต้นเหตุของอาการไข้



401
สุนัขสะบัดหูบ่อยผิดปกติหรือไม่ ?

   สุนัขที่บ้านของคุณมีอาการสะบัดหู หรือสะบัดหัวบ่อยๆ บางหรือเปล่า ? หรือบางครั้งถึงขั้นไม่ยอมให้เราจับหู หรือยุ่งกับบริเวณใบหูกันเลยทีเดียว เจ้าของสุนัขควรรู้ว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ผิดปกติ และสามารถส่งผลรุนแรงตามมาได้ มาดูกันว่าอาการสะบัดหูของสุนัขบอกอะไรเราได้บ้าง



ทำไมสุนัขถึงสะบัดหู ?

-   สุนัขสะบัดหูเพราะเกิดอาการคัน การสะบัดแรงๆ หรือการใช้ขาเกาเป็นสิ่งที่สุนัขจะทำเมื่อเขารู้สึกคัน
-   สุนัขมีน้ำเข้าหู หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูเช่น เห็บ หมัด หรือแมลง ก็อาจจะทำให้เขารำคาญและพยายามสะบัดเพื่อให้ออกไปได้
-   สุนัขมีขนในหูที่ยาวเกินไป หรือขนอ่อนที่กำลังขึ้นก็อาจจะทำให้สุนัขสะบัดหู หรือพยายามเกา เนื่องจากรำคาญก็ได้
-   ภาวะช่องหูอักเสบจากการติดเชื้อต่างๆ ทำให้สุนัขเกิดอาการเจ็บ หรือปวดบริเวณหู ทำให้สุนัขสะบัดหู

ช่องหูอักเสบในสุนัข สาเหตุหลักที่ทำให้สุนัขสะบัดหู

สาเหตุของช่องหูอักเสบ

-   เกิดจากการติดเชื้อไรในหู (Ear mite infection) จะทำให้มีขี้หูสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำปริมาณมาก และทำให้สุนัขคันหูอย่างมาก สามารถติดต่อสู่สุนัขตัวอื่นๆในบ้านได้ เนื่องจากสุนัขมีอาการคันมากๆ อาจจะทำให้เกิดแผลจากการเกาได้ง่าย บางรายสะบัดหูแรมากๆจนเกิดเป็นห้อเลือดที่หู
-   เกิดจากการติดเชื้อในช่องหู (Malassezia infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอ่อน อาจจะมีสะเก็ดหรือขุยๆบริเวณใบหู ผิวหนังเป็นสีแดง พบมีอาการคันได้แต่ไม่มากเท่าการติดเชื้อไรในหู อาจจะพบว่าผิวหนังตำแหน่งอื่นมีอาการคัน ขนร่วง เป็นขุยร่วมด้วย
-   เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียใน (Bacterial infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง ไปจนถึงสีเขียว หรือเป็นหนอง มีอาการปวดหรือเจ็บรุนแรงได้ อาจจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมกันกับการติดเชื้ออื่นๆได้
-   ภาวะแพ้อาหาร (Food Allergy) หรือภูมิแพ้ตัวเอง (Atopy) สุนัขอาจจะมีอาการใบหูแดง คันใบหู แต่อาจจะไม่พบขี้หูปริมาณมาก หรืออาจจะมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้

   สายพันธุ์สุนัขที่พบอาการช่องหูอักเสบบ่อย คือ สายพันธุ์ที่ใบหูพับลง ใบหูใหญ่ ทำให้เกิดการอับชื้นของช่องหูได้มากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น บีเกิ้ล, ลาบาดอร์, โกลเดน รีทรีฟเวอร์, บาสเซตฮาวน์, คิง ชาร์ล สแปเนียล, ปั๊ก, คอกเกอร์ หรือกลุ่มสุนัขที่ชื่นชอบการเล่นน้ำ เล่นน้ำบ่อยๆ ทำให้เกิดการอับชื้น และเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะช่องหูอักเสบได้

   ดังนั้นหากพบว่าสุนัขมีอาการสะบัดหู เจ้าของควรจะตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูสุนัขหรือไม่ โดยการเปิดดู หรือใช้ไฟฉายส่อง หากตรวจเบื้องต้นแล้วไม่พบ แต่พบขี้หูผิดมากกว่าปกติ หรือมีอาการใบหูแดง แนะนำให้พาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับสุนัขต่อไป




402
สุนัขสะบัดหูบ่อยผิดปกติหรือไม่ ?

   สุนัขที่บ้านของคุณมีอาการสะบัดหู หรือสะบัดหัวบ่อยๆ บางหรือเปล่า ? หรือบางครั้งถึงขั้นไม่ยอมให้เราจับหู หรือยุ่งกับบริเวณใบหูกันเลยทีเดียว เจ้าของสุนัขควรรู้ว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ผิดปกติ และสามารถส่งผลรุนแรงตามมาได้ มาดูกันว่าอาการสะบัดหูของสุนัขบอกอะไรเราได้บ้าง



ทำไมสุนัขถึงสะบัดหู ?

-   สุนัขสะบัดหูเพราะเกิดอาการคัน การสะบัดแรงๆ หรือการใช้ขาเกาเป็นสิ่งที่สุนัขจะทำเมื่อเขารู้สึกคัน
-   สุนัขมีน้ำเข้าหู หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูเช่น เห็บ หมัด หรือแมลง ก็อาจจะทำให้เขารำคาญและพยายามสะบัดเพื่อให้ออกไปได้
-   สุนัขมีขนในหูที่ยาวเกินไป หรือขนอ่อนที่กำลังขึ้นก็อาจจะทำให้สุนัขสะบัดหู หรือพยายามเกา เนื่องจากรำคาญก็ได้
-   ภาวะช่องหูอักเสบจากการติดเชื้อต่างๆ ทำให้สุนัขเกิดอาการเจ็บ หรือปวดบริเวณหู ทำให้สุนัขสะบัดหู

ช่องหูอักเสบในสุนัข สาเหตุหลักที่ทำให้สุนัขสะบัดหู

สาเหตุของช่องหูอักเสบ

-   เกิดจากการติดเชื้อไรในหู (Ear mite infection) จะทำให้มีขี้หูสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำปริมาณมาก และทำให้สุนัขคันหูอย่างมาก สามารถติดต่อสู่สุนัขตัวอื่นๆในบ้านได้ เนื่องจากสุนัขมีอาการคันมากๆ อาจจะทำให้เกิดแผลจากการเกาได้ง่าย บางรายสะบัดหูแรมากๆจนเกิดเป็นห้อเลือดที่หู
-   เกิดจากการติดเชื้อในช่องหู (Malassezia infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอ่อน อาจจะมีสะเก็ดหรือขุยๆบริเวณใบหู ผิวหนังเป็นสีแดง พบมีอาการคันได้แต่ไม่มากเท่าการติดเชื้อไรในหู อาจจะพบว่าผิวหนังตำแหน่งอื่นมีอาการคัน ขนร่วง เป็นขุยร่วมด้วย
-   เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียใน (Bacterial infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง ไปจนถึงสีเขียว หรือเป็นหนอง มีอาการปวดหรือเจ็บรุนแรงได้ อาจจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมกันกับการติดเชื้ออื่นๆได้
-   ภาวะแพ้อาหาร (Food Allergy) หรือภูมิแพ้ตัวเอง (Atopy) สุนัขอาจจะมีอาการใบหูแดง คันใบหู แต่อาจจะไม่พบขี้หูปริมาณมาก หรืออาจจะมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้

   สายพันธุ์สุนัขที่พบอาการช่องหูอักเสบบ่อย คือ สายพันธุ์ที่ใบหูพับลง ใบหูใหญ่ ทำให้เกิดการอับชื้นของช่องหูได้มากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น บีเกิ้ล, ลาบาดอร์, โกลเดน รีทรีฟเวอร์, บาสเซตฮาวน์, คิง ชาร์ล สแปเนียล, ปั๊ก, คอกเกอร์ หรือกลุ่มสุนัขที่ชื่นชอบการเล่นน้ำ เล่นน้ำบ่อยๆ ทำให้เกิดการอับชื้น และเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะช่องหูอักเสบได้

   ดังนั้นหากพบว่าสุนัขมีอาการสะบัดหู เจ้าของควรจะตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูสุนัขหรือไม่ โดยการเปิดดู หรือใช้ไฟฉายส่อง หากตรวจเบื้องต้นแล้วไม่พบ แต่พบขี้หูผิดมากกว่าปกติ หรือมีอาการใบหูแดง แนะนำให้พาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับสุนัขต่อไป




403
สุนัขสะบัดหูบ่อยผิดปกติหรือไม่ ?

   สุนัขที่บ้านของคุณมีอาการสะบัดหู หรือสะบัดหัวบ่อยๆ บางหรือเปล่า ? หรือบางครั้งถึงขั้นไม่ยอมให้เราจับหู หรือยุ่งกับบริเวณใบหูกันเลยทีเดียว เจ้าของสุนัขควรรู้ว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ผิดปกติ และสามารถส่งผลรุนแรงตามมาได้ มาดูกันว่าอาการสะบัดหูของสุนัขบอกอะไรเราได้บ้าง



ทำไมสุนัขถึงสะบัดหู ?

-   สุนัขสะบัดหูเพราะเกิดอาการคัน การสะบัดแรงๆ หรือการใช้ขาเกาเป็นสิ่งที่สุนัขจะทำเมื่อเขารู้สึกคัน
-   สุนัขมีน้ำเข้าหู หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูเช่น เห็บ หมัด หรือแมลง ก็อาจจะทำให้เขารำคาญและพยายามสะบัดเพื่อให้ออกไปได้
-   สุนัขมีขนในหูที่ยาวเกินไป หรือขนอ่อนที่กำลังขึ้นก็อาจจะทำให้สุนัขสะบัดหู หรือพยายามเกา เนื่องจากรำคาญก็ได้
-   ภาวะช่องหูอักเสบจากการติดเชื้อต่างๆ ทำให้สุนัขเกิดอาการเจ็บ หรือปวดบริเวณหู ทำให้สุนัขสะบัดหู

ช่องหูอักเสบในสุนัข สาเหตุหลักที่ทำให้สุนัขสะบัดหู

สาเหตุของช่องหูอักเสบ

-   เกิดจากการติดเชื้อไรในหู (Ear mite infection) จะทำให้มีขี้หูสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำปริมาณมาก และทำให้สุนัขคันหูอย่างมาก สามารถติดต่อสู่สุนัขตัวอื่นๆในบ้านได้ เนื่องจากสุนัขมีอาการคันมากๆ อาจจะทำให้เกิดแผลจากการเกาได้ง่าย บางรายสะบัดหูแรมากๆจนเกิดเป็นห้อเลือดที่หู
-   เกิดจากการติดเชื้อในช่องหู (Malassezia infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอ่อน อาจจะมีสะเก็ดหรือขุยๆบริเวณใบหู ผิวหนังเป็นสีแดง พบมีอาการคันได้แต่ไม่มากเท่าการติดเชื้อไรในหู อาจจะพบว่าผิวหนังตำแหน่งอื่นมีอาการคัน ขนร่วง เป็นขุยร่วมด้วย
-   เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียใน (Bacterial infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง ไปจนถึงสีเขียว หรือเป็นหนอง มีอาการปวดหรือเจ็บรุนแรงได้ อาจจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมกันกับการติดเชื้ออื่นๆได้
-   ภาวะแพ้อาหาร (Food Allergy) หรือภูมิแพ้ตัวเอง (Atopy) สุนัขอาจจะมีอาการใบหูแดง คันใบหู แต่อาจจะไม่พบขี้หูปริมาณมาก หรืออาจจะมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้

   สายพันธุ์สุนัขที่พบอาการช่องหูอักเสบบ่อย คือ สายพันธุ์ที่ใบหูพับลง ใบหูใหญ่ ทำให้เกิดการอับชื้นของช่องหูได้มากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น บีเกิ้ล, ลาบาดอร์, โกลเดน รีทรีฟเวอร์, บาสเซตฮาวน์, คิง ชาร์ล สแปเนียล, ปั๊ก, คอกเกอร์ หรือกลุ่มสุนัขที่ชื่นชอบการเล่นน้ำ เล่นน้ำบ่อยๆ ทำให้เกิดการอับชื้น และเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะช่องหูอักเสบได้

   ดังนั้นหากพบว่าสุนัขมีอาการสะบัดหู เจ้าของควรจะตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูสุนัขหรือไม่ โดยการเปิดดู หรือใช้ไฟฉายส่อง หากตรวจเบื้องต้นแล้วไม่พบ แต่พบขี้หูผิดมากกว่าปกติ หรือมีอาการใบหูแดง แนะนำให้พาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับสุนัขต่อไป




404
สุนัขสะบัดหูบ่อยผิดปกติหรือไม่ ?

   สุนัขที่บ้านของคุณมีอาการสะบัดหู หรือสะบัดหัวบ่อยๆ บางหรือเปล่า ? หรือบางครั้งถึงขั้นไม่ยอมให้เราจับหู หรือยุ่งกับบริเวณใบหูกันเลยทีเดียว เจ้าของสุนัขควรรู้ว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ผิดปกติ และสามารถส่งผลรุนแรงตามมาได้ มาดูกันว่าอาการสะบัดหูของสุนัขบอกอะไรเราได้บ้าง



ทำไมสุนัขถึงสะบัดหู ?

-   สุนัขสะบัดหูเพราะเกิดอาการคัน การสะบัดแรงๆ หรือการใช้ขาเกาเป็นสิ่งที่สุนัขจะทำเมื่อเขารู้สึกคัน
-   สุนัขมีน้ำเข้าหู หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูเช่น เห็บ หมัด หรือแมลง ก็อาจจะทำให้เขารำคาญและพยายามสะบัดเพื่อให้ออกไปได้
-   สุนัขมีขนในหูที่ยาวเกินไป หรือขนอ่อนที่กำลังขึ้นก็อาจจะทำให้สุนัขสะบัดหู หรือพยายามเกา เนื่องจากรำคาญก็ได้
-   ภาวะช่องหูอักเสบจากการติดเชื้อต่างๆ ทำให้สุนัขเกิดอาการเจ็บ หรือปวดบริเวณหู ทำให้สุนัขสะบัดหู

ช่องหูอักเสบในสุนัข สาเหตุหลักที่ทำให้สุนัขสะบัดหู

สาเหตุของช่องหูอักเสบ

-   เกิดจากการติดเชื้อไรในหู (Ear mite infection) จะทำให้มีขี้หูสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำปริมาณมาก และทำให้สุนัขคันหูอย่างมาก สามารถติดต่อสู่สุนัขตัวอื่นๆในบ้านได้ เนื่องจากสุนัขมีอาการคันมากๆ อาจจะทำให้เกิดแผลจากการเกาได้ง่าย บางรายสะบัดหูแรมากๆจนเกิดเป็นห้อเลือดที่หู
-   เกิดจากการติดเชื้อในช่องหู (Malassezia infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอ่อน อาจจะมีสะเก็ดหรือขุยๆบริเวณใบหู ผิวหนังเป็นสีแดง พบมีอาการคันได้แต่ไม่มากเท่าการติดเชื้อไรในหู อาจจะพบว่าผิวหนังตำแหน่งอื่นมีอาการคัน ขนร่วง เป็นขุยร่วมด้วย
-   เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียใน (Bacterial infection) จะทำให้มีขี้หูสีเหลือง ไปจนถึงสีเขียว หรือเป็นหนอง มีอาการปวดหรือเจ็บรุนแรงได้ อาจจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมกันกับการติดเชื้ออื่นๆได้
-   ภาวะแพ้อาหาร (Food Allergy) หรือภูมิแพ้ตัวเอง (Atopy) สุนัขอาจจะมีอาการใบหูแดง คันใบหู แต่อาจจะไม่พบขี้หูปริมาณมาก หรืออาจจะมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้

   สายพันธุ์สุนัขที่พบอาการช่องหูอักเสบบ่อย คือ สายพันธุ์ที่ใบหูพับลง ใบหูใหญ่ ทำให้เกิดการอับชื้นของช่องหูได้มากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น บีเกิ้ล, ลาบาดอร์, โกลเดน รีทรีฟเวอร์, บาสเซตฮาวน์, คิง ชาร์ล สแปเนียล, ปั๊ก, คอกเกอร์ หรือกลุ่มสุนัขที่ชื่นชอบการเล่นน้ำ เล่นน้ำบ่อยๆ ทำให้เกิดการอับชื้น และเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะช่องหูอักเสบได้

   ดังนั้นหากพบว่าสุนัขมีอาการสะบัดหู เจ้าของควรจะตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูสุนัขหรือไม่ โดยการเปิดดู หรือใช้ไฟฉายส่อง หากตรวจเบื้องต้นแล้วไม่พบ แต่พบขี้หูผิดมากกว่าปกติ หรือมีอาการใบหูแดง แนะนำให้พาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับสุนัขต่อไป




405
ทำไมสุนัขถึงชอบไถก้น มาหาคำตอบกัน !

   หากคุณเคยเลี้ยงสุนัข คงจะต้องเคยเห็นท่าทางที่สุนัขทำท่านั่งแล้วค่อยๆไถก้นไปกับพื้น หรืออาจจะทำท่านี้หลังจากการขับถ่าย บางตัวทำกันเป็นประจำ หรือบางตัวก็นานๆจะทำให้เห็นสักทีนึง อาการนี้อาจจะเป็นอาการปกติทั่วไป ? หรือบ่งบอกถึงโรคบางชนิดกันแน่ ?




ทำไมสุนัขถึงไถก้นไปกับพื้นกันนะ ?

สุนัขมีความผิดปกติของต่อมข้างก้น   

   สุนัขโดยทั่วไปจะมีต่อมข้างก้น ต่อมก้น (Anal gland หรือ Anal sac) หรือบางคนเรียกว่าต่อมเหม็น ซึ่งต่อมนี้จะอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณข้างรูก้นของสุนัขทั้งสองฝั่ง สุนัขในธรรมชาติมีต่อมข้างก้นนี้สำหรับปล่อยกลิ่นออกมา เป็นการบ่งบอกความเฉพาะตัวของแต่ละตัว (scent marking) สุนัขเวลาที่มาเจอกัน จะทักทายกันด้วยการดมบริเวณต่อมก้นกัน โดยปกติต่อมนี้จะมีของเหลวปริมาณเล็กน้อย และจะถูกขับออกมาเมื่อสุนัขขับถ่ายอุจจาระ แต่มักจะพบปัญหาต่อมข้างก้นอักเสบ หรืออุดตันได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก เลี้ยงในบ้าน มากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ หากต่อมนี้มีการอักเสบจะทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว ไถก้นไปกับพื้นบ่อยครั้ง และหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้จากการอักเสบลุกลามไปเป็นการติดเชื้อ และอาจจะรุนแรงจนต่อมนี้แตกเป็นแผลเปิดได้ หรือสุนัขบางตัวอาจจะไม่ยอมเบ่งถ่ายอุจจาระเนื่องจากปวดบริเวณรอบๆก้น กลายเป็นอาการท้องผูกตามมาได้ เพราะฉะนั้นหากเห็นว่าสุนัขมีอาการไถก้น เจ้าของไม่ควรนิ่งนอนใจและควรพาสุนัขไปปรึกษาสัตวแพทย์

สุนัขติดพยาธิทางเดินอาหาร

   สุนัขที่แสดงอาการไถก้นไปกับพื้น อาจจะบ่งบอกถึงอาการคันบริเวณรอบๆก้น เนื่องจากมีไข่พยาธิบางชนิดหลุดปนมากับอุจจาระ โดยที่พบได้บ่อยพบว่าเป็นไข่พยาธิตัวตืด หรือพยาธิเม็ดแตงกวา (tapeworm) สุนัขติดพยาธิชนิดนี้จากการกินหมัดที่มีตัวอ่อนของพยาธินี้เข้าไปโดยบังเอิญ และพยาธิจะเจริญเป็นตัวแก่ในทางเดินอาหารและปล่อยปล้องแก่ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าว หรือเมล็ดแตงกวาออกมา หากพบอาการไถก้น ร่วมกับเจอปล้องแก่ของพยาธิแนะนำว่าควรพาสุนัขไปรับยาถ่ายพยาธิทันที

แนวทางการป้องกัน ไม่ให้สุนัขไถก้น

-   นวดบริเวณต่อมข้างก้นให้กับสุนัข อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
-   ถ้าเจ้าของไม่รู้จักวิธีการนวด หรือบีบต่อมข้างก้น อาจจะให้สัตวแพทย์หรือร้านอาบน้ำตัดขนทำให้ก็ได้
-   พาสุนัขออกไปเดินนอกบ้านบ้าง เพื่อช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว และเกิดการขับสารของต่อมนี้เวลาเดินเล่น หรือเวลาเจอกับเพื่อนสุนัขตัวอื่นๆ
-   วางแผนป้องกันเรื่องพยาธิภายนอกและพยาธิภายในให้กับสุนัขอย่างต่อเนื่อง สุนัขควรได้รรับยาถ่ายพยาธิ ทุก 3-6 เดือน และให้ยาป้องกันเห็บหมัด ทุก 1-3 เดือน ขึ้นกับชนิดของตัวยาที่ได้รับ
-   ไม่ควรนิ่งนอนใจกับอาการไถก้นไปกับพื้นของสุนัข ควรจะปรึกษากับสัตวแพทย์ หรือพาไปตรวจเช็คกับสัตวแพทย์บ้างเป็นครั้งคราว