แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

376
สงสัยว่าน้องแมวกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ควรทำอย่างไร ?
   
   แมวเป็นสัตว์ที่ขี้สงสัย อยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเขา แมวชอบที่จะสำรวจตามที่ต่างๆ ดมกลิ่น และลองชิมสิ่งต่างๆรอบตัว ด้วยนิสัยขี้สงสัยนี้เองที่อาจจะกลายมาเป็นภัยสำหรับเจ้าเหมียวได้ มีโอกาสสูงที่เจ้านายขนปุยขอเรา จะไปแอบลองกินสิ่งแปลกๆ ที่พบได้บ่อย เช่น เศษไม้ กระดาษ หนังยาง เชือก ต้นไม้ ของเล่นชิ้นเล็กๆ เชือก เข็มหรือด้าย เป็นต้น ของแปลกๆเหล่านี้ที่น้องแมวกินเข้าไป บางครั้งแมวอาจจะอาเจียนออกมา หรือบางครั้งก็ออกมากับอุจจาระได้ แต่ถ้าโชคไม่ดีอาจจะเกิดการอุดตันในทางเดินอาหารของแมวได้



   หนึ่งในอาการที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดคือ ภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอม (foreign body obstruction) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด หรือการส่องกล้องเอ็นโดสโคปเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา เพราะถ้าปล่อยเอาไว้นานโดยที่ลำไส้เกิดการอุดตัน อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่เป็นอันตราย เช่น ภาวะลำไส้กลืนกัน หรือลำไส้ฉีกขาดจากการอุดตันเป็นเวลานาน หรือเกิดการติดเชื้อตามมาได้

อาการที่พบ

-   อาเจียน หรือทำท่าเหมือนจะอาเจียนแตไม่มีอะไรออกมา

-   ถ่ายเหลว ท้องผูก ไม่ค่อยเห็นขับถ่าย หรือปวดเบ่ง เบ่งนานเวลาขับถ่าย

-   ปวดเกร็งช่องท้อง

-   ไม่กินอาหาร ความอยากอาหารลดลง

-   เพลีย อ่อนแรง ไม่ค่อยเคลื่อนไหว

-   อาจจะร้องเจ็บ คราง หันมากัด เวลาที่บริเวณท้อง

การวินิจฉัยภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   สัตวแพทย์จะตรวจร่างกายโดยละเอียด ร่วมกับการซักประวัติ ถ้ามีประวัติร่วมกับอาการที่เข้าข่ายน่าสงสัยสัตวแพทย์จะแนะนำให้เอ๊กเรย์ช่องท้อง หากเป็นสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ โลหะ หรือกระดูก อาจจะสามารถเห็นได้จากฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปได้เลย แต่สิ่งแปลกปลอมบางชนิดที่ฟิล์มเอ๊กเรย์ทั่วไปมองไม่เห็น เช่น ถ้าน้องแมวกินเชือก เศษผ้า หรือหนังยางเข้าไป การเอ๊กเรย์ทั่วไปจะมองไม่เห็น จำเป็นต้องเอ๊กเรย์ด้วยวิธีพิเศษ คือ การกลืนสารทึบรังสี ((barium or other radiographic dye) และจำเป็นต้องเอ๊กเรย์หลายฟิล์มภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อดูการเคลื่อนตัวของสารทึบรังสี ว่าสามารถผ่านออกไปได้หรือไม่ และมีการอุดตันที่ลำไส้ส่วนไหนหรือไม่

การรักษาภาวะลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอมในแมว

   วิธีการรักษาขึ้นกับตำแหน่งที่สิ่งแปลกปลอมนั้นไปอุดตัน และขนาดของสิ่งแปลกปลอมนั้นด้วย เช่น ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นอยู่ในกระเพาะอาหารและขนาดไม่ใหญ่เกินไป ก็อาจจะพิจารณารักษาโดยการส่องกล้องเอ็นโดสโคปและนำออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าสิ่งแปลกปลอมมีขนาดใหญ่ หรืออุดตันอยู่ในลำไส้แล้วก็มีวิธีการรักษาเดียวนั้นคือ การผ่าตัดเพื่อนำออกมา ซึ่งจะต้องวินิจฉัยและดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานอาจจะทำให่ส่วนใดส่วยหนึ่งของลำไส้เกิดการขาดเลือดและเกิดเป็นเนื้อตายตามมาได้

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/ingestion-of-foreign-bodies-in-cats



377
5 โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

   โรคมะเร็งในสุนัขสามารถพบได้ในสุนัขทุกช่วงอายุ แต่มักพบมากขึ้นเมื่อสุนัขมีอายุมากกว่า 5 ปี หรือเป็นสุนัขที่เข้าสู่วัยชรา ซึ่งโรคมะเร็งในสุนัขบางชนิดสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ หรือการรักษาอาจจะสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับสุนัขได้ อาการที่พบได้เมื่อสุนัขเป็นโรคมะเร็งนั้นแตกต่างกันไปตามชนิดของมะเร็ง แต่มักพบอาการ เช่น น้ำหนักตัวลด กินอาหารได้ดีแต่ผอมลง คลำตามตัวพบก้อนใต้ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องกางมากกว่าปกติ ปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง หรือเป็นแผลเรื้อรังไม่หาย บางครั้งไม่พบอาการที่แสดงออกอย่างชัดเจน หรือมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจแม้ว่าอาการที่พบจะเล็กน้อยเพียงใดก็ควรปรึกษากับสัตวแพทย์



โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ (Mast cell tumors)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ในสุนัข เป็นเนื้องอกผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัข ประมาณ 14-21% พบมากในสุนัขอายุเฉลี่ย 7.5 - 9 ปี มาสต์เซลล์เป็นเซลล์ที่มีสารอักเสบอยู่จำนวนมาก ทำให้ลักษณะเนื้องอกที่พบมักมีการอักเสบ โดยมักจะพบอยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือด เส้นประสาทที่อยู่ติดกับชั้นผิวหนังของสุนัข เช่น ที่ผิวหนัง ปอด จมูก และช่องปาก เป็นต้น มะเร็งชนิดนี้จะมักพบเป็นก้อนเนื้อ มีการอักเสบของผิวหนังรอบๆ ความรุนแรงของมะเร็งขึ้นกับตำแหน่งที่พบ และลักษณะของการอักเสบ สามารถแพร่กระจายไปยังปอด และอวัยวะในช่องท้องได้ สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาในสุนัข เป็นอีกหนึ่งโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยมาก พบได้มากในสุนัอายุช่วง 8-11 ปี และมีขนสีดำหรือมีผิวหนังสีดำ เกิดจากการเพิ่มจำนวนที่มากผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน หรือเมลาโนไซต์ (Melanocyte) โดยมะเร็งชนิดนี้เกิดได้ในผิวหนังทั่วไป รวมทั้งบริเวณเยื่อเมือกและช่องปากของสุนัข สามารถพบการแพร่กระจายไปที่กระดูกกรามได้ สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การฉายรังสี การใช้เคมีบำบัด และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)

   โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสุนัข เกิดได้กับสุนัขทุกอายุ เพศ พันธุ์โดยทั่วไปพบในสุนัขที่อายุมากกว่า 6 ปี เป็นมะเร็งที่เกิดจากคามผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟโซต์ (Lymphocyte) หรือเซลล์น้ำเหลือง (Lymphoid cells) สามารถเกิดที่อวัยวะใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อน้้าเหลือง (lymphoid tissue) เช่น ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ตับ ทางเดินอาหาร และไขกระดูก มักพบมีอาการไข้สูงเรื้อรัง และคลำพบต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย รักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งกระดูก (Osteosarcoma)

   โรคมะเร็งกระดูกพบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ มักเกิดกับกระดูกระยางค์ของร่างกาย และมักพบว่ามีความรุนแรงและอัตราการแพร่กระจายสูง รักษาด้วยการผ่าตัดส่วนที่เป็นมะเร็งออกร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด และให้ยาลดปวดต่อเนื่องเนื่องจากสุนัขจะมีอาการปวดกระดูกมาก

โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด (Hemangiosarcoma)

   โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด มีจุดกำเนิดจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด (vascular endothelial cells) เป็นมะเร็งชนิดชนิดร้ายแรง มีความรุนแรงมากและมีอัตราการแพร่กระจายสูงมาก พบได้บ่อยที่ม้าม หัวใจ และผิวหนัง มักตรวจพบในระยะที่ลุกลามไปแล้ว


ที่มา :
https://fetchvets.com/top-5-cancers-in-dogs/
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkuvetj/article/download/152088/111065/

https://www.lib.ku.ac.th/KUCONF/2555/KC4903006.pdf
https://www.vet.cmu.ac.th/cmvj/document/journal/25583_7.pdf





378
5 โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

   โรคมะเร็งในสุนัขสามารถพบได้ในสุนัขทุกช่วงอายุ แต่มักพบมากขึ้นเมื่อสุนัขมีอายุมากกว่า 5 ปี หรือเป็นสุนัขที่เข้าสู่วัยชรา ซึ่งโรคมะเร็งในสุนัขบางชนิดสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ หรือการรักษาอาจจะสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับสุนัขได้ อาการที่พบได้เมื่อสุนัขเป็นโรคมะเร็งนั้นแตกต่างกันไปตามชนิดของมะเร็ง แต่มักพบอาการ เช่น น้ำหนักตัวลด กินอาหารได้ดีแต่ผอมลง คลำตามตัวพบก้อนใต้ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องกางมากกว่าปกติ ปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง หรือเป็นแผลเรื้อรังไม่หาย บางครั้งไม่พบอาการที่แสดงออกอย่างชัดเจน หรือมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจแม้ว่าอาการที่พบจะเล็กน้อยเพียงใดก็ควรปรึกษากับสัตวแพทย์



โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ (Mast cell tumors)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ในสุนัข เป็นเนื้องอกผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัข ประมาณ 14-21% พบมากในสุนัขอายุเฉลี่ย 7.5 - 9 ปี มาสต์เซลล์เป็นเซลล์ที่มีสารอักเสบอยู่จำนวนมาก ทำให้ลักษณะเนื้องอกที่พบมักมีการอักเสบ โดยมักจะพบอยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือด เส้นประสาทที่อยู่ติดกับชั้นผิวหนังของสุนัข เช่น ที่ผิวหนัง ปอด จมูก และช่องปาก เป็นต้น มะเร็งชนิดนี้จะมักพบเป็นก้อนเนื้อ มีการอักเสบของผิวหนังรอบๆ ความรุนแรงของมะเร็งขึ้นกับตำแหน่งที่พบ และลักษณะของการอักเสบ สามารถแพร่กระจายไปยังปอด และอวัยวะในช่องท้องได้ สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาในสุนัข เป็นอีกหนึ่งโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยมาก พบได้มากในสุนัอายุช่วง 8-11 ปี และมีขนสีดำหรือมีผิวหนังสีดำ เกิดจากการเพิ่มจำนวนที่มากผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน หรือเมลาโนไซต์ (Melanocyte) โดยมะเร็งชนิดนี้เกิดได้ในผิวหนังทั่วไป รวมทั้งบริเวณเยื่อเมือกและช่องปากของสุนัข สามารถพบการแพร่กระจายไปที่กระดูกกรามได้ สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การฉายรังสี การใช้เคมีบำบัด และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)

   โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสุนัข เกิดได้กับสุนัขทุกอายุ เพศ พันธุ์โดยทั่วไปพบในสุนัขที่อายุมากกว่า 6 ปี เป็นมะเร็งที่เกิดจากคามผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟโซต์ (Lymphocyte) หรือเซลล์น้ำเหลือง (Lymphoid cells) สามารถเกิดที่อวัยวะใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อน้้าเหลือง (lymphoid tissue) เช่น ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ตับ ทางเดินอาหาร และไขกระดูก มักพบมีอาการไข้สูงเรื้อรัง และคลำพบต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย รักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งกระดูก (Osteosarcoma)

   โรคมะเร็งกระดูกพบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ มักเกิดกับกระดูกระยางค์ของร่างกาย และมักพบว่ามีความรุนแรงและอัตราการแพร่กระจายสูง รักษาด้วยการผ่าตัดส่วนที่เป็นมะเร็งออกร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด และให้ยาลดปวดต่อเนื่องเนื่องจากสุนัขจะมีอาการปวดกระดูกมาก

โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด (Hemangiosarcoma)

   โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด มีจุดกำเนิดจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด (vascular endothelial cells) เป็นมะเร็งชนิดชนิดร้ายแรง มีความรุนแรงมากและมีอัตราการแพร่กระจายสูงมาก พบได้บ่อยที่ม้าม หัวใจ และผิวหนัง มักตรวจพบในระยะที่ลุกลามไปแล้ว


ที่มา :
https://fetchvets.com/top-5-cancers-in-dogs/
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkuvetj/article/download/152088/111065/

https://www.lib.ku.ac.th/KUCONF/2555/KC4903006.pdf
https://www.vet.cmu.ac.th/cmvj/document/journal/25583_7.pdf





379
5 โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

   โรคมะเร็งในสุนัขสามารถพบได้ในสุนัขทุกช่วงอายุ แต่มักพบมากขึ้นเมื่อสุนัขมีอายุมากกว่า 5 ปี หรือเป็นสุนัขที่เข้าสู่วัยชรา ซึ่งโรคมะเร็งในสุนัขบางชนิดสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ หรือการรักษาอาจจะสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับสุนัขได้ อาการที่พบได้เมื่อสุนัขเป็นโรคมะเร็งนั้นแตกต่างกันไปตามชนิดของมะเร็ง แต่มักพบอาการ เช่น น้ำหนักตัวลด กินอาหารได้ดีแต่ผอมลง คลำตามตัวพบก้อนใต้ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องกางมากกว่าปกติ ปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง หรือเป็นแผลเรื้อรังไม่หาย บางครั้งไม่พบอาการที่แสดงออกอย่างชัดเจน หรือมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจแม้ว่าอาการที่พบจะเล็กน้อยเพียงใดก็ควรปรึกษากับสัตวแพทย์



โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ (Mast cell tumors)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ในสุนัข เป็นเนื้องอกผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัข ประมาณ 14-21% พบมากในสุนัขอายุเฉลี่ย 7.5 - 9 ปี มาสต์เซลล์เป็นเซลล์ที่มีสารอักเสบอยู่จำนวนมาก ทำให้ลักษณะเนื้องอกที่พบมักมีการอักเสบ โดยมักจะพบอยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือด เส้นประสาทที่อยู่ติดกับชั้นผิวหนังของสุนัข เช่น ที่ผิวหนัง ปอด จมูก และช่องปาก เป็นต้น มะเร็งชนิดนี้จะมักพบเป็นก้อนเนื้อ มีการอักเสบของผิวหนังรอบๆ ความรุนแรงของมะเร็งขึ้นกับตำแหน่งที่พบ และลักษณะของการอักเสบ สามารถแพร่กระจายไปยังปอด และอวัยวะในช่องท้องได้ สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาในสุนัข เป็นอีกหนึ่งโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยมาก พบได้มากในสุนัอายุช่วง 8-11 ปี และมีขนสีดำหรือมีผิวหนังสีดำ เกิดจากการเพิ่มจำนวนที่มากผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน หรือเมลาโนไซต์ (Melanocyte) โดยมะเร็งชนิดนี้เกิดได้ในผิวหนังทั่วไป รวมทั้งบริเวณเยื่อเมือกและช่องปากของสุนัข สามารถพบการแพร่กระจายไปที่กระดูกกรามได้ สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การฉายรังสี การใช้เคมีบำบัด และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)

   โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสุนัข เกิดได้กับสุนัขทุกอายุ เพศ พันธุ์โดยทั่วไปพบในสุนัขที่อายุมากกว่า 6 ปี เป็นมะเร็งที่เกิดจากคามผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟโซต์ (Lymphocyte) หรือเซลล์น้ำเหลือง (Lymphoid cells) สามารถเกิดที่อวัยวะใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อน้้าเหลือง (lymphoid tissue) เช่น ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ตับ ทางเดินอาหาร และไขกระดูก มักพบมีอาการไข้สูงเรื้อรัง และคลำพบต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย รักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งกระดูก (Osteosarcoma)

   โรคมะเร็งกระดูกพบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ มักเกิดกับกระดูกระยางค์ของร่างกาย และมักพบว่ามีความรุนแรงและอัตราการแพร่กระจายสูง รักษาด้วยการผ่าตัดส่วนที่เป็นมะเร็งออกร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด และให้ยาลดปวดต่อเนื่องเนื่องจากสุนัขจะมีอาการปวดกระดูกมาก

โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด (Hemangiosarcoma)

   โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด มีจุดกำเนิดจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด (vascular endothelial cells) เป็นมะเร็งชนิดชนิดร้ายแรง มีความรุนแรงมากและมีอัตราการแพร่กระจายสูงมาก พบได้บ่อยที่ม้าม หัวใจ และผิวหนัง มักตรวจพบในระยะที่ลุกลามไปแล้ว


ที่มา :
https://fetchvets.com/top-5-cancers-in-dogs/
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkuvetj/article/download/152088/111065/

https://www.lib.ku.ac.th/KUCONF/2555/KC4903006.pdf
https://www.vet.cmu.ac.th/cmvj/document/journal/25583_7.pdf





380
5 โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

   โรคมะเร็งในสุนัขสามารถพบได้ในสุนัขทุกช่วงอายุ แต่มักพบมากขึ้นเมื่อสุนัขมีอายุมากกว่า 5 ปี หรือเป็นสุนัขที่เข้าสู่วัยชรา ซึ่งโรคมะเร็งในสุนัขบางชนิดสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ หรือการรักษาอาจจะสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับสุนัขได้ อาการที่พบได้เมื่อสุนัขเป็นโรคมะเร็งนั้นแตกต่างกันไปตามชนิดของมะเร็ง แต่มักพบอาการ เช่น น้ำหนักตัวลด กินอาหารได้ดีแต่ผอมลง คลำตามตัวพบก้อนใต้ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องกางมากกว่าปกติ ปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง หรือเป็นแผลเรื้อรังไม่หาย บางครั้งไม่พบอาการที่แสดงออกอย่างชัดเจน หรือมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเจ้าของสุนัขไม่ควรนิ่งนอนใจแม้ว่าอาการที่พบจะเล็กน้อยเพียงใดก็ควรปรึกษากับสัตวแพทย์



โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในสุนัข

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ (Mast cell tumors)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดมาสต์เซลล์ในสุนัข เป็นเนื้องอกผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัข ประมาณ 14-21% พบมากในสุนัขอายุเฉลี่ย 7.5 - 9 ปี มาสต์เซลล์เป็นเซลล์ที่มีสารอักเสบอยู่จำนวนมาก ทำให้ลักษณะเนื้องอกที่พบมักมีการอักเสบ โดยมักจะพบอยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือด เส้นประสาทที่อยู่ติดกับชั้นผิวหนังของสุนัข เช่น ที่ผิวหนัง ปอด จมูก และช่องปาก เป็นต้น มะเร็งชนิดนี้จะมักพบเป็นก้อนเนื้อ มีการอักเสบของผิวหนังรอบๆ ความรุนแรงของมะเร็งขึ้นกับตำแหน่งที่พบ และลักษณะของการอักเสบ สามารถแพร่กระจายไปยังปอด และอวัยวะในช่องท้องได้ สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)

   โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาในสุนัข เป็นอีกหนึ่งโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยมาก พบได้มากในสุนัอายุช่วง 8-11 ปี และมีขนสีดำหรือมีผิวหนังสีดำ เกิดจากการเพิ่มจำนวนที่มากผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน หรือเมลาโนไซต์ (Melanocyte) โดยมะเร็งชนิดนี้เกิดได้ในผิวหนังทั่วไป รวมทั้งบริเวณเยื่อเมือกและช่องปากของสุนัข สามารถพบการแพร่กระจายไปที่กระดูกกรามได้ สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การฉายรังสี การใช้เคมีบำบัด และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)

   โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสุนัข เกิดได้กับสุนัขทุกอายุ เพศ พันธุ์โดยทั่วไปพบในสุนัขที่อายุมากกว่า 6 ปี เป็นมะเร็งที่เกิดจากคามผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟโซต์ (Lymphocyte) หรือเซลล์น้ำเหลือง (Lymphoid cells) สามารถเกิดที่อวัยวะใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อน้้าเหลือง (lymphoid tissue) เช่น ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ตับ ทางเดินอาหาร และไขกระดูก มักพบมีอาการไข้สูงเรื้อรัง และคลำพบต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย รักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งกระดูก (Osteosarcoma)

   โรคมะเร็งกระดูกพบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ มักเกิดกับกระดูกระยางค์ของร่างกาย และมักพบว่ามีความรุนแรงและอัตราการแพร่กระจายสูง รักษาด้วยการผ่าตัดส่วนที่เป็นมะเร็งออกร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด และให้ยาลดปวดต่อเนื่องเนื่องจากสุนัขจะมีอาการปวดกระดูกมาก

โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด (Hemangiosarcoma)

   โรคมะเร็งเซลล์ผนังหลอดเลือด มีจุดกำเนิดจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด (vascular endothelial cells) เป็นมะเร็งชนิดชนิดร้ายแรง มีความรุนแรงมากและมีอัตราการแพร่กระจายสูงมาก พบได้บ่อยที่ม้าม หัวใจ และผิวหนัง มักตรวจพบในระยะที่ลุกลามไปแล้ว


ที่มา :
https://fetchvets.com/top-5-cancers-in-dogs/
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkuvetj/article/download/152088/111065/

https://www.lib.ku.ac.th/KUCONF/2555/KC4903006.pdf
https://www.vet.cmu.ac.th/cmvj/document/journal/25583_7.pdf





381
เทคนิคการหยอดตาในสัตว์เลี้ยง

   การหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวเอง ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลเมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องอ่านและทำความเข้าใจยาแต่ละตัวที่ต้องหยอดให้กับสุนัขหรือแมวของเราอย่างละเอียด และควรสอบถามทำความเข้าใจกับสัตวแพทย์จนมั่นใจถึงขั้นตอนหรือลำดับการหยอดยา เนื่องจากอาจจะส่งผลต่อผลการรักษาได้

   ก่อนทำการหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรอ่านทำความเข้าใจถึงวิธีการเก็บยา ลำดับการให้ยาก่อนหลัง โดยมากแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ยาหยอดตาแต่ละตัวห่างกันอย่างน้อย 5 นาที เพื่อรอให้การดูดซึมของยาแต่ละตัวเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยาแต่ละตัวมีความถี่ในการให้ยาไม่เหมือนกัน และต้องสอบถามสัตวแพทย์เสมอถึงข้อควรระวังในการใช้ยาต่างๆ หากมียาที่จำเป็นต้องหยอดหลายตัว ควรทำเครื่องหมายให้ชัดเจนว่ายาตัวไหนหยอดก่อนหรือหลัง เพื่อป้องกันการผิดพลาด และให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุดกับสัตว์เลี้ยงของเรา



   การเก็บรักษายาหยอดตาที่ถูกต้อง ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาเช่นกัน หากมียาตัวไหนจำเป็นต้องเก็บรักษาในตู้เย็น หรือเก็บให้พ้นจากแสง เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องไม่ลืมที่จะเก็บรักษาให้ถูกต้อง และไม่ควรซื้อยาหยอดตามาหยอดสุนัขและแมวด้วยตัวเอง
      
STEP PY STEP การหยอดตาให้สุนัขและแมว

-   หากสุนัขหรือแมวของเราไม่ยอมอยู่เฉยๆ หรือยากต่อการจับบังคับคนเดียว เราควรจะต้องหาผู้ช่วยในการจับบังคับ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ผ้าเช็ดตัวห่อตัว หรือใส่ครอบปากป้องกันการกัด

-   ล้างมือก่อนและหลังการหยอดตาให้สัตว์เลี้ยงเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อจากมือของเราไปสู่ดวงตา

-   เช็ดทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างตาหรือน้ำอุ่นก่อนเริ่มหยอดตา โดยเช็ดให้คราบขี้ตาหรือสิ่งสกปรกออกให้หมดอย่างเบามือ

-   ใช้มือข้างหนึ่งหยิบขวดยาหยอดตาด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ โดยอาจจะวางมือลงบนหน้าผากของสุนัขและแมวของเราได้แต่ไม่ควรทิ้งน้ำหนักทั้งหมด

-   ใช้นิ้วโป้งของมืออีกข้างที่เหลือ ดึงเปลือกตาล่างของสัตว์เลี้ยงลง บริเวณเปลือกตาล่างมีพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับยาหยอดตา ใช้ส่วนที่เหลือของมือช่วยประคองหัวเอาไว้

-   เลื่อนขวดยาหยอดตาเข้ามาใกล้ๆดวงตา แต่ระวังห้ามให้ปลายหลอดของยาหยอดตาสัมผัสกับดวงตาเด็ดขาด

-   บีบขวดยาหยอดตาตามจำนวนหยดที่ต้องหยอด และปล่อยนิ้วที่ดึงหนังตาล่างกลับสู่ตำแหน่งปกติ

-   เมื่อสุนัขกระพริบตา ยาจะกระจายเคลือบดวงตา ระวังยาให้สุนัขและแมวใช้เท้าหน้าเกาดวงตา

-   ยาลืมให้ขนมหรือรางวัลหลังจากทำการหยอดตาเรียบร้อย

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/applying-eye-drops-to-dogs





382
เทคนิคการหยอดตาในสัตว์เลี้ยง

   การหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวเอง ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลเมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องอ่านและทำความเข้าใจยาแต่ละตัวที่ต้องหยอดให้กับสุนัขหรือแมวของเราอย่างละเอียด และควรสอบถามทำความเข้าใจกับสัตวแพทย์จนมั่นใจถึงขั้นตอนหรือลำดับการหยอดยา เนื่องจากอาจจะส่งผลต่อผลการรักษาได้

   ก่อนทำการหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรอ่านทำความเข้าใจถึงวิธีการเก็บยา ลำดับการให้ยาก่อนหลัง โดยมากแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ยาหยอดตาแต่ละตัวห่างกันอย่างน้อย 5 นาที เพื่อรอให้การดูดซึมของยาแต่ละตัวเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยาแต่ละตัวมีความถี่ในการให้ยาไม่เหมือนกัน และต้องสอบถามสัตวแพทย์เสมอถึงข้อควรระวังในการใช้ยาต่างๆ หากมียาที่จำเป็นต้องหยอดหลายตัว ควรทำเครื่องหมายให้ชัดเจนว่ายาตัวไหนหยอดก่อนหรือหลัง เพื่อป้องกันการผิดพลาด และให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุดกับสัตว์เลี้ยงของเรา



   การเก็บรักษายาหยอดตาที่ถูกต้อง ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาเช่นกัน หากมียาตัวไหนจำเป็นต้องเก็บรักษาในตู้เย็น หรือเก็บให้พ้นจากแสง เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องไม่ลืมที่จะเก็บรักษาให้ถูกต้อง และไม่ควรซื้อยาหยอดตามาหยอดสุนัขและแมวด้วยตัวเอง
      
STEP PY STEP การหยอดตาให้สุนัขและแมว

-   หากสุนัขหรือแมวของเราไม่ยอมอยู่เฉยๆ หรือยากต่อการจับบังคับคนเดียว เราควรจะต้องหาผู้ช่วยในการจับบังคับ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ผ้าเช็ดตัวห่อตัว หรือใส่ครอบปากป้องกันการกัด

-   ล้างมือก่อนและหลังการหยอดตาให้สัตว์เลี้ยงเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อจากมือของเราไปสู่ดวงตา

-   เช็ดทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างตาหรือน้ำอุ่นก่อนเริ่มหยอดตา โดยเช็ดให้คราบขี้ตาหรือสิ่งสกปรกออกให้หมดอย่างเบามือ

-   ใช้มือข้างหนึ่งหยิบขวดยาหยอดตาด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ โดยอาจจะวางมือลงบนหน้าผากของสุนัขและแมวของเราได้แต่ไม่ควรทิ้งน้ำหนักทั้งหมด

-   ใช้นิ้วโป้งของมืออีกข้างที่เหลือ ดึงเปลือกตาล่างของสัตว์เลี้ยงลง บริเวณเปลือกตาล่างมีพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับยาหยอดตา ใช้ส่วนที่เหลือของมือช่วยประคองหัวเอาไว้

-   เลื่อนขวดยาหยอดตาเข้ามาใกล้ๆดวงตา แต่ระวังห้ามให้ปลายหลอดของยาหยอดตาสัมผัสกับดวงตาเด็ดขาด

-   บีบขวดยาหยอดตาตามจำนวนหยดที่ต้องหยอด และปล่อยนิ้วที่ดึงหนังตาล่างกลับสู่ตำแหน่งปกติ

-   เมื่อสุนัขกระพริบตา ยาจะกระจายเคลือบดวงตา ระวังยาให้สุนัขและแมวใช้เท้าหน้าเกาดวงตา

-   ยาลืมให้ขนมหรือรางวัลหลังจากทำการหยอดตาเรียบร้อย

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/applying-eye-drops-to-dogs





383
เทคนิคการหยอดตาในสัตว์เลี้ยง

   การหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวเอง ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลเมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องอ่านและทำความเข้าใจยาแต่ละตัวที่ต้องหยอดให้กับสุนัขหรือแมวของเราอย่างละเอียด และควรสอบถามทำความเข้าใจกับสัตวแพทย์จนมั่นใจถึงขั้นตอนหรือลำดับการหยอดยา เนื่องจากอาจจะส่งผลต่อผลการรักษาได้

   ก่อนทำการหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรอ่านทำความเข้าใจถึงวิธีการเก็บยา ลำดับการให้ยาก่อนหลัง โดยมากแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ยาหยอดตาแต่ละตัวห่างกันอย่างน้อย 5 นาที เพื่อรอให้การดูดซึมของยาแต่ละตัวเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยาแต่ละตัวมีความถี่ในการให้ยาไม่เหมือนกัน และต้องสอบถามสัตวแพทย์เสมอถึงข้อควรระวังในการใช้ยาต่างๆ หากมียาที่จำเป็นต้องหยอดหลายตัว ควรทำเครื่องหมายให้ชัดเจนว่ายาตัวไหนหยอดก่อนหรือหลัง เพื่อป้องกันการผิดพลาด และให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุดกับสัตว์เลี้ยงของเรา



   การเก็บรักษายาหยอดตาที่ถูกต้อง ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาเช่นกัน หากมียาตัวไหนจำเป็นต้องเก็บรักษาในตู้เย็น หรือเก็บให้พ้นจากแสง เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องไม่ลืมที่จะเก็บรักษาให้ถูกต้อง และไม่ควรซื้อยาหยอดตามาหยอดสุนัขและแมวด้วยตัวเอง
      
STEP PY STEP การหยอดตาให้สุนัขและแมว

-   หากสุนัขหรือแมวของเราไม่ยอมอยู่เฉยๆ หรือยากต่อการจับบังคับคนเดียว เราควรจะต้องหาผู้ช่วยในการจับบังคับ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ผ้าเช็ดตัวห่อตัว หรือใส่ครอบปากป้องกันการกัด

-   ล้างมือก่อนและหลังการหยอดตาให้สัตว์เลี้ยงเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อจากมือของเราไปสู่ดวงตา

-   เช็ดทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างตาหรือน้ำอุ่นก่อนเริ่มหยอดตา โดยเช็ดให้คราบขี้ตาหรือสิ่งสกปรกออกให้หมดอย่างเบามือ

-   ใช้มือข้างหนึ่งหยิบขวดยาหยอดตาด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ โดยอาจจะวางมือลงบนหน้าผากของสุนัขและแมวของเราได้แต่ไม่ควรทิ้งน้ำหนักทั้งหมด

-   ใช้นิ้วโป้งของมืออีกข้างที่เหลือ ดึงเปลือกตาล่างของสัตว์เลี้ยงลง บริเวณเปลือกตาล่างมีพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับยาหยอดตา ใช้ส่วนที่เหลือของมือช่วยประคองหัวเอาไว้

-   เลื่อนขวดยาหยอดตาเข้ามาใกล้ๆดวงตา แต่ระวังห้ามให้ปลายหลอดของยาหยอดตาสัมผัสกับดวงตาเด็ดขาด

-   บีบขวดยาหยอดตาตามจำนวนหยดที่ต้องหยอด และปล่อยนิ้วที่ดึงหนังตาล่างกลับสู่ตำแหน่งปกติ

-   เมื่อสุนัขกระพริบตา ยาจะกระจายเคลือบดวงตา ระวังยาให้สุนัขและแมวใช้เท้าหน้าเกาดวงตา

-   ยาลืมให้ขนมหรือรางวัลหลังจากทำการหยอดตาเรียบร้อย

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/applying-eye-drops-to-dogs





384
เทคนิคการหยอดตาในสัตว์เลี้ยง

   การหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวเอง ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลเมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องอ่านและทำความเข้าใจยาแต่ละตัวที่ต้องหยอดให้กับสุนัขหรือแมวของเราอย่างละเอียด และควรสอบถามทำความเข้าใจกับสัตวแพทย์จนมั่นใจถึงขั้นตอนหรือลำดับการหยอดยา เนื่องจากอาจจะส่งผลต่อผลการรักษาได้

   ก่อนทำการหยอดตาให้กับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรอ่านทำความเข้าใจถึงวิธีการเก็บยา ลำดับการให้ยาก่อนหลัง โดยมากแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ยาหยอดตาแต่ละตัวห่างกันอย่างน้อย 5 นาที เพื่อรอให้การดูดซึมของยาแต่ละตัวเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยาแต่ละตัวมีความถี่ในการให้ยาไม่เหมือนกัน และต้องสอบถามสัตวแพทย์เสมอถึงข้อควรระวังในการใช้ยาต่างๆ หากมียาที่จำเป็นต้องหยอดหลายตัว ควรทำเครื่องหมายให้ชัดเจนว่ายาตัวไหนหยอดก่อนหรือหลัง เพื่อป้องกันการผิดพลาด และให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุดกับสัตว์เลี้ยงของเรา



   การเก็บรักษายาหยอดตาที่ถูกต้อง ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาเช่นกัน หากมียาตัวไหนจำเป็นต้องเก็บรักษาในตู้เย็น หรือเก็บให้พ้นจากแสง เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องไม่ลืมที่จะเก็บรักษาให้ถูกต้อง และไม่ควรซื้อยาหยอดตามาหยอดสุนัขและแมวด้วยตัวเอง
      
STEP PY STEP การหยอดตาให้สุนัขและแมว

-   หากสุนัขหรือแมวของเราไม่ยอมอยู่เฉยๆ หรือยากต่อการจับบังคับคนเดียว เราควรจะต้องหาผู้ช่วยในการจับบังคับ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ผ้าเช็ดตัวห่อตัว หรือใส่ครอบปากป้องกันการกัด

-   ล้างมือก่อนและหลังการหยอดตาให้สัตว์เลี้ยงเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อจากมือของเราไปสู่ดวงตา

-   เช็ดทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างตาหรือน้ำอุ่นก่อนเริ่มหยอดตา โดยเช็ดให้คราบขี้ตาหรือสิ่งสกปรกออกให้หมดอย่างเบามือ

-   ใช้มือข้างหนึ่งหยิบขวดยาหยอดตาด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ โดยอาจจะวางมือลงบนหน้าผากของสุนัขและแมวของเราได้แต่ไม่ควรทิ้งน้ำหนักทั้งหมด

-   ใช้นิ้วโป้งของมืออีกข้างที่เหลือ ดึงเปลือกตาล่างของสัตว์เลี้ยงลง บริเวณเปลือกตาล่างมีพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับยาหยอดตา ใช้ส่วนที่เหลือของมือช่วยประคองหัวเอาไว้

-   เลื่อนขวดยาหยอดตาเข้ามาใกล้ๆดวงตา แต่ระวังห้ามให้ปลายหลอดของยาหยอดตาสัมผัสกับดวงตาเด็ดขาด

-   บีบขวดยาหยอดตาตามจำนวนหยดที่ต้องหยอด และปล่อยนิ้วที่ดึงหนังตาล่างกลับสู่ตำแหน่งปกติ

-   เมื่อสุนัขกระพริบตา ยาจะกระจายเคลือบดวงตา ระวังยาให้สุนัขและแมวใช้เท้าหน้าเกาดวงตา

-   ยาลืมให้ขนมหรือรางวัลหลังจากทำการหยอดตาเรียบร้อย

ที่มา : https://vcahospitals.com/know-your-pet/applying-eye-drops-to-dogs





385
ภาะวะท้องอืด อาหารไม่ย่อยในลูกสุนัข

   ภาวะท้องอืดเนื่องจากนมไม่ย่อยในลูกสุนัข เป็นหนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อย หากเจ้าของสัตว์จำเป็นต้องเลี้ยงดูป้อนนมลูกสุนัขเอง หรือลูกสุนัขถูกเลี้ยงดูในสภาวะที่ไม่เหมาะสม ภาวะท้องอืดอาจจะมีตั้งแต่ระดับน้อยๆ ถึงขั้นรุนแรง และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้ในช่วง 2 เดือนแรกก่อนหย่านม

อาการที่พบเมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

   เมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด คือการที่มีแก๊สแน่นอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้องมาก ลูกสุนัขมักจะร้องมากกว่าปกติ หรือนอนร้องครางไม่หยุด และพยายามคลานไปมา ไม่ค่อยนอน เนื่องจากพยายามจะหาท่านอนที่รู้สึกสบายตัว ท้องจะป่องและเป็นสีคล้ำกว่าปกติ ไม่ยอมกินนม หรือกินนมน้อยลง ไม่ยอมขับถ่าย บางตัวอาเจียนเป็นนมที่ไม่ย่อยออกมา หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะเกิดอาการช็อค เหงือกซีด หายใจไม่สม่ำเสมอ หรือหายใจเร็วกว่าปกติ และอาจจะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน



ความเสี่ยงที่ทำให้ลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

1.   การให้อาหารไม่เหมาะสม ลูกสุนัขแรกเกิดจนถึง 2 เดือนจะกินนมแม่สุนัขเป็นอาหารหลัก โดยมากถ้าแม่สุนัขสุขภาพแข็งแรง มีปริมาณน้ำนมเพียงพอก็แนะนำให้ลูกสุนัขกินนมแม่จนกว่าจะหย่านม แต่หากมีปัญหาที่แม่สุนัขไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ หรือเป็นลูกสุนัขกำพร้า เจ้าของสัตว์ต้องช่วยเลี้ยงดู การดูแลเรื่องคุณภาพของนมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต โดยนมที่ควรให้ควรเป็นนมแพะ หรือนมที่ผลิตสำหรับลูกสัตว์โดยเฉพาะทั้งที่เป็นชนิดผงหรือชนิดน้ำ ห้ามให้นมวัวกับลูกสุนัขโดยเด็ดขาด เนื่องจากลูกสุนัขไม่สามารถย่อยน้ำตาลและโปรตีนในนมวัวได้ และจะเป็นเหตุให้นมที่กินเข้าไปไม่ย่อยและเกิดภาวะท้องอืดตามมา

2.   ปริมาณของนมไม่เหมาะสม นอกจากการให้นมให้ถูกชนิดกับลูกสุนัขแล้ว ปริมาณที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ไม่ควรให้นมครั้งละมากเกินไปเนื่องจากอาจจะทำให้ลูกสุนัขย่อยได้ไม่ดี และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ โดยปริมาณนมที่เหมาะสมนั้นขึ้นน้ำหนักตัวของลูกสุนัข โดยลูกสุนัขสามารถรับนมได้ประมาณ 130 – 220 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้ทุก 1-2 ชั่วโมง ในช่วง 4 สัปดาห์แรก และหลังจากนั้นปรับให้ตามความเหมาะสมทุก 4-6 ชั่วโมง 

3.   อุณหภูมิของนมที่ป้อนเย็นเกินไป นมที่ป้อนหากเย็นเกินไปจะทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการย่อยได้ไม่ดี เนื่องจากเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนมมีช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน หากเจ้าของสัตว์ให้นมที่เย็น ไม่อุ่นก่อนให้ ก็อาจจะทำให้ลูกสุนัขเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้

4.   สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ลูกสุนัขยังไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ดีนัก ทำให้เกิดภาวะอุณภูมิร่างกายต่ำได้ง่าย ซึ่งจะทำให้การทำงานของทางเดินอาหารช้าลง หรือทำงานได้ไม่ดี ย่อยนมได้ไม่ดี บางตัวอาจจะเกิดภาวะท้องผูก หรือท้องเสีย และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ในที่สุด ดังนั้นควรดูแลให้ลูกสุนัขอยู่ในบริเวณที่อบอุ่น มีไฟกกให้ความอบอุ่นเพียงพอ ไม่มีลมโกรก สถานที่มิดชิด สะอาดเพียงพอ





386
ภาะวะท้องอืด อาหารไม่ย่อยในลูกสุนัข

   ภาวะท้องอืดเนื่องจากนมไม่ย่อยในลูกสุนัข เป็นหนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อย หากเจ้าของสัตว์จำเป็นต้องเลี้ยงดูป้อนนมลูกสุนัขเอง หรือลูกสุนัขถูกเลี้ยงดูในสภาวะที่ไม่เหมาะสม ภาวะท้องอืดอาจจะมีตั้งแต่ระดับน้อยๆ ถึงขั้นรุนแรง และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้ในช่วง 2 เดือนแรกก่อนหย่านม

อาการที่พบเมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

   เมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด คือการที่มีแก๊สแน่นอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้องมาก ลูกสุนัขมักจะร้องมากกว่าปกติ หรือนอนร้องครางไม่หยุด และพยายามคลานไปมา ไม่ค่อยนอน เนื่องจากพยายามจะหาท่านอนที่รู้สึกสบายตัว ท้องจะป่องและเป็นสีคล้ำกว่าปกติ ไม่ยอมกินนม หรือกินนมน้อยลง ไม่ยอมขับถ่าย บางตัวอาเจียนเป็นนมที่ไม่ย่อยออกมา หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะเกิดอาการช็อค เหงือกซีด หายใจไม่สม่ำเสมอ หรือหายใจเร็วกว่าปกติ และอาจจะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน



ความเสี่ยงที่ทำให้ลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

1.   การให้อาหารไม่เหมาะสม ลูกสุนัขแรกเกิดจนถึง 2 เดือนจะกินนมแม่สุนัขเป็นอาหารหลัก โดยมากถ้าแม่สุนัขสุขภาพแข็งแรง มีปริมาณน้ำนมเพียงพอก็แนะนำให้ลูกสุนัขกินนมแม่จนกว่าจะหย่านม แต่หากมีปัญหาที่แม่สุนัขไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ หรือเป็นลูกสุนัขกำพร้า เจ้าของสัตว์ต้องช่วยเลี้ยงดู การดูแลเรื่องคุณภาพของนมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต โดยนมที่ควรให้ควรเป็นนมแพะ หรือนมที่ผลิตสำหรับลูกสัตว์โดยเฉพาะทั้งที่เป็นชนิดผงหรือชนิดน้ำ ห้ามให้นมวัวกับลูกสุนัขโดยเด็ดขาด เนื่องจากลูกสุนัขไม่สามารถย่อยน้ำตาลและโปรตีนในนมวัวได้ และจะเป็นเหตุให้นมที่กินเข้าไปไม่ย่อยและเกิดภาวะท้องอืดตามมา

2.   ปริมาณของนมไม่เหมาะสม นอกจากการให้นมให้ถูกชนิดกับลูกสุนัขแล้ว ปริมาณที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ไม่ควรให้นมครั้งละมากเกินไปเนื่องจากอาจจะทำให้ลูกสุนัขย่อยได้ไม่ดี และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ โดยปริมาณนมที่เหมาะสมนั้นขึ้นน้ำหนักตัวของลูกสุนัข โดยลูกสุนัขสามารถรับนมได้ประมาณ 130 – 220 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้ทุก 1-2 ชั่วโมง ในช่วง 4 สัปดาห์แรก และหลังจากนั้นปรับให้ตามความเหมาะสมทุก 4-6 ชั่วโมง 

3.   อุณหภูมิของนมที่ป้อนเย็นเกินไป นมที่ป้อนหากเย็นเกินไปจะทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการย่อยได้ไม่ดี เนื่องจากเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนมมีช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน หากเจ้าของสัตว์ให้นมที่เย็น ไม่อุ่นก่อนให้ ก็อาจจะทำให้ลูกสุนัขเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้

4.   สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ลูกสุนัขยังไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ดีนัก ทำให้เกิดภาวะอุณภูมิร่างกายต่ำได้ง่าย ซึ่งจะทำให้การทำงานของทางเดินอาหารช้าลง หรือทำงานได้ไม่ดี ย่อยนมได้ไม่ดี บางตัวอาจจะเกิดภาวะท้องผูก หรือท้องเสีย และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ในที่สุด ดังนั้นควรดูแลให้ลูกสุนัขอยู่ในบริเวณที่อบอุ่น มีไฟกกให้ความอบอุ่นเพียงพอ ไม่มีลมโกรก สถานที่มิดชิด สะอาดเพียงพอ





387
ภาะวะท้องอืด อาหารไม่ย่อยในลูกสุนัข

   ภาวะท้องอืดเนื่องจากนมไม่ย่อยในลูกสุนัข เป็นหนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อย หากเจ้าของสัตว์จำเป็นต้องเลี้ยงดูป้อนนมลูกสุนัขเอง หรือลูกสุนัขถูกเลี้ยงดูในสภาวะที่ไม่เหมาะสม ภาวะท้องอืดอาจจะมีตั้งแต่ระดับน้อยๆ ถึงขั้นรุนแรง และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้ในช่วง 2 เดือนแรกก่อนหย่านม

อาการที่พบเมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

   เมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด คือการที่มีแก๊สแน่นอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้องมาก ลูกสุนัขมักจะร้องมากกว่าปกติ หรือนอนร้องครางไม่หยุด และพยายามคลานไปมา ไม่ค่อยนอน เนื่องจากพยายามจะหาท่านอนที่รู้สึกสบายตัว ท้องจะป่องและเป็นสีคล้ำกว่าปกติ ไม่ยอมกินนม หรือกินนมน้อยลง ไม่ยอมขับถ่าย บางตัวอาเจียนเป็นนมที่ไม่ย่อยออกมา หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะเกิดอาการช็อค เหงือกซีด หายใจไม่สม่ำเสมอ หรือหายใจเร็วกว่าปกติ และอาจจะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน



ความเสี่ยงที่ทำให้ลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

1.   การให้อาหารไม่เหมาะสม ลูกสุนัขแรกเกิดจนถึง 2 เดือนจะกินนมแม่สุนัขเป็นอาหารหลัก โดยมากถ้าแม่สุนัขสุขภาพแข็งแรง มีปริมาณน้ำนมเพียงพอก็แนะนำให้ลูกสุนัขกินนมแม่จนกว่าจะหย่านม แต่หากมีปัญหาที่แม่สุนัขไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ หรือเป็นลูกสุนัขกำพร้า เจ้าของสัตว์ต้องช่วยเลี้ยงดู การดูแลเรื่องคุณภาพของนมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต โดยนมที่ควรให้ควรเป็นนมแพะ หรือนมที่ผลิตสำหรับลูกสัตว์โดยเฉพาะทั้งที่เป็นชนิดผงหรือชนิดน้ำ ห้ามให้นมวัวกับลูกสุนัขโดยเด็ดขาด เนื่องจากลูกสุนัขไม่สามารถย่อยน้ำตาลและโปรตีนในนมวัวได้ และจะเป็นเหตุให้นมที่กินเข้าไปไม่ย่อยและเกิดภาวะท้องอืดตามมา

2.   ปริมาณของนมไม่เหมาะสม นอกจากการให้นมให้ถูกชนิดกับลูกสุนัขแล้ว ปริมาณที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ไม่ควรให้นมครั้งละมากเกินไปเนื่องจากอาจจะทำให้ลูกสุนัขย่อยได้ไม่ดี และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ โดยปริมาณนมที่เหมาะสมนั้นขึ้นน้ำหนักตัวของลูกสุนัข โดยลูกสุนัขสามารถรับนมได้ประมาณ 130 – 220 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้ทุก 1-2 ชั่วโมง ในช่วง 4 สัปดาห์แรก และหลังจากนั้นปรับให้ตามความเหมาะสมทุก 4-6 ชั่วโมง 

3.   อุณหภูมิของนมที่ป้อนเย็นเกินไป นมที่ป้อนหากเย็นเกินไปจะทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการย่อยได้ไม่ดี เนื่องจากเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนมมีช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน หากเจ้าของสัตว์ให้นมที่เย็น ไม่อุ่นก่อนให้ ก็อาจจะทำให้ลูกสุนัขเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้

4.   สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ลูกสุนัขยังไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ดีนัก ทำให้เกิดภาวะอุณภูมิร่างกายต่ำได้ง่าย ซึ่งจะทำให้การทำงานของทางเดินอาหารช้าลง หรือทำงานได้ไม่ดี ย่อยนมได้ไม่ดี บางตัวอาจจะเกิดภาวะท้องผูก หรือท้องเสีย และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ในที่สุด ดังนั้นควรดูแลให้ลูกสุนัขอยู่ในบริเวณที่อบอุ่น มีไฟกกให้ความอบอุ่นเพียงพอ ไม่มีลมโกรก สถานที่มิดชิด สะอาดเพียงพอ





388
ภาะวะท้องอืด อาหารไม่ย่อยในลูกสุนัข

   ภาวะท้องอืดเนื่องจากนมไม่ย่อยในลูกสุนัข เป็นหนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อย หากเจ้าของสัตว์จำเป็นต้องเลี้ยงดูป้อนนมลูกสุนัขเอง หรือลูกสุนัขถูกเลี้ยงดูในสภาวะที่ไม่เหมาะสม ภาวะท้องอืดอาจจะมีตั้งแต่ระดับน้อยๆ ถึงขั้นรุนแรง และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้ในช่วง 2 เดือนแรกก่อนหย่านม

อาการที่พบเมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

   เมื่อลูกสุนัขมีอาการท้องอืด คือการที่มีแก๊สแน่นอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้องมาก ลูกสุนัขมักจะร้องมากกว่าปกติ หรือนอนร้องครางไม่หยุด และพยายามคลานไปมา ไม่ค่อยนอน เนื่องจากพยายามจะหาท่านอนที่รู้สึกสบายตัว ท้องจะป่องและเป็นสีคล้ำกว่าปกติ ไม่ยอมกินนม หรือกินนมน้อยลง ไม่ยอมขับถ่าย บางตัวอาเจียนเป็นนมที่ไม่ย่อยออกมา หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะเกิดอาการช็อค เหงือกซีด หายใจไม่สม่ำเสมอ หรือหายใจเร็วกว่าปกติ และอาจจะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน



ความเสี่ยงที่ทำให้ลูกสุนัขมีอาการท้องอืด

1.   การให้อาหารไม่เหมาะสม ลูกสุนัขแรกเกิดจนถึง 2 เดือนจะกินนมแม่สุนัขเป็นอาหารหลัก โดยมากถ้าแม่สุนัขสุขภาพแข็งแรง มีปริมาณน้ำนมเพียงพอก็แนะนำให้ลูกสุนัขกินนมแม่จนกว่าจะหย่านม แต่หากมีปัญหาที่แม่สุนัขไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ หรือเป็นลูกสุนัขกำพร้า เจ้าของสัตว์ต้องช่วยเลี้ยงดู การดูแลเรื่องคุณภาพของนมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต โดยนมที่ควรให้ควรเป็นนมแพะ หรือนมที่ผลิตสำหรับลูกสัตว์โดยเฉพาะทั้งที่เป็นชนิดผงหรือชนิดน้ำ ห้ามให้นมวัวกับลูกสุนัขโดยเด็ดขาด เนื่องจากลูกสุนัขไม่สามารถย่อยน้ำตาลและโปรตีนในนมวัวได้ และจะเป็นเหตุให้นมที่กินเข้าไปไม่ย่อยและเกิดภาวะท้องอืดตามมา

2.   ปริมาณของนมไม่เหมาะสม นอกจากการให้นมให้ถูกชนิดกับลูกสุนัขแล้ว ปริมาณที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ไม่ควรให้นมครั้งละมากเกินไปเนื่องจากอาจจะทำให้ลูกสุนัขย่อยได้ไม่ดี และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ โดยปริมาณนมที่เหมาะสมนั้นขึ้นน้ำหนักตัวของลูกสุนัข โดยลูกสุนัขสามารถรับนมได้ประมาณ 130 – 220 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้ทุก 1-2 ชั่วโมง ในช่วง 4 สัปดาห์แรก และหลังจากนั้นปรับให้ตามความเหมาะสมทุก 4-6 ชั่วโมง 

3.   อุณหภูมิของนมที่ป้อนเย็นเกินไป นมที่ป้อนหากเย็นเกินไปจะทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการย่อยได้ไม่ดี เนื่องจากเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนมมีช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน หากเจ้าของสัตว์ให้นมที่เย็น ไม่อุ่นก่อนให้ ก็อาจจะทำให้ลูกสุนัขเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้

4.   สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ลูกสุนัขยังไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ดีนัก ทำให้เกิดภาวะอุณภูมิร่างกายต่ำได้ง่าย ซึ่งจะทำให้การทำงานของทางเดินอาหารช้าลง หรือทำงานได้ไม่ดี ย่อยนมได้ไม่ดี บางตัวอาจจะเกิดภาวะท้องผูก หรือท้องเสีย และเกิดภาวะท้องอืดตามมาได้ในที่สุด ดังนั้นควรดูแลให้ลูกสุนัขอยู่ในบริเวณที่อบอุ่น มีไฟกกให้ความอบอุ่นเพียงพอ ไม่มีลมโกรก สถานที่มิดชิด สะอาดเพียงพอ





389
สุนัขที่บ้านมีขี้ตาเยอะ ทำอย่างไรดี ?

   ความผิดปกติของดวงตาสุนัขที่พบได้บ่อย มักแสดงออกด้วยการมีขี้ตามากกว่าปกติก่อน โดยปกติอาจจะพบขี้ตาของสุนัขได้แต่ไม่มากนัก หากสุนัขที่บ้านมีขี้ตามากกว่าปกติ และสีผิดปกติไป เช่น มีขี้ตาสีเขียว มีขี้ตาขุ่น หรือบางตัวมีน้ำตาไหลมากกว่าปตกิ อาจจะต้องคิดไว้เสมอว่า น้องหมาของเราอาจจะมีความผิดปกติของดวงตาที่ควรได้รับการรักษา



แนวทางการดูแลดวงตาของสุนัข

1. ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดดวงตา โดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำยาล้างตาเช็ดทำความสะอาด และควรตัดเล็มขนที่อาจจะทิ่มดวงตาของสุนัข สำหรับสุนัขบางสายพันธุ์ที่มีลักษณะหน้าสั้น และดวงตาโตและโปนออกมามากกว่าสายพันธุ์อื่น เช่น ชิสุ ปักกิ่ง มอลทีส บูลด๊อก เป็นต้น อาจจำเป็นต้องคอยตัดแต่งทรงให้ไม่ทิ่มดวงตา หรือคอยมัดขนบริเวณใกล้ๆดวงตาไม่ให้ทิ่มดวงตาสุนัข

2. ตรวจดวงตาสุนัขด้วยตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน หากพบว่าสุนัขของเรามีขี้ตามากผิดปกติ ควรสังเกตุด้วยว่ามีอาการผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เช่น หนังตาบวม หนังตาปิด หรี่ตา ตาแดง หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หากพบอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบพาสุนัขไปพสัตวแพทย์ เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา

3. ระมัดระวังเวลาอาบน้ำ อย่าให้น้ำแชมพูเข้าตา อาจจะให้ใส่ปลอกคอกันเกาเวลาอาบน้ำ หรือหลีกเลี่ยงการอาบน้ำบริเวณหน้า  เนื่องจากเวลาที่แชมพูเข้าตาสุนัข อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เกิดอาการตาแดง หนังตาปิดได้ และบางตัวอาจจะเกาตาจนเกิดเป็นแผลที่ดวงตาตามมาได้ 

4. หลีกเลี่ยงการพาสุนัขไปเดินบริเวณที่เป็นหญ้าสูง เนื่องจากบางตัวออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า อาจจะเกิดการระคายเคืองเพราะหญ้าสูงบาดดวงตา อาจจะมีเศษดอกหญ้าเจ้าชู้ติดอยู่ที่หนังตา หรือมีละอองเกสรเข้าตาสุนัข เป็นต้น  ควรตัดหญ้าให้สั้น หรือเลือกพาเดินในบริเวณที่โล่ง

5. เมื่อสุนัขมีอายุมากขึ้นควรพาสุนัขไปตรวจร่างกาย และตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจากมีโรคเกี่ยวกับดวงตาหลายโรคที่มักจะพบเมื่อสุนัขอายุมากขึ้น เช่น ภาวะตาแห้ง โรคต้อกระจก โรคต้อหิน เป็นต้น

6. หากพบว่าสุนัขมีขี้ตาสีเขียว ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ มีน้ำมูกสีเขียว ไอ จาม หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย อาจจะบ่งบอกถึงโรคติดเชื้อไข้หัดสุนัข ซึ่งถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างสุนัขด้วยกัน ควรรีบแยกตัวและปรึกษาแนวทางการวินิจฉัยรักษากับสัตวแพทย์

7. โรคท่อน้ำตาอุดตัน อาจจะทำให้สุนัขมีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ โดยในระยะแรกอาจจะเป็นลักษณะของน้ำตาบริเวณหัวตา และปล่อยไปนานๆ อาจจะทำให้สีขนบริเวณรอบดวงตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตา สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจคิดว่าการที่สุนัขน้ำตาไหลมากเป็นเรื่องปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์



390
สุนัขที่บ้านมีขี้ตาเยอะ ทำอย่างไรดี ?

   ความผิดปกติของดวงตาสุนัขที่พบได้บ่อย มักแสดงออกด้วยการมีขี้ตามากกว่าปกติก่อน โดยปกติอาจจะพบขี้ตาของสุนัขได้แต่ไม่มากนัก หากสุนัขที่บ้านมีขี้ตามากกว่าปกติ และสีผิดปกติไป เช่น มีขี้ตาสีเขียว มีขี้ตาขุ่น หรือบางตัวมีน้ำตาไหลมากกว่าปตกิ อาจจะต้องคิดไว้เสมอว่า น้องหมาของเราอาจจะมีความผิดปกติของดวงตาที่ควรได้รับการรักษา



แนวทางการดูแลดวงตาของสุนัข

1. ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดดวงตา โดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำยาล้างตาเช็ดทำความสะอาด และควรตัดเล็มขนที่อาจจะทิ่มดวงตาของสุนัข สำหรับสุนัขบางสายพันธุ์ที่มีลักษณะหน้าสั้น และดวงตาโตและโปนออกมามากกว่าสายพันธุ์อื่น เช่น ชิสุ ปักกิ่ง มอลทีส บูลด๊อก เป็นต้น อาจจำเป็นต้องคอยตัดแต่งทรงให้ไม่ทิ่มดวงตา หรือคอยมัดขนบริเวณใกล้ๆดวงตาไม่ให้ทิ่มดวงตาสุนัข

2. ตรวจดวงตาสุนัขด้วยตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน หากพบว่าสุนัขของเรามีขี้ตามากผิดปกติ ควรสังเกตุด้วยว่ามีอาการผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เช่น หนังตาบวม หนังตาปิด หรี่ตา ตาแดง หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หากพบอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบพาสุนัขไปพสัตวแพทย์ เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา

3. ระมัดระวังเวลาอาบน้ำ อย่าให้น้ำแชมพูเข้าตา อาจจะให้ใส่ปลอกคอกันเกาเวลาอาบน้ำ หรือหลีกเลี่ยงการอาบน้ำบริเวณหน้า  เนื่องจากเวลาที่แชมพูเข้าตาสุนัข อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เกิดอาการตาแดง หนังตาปิดได้ และบางตัวอาจจะเกาตาจนเกิดเป็นแผลที่ดวงตาตามมาได้ 

4. หลีกเลี่ยงการพาสุนัขไปเดินบริเวณที่เป็นหญ้าสูง เนื่องจากบางตัวออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า อาจจะเกิดการระคายเคืองเพราะหญ้าสูงบาดดวงตา อาจจะมีเศษดอกหญ้าเจ้าชู้ติดอยู่ที่หนังตา หรือมีละอองเกสรเข้าตาสุนัข เป็นต้น  ควรตัดหญ้าให้สั้น หรือเลือกพาเดินในบริเวณที่โล่ง

5. เมื่อสุนัขมีอายุมากขึ้นควรพาสุนัขไปตรวจร่างกาย และตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจากมีโรคเกี่ยวกับดวงตาหลายโรคที่มักจะพบเมื่อสุนัขอายุมากขึ้น เช่น ภาวะตาแห้ง โรคต้อกระจก โรคต้อหิน เป็นต้น

6. หากพบว่าสุนัขมีขี้ตาสีเขียว ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ มีน้ำมูกสีเขียว ไอ จาม หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย อาจจะบ่งบอกถึงโรคติดเชื้อไข้หัดสุนัข ซึ่งถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างสุนัขด้วยกัน ควรรีบแยกตัวและปรึกษาแนวทางการวินิจฉัยรักษากับสัตวแพทย์

7. โรคท่อน้ำตาอุดตัน อาจจะทำให้สุนัขมีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ โดยในระยะแรกอาจจะเป็นลักษณะของน้ำตาบริเวณหัวตา และปล่อยไปนานๆ อาจจะทำให้สีขนบริเวณรอบดวงตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตา สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจคิดว่าการที่สุนัขน้ำตาไหลมากเป็นเรื่องปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์