แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ขายหมา

1006
โรคที่มักพบ / โรคเชื้อราในแมว
« เมื่อ: 19 เม.ย. 64, 22:03:01น. »
โรคเชื้อราในแมว

สาเหตุ

   โรคเชื้อรา (Dermathophytosis หรือ Ringworm) ในแมวส่วนมากเกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า Microsporum canis ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคผิวหนังในแมว แมวที่สุขภาพแข็งแรงจำนวนมากเป็นแหล่งแพร่โรคนี้โดยที่ไม่แสดงอาการ โดยมากแมวที่มีอาการคือลูกแมว แมวอายุมาก หรือแมวที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน น้องแมวที่เลี้ยงในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี เลี้ยงอย่างหนาแน่นหลายตัวในพื้นที่จำกัด หรือน้องแมวที่มีความเครียดสะสม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไป



   น้องแมวจะติดเชื้อจากสปอร์ของเชื้อราที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสปอร์เชื้อราสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นปี หากไม่มีการทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม ซึ่งแมวจะติดโดยการสัมผัสสปอร์เชื้อราจากแมวที่เป็นพาหะ หรือใช้ของร่วมกันกับแมวที่เป็นโรคเชื้อรา เช่น ที่นอน, ของเล่น, แปรงหวีขน เป็นต้น การสัมผัสสิ่งแวดล้อม หรืออาศัยอยู่ในบริเวณที่เคยมีน้องแมวที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะได้รับเชื้อมาได้

อาการของโรคเชื้อราในแมว

   แมวที่เป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง จะมีอาการขนร่วงเป็นวงกลม ผิวหนังลอก เป็นสะเก็ดรังแค หรือเกิดรอยแดงรอบๆขอบวงกลมซึ่งเรียกลักษณะเฉพาะนี้ว่า Ringworm แมวส่วนหนึ่งสามารถหายได้เอง โดยอาจจะพบขนร่วงและรังแคเล็กน้อย แต่ในแมวที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันตก ลูกแมว แมวอายุมาก หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง น้องแมวที่เลี้ยงในสุขอนามัยไม่ดีมักจะไม่หายเอง และมักจะเป็นหลายบริเวณ ที่พบได้บ่อยคือ บริเวณใบหู รอบๆหัว หาง และหลัง

การวินิจฉัยโรค

   เมื่อนำน้องแมวที่มีอาการไปพบสัตวแพทย์ คุณหมอจะตรวจเบื้องต้นด้วยการใช้ไฟฉายส่องเชื้อรา (Wood lamp) โดยเมื่อส่องแล้วพบว่ามีการเรืองแสงที่บริเวณโคนของเส้นขน หมายถึงให้ผลบวกกับเชื้อ Microspora canis และนอกจากนั้นคุณหมอจะตรวจหาสปอร์ของเชื้อราจากเส้นขนด้วยกล้องจุลทรรศน์ และสามารถเพาะเชื้อราจากการเก็บเส้นขนและรังแคในบริเวณที่เป็นรอยโรคใหม่ ทั้งนี้ถ้าน้องแมวรับยารักษาหรือมีการอาบน้ำ อาจจะทำให้ตรวจไม่เจอเชื้อ

การรักษา

   การรักษาเชื้อราในน้องแมวที่เป็นไม่มาก เช่นเป็นเพียง 1-2 บริเวณ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้รักษาด้วยการใช้ยาทา สเปรย์พ่นฆ่าเชื้อรา ร่วมกับการฟอกยาหรืออาบน้ำด้วยแชมพูฆ่าเชื้อราสำหรับสัตว์เลี้ยง ส่วนในรายที่เป็นหลายบริเวณ เป็นทั้งตัว หรือมีอาการเรื้อรัง เป็นๆหายๆ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยาทาภายนอก ร่วมกับการรักษาด้วยการกินยาฆ่าเชื้อรา (Itraconazole) ซึ่งจำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากนี้มีผลต่อการทำงานของตับ และน้องแมวมีความไวต่อยานี้เป็นพิเศษ ไม่ควรหาซื้อมาให้น้องแมวกินเอง โดยระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละตัว โดยมากใช้เวลาหลายสัปดาห์ (ประมาณ 4-12สัปดาห์) โดยจะหยุดยาได้ก็ต่อเมื่อผลเพาะเชื้อราเป็นลบ

การป้องกัน

   การป้องกันที่สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อราในแมวได้ คือ การจัดการสุขอนามัยของแมวให้เหมาะสม ทำความสะอาดบริเวณที่น้องแมวอยู่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ นอกจากนั้นควรแยกแมวที่เป้นโรคเชื้อราออกจากแมวที่ไม่มีอาการให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ติดกัน มีการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อรา แต่ยังมีรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ชัดเจน มีรายงานว่าการให้วัคซีนกับแมวที่เป็นเชื้อราทำให้หายเร็วขึ้น

แหล่งที่มา
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23813824/


1007
โรคที่มักพบ / โรคเชื้อราในแมว
« เมื่อ: 19 เม.ย. 64, 22:03:01น. »
โรคเชื้อราในแมว

สาเหตุ

   โรคเชื้อรา (Dermathophytosis หรือ Ringworm) ในแมวส่วนมากเกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า Microsporum canis ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคผิวหนังในแมว แมวที่สุขภาพแข็งแรงจำนวนมากเป็นแหล่งแพร่โรคนี้โดยที่ไม่แสดงอาการ โดยมากแมวที่มีอาการคือลูกแมว แมวอายุมาก หรือแมวที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน น้องแมวที่เลี้ยงในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี เลี้ยงอย่างหนาแน่นหลายตัวในพื้นที่จำกัด หรือน้องแมวที่มีความเครียดสะสม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไป



   น้องแมวจะติดเชื้อจากสปอร์ของเชื้อราที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสปอร์เชื้อราสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นปี หากไม่มีการทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม ซึ่งแมวจะติดโดยการสัมผัสสปอร์เชื้อราจากแมวที่เป็นพาหะ หรือใช้ของร่วมกันกับแมวที่เป็นโรคเชื้อรา เช่น ที่นอน, ของเล่น, แปรงหวีขน เป็นต้น การสัมผัสสิ่งแวดล้อม หรืออาศัยอยู่ในบริเวณที่เคยมีน้องแมวที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะได้รับเชื้อมาได้

อาการของโรคเชื้อราในแมว

   แมวที่เป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง จะมีอาการขนร่วงเป็นวงกลม ผิวหนังลอก เป็นสะเก็ดรังแค หรือเกิดรอยแดงรอบๆขอบวงกลมซึ่งเรียกลักษณะเฉพาะนี้ว่า Ringworm แมวส่วนหนึ่งสามารถหายได้เอง โดยอาจจะพบขนร่วงและรังแคเล็กน้อย แต่ในแมวที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันตก ลูกแมว แมวอายุมาก หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง น้องแมวที่เลี้ยงในสุขอนามัยไม่ดีมักจะไม่หายเอง และมักจะเป็นหลายบริเวณ ที่พบได้บ่อยคือ บริเวณใบหู รอบๆหัว หาง และหลัง

การวินิจฉัยโรค

   เมื่อนำน้องแมวที่มีอาการไปพบสัตวแพทย์ คุณหมอจะตรวจเบื้องต้นด้วยการใช้ไฟฉายส่องเชื้อรา (Wood lamp) โดยเมื่อส่องแล้วพบว่ามีการเรืองแสงที่บริเวณโคนของเส้นขน หมายถึงให้ผลบวกกับเชื้อ Microspora canis และนอกจากนั้นคุณหมอจะตรวจหาสปอร์ของเชื้อราจากเส้นขนด้วยกล้องจุลทรรศน์ และสามารถเพาะเชื้อราจากการเก็บเส้นขนและรังแคในบริเวณที่เป็นรอยโรคใหม่ ทั้งนี้ถ้าน้องแมวรับยารักษาหรือมีการอาบน้ำ อาจจะทำให้ตรวจไม่เจอเชื้อ

การรักษา

   การรักษาเชื้อราในน้องแมวที่เป็นไม่มาก เช่นเป็นเพียง 1-2 บริเวณ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้รักษาด้วยการใช้ยาทา สเปรย์พ่นฆ่าเชื้อรา ร่วมกับการฟอกยาหรืออาบน้ำด้วยแชมพูฆ่าเชื้อราสำหรับสัตว์เลี้ยง ส่วนในรายที่เป็นหลายบริเวณ เป็นทั้งตัว หรือมีอาการเรื้อรัง เป็นๆหายๆ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยาทาภายนอก ร่วมกับการรักษาด้วยการกินยาฆ่าเชื้อรา (Itraconazole) ซึ่งจำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากนี้มีผลต่อการทำงานของตับ และน้องแมวมีความไวต่อยานี้เป็นพิเศษ ไม่ควรหาซื้อมาให้น้องแมวกินเอง โดยระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละตัว โดยมากใช้เวลาหลายสัปดาห์ (ประมาณ 4-12สัปดาห์) โดยจะหยุดยาได้ก็ต่อเมื่อผลเพาะเชื้อราเป็นลบ

การป้องกัน

   การป้องกันที่สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อราในแมวได้ คือ การจัดการสุขอนามัยของแมวให้เหมาะสม ทำความสะอาดบริเวณที่น้องแมวอยู่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ นอกจากนั้นควรแยกแมวที่เป้นโรคเชื้อราออกจากแมวที่ไม่มีอาการให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ติดกัน มีการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อรา แต่ยังมีรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ชัดเจน มีรายงานว่าการให้วัคซีนกับแมวที่เป็นเชื้อราทำให้หายเร็วขึ้น

แหล่งที่มา
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23813824/


1008
โรคที่มักพบ / โรคเชื้อราในแมว
« เมื่อ: 19 เม.ย. 64, 22:03:01น. »
โรคเชื้อราในแมว

สาเหตุ

   โรคเชื้อรา (Dermathophytosis หรือ Ringworm) ในแมวส่วนมากเกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า Microsporum canis ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคผิวหนังในแมว แมวที่สุขภาพแข็งแรงจำนวนมากเป็นแหล่งแพร่โรคนี้โดยที่ไม่แสดงอาการ โดยมากแมวที่มีอาการคือลูกแมว แมวอายุมาก หรือแมวที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน น้องแมวที่เลี้ยงในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี เลี้ยงอย่างหนาแน่นหลายตัวในพื้นที่จำกัด หรือน้องแมวที่มีความเครียดสะสม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้มากกว่าแมวทั่วไป



   น้องแมวจะติดเชื้อจากสปอร์ของเชื้อราที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสปอร์เชื้อราสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นปี หากไม่มีการทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม ซึ่งแมวจะติดโดยการสัมผัสสปอร์เชื้อราจากแมวที่เป็นพาหะ หรือใช้ของร่วมกันกับแมวที่เป็นโรคเชื้อรา เช่น ที่นอน, ของเล่น, แปรงหวีขน เป็นต้น การสัมผัสสิ่งแวดล้อม หรืออาศัยอยู่ในบริเวณที่เคยมีน้องแมวที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะได้รับเชื้อมาได้

อาการของโรคเชื้อราในแมว

   แมวที่เป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง จะมีอาการขนร่วงเป็นวงกลม ผิวหนังลอก เป็นสะเก็ดรังแค หรือเกิดรอยแดงรอบๆขอบวงกลมซึ่งเรียกลักษณะเฉพาะนี้ว่า Ringworm แมวส่วนหนึ่งสามารถหายได้เอง โดยอาจจะพบขนร่วงและรังแคเล็กน้อย แต่ในแมวที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันตก ลูกแมว แมวอายุมาก หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง น้องแมวที่เลี้ยงในสุขอนามัยไม่ดีมักจะไม่หายเอง และมักจะเป็นหลายบริเวณ ที่พบได้บ่อยคือ บริเวณใบหู รอบๆหัว หาง และหลัง

การวินิจฉัยโรค

   เมื่อนำน้องแมวที่มีอาการไปพบสัตวแพทย์ คุณหมอจะตรวจเบื้องต้นด้วยการใช้ไฟฉายส่องเชื้อรา (Wood lamp) โดยเมื่อส่องแล้วพบว่ามีการเรืองแสงที่บริเวณโคนของเส้นขน หมายถึงให้ผลบวกกับเชื้อ Microspora canis และนอกจากนั้นคุณหมอจะตรวจหาสปอร์ของเชื้อราจากเส้นขนด้วยกล้องจุลทรรศน์ และสามารถเพาะเชื้อราจากการเก็บเส้นขนและรังแคในบริเวณที่เป็นรอยโรคใหม่ ทั้งนี้ถ้าน้องแมวรับยารักษาหรือมีการอาบน้ำ อาจจะทำให้ตรวจไม่เจอเชื้อ

การรักษา

   การรักษาเชื้อราในน้องแมวที่เป็นไม่มาก เช่นเป็นเพียง 1-2 บริเวณ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้รักษาด้วยการใช้ยาทา สเปรย์พ่นฆ่าเชื้อรา ร่วมกับการฟอกยาหรืออาบน้ำด้วยแชมพูฆ่าเชื้อราสำหรับสัตว์เลี้ยง ส่วนในรายที่เป็นหลายบริเวณ เป็นทั้งตัว หรือมีอาการเรื้อรัง เป็นๆหายๆ สัตวแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยาทาภายนอก ร่วมกับการรักษาด้วยการกินยาฆ่าเชื้อรา (Itraconazole) ซึ่งจำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากนี้มีผลต่อการทำงานของตับ และน้องแมวมีความไวต่อยานี้เป็นพิเศษ ไม่ควรหาซื้อมาให้น้องแมวกินเอง โดยระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละตัว โดยมากใช้เวลาหลายสัปดาห์ (ประมาณ 4-12สัปดาห์) โดยจะหยุดยาได้ก็ต่อเมื่อผลเพาะเชื้อราเป็นลบ

การป้องกัน

   การป้องกันที่สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อราในแมวได้ คือ การจัดการสุขอนามัยของแมวให้เหมาะสม ทำความสะอาดบริเวณที่น้องแมวอยู่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ นอกจากนั้นควรแยกแมวที่เป้นโรคเชื้อราออกจากแมวที่ไม่มีอาการให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ติดกัน มีการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อรา แต่ยังมีรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ชัดเจน มีรายงานว่าการให้วัคซีนกับแมวที่เป็นเชื้อราทำให้หายเร็วขึ้น

แหล่งที่มา
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23813824/


1009
5 ขั้นตอนนำแมวตัวใหม่เข้าบ้าน
   
   หลายๆครอบครัวตัดสินใจจะรับอุปการะสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีบ้านมากขึ้น บางบ้านมีสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยู่ก่อนแล้ว อาจจะเป็นสุนัขและแมว การนำน้องแมวตัวใหม่เข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัว เราจำเป็นต้องเอาใจใส่ทั้งเรื่องสุขภาพกาและสุขภาพใจของทั้งสัตว์เลี้ยงที่อยู่มาก่อน และสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ บทความนี้จะช่วยให้น้องแมวตัวใหม่ ก้าวเข้าสู่ครอบครัวของเราอย่างมีความสุข



ขั้นตอนที่ 1 สอบถามประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น และกักตัวก่อน

   การไปรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง ถ้าเป็นแมวโตอาจจะต้องสอบถามประวัติกับเจ้าของเดิมถ้ามี เช่น อายุ ประวัติวัคซีนและการทำหมัน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง แต่ถ้าเป็นลูกแมวที่ไม่ทราบประวัติ ก็อาจจะจดวันที่ที่เราเจอเขาหรือถ่ายรูปวันที่รับมาเลี้ยงไว้เพื่อให้สัตวแพทย์ประเมินอายุคร่าวๆให้ภายหลัง

ตรวจร่างกายเบื้องต้น ในวันแรกเราอาจจะพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นก่อน เช่น การตรวจดูพยาธิภายนอก พยาธิทางเดินอาหาร ตรวจดูร่างกายทั่วไปว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ และสัตวแพทย์จะตรวจโรคติดเชื้อในน้องแมวซึ่งเป็นโรคติดต่อที่สำคัญ สามารถติดกันง่ายนั้นคือ โรคลิวคีเมีย โรคเอดส์แมว โดยการตรวจจากชุดทดสอบซึ่งใช้เวลาไม่นาน จากนั้นเมื่อเรารับน้องแมวตัวใหม่เข้าบ้านเรา ยังไม่ควรให้น้องเจอกับสัตว์เลี้ยงหรือน้องแมวตัวอื่น เพราะน้องแมวที่เรารับมาอาจจะมีอาการป่วยอยู่ก่อนแต่ไม่แสดงอาการ จึงควรกักตัวอย่างน้อย 7 – 14 วันก่อนพาไปเจอตัวอื่น

ขั้นตอนที่ 2 อาบน้ำน้องแมวกันเถอะ !


   เมื่อคิดถึงการอาบน้ำให้กับน้องแมว ทาสแมวหลายๆคนอาจจะกลัว แต่จริงๆแล้วน้องแมวเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำ ชอบอยู่กับน้ำ และชอบความเย็นสบาย ถ้าเราสร้างประสบการร์การอาบน้ำครั้งแรกที่ดี รับรองว่าครั้งต่อไปก็จะเป็นงานง่ายสำหรับเหล่าทาสแมว การอาบน้ำอาจจะเริ่มจากใช้น้ำอุ่นก่อนแต่ไม่ควรร้อนเกินไป และค่อยๆทำอย่างเบามือ ระวังการใช้เสียงดัง หรือการใช้ฝักบัวฉีดน้ำแรงๆ  หรืออาจจะค่อยๆใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำค่อยๆเช็ด เพื่อสร้างความคุ้นชินเสียก่อน และจากนั้นเช็ดให้ให้ด้วยผ้าแห้ง หรือการไดร์หรือพัดลมเป่าไกลๆ

ขั้นตอนที่ 3 ปรับอาหาร ปรับการเลี้ยงดู

   3 อย่างพื้นฐานที่เราจำเป็นต้องมีสำหรับแมวตัวใหม่คือ ชามอาหาร ชามน้ำ และกระบะทราย อาหารที่ให้ควรเลือกที่เหมาะสมตามช่วงอายุ น้องแมวบางตัวถูกเลี้ยงนอกบ้าน อาจจะยังใช้กระบะทรายไม่เป็น ในช่วง 1-2 วันแรกอาจจะไม่ยอมขับถ่าย เราจำเป็นต้องสอนเขาโดยการพาน้องไปที่กระบะทราย แต่โดยส่วนมากน้องแมวจะสามารถช้กระบะทรายได้เองหลังจากเรียนรู้ในเวลาไม่นาน
ขั้นตอนที่ 4 พาไปพบสัตวแพทย์

   หลังจากกักตัวครบ 7 – 14 วันแล้วให้พาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการป้องกันโรคต่างๆ โดยทั่วไปสัตวแพย์จะแนะนำให้รับยาถ่ายพยาธิ ยาป้องกันพยาธิภายนอก และวัคซีนซึ่งโปรแกรมการฉีดวัคซีนอาจจะแตกต่างกันแต่โดยมากจะต้องดทำดังนี้

-   วัคซีนหัดแมวและหวัดแมว เริ่มต้นที่อายุ 2 เดือน ฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง
-   วัคซีนพิษสุนัขบ้า เริ่มต้นที่อายุ 3 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   วัคซีนลิวคีเมีย (วัคซีนทางเลือก) เริ่มต้นที่อายุ 2-2.5 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   ถ่ายพยาธิทุก 3 เดือน
-   ป้องกันพยาธิภายนอก เห็บ เหา ไร ทุก 1 เดือน

ขั้นตอนที่ 5 การเผชิญหน้า !

   หลังจากกักตัวน้องแมวตัวใหม่เป็นระยะเวลา 7 – 14 วันแล้ว และมั่นใจว่าน้องแมวไม่มีโรคติดต่อ เราสามารถเริ่มต้นพาน้องแมวตัวใหม่และตัวเก่าเข้ามาเจอกัน โดยควรเริ่มต้นจากการเจอกันโดยที่ทั้งสองฝ่ายกำลังผ่อนคลาย หรือช่วงเวลาที่กำลังเล่นกัน อาจจะใช้กัญชาแมว หรือฟีโรโมนสำหรับแมวเสริมในระหว่างการเผชิญหน้า เพ่อเพิ่มความผ่อนคลาย โดยอาจจะให้น้องแมวตัวเก่าอยู่ในกรงหรือตะกร้าที่สามารถมองเห็นกันได้ และคอยดูปฏิกิริยาของทั้งฝ่าย หรือให้เจอกันในระหว่างมื้ออาหารแสนอร่อย เราอาจจะลองให้อาหารหรือขนมโดยที่ทั้งสองตัวอยู่คนละห้องแต่สามารถรับรู้ว่ามีแมวอีกตัวอยู่ในห้อง เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกเชิงบวกเข้ากับการเผชิญหน้า ถ้าเราลองทำแบบนี้สัก 2 – 3 วันทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกันก็สามารถปล่อยให้เจอกันได้ น้องแมวบางตัวก็อาจจะรับแมวตัวใหม่เข้าบ้านได้ทันที บาตัวก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว

1010
5 ขั้นตอนนำแมวตัวใหม่เข้าบ้าน
   
   หลายๆครอบครัวตัดสินใจจะรับอุปการะสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีบ้านมากขึ้น บางบ้านมีสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยู่ก่อนแล้ว อาจจะเป็นสุนัขและแมว การนำน้องแมวตัวใหม่เข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัว เราจำเป็นต้องเอาใจใส่ทั้งเรื่องสุขภาพกาและสุขภาพใจของทั้งสัตว์เลี้ยงที่อยู่มาก่อน และสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ บทความนี้จะช่วยให้น้องแมวตัวใหม่ ก้าวเข้าสู่ครอบครัวของเราอย่างมีความสุข



ขั้นตอนที่ 1 สอบถามประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น และกักตัวก่อน

   การไปรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง ถ้าเป็นแมวโตอาจจะต้องสอบถามประวัติกับเจ้าของเดิมถ้ามี เช่น อายุ ประวัติวัคซีนและการทำหมัน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง แต่ถ้าเป็นลูกแมวที่ไม่ทราบประวัติ ก็อาจจะจดวันที่ที่เราเจอเขาหรือถ่ายรูปวันที่รับมาเลี้ยงไว้เพื่อให้สัตวแพทย์ประเมินอายุคร่าวๆให้ภายหลัง

ตรวจร่างกายเบื้องต้น ในวันแรกเราอาจจะพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นก่อน เช่น การตรวจดูพยาธิภายนอก พยาธิทางเดินอาหาร ตรวจดูร่างกายทั่วไปว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ และสัตวแพทย์จะตรวจโรคติดเชื้อในน้องแมวซึ่งเป็นโรคติดต่อที่สำคัญ สามารถติดกันง่ายนั้นคือ โรคลิวคีเมีย โรคเอดส์แมว โดยการตรวจจากชุดทดสอบซึ่งใช้เวลาไม่นาน จากนั้นเมื่อเรารับน้องแมวตัวใหม่เข้าบ้านเรา ยังไม่ควรให้น้องเจอกับสัตว์เลี้ยงหรือน้องแมวตัวอื่น เพราะน้องแมวที่เรารับมาอาจจะมีอาการป่วยอยู่ก่อนแต่ไม่แสดงอาการ จึงควรกักตัวอย่างน้อย 7 – 14 วันก่อนพาไปเจอตัวอื่น

ขั้นตอนที่ 2 อาบน้ำน้องแมวกันเถอะ !


   เมื่อคิดถึงการอาบน้ำให้กับน้องแมว ทาสแมวหลายๆคนอาจจะกลัว แต่จริงๆแล้วน้องแมวเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำ ชอบอยู่กับน้ำ และชอบความเย็นสบาย ถ้าเราสร้างประสบการร์การอาบน้ำครั้งแรกที่ดี รับรองว่าครั้งต่อไปก็จะเป็นงานง่ายสำหรับเหล่าทาสแมว การอาบน้ำอาจจะเริ่มจากใช้น้ำอุ่นก่อนแต่ไม่ควรร้อนเกินไป และค่อยๆทำอย่างเบามือ ระวังการใช้เสียงดัง หรือการใช้ฝักบัวฉีดน้ำแรงๆ  หรืออาจจะค่อยๆใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำค่อยๆเช็ด เพื่อสร้างความคุ้นชินเสียก่อน และจากนั้นเช็ดให้ให้ด้วยผ้าแห้ง หรือการไดร์หรือพัดลมเป่าไกลๆ

ขั้นตอนที่ 3 ปรับอาหาร ปรับการเลี้ยงดู

   3 อย่างพื้นฐานที่เราจำเป็นต้องมีสำหรับแมวตัวใหม่คือ ชามอาหาร ชามน้ำ และกระบะทราย อาหารที่ให้ควรเลือกที่เหมาะสมตามช่วงอายุ น้องแมวบางตัวถูกเลี้ยงนอกบ้าน อาจจะยังใช้กระบะทรายไม่เป็น ในช่วง 1-2 วันแรกอาจจะไม่ยอมขับถ่าย เราจำเป็นต้องสอนเขาโดยการพาน้องไปที่กระบะทราย แต่โดยส่วนมากน้องแมวจะสามารถช้กระบะทรายได้เองหลังจากเรียนรู้ในเวลาไม่นาน
ขั้นตอนที่ 4 พาไปพบสัตวแพทย์

   หลังจากกักตัวครบ 7 – 14 วันแล้วให้พาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการป้องกันโรคต่างๆ โดยทั่วไปสัตวแพย์จะแนะนำให้รับยาถ่ายพยาธิ ยาป้องกันพยาธิภายนอก และวัคซีนซึ่งโปรแกรมการฉีดวัคซีนอาจจะแตกต่างกันแต่โดยมากจะต้องดทำดังนี้

-   วัคซีนหัดแมวและหวัดแมว เริ่มต้นที่อายุ 2 เดือน ฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง
-   วัคซีนพิษสุนัขบ้า เริ่มต้นที่อายุ 3 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   วัคซีนลิวคีเมีย (วัคซีนทางเลือก) เริ่มต้นที่อายุ 2-2.5 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   ถ่ายพยาธิทุก 3 เดือน
-   ป้องกันพยาธิภายนอก เห็บ เหา ไร ทุก 1 เดือน

ขั้นตอนที่ 5 การเผชิญหน้า !

   หลังจากกักตัวน้องแมวตัวใหม่เป็นระยะเวลา 7 – 14 วันแล้ว และมั่นใจว่าน้องแมวไม่มีโรคติดต่อ เราสามารถเริ่มต้นพาน้องแมวตัวใหม่และตัวเก่าเข้ามาเจอกัน โดยควรเริ่มต้นจากการเจอกันโดยที่ทั้งสองฝ่ายกำลังผ่อนคลาย หรือช่วงเวลาที่กำลังเล่นกัน อาจจะใช้กัญชาแมว หรือฟีโรโมนสำหรับแมวเสริมในระหว่างการเผชิญหน้า เพ่อเพิ่มความผ่อนคลาย โดยอาจจะให้น้องแมวตัวเก่าอยู่ในกรงหรือตะกร้าที่สามารถมองเห็นกันได้ และคอยดูปฏิกิริยาของทั้งฝ่าย หรือให้เจอกันในระหว่างมื้ออาหารแสนอร่อย เราอาจจะลองให้อาหารหรือขนมโดยที่ทั้งสองตัวอยู่คนละห้องแต่สามารถรับรู้ว่ามีแมวอีกตัวอยู่ในห้อง เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกเชิงบวกเข้ากับการเผชิญหน้า ถ้าเราลองทำแบบนี้สัก 2 – 3 วันทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกันก็สามารถปล่อยให้เจอกันได้ น้องแมวบางตัวก็อาจจะรับแมวตัวใหม่เข้าบ้านได้ทันที บาตัวก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว

1011
5 ขั้นตอนนำแมวตัวใหม่เข้าบ้าน
   
   หลายๆครอบครัวตัดสินใจจะรับอุปการะสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีบ้านมากขึ้น บางบ้านมีสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยู่ก่อนแล้ว อาจจะเป็นสุนัขและแมว การนำน้องแมวตัวใหม่เข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัว เราจำเป็นต้องเอาใจใส่ทั้งเรื่องสุขภาพกาและสุขภาพใจของทั้งสัตว์เลี้ยงที่อยู่มาก่อน และสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ บทความนี้จะช่วยให้น้องแมวตัวใหม่ ก้าวเข้าสู่ครอบครัวของเราอย่างมีความสุข



ขั้นตอนที่ 1 สอบถามประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น และกักตัวก่อน

   การไปรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง ถ้าเป็นแมวโตอาจจะต้องสอบถามประวัติกับเจ้าของเดิมถ้ามี เช่น อายุ ประวัติวัคซีนและการทำหมัน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง แต่ถ้าเป็นลูกแมวที่ไม่ทราบประวัติ ก็อาจจะจดวันที่ที่เราเจอเขาหรือถ่ายรูปวันที่รับมาเลี้ยงไว้เพื่อให้สัตวแพทย์ประเมินอายุคร่าวๆให้ภายหลัง

ตรวจร่างกายเบื้องต้น ในวันแรกเราอาจจะพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นก่อน เช่น การตรวจดูพยาธิภายนอก พยาธิทางเดินอาหาร ตรวจดูร่างกายทั่วไปว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ และสัตวแพทย์จะตรวจโรคติดเชื้อในน้องแมวซึ่งเป็นโรคติดต่อที่สำคัญ สามารถติดกันง่ายนั้นคือ โรคลิวคีเมีย โรคเอดส์แมว โดยการตรวจจากชุดทดสอบซึ่งใช้เวลาไม่นาน จากนั้นเมื่อเรารับน้องแมวตัวใหม่เข้าบ้านเรา ยังไม่ควรให้น้องเจอกับสัตว์เลี้ยงหรือน้องแมวตัวอื่น เพราะน้องแมวที่เรารับมาอาจจะมีอาการป่วยอยู่ก่อนแต่ไม่แสดงอาการ จึงควรกักตัวอย่างน้อย 7 – 14 วันก่อนพาไปเจอตัวอื่น

ขั้นตอนที่ 2 อาบน้ำน้องแมวกันเถอะ !


   เมื่อคิดถึงการอาบน้ำให้กับน้องแมว ทาสแมวหลายๆคนอาจจะกลัว แต่จริงๆแล้วน้องแมวเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำ ชอบอยู่กับน้ำ และชอบความเย็นสบาย ถ้าเราสร้างประสบการร์การอาบน้ำครั้งแรกที่ดี รับรองว่าครั้งต่อไปก็จะเป็นงานง่ายสำหรับเหล่าทาสแมว การอาบน้ำอาจจะเริ่มจากใช้น้ำอุ่นก่อนแต่ไม่ควรร้อนเกินไป และค่อยๆทำอย่างเบามือ ระวังการใช้เสียงดัง หรือการใช้ฝักบัวฉีดน้ำแรงๆ  หรืออาจจะค่อยๆใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำค่อยๆเช็ด เพื่อสร้างความคุ้นชินเสียก่อน และจากนั้นเช็ดให้ให้ด้วยผ้าแห้ง หรือการไดร์หรือพัดลมเป่าไกลๆ

ขั้นตอนที่ 3 ปรับอาหาร ปรับการเลี้ยงดู

   3 อย่างพื้นฐานที่เราจำเป็นต้องมีสำหรับแมวตัวใหม่คือ ชามอาหาร ชามน้ำ และกระบะทราย อาหารที่ให้ควรเลือกที่เหมาะสมตามช่วงอายุ น้องแมวบางตัวถูกเลี้ยงนอกบ้าน อาจจะยังใช้กระบะทรายไม่เป็น ในช่วง 1-2 วันแรกอาจจะไม่ยอมขับถ่าย เราจำเป็นต้องสอนเขาโดยการพาน้องไปที่กระบะทราย แต่โดยส่วนมากน้องแมวจะสามารถช้กระบะทรายได้เองหลังจากเรียนรู้ในเวลาไม่นาน
ขั้นตอนที่ 4 พาไปพบสัตวแพทย์

   หลังจากกักตัวครบ 7 – 14 วันแล้วให้พาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการป้องกันโรคต่างๆ โดยทั่วไปสัตวแพย์จะแนะนำให้รับยาถ่ายพยาธิ ยาป้องกันพยาธิภายนอก และวัคซีนซึ่งโปรแกรมการฉีดวัคซีนอาจจะแตกต่างกันแต่โดยมากจะต้องดทำดังนี้

-   วัคซีนหัดแมวและหวัดแมว เริ่มต้นที่อายุ 2 เดือน ฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง
-   วัคซีนพิษสุนัขบ้า เริ่มต้นที่อายุ 3 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   วัคซีนลิวคีเมีย (วัคซีนทางเลือก) เริ่มต้นที่อายุ 2-2.5 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   ถ่ายพยาธิทุก 3 เดือน
-   ป้องกันพยาธิภายนอก เห็บ เหา ไร ทุก 1 เดือน

ขั้นตอนที่ 5 การเผชิญหน้า !

   หลังจากกักตัวน้องแมวตัวใหม่เป็นระยะเวลา 7 – 14 วันแล้ว และมั่นใจว่าน้องแมวไม่มีโรคติดต่อ เราสามารถเริ่มต้นพาน้องแมวตัวใหม่และตัวเก่าเข้ามาเจอกัน โดยควรเริ่มต้นจากการเจอกันโดยที่ทั้งสองฝ่ายกำลังผ่อนคลาย หรือช่วงเวลาที่กำลังเล่นกัน อาจจะใช้กัญชาแมว หรือฟีโรโมนสำหรับแมวเสริมในระหว่างการเผชิญหน้า เพ่อเพิ่มความผ่อนคลาย โดยอาจจะให้น้องแมวตัวเก่าอยู่ในกรงหรือตะกร้าที่สามารถมองเห็นกันได้ และคอยดูปฏิกิริยาของทั้งฝ่าย หรือให้เจอกันในระหว่างมื้ออาหารแสนอร่อย เราอาจจะลองให้อาหารหรือขนมโดยที่ทั้งสองตัวอยู่คนละห้องแต่สามารถรับรู้ว่ามีแมวอีกตัวอยู่ในห้อง เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกเชิงบวกเข้ากับการเผชิญหน้า ถ้าเราลองทำแบบนี้สัก 2 – 3 วันทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกันก็สามารถปล่อยให้เจอกันได้ น้องแมวบางตัวก็อาจจะรับแมวตัวใหม่เข้าบ้านได้ทันที บาตัวก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว

1012
5 ขั้นตอนนำแมวตัวใหม่เข้าบ้าน
   
   หลายๆครอบครัวตัดสินใจจะรับอุปการะสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีบ้านมากขึ้น บางบ้านมีสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยู่ก่อนแล้ว อาจจะเป็นสุนัขและแมว การนำน้องแมวตัวใหม่เข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัว เราจำเป็นต้องเอาใจใส่ทั้งเรื่องสุขภาพกาและสุขภาพใจของทั้งสัตว์เลี้ยงที่อยู่มาก่อน และสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ บทความนี้จะช่วยให้น้องแมวตัวใหม่ ก้าวเข้าสู่ครอบครัวของเราอย่างมีความสุข



ขั้นตอนที่ 1 สอบถามประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น และกักตัวก่อน

   การไปรับน้องแมวตัวใหม่มาเลี้ยง ถ้าเป็นแมวโตอาจจะต้องสอบถามประวัติกับเจ้าของเดิมถ้ามี เช่น อายุ ประวัติวัคซีนและการทำหมัน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง แต่ถ้าเป็นลูกแมวที่ไม่ทราบประวัติ ก็อาจจะจดวันที่ที่เราเจอเขาหรือถ่ายรูปวันที่รับมาเลี้ยงไว้เพื่อให้สัตวแพทย์ประเมินอายุคร่าวๆให้ภายหลัง

ตรวจร่างกายเบื้องต้น ในวันแรกเราอาจจะพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นก่อน เช่น การตรวจดูพยาธิภายนอก พยาธิทางเดินอาหาร ตรวจดูร่างกายทั่วไปว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ และสัตวแพทย์จะตรวจโรคติดเชื้อในน้องแมวซึ่งเป็นโรคติดต่อที่สำคัญ สามารถติดกันง่ายนั้นคือ โรคลิวคีเมีย โรคเอดส์แมว โดยการตรวจจากชุดทดสอบซึ่งใช้เวลาไม่นาน จากนั้นเมื่อเรารับน้องแมวตัวใหม่เข้าบ้านเรา ยังไม่ควรให้น้องเจอกับสัตว์เลี้ยงหรือน้องแมวตัวอื่น เพราะน้องแมวที่เรารับมาอาจจะมีอาการป่วยอยู่ก่อนแต่ไม่แสดงอาการ จึงควรกักตัวอย่างน้อย 7 – 14 วันก่อนพาไปเจอตัวอื่น

ขั้นตอนที่ 2 อาบน้ำน้องแมวกันเถอะ !


   เมื่อคิดถึงการอาบน้ำให้กับน้องแมว ทาสแมวหลายๆคนอาจจะกลัว แต่จริงๆแล้วน้องแมวเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำ ชอบอยู่กับน้ำ และชอบความเย็นสบาย ถ้าเราสร้างประสบการร์การอาบน้ำครั้งแรกที่ดี รับรองว่าครั้งต่อไปก็จะเป็นงานง่ายสำหรับเหล่าทาสแมว การอาบน้ำอาจจะเริ่มจากใช้น้ำอุ่นก่อนแต่ไม่ควรร้อนเกินไป และค่อยๆทำอย่างเบามือ ระวังการใช้เสียงดัง หรือการใช้ฝักบัวฉีดน้ำแรงๆ  หรืออาจจะค่อยๆใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำค่อยๆเช็ด เพื่อสร้างความคุ้นชินเสียก่อน และจากนั้นเช็ดให้ให้ด้วยผ้าแห้ง หรือการไดร์หรือพัดลมเป่าไกลๆ

ขั้นตอนที่ 3 ปรับอาหาร ปรับการเลี้ยงดู

   3 อย่างพื้นฐานที่เราจำเป็นต้องมีสำหรับแมวตัวใหม่คือ ชามอาหาร ชามน้ำ และกระบะทราย อาหารที่ให้ควรเลือกที่เหมาะสมตามช่วงอายุ น้องแมวบางตัวถูกเลี้ยงนอกบ้าน อาจจะยังใช้กระบะทรายไม่เป็น ในช่วง 1-2 วันแรกอาจจะไม่ยอมขับถ่าย เราจำเป็นต้องสอนเขาโดยการพาน้องไปที่กระบะทราย แต่โดยส่วนมากน้องแมวจะสามารถช้กระบะทรายได้เองหลังจากเรียนรู้ในเวลาไม่นาน
ขั้นตอนที่ 4 พาไปพบสัตวแพทย์

   หลังจากกักตัวครบ 7 – 14 วันแล้วให้พาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการป้องกันโรคต่างๆ โดยทั่วไปสัตวแพย์จะแนะนำให้รับยาถ่ายพยาธิ ยาป้องกันพยาธิภายนอก และวัคซีนซึ่งโปรแกรมการฉีดวัคซีนอาจจะแตกต่างกันแต่โดยมากจะต้องดทำดังนี้

-   วัคซีนหัดแมวและหวัดแมว เริ่มต้นที่อายุ 2 เดือน ฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง
-   วัคซีนพิษสุนัขบ้า เริ่มต้นที่อายุ 3 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   วัคซีนลิวคีเมีย (วัคซีนทางเลือก) เริ่มต้นที่อายุ 2-2.5 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง
-   ถ่ายพยาธิทุก 3 เดือน
-   ป้องกันพยาธิภายนอก เห็บ เหา ไร ทุก 1 เดือน

ขั้นตอนที่ 5 การเผชิญหน้า !

   หลังจากกักตัวน้องแมวตัวใหม่เป็นระยะเวลา 7 – 14 วันแล้ว และมั่นใจว่าน้องแมวไม่มีโรคติดต่อ เราสามารถเริ่มต้นพาน้องแมวตัวใหม่และตัวเก่าเข้ามาเจอกัน โดยควรเริ่มต้นจากการเจอกันโดยที่ทั้งสองฝ่ายกำลังผ่อนคลาย หรือช่วงเวลาที่กำลังเล่นกัน อาจจะใช้กัญชาแมว หรือฟีโรโมนสำหรับแมวเสริมในระหว่างการเผชิญหน้า เพ่อเพิ่มความผ่อนคลาย โดยอาจจะให้น้องแมวตัวเก่าอยู่ในกรงหรือตะกร้าที่สามารถมองเห็นกันได้ และคอยดูปฏิกิริยาของทั้งฝ่าย หรือให้เจอกันในระหว่างมื้ออาหารแสนอร่อย เราอาจจะลองให้อาหารหรือขนมโดยที่ทั้งสองตัวอยู่คนละห้องแต่สามารถรับรู้ว่ามีแมวอีกตัวอยู่ในห้อง เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกเชิงบวกเข้ากับการเผชิญหน้า ถ้าเราลองทำแบบนี้สัก 2 – 3 วันทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกันก็สามารถปล่อยให้เจอกันได้ น้องแมวบางตัวก็อาจจะรับแมวตัวใหม่เข้าบ้านได้ทันที บาตัวก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว

1013
สาเหตุที่ทำให้สุนัขเกิดอาการท้องเสีย
   
   อากรท้องเสียในสุนัข เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยกับสุนัขทุกช่วงอายุ เจ้าของสุนัขควรจำเป็นเข้าใจถึงสาเหตุ และการดูแลเบื้องต้นเพื่อเป็นการช่วยให้สุนัขของเรามีสุขภาพแข็งแรง บางครั้งถ้ามีอาการหนักอาจจำเป็นต้องไปพบสัตวแพทย์



ระบบทางเดินอาหารของสุนัข

   ระบบทางเดินอาหารของสุนัขแตกต่างจากในคน จะไม่เคี้ยวอาหารจนละเอียดแบบที่คนเราทำ แต่จะใช้ฟันกัด ฉีกอาหารและกลืนลงสู่หลอดอาหารและส่งต่อไปที่กระเพาะอาหารทันที ดังนั้นการย่อยส่วนมากจะเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหาร น้อย่อยของสุนัขนั้นมีฤทธิ์เป็นกรดมากกว่าในคนถึง 3 เท่า และใช้ระยะเวลาในการย่อยอาหารประมาณ 10-12 ชั่วโมง สุนัขจึงขับถ่ายวันละประมาณ 1-2 ครั้ง

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย

1.   การกินอาหารที่ไม่สะอาด สุนัขบางตัวที่ถูกปล่อยออกนอกบ้าน มีโอกาสจะไปกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ขยะ เศษซากสัตว์บางชนิด หรืออาหารที่เสียแล้ว และการกินอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

2.   การเปลี่ยนอาหารกะทันหัน กระเพาะอาหารของสุนัขไม่เหมือนของคนที่สามารถรับอาหารหรือโปรตีนที่หลากหลายได้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวเข้ากับอาหารชนิดใหม่ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เปลี่ยนอาหารบ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ง่าย

3.   ภาวะแพ้อาหาร  เกิดจากร่างกายหรือระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขตอบสนองต่ออาหารบางชนิดผิดปกติ โดยมากเป็นกลุ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์จากนม หรือผลิตภัณฑืจากข้าวสาลีหรือธัญพืช

4.   การติดพยาธิทางเดินอาหาร พยาธิในทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียนได้ และยังขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร ถ้าพบปริมาณมากอาจจะเกิดการอุตันในลำไส้ และโลหิตจาง ทั้งพยาธิตัวกลม (Roundworms) พยาธิปากขอ (Hookworms) พยาธิแส้ม้า (Whipworms) เชื้อโปรโตซัวในทางเดินอาหาร (Coccidia, Giadia)

5.   สารพิษ อาหารหรือสารประกอบบางชนิดทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เช่น ยาแก้อักเสบของคน (Ibuprofen, Diclofena) หัวหอม, วิตามินดี, ยาฆ่าแมลง, ปุ๋ยสำหรับต้นไม้ เป็นต้น

6.   การกินสิ่งแปลกปลอม สุนัขอาจจะเผลอกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น ส่วหนึ่งของของเล่น, เศษผ้า ถุงเท้า, เชือก, หิน, เม็ดมะม่วง หรือเม็ดทุเรียน เป็นต้น

7.   การติดเชื้อทางเดินอาหาร ติดเชื้อพาร์โวไวรัส (Parvovirus) เชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus) เชื้อไข้หัดสุนัข (Distemper), ติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลา (Salmonella)

8.   อาการป่วย สุนัขที่ป่วยเป็นโรคไต โรคตับ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็ง สามารถแสดงอาการท้องเสียได้

9.   อาการเครียด หากสุนัขต้องเดินทางไกล เปลี่ยนที่อยู่ หรือมีสถานะการณ์บางอย่างที่ทำสุนัขเครียด อาจจะส่งผลทำให้สุนัขมีอาการท้องเสียได้



แหล่งที่มา
https://www.akc.org/expert-advice/health/doggie-diarrhea/


1014
สาเหตุที่ทำให้สุนัขเกิดอาการท้องเสีย
   
   อากรท้องเสียในสุนัข เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยกับสุนัขทุกช่วงอายุ เจ้าของสุนัขควรจำเป็นเข้าใจถึงสาเหตุ และการดูแลเบื้องต้นเพื่อเป็นการช่วยให้สุนัขของเรามีสุขภาพแข็งแรง บางครั้งถ้ามีอาการหนักอาจจำเป็นต้องไปพบสัตวแพทย์



ระบบทางเดินอาหารของสุนัข

   ระบบทางเดินอาหารของสุนัขแตกต่างจากในคน จะไม่เคี้ยวอาหารจนละเอียดแบบที่คนเราทำ แต่จะใช้ฟันกัด ฉีกอาหารและกลืนลงสู่หลอดอาหารและส่งต่อไปที่กระเพาะอาหารทันที ดังนั้นการย่อยส่วนมากจะเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหาร น้อย่อยของสุนัขนั้นมีฤทธิ์เป็นกรดมากกว่าในคนถึง 3 เท่า และใช้ระยะเวลาในการย่อยอาหารประมาณ 10-12 ชั่วโมง สุนัขจึงขับถ่ายวันละประมาณ 1-2 ครั้ง

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย

1.   การกินอาหารที่ไม่สะอาด สุนัขบางตัวที่ถูกปล่อยออกนอกบ้าน มีโอกาสจะไปกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ขยะ เศษซากสัตว์บางชนิด หรืออาหารที่เสียแล้ว และการกินอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

2.   การเปลี่ยนอาหารกะทันหัน กระเพาะอาหารของสุนัขไม่เหมือนของคนที่สามารถรับอาหารหรือโปรตีนที่หลากหลายได้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวเข้ากับอาหารชนิดใหม่ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เปลี่ยนอาหารบ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ง่าย

3.   ภาวะแพ้อาหาร  เกิดจากร่างกายหรือระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขตอบสนองต่ออาหารบางชนิดผิดปกติ โดยมากเป็นกลุ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์จากนม หรือผลิตภัณฑืจากข้าวสาลีหรือธัญพืช

4.   การติดพยาธิทางเดินอาหาร พยาธิในทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียนได้ และยังขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร ถ้าพบปริมาณมากอาจจะเกิดการอุตันในลำไส้ และโลหิตจาง ทั้งพยาธิตัวกลม (Roundworms) พยาธิปากขอ (Hookworms) พยาธิแส้ม้า (Whipworms) เชื้อโปรโตซัวในทางเดินอาหาร (Coccidia, Giadia)

5.   สารพิษ อาหารหรือสารประกอบบางชนิดทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เช่น ยาแก้อักเสบของคน (Ibuprofen, Diclofena) หัวหอม, วิตามินดี, ยาฆ่าแมลง, ปุ๋ยสำหรับต้นไม้ เป็นต้น

6.   การกินสิ่งแปลกปลอม สุนัขอาจจะเผลอกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น ส่วหนึ่งของของเล่น, เศษผ้า ถุงเท้า, เชือก, หิน, เม็ดมะม่วง หรือเม็ดทุเรียน เป็นต้น

7.   การติดเชื้อทางเดินอาหาร ติดเชื้อพาร์โวไวรัส (Parvovirus) เชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus) เชื้อไข้หัดสุนัข (Distemper), ติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลา (Salmonella)

8.   อาการป่วย สุนัขที่ป่วยเป็นโรคไต โรคตับ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็ง สามารถแสดงอาการท้องเสียได้

9.   อาการเครียด หากสุนัขต้องเดินทางไกล เปลี่ยนที่อยู่ หรือมีสถานะการณ์บางอย่างที่ทำสุนัขเครียด อาจจะส่งผลทำให้สุนัขมีอาการท้องเสียได้



แหล่งที่มา
https://www.akc.org/expert-advice/health/doggie-diarrhea/


1015
สาเหตุที่ทำให้สุนัขเกิดอาการท้องเสีย
   
   อากรท้องเสียในสุนัข เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยกับสุนัขทุกช่วงอายุ เจ้าของสุนัขควรจำเป็นเข้าใจถึงสาเหตุ และการดูแลเบื้องต้นเพื่อเป็นการช่วยให้สุนัขของเรามีสุขภาพแข็งแรง บางครั้งถ้ามีอาการหนักอาจจำเป็นต้องไปพบสัตวแพทย์



ระบบทางเดินอาหารของสุนัข

   ระบบทางเดินอาหารของสุนัขแตกต่างจากในคน จะไม่เคี้ยวอาหารจนละเอียดแบบที่คนเราทำ แต่จะใช้ฟันกัด ฉีกอาหารและกลืนลงสู่หลอดอาหารและส่งต่อไปที่กระเพาะอาหารทันที ดังนั้นการย่อยส่วนมากจะเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหาร น้อย่อยของสุนัขนั้นมีฤทธิ์เป็นกรดมากกว่าในคนถึง 3 เท่า และใช้ระยะเวลาในการย่อยอาหารประมาณ 10-12 ชั่วโมง สุนัขจึงขับถ่ายวันละประมาณ 1-2 ครั้ง

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย

1.   การกินอาหารที่ไม่สะอาด สุนัขบางตัวที่ถูกปล่อยออกนอกบ้าน มีโอกาสจะไปกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ขยะ เศษซากสัตว์บางชนิด หรืออาหารที่เสียแล้ว และการกินอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

2.   การเปลี่ยนอาหารกะทันหัน กระเพาะอาหารของสุนัขไม่เหมือนของคนที่สามารถรับอาหารหรือโปรตีนที่หลากหลายได้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวเข้ากับอาหารชนิดใหม่ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เปลี่ยนอาหารบ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ง่าย

3.   ภาวะแพ้อาหาร  เกิดจากร่างกายหรือระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขตอบสนองต่ออาหารบางชนิดผิดปกติ โดยมากเป็นกลุ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์จากนม หรือผลิตภัณฑืจากข้าวสาลีหรือธัญพืช

4.   การติดพยาธิทางเดินอาหาร พยาธิในทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียนได้ และยังขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร ถ้าพบปริมาณมากอาจจะเกิดการอุตันในลำไส้ และโลหิตจาง ทั้งพยาธิตัวกลม (Roundworms) พยาธิปากขอ (Hookworms) พยาธิแส้ม้า (Whipworms) เชื้อโปรโตซัวในทางเดินอาหาร (Coccidia, Giadia)

5.   สารพิษ อาหารหรือสารประกอบบางชนิดทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เช่น ยาแก้อักเสบของคน (Ibuprofen, Diclofena) หัวหอม, วิตามินดี, ยาฆ่าแมลง, ปุ๋ยสำหรับต้นไม้ เป็นต้น

6.   การกินสิ่งแปลกปลอม สุนัขอาจจะเผลอกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น ส่วหนึ่งของของเล่น, เศษผ้า ถุงเท้า, เชือก, หิน, เม็ดมะม่วง หรือเม็ดทุเรียน เป็นต้น

7.   การติดเชื้อทางเดินอาหาร ติดเชื้อพาร์โวไวรัส (Parvovirus) เชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus) เชื้อไข้หัดสุนัข (Distemper), ติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลา (Salmonella)

8.   อาการป่วย สุนัขที่ป่วยเป็นโรคไต โรคตับ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็ง สามารถแสดงอาการท้องเสียได้

9.   อาการเครียด หากสุนัขต้องเดินทางไกล เปลี่ยนที่อยู่ หรือมีสถานะการณ์บางอย่างที่ทำสุนัขเครียด อาจจะส่งผลทำให้สุนัขมีอาการท้องเสียได้



แหล่งที่มา
https://www.akc.org/expert-advice/health/doggie-diarrhea/


1016
สาเหตุที่ทำให้สุนัขเกิดอาการท้องเสีย
   
   อากรท้องเสียในสุนัข เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยกับสุนัขทุกช่วงอายุ เจ้าของสุนัขควรจำเป็นเข้าใจถึงสาเหตุ และการดูแลเบื้องต้นเพื่อเป็นการช่วยให้สุนัขของเรามีสุขภาพแข็งแรง บางครั้งถ้ามีอาการหนักอาจจำเป็นต้องไปพบสัตวแพทย์



ระบบทางเดินอาหารของสุนัข

   ระบบทางเดินอาหารของสุนัขแตกต่างจากในคน จะไม่เคี้ยวอาหารจนละเอียดแบบที่คนเราทำ แต่จะใช้ฟันกัด ฉีกอาหารและกลืนลงสู่หลอดอาหารและส่งต่อไปที่กระเพาะอาหารทันที ดังนั้นการย่อยส่วนมากจะเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหาร น้อย่อยของสุนัขนั้นมีฤทธิ์เป็นกรดมากกว่าในคนถึง 3 เท่า และใช้ระยะเวลาในการย่อยอาหารประมาณ 10-12 ชั่วโมง สุนัขจึงขับถ่ายวันละประมาณ 1-2 ครั้ง

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย

1.   การกินอาหารที่ไม่สะอาด สุนัขบางตัวที่ถูกปล่อยออกนอกบ้าน มีโอกาสจะไปกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ขยะ เศษซากสัตว์บางชนิด หรืออาหารที่เสียแล้ว และการกินอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

2.   การเปลี่ยนอาหารกะทันหัน กระเพาะอาหารของสุนัขไม่เหมือนของคนที่สามารถรับอาหารหรือโปรตีนที่หลากหลายได้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวเข้ากับอาหารชนิดใหม่ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เปลี่ยนอาหารบ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ง่าย

3.   ภาวะแพ้อาหาร  เกิดจากร่างกายหรือระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขตอบสนองต่ออาหารบางชนิดผิดปกติ โดยมากเป็นกลุ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์จากนม หรือผลิตภัณฑืจากข้าวสาลีหรือธัญพืช

4.   การติดพยาธิทางเดินอาหาร พยาธิในทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียนได้ และยังขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร ถ้าพบปริมาณมากอาจจะเกิดการอุตันในลำไส้ และโลหิตจาง ทั้งพยาธิตัวกลม (Roundworms) พยาธิปากขอ (Hookworms) พยาธิแส้ม้า (Whipworms) เชื้อโปรโตซัวในทางเดินอาหาร (Coccidia, Giadia)

5.   สารพิษ อาหารหรือสารประกอบบางชนิดทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เช่น ยาแก้อักเสบของคน (Ibuprofen, Diclofena) หัวหอม, วิตามินดี, ยาฆ่าแมลง, ปุ๋ยสำหรับต้นไม้ เป็นต้น

6.   การกินสิ่งแปลกปลอม สุนัขอาจจะเผลอกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น ส่วหนึ่งของของเล่น, เศษผ้า ถุงเท้า, เชือก, หิน, เม็ดมะม่วง หรือเม็ดทุเรียน เป็นต้น

7.   การติดเชื้อทางเดินอาหาร ติดเชื้อพาร์โวไวรัส (Parvovirus) เชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus) เชื้อไข้หัดสุนัข (Distemper), ติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลา (Salmonella)

8.   อาการป่วย สุนัขที่ป่วยเป็นโรคไต โรคตับ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็ง สามารถแสดงอาการท้องเสียได้

9.   อาการเครียด หากสุนัขต้องเดินทางไกล เปลี่ยนที่อยู่ หรือมีสถานะการณ์บางอย่างที่ทำสุนัขเครียด อาจจะส่งผลทำให้สุนัขมีอาการท้องเสียได้



แหล่งที่มา
https://www.akc.org/expert-advice/health/doggie-diarrhea/


1017
TIPS & TRICK เคล็ดลับการดูแลสุนัขหลังจากป่วยโรคลำไส้อักเสบ

   โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อพาร์โวไวรัส ซึ่งเชื้อจะไปทำลายเยื่อบุผนังลำไส้อย่างรุนแรง จนทำให้มีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด และอาเจียนรุนแรง มีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยสามารถติดต่อสู่สุนัขด้วยกันได้ง่ายผ่านทางการได้รับอุจจาระของสุนัขที่มีเชื้อเข้าไปทางปาก การใช้สิ่งของร่วมกัน การเลี้ยงอยู่ในบริเวณเดียวกัน ดังนั้นการดูแลต่อที่บ้านก็เป็นอีกงานหนึ่งที่เจ้าของสุนัขจะต้องเข้าใจ



การแยกเลี้ยงสุนัขป่วยกับสุนัขปกติ

   เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายและมีความรุนแรงสูง จึงแนะนำให้แยกสุนัขที่ป่วยและรักษาหายแล้วออกจากสุนัขตัวอื่นอย่างน้อยที่สุด 1 เดือนหลังจากอาการดีขึ้น แม้ว่าสุนัขตัวอื่นภายในบ้านจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคลำไส้อักเสบก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดการติดเชื้อ การให้วัคซีนเป็นวิธีการลดความรุนแรงของอาการหากได้รับเชื้อ ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ

การทำความสะอาดฆ่าเชื้อ

   ควรมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ไฮเตอร์ ซึ่งมีส่วนประกอบของ Sodium hypochoride มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส โดยต้องผสมให้อยู่ในสัดส่วนที่ถูกต้อง ประมาณความเข้มข้น 0.1-0.5% โดยผสมไฮเตอร์ 50 มิลลิลิตร กับน้ำ 1 ลิตร ใช้เช็ดถูบริเวณที่สุนัขเคยอยู่ ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 – 30 นาที และต้องนำของใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่น หรืออื่นๆที่สุนัขเคยใช้ไปซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ชามน้ำชามอาหารต่างๆก็ควรทำความสะอาดและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อ

ชนิดของอาหารและวิธีการให้อาหาร

   ในช่วงระยะแรก 48 ชั่วโมงของการรักษา สัตวแพทย์อาจจะจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารเพื่อลดการทำงานของลำไส้ จากนั้นจะค่อยๆให้กินอาหารในปริมาณน้อยๆ เนื่องจากไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ซึ่งมีหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหารให้กับร่างกาย เมื่อเวลล์นี้ถูกทำลาย สุนัขบางตัวจะมีปัญหาการดูดซึมอาการ ในช่วงแรกนั้นควรจะให้กินอาหารที่ย่อยง่าย มีปริมาณพลังงานสูง อาจจะให้อาหารสำเร็จรูปสำหรับทางเดินอาหารโดยเฉพาะ มีปริมาณไขมันไม่มาก ปริมาณโปรตีนเหมาะสม ถ้าเป็นอาหารเม็ด อาจจะแช่น้ำเพื่อให้กินง่ายขึ้น และอาจจะช่วยอุ่นอาหารเพื่อเพิ่มความน่ากิน และต้องมีน้ำสะอาดให้กินอย่างเพียงพอ แต่ถ้าเป็นอาหารปรุงเองควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ควรใช้เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสัตว์จำพวกปลา งดเนื้อแดงและเครื่องในสัตว์

การให้วัคซีนและการป้องกันโรค

   สุนัขที่ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อไวรัสพาร์โวไวรัส และ/หรือเชื้อโคโรนาไวรัส จะไม่กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีก แต่เจ้าของสุนัขก็ยังจำเป็นต้องพาสุนัขไปรับวัคซีน ซึ่งมีวัคซีนหลักในสุนัขอยู่ 2 ชนิด คือ วัคซีนรวม 5 โรค  และวัคซีนพิษสุนัขบ้า ถ้าหากสุนัขของเรายังไม่เคยได้รับวัคซีน แนะนำให้รักษาจนหายดี สามารถกินอาหาร ขับถ่ายได้เป็นปกติ อาจจะใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น 1-2 เดือนหลังจากหายดี ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หลังจากพักฟื้นดีแล้วก็ให้พาไปรับวัคซีนได้

   


1018
TIPS & TRICK เคล็ดลับการดูแลสุนัขหลังจากป่วยโรคลำไส้อักเสบ

   โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อพาร์โวไวรัส ซึ่งเชื้อจะไปทำลายเยื่อบุผนังลำไส้อย่างรุนแรง จนทำให้มีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด และอาเจียนรุนแรง มีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยสามารถติดต่อสู่สุนัขด้วยกันได้ง่ายผ่านทางการได้รับอุจจาระของสุนัขที่มีเชื้อเข้าไปทางปาก การใช้สิ่งของร่วมกัน การเลี้ยงอยู่ในบริเวณเดียวกัน ดังนั้นการดูแลต่อที่บ้านก็เป็นอีกงานหนึ่งที่เจ้าของสุนัขจะต้องเข้าใจ



การแยกเลี้ยงสุนัขป่วยกับสุนัขปกติ

   เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายและมีความรุนแรงสูง จึงแนะนำให้แยกสุนัขที่ป่วยและรักษาหายแล้วออกจากสุนัขตัวอื่นอย่างน้อยที่สุด 1 เดือนหลังจากอาการดีขึ้น แม้ว่าสุนัขตัวอื่นภายในบ้านจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคลำไส้อักเสบก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดการติดเชื้อ การให้วัคซีนเป็นวิธีการลดความรุนแรงของอาการหากได้รับเชื้อ ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ

การทำความสะอาดฆ่าเชื้อ

   ควรมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ไฮเตอร์ ซึ่งมีส่วนประกอบของ Sodium hypochoride มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส โดยต้องผสมให้อยู่ในสัดส่วนที่ถูกต้อง ประมาณความเข้มข้น 0.1-0.5% โดยผสมไฮเตอร์ 50 มิลลิลิตร กับน้ำ 1 ลิตร ใช้เช็ดถูบริเวณที่สุนัขเคยอยู่ ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 – 30 นาที และต้องนำของใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่น หรืออื่นๆที่สุนัขเคยใช้ไปซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ชามน้ำชามอาหารต่างๆก็ควรทำความสะอาดและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อ

ชนิดของอาหารและวิธีการให้อาหาร

   ในช่วงระยะแรก 48 ชั่วโมงของการรักษา สัตวแพทย์อาจจะจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารเพื่อลดการทำงานของลำไส้ จากนั้นจะค่อยๆให้กินอาหารในปริมาณน้อยๆ เนื่องจากไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ซึ่งมีหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหารให้กับร่างกาย เมื่อเวลล์นี้ถูกทำลาย สุนัขบางตัวจะมีปัญหาการดูดซึมอาการ ในช่วงแรกนั้นควรจะให้กินอาหารที่ย่อยง่าย มีปริมาณพลังงานสูง อาจจะให้อาหารสำเร็จรูปสำหรับทางเดินอาหารโดยเฉพาะ มีปริมาณไขมันไม่มาก ปริมาณโปรตีนเหมาะสม ถ้าเป็นอาหารเม็ด อาจจะแช่น้ำเพื่อให้กินง่ายขึ้น และอาจจะช่วยอุ่นอาหารเพื่อเพิ่มความน่ากิน และต้องมีน้ำสะอาดให้กินอย่างเพียงพอ แต่ถ้าเป็นอาหารปรุงเองควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ควรใช้เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสัตว์จำพวกปลา งดเนื้อแดงและเครื่องในสัตว์

การให้วัคซีนและการป้องกันโรค

   สุนัขที่ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อไวรัสพาร์โวไวรัส และ/หรือเชื้อโคโรนาไวรัส จะไม่กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีก แต่เจ้าของสุนัขก็ยังจำเป็นต้องพาสุนัขไปรับวัคซีน ซึ่งมีวัคซีนหลักในสุนัขอยู่ 2 ชนิด คือ วัคซีนรวม 5 โรค  และวัคซีนพิษสุนัขบ้า ถ้าหากสุนัขของเรายังไม่เคยได้รับวัคซีน แนะนำให้รักษาจนหายดี สามารถกินอาหาร ขับถ่ายได้เป็นปกติ อาจจะใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น 1-2 เดือนหลังจากหายดี ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หลังจากพักฟื้นดีแล้วก็ให้พาไปรับวัคซีนได้

   


1019
TIPS & TRICK เคล็ดลับการดูแลสุนัขหลังจากป่วยโรคลำไส้อักเสบ

   โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อพาร์โวไวรัส ซึ่งเชื้อจะไปทำลายเยื่อบุผนังลำไส้อย่างรุนแรง จนทำให้มีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด และอาเจียนรุนแรง มีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยสามารถติดต่อสู่สุนัขด้วยกันได้ง่ายผ่านทางการได้รับอุจจาระของสุนัขที่มีเชื้อเข้าไปทางปาก การใช้สิ่งของร่วมกัน การเลี้ยงอยู่ในบริเวณเดียวกัน ดังนั้นการดูแลต่อที่บ้านก็เป็นอีกงานหนึ่งที่เจ้าของสุนัขจะต้องเข้าใจ



การแยกเลี้ยงสุนัขป่วยกับสุนัขปกติ

   เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายและมีความรุนแรงสูง จึงแนะนำให้แยกสุนัขที่ป่วยและรักษาหายแล้วออกจากสุนัขตัวอื่นอย่างน้อยที่สุด 1 เดือนหลังจากอาการดีขึ้น แม้ว่าสุนัขตัวอื่นภายในบ้านจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคลำไส้อักเสบก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดการติดเชื้อ การให้วัคซีนเป็นวิธีการลดความรุนแรงของอาการหากได้รับเชื้อ ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ

การทำความสะอาดฆ่าเชื้อ

   ควรมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ไฮเตอร์ ซึ่งมีส่วนประกอบของ Sodium hypochoride มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส โดยต้องผสมให้อยู่ในสัดส่วนที่ถูกต้อง ประมาณความเข้มข้น 0.1-0.5% โดยผสมไฮเตอร์ 50 มิลลิลิตร กับน้ำ 1 ลิตร ใช้เช็ดถูบริเวณที่สุนัขเคยอยู่ ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 – 30 นาที และต้องนำของใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่น หรืออื่นๆที่สุนัขเคยใช้ไปซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ชามน้ำชามอาหารต่างๆก็ควรทำความสะอาดและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อ

ชนิดของอาหารและวิธีการให้อาหาร

   ในช่วงระยะแรก 48 ชั่วโมงของการรักษา สัตวแพทย์อาจจะจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารเพื่อลดการทำงานของลำไส้ จากนั้นจะค่อยๆให้กินอาหารในปริมาณน้อยๆ เนื่องจากไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ซึ่งมีหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหารให้กับร่างกาย เมื่อเวลล์นี้ถูกทำลาย สุนัขบางตัวจะมีปัญหาการดูดซึมอาการ ในช่วงแรกนั้นควรจะให้กินอาหารที่ย่อยง่าย มีปริมาณพลังงานสูง อาจจะให้อาหารสำเร็จรูปสำหรับทางเดินอาหารโดยเฉพาะ มีปริมาณไขมันไม่มาก ปริมาณโปรตีนเหมาะสม ถ้าเป็นอาหารเม็ด อาจจะแช่น้ำเพื่อให้กินง่ายขึ้น และอาจจะช่วยอุ่นอาหารเพื่อเพิ่มความน่ากิน และต้องมีน้ำสะอาดให้กินอย่างเพียงพอ แต่ถ้าเป็นอาหารปรุงเองควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ควรใช้เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสัตว์จำพวกปลา งดเนื้อแดงและเครื่องในสัตว์

การให้วัคซีนและการป้องกันโรค

   สุนัขที่ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อไวรัสพาร์โวไวรัส และ/หรือเชื้อโคโรนาไวรัส จะไม่กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีก แต่เจ้าของสุนัขก็ยังจำเป็นต้องพาสุนัขไปรับวัคซีน ซึ่งมีวัคซีนหลักในสุนัขอยู่ 2 ชนิด คือ วัคซีนรวม 5 โรค  และวัคซีนพิษสุนัขบ้า ถ้าหากสุนัขของเรายังไม่เคยได้รับวัคซีน แนะนำให้รักษาจนหายดี สามารถกินอาหาร ขับถ่ายได้เป็นปกติ อาจจะใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น 1-2 เดือนหลังจากหายดี ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หลังจากพักฟื้นดีแล้วก็ให้พาไปรับวัคซีนได้

   


1020
TIPS & TRICK เคล็ดลับการดูแลสุนัขหลังจากป่วยโรคลำไส้อักเสบ

   โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อพาร์โวไวรัส ซึ่งเชื้อจะไปทำลายเยื่อบุผนังลำไส้อย่างรุนแรง จนทำให้มีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด และอาเจียนรุนแรง มีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยสามารถติดต่อสู่สุนัขด้วยกันได้ง่ายผ่านทางการได้รับอุจจาระของสุนัขที่มีเชื้อเข้าไปทางปาก การใช้สิ่งของร่วมกัน การเลี้ยงอยู่ในบริเวณเดียวกัน ดังนั้นการดูแลต่อที่บ้านก็เป็นอีกงานหนึ่งที่เจ้าของสุนัขจะต้องเข้าใจ



การแยกเลี้ยงสุนัขป่วยกับสุนัขปกติ

   เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายและมีความรุนแรงสูง จึงแนะนำให้แยกสุนัขที่ป่วยและรักษาหายแล้วออกจากสุนัขตัวอื่นอย่างน้อยที่สุด 1 เดือนหลังจากอาการดีขึ้น แม้ว่าสุนัขตัวอื่นภายในบ้านจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคลำไส้อักเสบก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดการติดเชื้อ การให้วัคซีนเป็นวิธีการลดความรุนแรงของอาการหากได้รับเชื้อ ไม่ได้เป็นการป้องกันการติดเชื้อ

การทำความสะอาดฆ่าเชื้อ

   ควรมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ไฮเตอร์ ซึ่งมีส่วนประกอบของ Sodium hypochoride มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส โดยต้องผสมให้อยู่ในสัดส่วนที่ถูกต้อง ประมาณความเข้มข้น 0.1-0.5% โดยผสมไฮเตอร์ 50 มิลลิลิตร กับน้ำ 1 ลิตร ใช้เช็ดถูบริเวณที่สุนัขเคยอยู่ ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 – 30 นาที และต้องนำของใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่น หรืออื่นๆที่สุนัขเคยใช้ไปซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ชามน้ำชามอาหารต่างๆก็ควรทำความสะอาดและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อ

ชนิดของอาหารและวิธีการให้อาหาร

   ในช่วงระยะแรก 48 ชั่วโมงของการรักษา สัตวแพทย์อาจจะจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารเพื่อลดการทำงานของลำไส้ จากนั้นจะค่อยๆให้กินอาหารในปริมาณน้อยๆ เนื่องจากไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ซึ่งมีหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหารให้กับร่างกาย เมื่อเวลล์นี้ถูกทำลาย สุนัขบางตัวจะมีปัญหาการดูดซึมอาการ ในช่วงแรกนั้นควรจะให้กินอาหารที่ย่อยง่าย มีปริมาณพลังงานสูง อาจจะให้อาหารสำเร็จรูปสำหรับทางเดินอาหารโดยเฉพาะ มีปริมาณไขมันไม่มาก ปริมาณโปรตีนเหมาะสม ถ้าเป็นอาหารเม็ด อาจจะแช่น้ำเพื่อให้กินง่ายขึ้น และอาจจะช่วยอุ่นอาหารเพื่อเพิ่มความน่ากิน และต้องมีน้ำสะอาดให้กินอย่างเพียงพอ แต่ถ้าเป็นอาหารปรุงเองควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ควรใช้เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสัตว์จำพวกปลา งดเนื้อแดงและเครื่องในสัตว์

การให้วัคซีนและการป้องกันโรค

   สุนัขที่ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อไวรัสพาร์โวไวรัส และ/หรือเชื้อโคโรนาไวรัส จะไม่กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีก แต่เจ้าของสุนัขก็ยังจำเป็นต้องพาสุนัขไปรับวัคซีน ซึ่งมีวัคซีนหลักในสุนัขอยู่ 2 ชนิด คือ วัคซีนรวม 5 โรค  และวัคซีนพิษสุนัขบ้า ถ้าหากสุนัขของเรายังไม่เคยได้รับวัคซีน แนะนำให้รักษาจนหายดี สามารถกินอาหาร ขับถ่ายได้เป็นปกติ อาจจะใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น 1-2 เดือนหลังจากหายดี ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หลังจากพักฟื้นดีแล้วก็ให้พาไปรับวัคซีนได้